|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2013, 17:07:24 » |
|
วันนี้ขอเสนอ ลำใยครับ อ๊ะๆแต่เดี๋ยวก่อนบางท่านอาจคิดว่าลำใยมีเยอะแยะมันหายากตรงใหน มันก็หายากตรงที่มันเป็นพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในปัจจุบันแล้วสิหน่ะครับ แถมยังอร่อยอีกด้วยเพียงแต่ว่าไม่ได้เพาะปลูกในเชิงธุระกิจเหมือนพันธุ์อีดอนั้นเอง หายากไม่ยากแม้แต่รูปยังหาประกอบไม่ได้เลยครับ
พันธุ์แรกที่ส่งประกวดคือพันธุ์ อีแห้ว ลำไยพันธุ์อีแห้ว จะออกดอกติดผลยากกว่าลำไยพันธุ์อีดอ
คือจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่อต้นลำไยอายุ 4-5 ปีหลังการปลูก และจะออกดอกปลายเดือนมกราคม สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไยพันธุ์แห้วได้ ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ลักษณะผลของลำไยค่อนข้างกลม ความกว้าง 2.8 เซนติเมตร ความหนา 2.7 เซนติเมตร และความยาวของผลลำไยจะอยู่ที่ 2.7เซนติเมตร สีน้ำตาล เนื้อกรอบสีขาวค่อนข้างใสรสหวานจัด กลิ่นหอม โดยส่วนมากจะนิยมบริโภคสด
พันธุ์ที่สองคือ พันธุ์อีเบี้ยวเขียว ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว จะออกดอกและติดผลยาวกว่าลำไยพันธุ์สีชมพู
คือลำไยพันธุ์นี้จะเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 4-5 ปีหลังการปลูก จะออกดอกในเดือนมกราคม และเราสามารถเก็บผลผลิตของ ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียวได้ ในเดือนสิงหาคม-กันยายน ลักษณะผลของลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว จะแบนและเบี้ยว ความกว้างของผล 3.0 เซนติเมตร ความหนา 2.6 เซนติเมตร และมีความยาว 2.8 เซนติเมตร สีของลำไยจะมีสีน้ำตาลอ่อนออกเขียวเล็กน้อย มีบ่าผล ไม่เท่ากัน เนื้อกรอบสีขาว ค่อนข้างใส รสหวานจัด กลิ่นหอม โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมบริโภคสด
และพันธุ์สุดท้ายที่จะนำเสนอวันนี้คือพันธุ์สีชมพู ให้มันเป็นสีชมพู.... ลำไยพันธุ์สีชมพู จะออกดอกและติดผลยากกว่าลำไยพันธุ์อีดอ แต่ผลผลิตของลำไยพันธุ์สีชมพู จะไม่สม่ำเสมอ คือเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุ 4 ปีปลูก และจะออกดอกปลายเดือนมกราคม เริ่มเก็บผลผลิตปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ลักษณะผล ค่อนข้างกลม กว้าง 2.9 เซนติเมตร หนา 2.7 เซนติเมตร ยาว 2.7 เซนติเมตร สีน้ำตาลอ่อน เนื้อกรอบ สีชมพูเล็กน้อย สีเนื้อเข้มขึ้นเมื่อผลแก่จัด รสหวานจัด กลิ่นหอม ขนาดผลโดยเฉลี่ยของลำไยพันธุ์สีชมพู ใกล้เคียงกับลำไยพันธุ์ดอ โดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักนิยมบริโภคสด
ความจริงยังมีลำใยพันธุ์อื่นๆอีกที่อาจจะถูกลืมกันไป อย่างเช่นพันธุ์กะโหลก ใครมีความรู้ก็สามารถนำมาบอกกล่าวกันได้นะครับ ภาพลำใยต้นแรกของเมืองไทยที่ จ.เชียงใหม่ครับ
ประวัติลำใย
...ในอดีตนั้นพบว่ามีลำไยขึ้นอยู่ทั่วไปในภาคเหนือ มีลักษณะทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ผลเล็กและมีเนื้อน้อย เรียกว่าลำไยพื้นเมืองหรือลำไยกะลา ส่วนลำไยพันธุ์ดีหรือลำไยกะโหลกนั้นได้มีการนำเข้ามาในปี 2439 โดยชาวจีนนำพันธุ์ลำไยมาถวายพระชายาเจ้าดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 5 ต้น ซึ่งต่อมาได้มอบให้เจ้าน้อยคำตั๋น ณ เชียงใหม่ นำไปปลูกบริเวณบ้านสบแม่ข่า หรือบ้านน้ำโท้ง ตำบลสบแม่ข่า อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ติดบริเวณแม่น้ำปิงจำนวน 3 ต้น และได้ปลูกไว้ที่กรุงเทพมหานคร 2 ต้น ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นลำไยที่ปลูกบริเวณตรอกจันทร์ สำหรับลำไยที่ปลูกบริเวณบ้านน้ำโท้งนั้น จากการสังเกตพบว่าน่าจะเป็นต้นพันธุ์ที่เพาะจากเมล็ด เพราะดูจากลักษณะของต้นและการเจริญเติบโตของต้นที่สูงใหญ่ และคาดว่าในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง และพันธุ์ที่นำมาครั้งนั้น คือ พันธุ์เบี้ยวเขียว จากนั้นได้มีการแพร่ขยายการปลูกลำไยไปสู่อำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ – ลำพูน เป็นอย่างมาก คาดว่าบริเวณที่มีการปลูกลำไยกันอย่างหนาแน่น ได้แก่ บริเวณที่ติดกับแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา และแม่น้ำลี้ เป็นต้น เพราะมีความเชื่อว่าลำไยจะเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีดินลักษณะน้ำไหลทรายมูล ซึ่งเป็นดินที่มีการทับถมจากตะกอนก้นแม่น้ำ มีความอุดมสมบูรณ์และสามารถระบายน้ำได้ดี เช่นที่บ้านหนองช้างคืน จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ติดแม่น้ำปิง ลำไยต้นหนึ่งสามารถให้ผลผลิตคิดเป็นรายได้ต่อต้น ราว 10,000 บาท ในปี พ.ศ. 2510 ซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึง “ลำไยต้นหมื่น” และเป็นแหล่งขยายพันธุ์ที่สำคัญ แสดงว่าเดิมแล้วลำไยปลูกกันมากในที่ลุ่มริมแม่น้ำ สามารถให้น้ำลำไยได้อย่างสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันได้มีการนำลำไยปลูกบริเวณที่ดอน (Up Land) เชิงเขามากขึ้น ต้องมีการจัดหาแหล่งน้ำให้แก่ลำไยให้เพียงพอ พื้นที่ปลูกลำไยในจังหวัดเชียงใหม่มีเกือบทุกอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง สารภี หางดง สันป่าตอง จอมทอง ฮอด ดอยหล่อ สันทราย ฯลฯ ส่วนจังหวัดลำพูน ได้แก่ อำเภอเมือง ป่าซาง เวียงหนองล่อง บ้านโฮ่ง ลี้ แม่ทา และทุ่งหัวช้างเป็นต้น
ปัจจุบันต้นลำไยต้นแรกของประเทศไทยที่เหลืออยู่ ในตำบลสบแม่ข่า อยู่ในพื้นที่ครอบครองของ นายคำมูล พิลาสลักษณ์ เจ้าของตลาดน้ำโท้งและกาดสวนเจ้า ซึ่งห่างจากที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลสบแม่ข่า 1 กิโลเมตร ผู้ที่สนใจสามารถเดินทางมาชมได้ตลอดเวลา แต่ทาง อบต.สบแม่ข่า ไม่สามารถปรับปรุงสถานที่ได้ เนื่องจากว่า ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล ทั้งนี้หากท่านต้องการข้อมูลการเดินทาง สามารถดูได้จากแผนที่ตำบลสบแม่ข่า
|
|
|
|
|
singha2527
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 493
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: วันที่ 10 กันยายน 2013, 10:11:35 » |
|
|
|
|
|
numdoitung1
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 181
ไม่หล่อแต่อะหร่อย^^
|
|
« ตอบ #124 เมื่อ: วันที่ 10 กันยายน 2013, 11:43:36 » |
|
มันครืออออออ....บ่าขูดดดดดดดดดด^^
|
4 สิ่งในโลกที่เงินซื้อไม่ได้ “ความรัก” , “เวลา” , “ชีวิต”, และ “มิตรแท้”
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: วันที่ 10 กันยายน 2013, 12:21:52 » |
|
ถั่วะตวมแล้วครับ บ่าขุนครับ
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: วันที่ 11 กันยายน 2013, 12:38:18 » |
|
เห็นในตำราเปิ้นอ้องว่า ส้มซ่าอี้นาครับปลูกไว้ทางทิศเหนือกับไม้มงคลอีกสองชนิดจะดีเป็นสิริมงคล
ทิศเหนือ (อุดร) มี 3 ชนิด คือ มะเดื่ออุทุมพร : ปลูกแล้ว เชื่อว่าทำให้เกิดความเจริญ
ส้มป่อย : การปลูกส้มป่อย เชื่อว่าจะช่วยปลดปล่อยทุกข์โศกโรคภัย
ส้มซ่า : ปลูกโดยใช้เมล็ดหรือตอนกิ่ง เชื่อว่าแก้เคล็ดให้บุตรหลานมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วเมือง
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2013, 11:56:56 » |
|
ม่ะแขว่น ใส่ลาบ กับแก๋งผักกาดใส่ไก่ หอมขื่น
หน้าตานี้อาจจะไม่คุ้นต้องแบบนี้
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2013, 12:29:43 » |
|
เก็ดตวาปูจาธรรม
ชื่อล้านนา
ดอกเก็ดถะหวา
ชื่อไทย
ดอกพุดซ้อน
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ ๑-๒ เมตร แตกกิ่งแขนงมาก ลำต้นเรียวเป็นรูปกรวย
ใบ
ใบเดี่ยว รูปหอก ปลายใบและโคนใบแหลม ใบมีสีเขียวมน
ดอก
ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีขาวออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยงหนาเป็นสัน มีทั้งชนิดดอกลาคือกลีบดอกชั้นเดียวและชนิดดอกซ้อนมีกลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนกัน เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๗-๘ ซม. กลิ่นหอมแรง ออกดอกตลอดปี
ผล
ปลายผลจะแหลมและโค้ง เมื่อผลแก่จัดจะแตกเป็น ๒ ซีก
การใช้งานด้านภูมิทัศน์
ปลูกประดับสวน
ประโยชน์
เนื้อหุ้มเมล็ดใช้ทำสีผสมอาหารได้ให้สีเหลืองเนื้อไม้ใช้ทำกรอบรูป ทำหัวน้ำหอม น้ำจากต้นใช้เป็นยาขับพยาธิ รากแก้ไข้ ท้องอืดเฟ้อ เนื้อไม้ใช้ เป็นยาเย็น ลดพิษไข้
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: วันที่ 18 กันยายน 2013, 22:02:57 » |
|
พรุ่งนี้สิบสองเป็งดอกเก็ดตวาก่อเอาไปบูชาพระได้เน้อ คั่นเวลาซักหน่อยเน๊าะคืนนี้
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: วันที่ 19 กันยายน 2013, 12:29:10 » |
|
มะตอนวันนี้ต้องเสนอนี่เลย ทะแดนนน!!! ผักเฮือด
ลักษณะ : ผักเฮือดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ และเป็นไม้ผลัดใบ ลำต้นสูง ยาว 15 เมตรในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมจะทิ้งใบหมดและในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมจะผลิใบใหม่ ใบอ่อนสีชมพู หรือชมพูอมเขียว ใบอ่อนแลดูใสแวววาวไปทั้งต้น และมีปลอกหุ้มใบในระยะเริ่มแรกพอเจริญเต็มที่ใบอ่อนกลายเป็นใบแก่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกแบบสลับสีเขียว รูปรีหรือรูปไข่ปนขอบขนาน ปลายใบมนฟู ขอบใบเรียว ผิวใบมันกว้าง 6-7 ซม. ยาว 7-18 ซม. มีหูใบขนาดเล็ก ดอกเป็นช่อ เส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 0.4-0.6 ซม. ก้านใบสั้น ออกจากซอกใบ ผลอ่อนสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสี ชมพูแดงม่วง หรือดำ เมื่อแก่เต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม.ผักเฮือด
สรรพคุณ : เปลือก ใช้เปลือกของต้นผักเฮือดประมาณครึ่ง ถึงหนึ่งฝ่ามือสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มดื่มแก้ปวดท้อง
วิธีใช้ในการประกอบอาหาร : ยอดอ่อน ใบอ่อน กินเป็นผักสด หรือนำไปลวก นึ่ง ลวกกับนํ้ากะทิ ผักจิ้มกับนํ้าพริก วิธีที่สอง นำยอดอ่อน ใบอ่อนไปปรุงเป็นอาหารพื้นเมือง ชาวเหนือนิยมนำไปแกงกับซี่โครงหมู แกงกับปลา หรือนำไปปรุงเป็นยำผักเฮือด ชาวบ้านนำไปแกงเผ็ด แกงกะทิ หรือ ต้มกะทิปลาเค็ม ส่วนชาวอีสานบางท้องที่นำไปแกงเช่นกัน
คุณค่าทางอาหาร : ยอดผักเฮือดมีรสเปรี้ยวมัน ยอดผักเฮือด100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 39 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยเส้นใย 1.5 กรัม แคลเซียม 55 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 84 มิลลิกรัม เหล็ก 2.1 มิลลิกรัมวิตามินเอ 6,375 IU. วิตามินบี1 0.01 มิลลิกรัม ไนอะซีน 0.8 มิลลิกรัม วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: วันที่ 20 กันยายน 2013, 20:59:24 » |
|
ผักปลัง ผักปลังเป็นไม้เลื้อย มีลำต้นกลมเป็นสีเขียวหรือสีม่วงแดง อวบน้ำ ไม่มีขนและสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้มาก ใบ ผักปลังมีใบลักษณะมัน รูปร่างกลมหรือเป็นรูปไข่เรียงสลับกัน แผ่นใบอวบน้ำ ขนาดใบกว้าง 2-6 เซนติเมตร และยาว 2.4 – 7.5 เซนติเมตร เถา มีลักษณะอวบน้ำและยาวได้หลายเมตรสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้มาก นอกจากใบและยอดของเถาที่นำมาปรุงกิน ก็ยังมีดอกผักปลังที่มีสีขาวหรือชมพูม่วง ไม่มีก้านดอกดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นท่อ ตรงปลายแยกเป็นแฉก ผล ผักปลังมีผลสีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมดำเมื่อแก่ เนื้อผลนิ่ม ภายในผลมีน้ำสีม่วงดำหรือสีขาวการปลูกและขยายพันธุ์ ผักปลังเป็นพืชที่ปลูกง่ายเช่นเดียวกับผักพื้นบ้านทั่วไป ออกยอดเกือบตลอดปี ชาวบ้านภาคอีสานและภาคเหนือมักนำไปปลูกบริเวณรั้วบ้านเพื่อให้เถาผักปลังเลื้อยขึ้นตามรั้ว ผักปลังขยายพันธุ์ได้ 2 วิธีคือ การเพาะเมล็ดและการชำกิ่งแก่การเพาะเมล็ดทำได้โดยนำเมล็ดแก่ไปตากแห้งแล้วนำไปชำในถุงพลาสติกหรือกระถาง รอจนเกิดต้นอ่อนแล้วนำไปปลูกตามริวรั้วหรือสร้างค้างให้เลื้อยเนื่องจากเป็นพืชอุ้มน้ำจึงนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝนหรือในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|