สนับสนุนอีกเสียงครับ
เอาข้อมูลมาฝากครับ จากเกษตรพอเพียง.คอม แต่...ยาวหน่อยนะครับ
ความเห็นที่1ปลูกอยุ่เหมือนกันค่ะ ลองเล็กๆก่อนค่ะ อย่าเพิ่งใช้แบบระบบหมุนเวียน ที่จริงถ้ามีพื้นที่แนะนำให้ใช้แบบจุ่มปุ๋ยปลูกเลยค่ะ ซื้อกะละมังหรือกล่องโฟมมา ซื้อแผ่นโฟมมา ซื้อกระถางอันเล็ก 2 -3 นิ้ว หรือขวดน้ำขวดชามาตัดครึ่ง ซื้อแผ่นซองน้ำมาใช้ ใช้ซ้ำได้ค่ะ (โดยการนึ่ง) ซื้อปุ๋ย a b แบบผงมานะค่ะ เริ่มจากปลูกผักกินใบก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวทำเป็นเองค่ะ
พอชำนาญแล้วค่อย ตั้งอุปกรณ์เอง อาจซื้อปั๊มน้ำตู้ปลาเพิ่ม ลองดูค่ะ
ขั้นตอน
1 เพาะเมล้ดในกระดาษทิชชู่
2 เมื่อเมล็ดมีรากงอก ก็เอามาใส่ฟองน้ำ ให้ส่วนบนที่จะมีใบโผล่เหลือฟองน้ำ
3 เอาฟองน้ำที่ได้จากข้อ 2 ไปแช่ในน้ำที่มีน้ำปุ๋ย a b อย่างละ 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร
4 รอให้เมล็ดมีรากงอกยาวถึงก้นฝองน้ำ และมีใบเลี้ยง และต้นแข็งแรกแล้ว
5 นำฟองน้ำดังกล่าวไปใส่กระถางปลูก ให้รากงอกออกมานอกกระถาง
6 นำกระถางไปใส่ในช่องที่เจาะรูโฟม ครอบเหนือกะละมัง ที่มีน้ำปุ๋ย a b อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำ
(อาจใส่ a b อย่างละ 1 ซีซี ถึง อย่างละ 5 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร ) นำออกแดด
7 คอยเติมปุ๋ย a b ถ้าผักใบเหลือง และคอยเติมน้ำถ้าน้ำลดลงมาก
8 เมื่อรากยาวมาก ให้ลดระดับน้ำในกะละมังให้ต่ำลง ให้มีรากโผล่เหลือน้ำ 1 ใน 3
9 มีตะกอน ไม่ต้องตกใจค่ะ
10 ถ้ามีตะกอน อาจเกิดจาก ใส่ต้นไม้ต่อกะละมังมากเกินไป
11 ถ้ามีตะกอนอาจเกิดจาก ปุ๋ย a b จับตัวกัน แก้โดย ใส่ a b ให้ห่างกันซัก 4 ชั่วโมง ที่พืชออกแดด
12 ส่วนใหญ่ตะกอนเกิดจาก ใส่ต้นไม้มากเกินไปต่อกะละมัง
13 ปุ๋ยไม่จำเป็นต้องใส่ตามสูตรที่ร้านค้าให้มาค่ะ ลองทดลองดูค่ะ
14 ถ้าจะทำขายทีละเยอะๆ หรือปลูกพืชที่มีผล ต้องซื้อปุ๋ยมาผสมเอง และต้องมี pH meter และ EC meter สองตัวนี้ใช้ไม่ยาก
เอาของจีนก็ได้ค่ะ ตัวละพันกว่าบาท
15 ต้องลองดูค่ะ แล้วเก่งแน่ๆค่ะ
16 ข้อดีของวิธีนี้คือไม่ต้องใช้ดินค่ะ และใช้น้ำในการปลูกน้อย ไม่ต้องตื่นมาลดน้ำ ไม่ต้องดูแลมากค่ะ ไม่ต้องขุดดินให้เหนื่อยด้วยค่ะ
ความเห็นที่2ส่วนใหญ่ผักที่ปลูกโดยระบบไฮโดรฯ จะเป็นผักที่มีราคาค่อนข้างสูงและปลูกลงดินไม่ได้ครับเช่นสลัด คอส เรดโอ๊คฯ
กิโลละ 2-3 ร้อยขึ้นไป เพราะว่าต้นทุนแพงมากทั้งโรงเรือน ปุ่ย น้ำ ไฟ ยิ่งโรงเรือนแบบปิด ที่ต้องใช้พัดลมระบายอากาศ
เจอค่าไฟต่อเดือนเข้าไปแทบหงายหลังเลยล่ะครับ
ตลาดที่หากันก็กลุ่มคนมีมีกำลังซื้อสูงๆ เช่นร้านอาหารต่างชาติ ห้างใหญ่ๆ
ถ้าจะปลูกมาขายตลาดนัดหมู่บ้านกำละสามบาท ห้าบาท ผมว่าปลูกลงดินมาขายดีกว่า
แต่หน้าแล้งผลิตกันไม่พอขายตลอด ต้องตัดออร์เดอร์ลูกค้าทุกๆปี เพราะว่ามันทำยาก
น้ำร้อนนิดหน่อยก็ไม่ค่อยโตแล้ว
ความเห็นที่3จากการอบรม 2 วัน ที่ ม.เกษตร บางเขน นะครับ
คุณภาพผักดีกว่าท้องตลาดมาก ความต้องการจึงสูง
แต่.....
ราคาอุปกรณ์การปลูกสูง ทำให้ต้นทุนสูง ราคาขายสูง(ต้องหาสิ่งทดแทน)
ราคาน้ำยาปลูก ไม่ใช่สัดส่วนสำคัญในต้นทุนการปลูก (ต้นละ 30-50สตางค์ ต่อผักสลัดอายุ25วัน)
ผักไฮโดรฯไม่ทนต่อการขนส่ง กล่องโฟม1ใบ ราคา 75บาท ใส่ได้ 10-12ต้น แถมอัดไม่ได้ เพราะตัวผักเองมีไฟเบอร์ต่ำ จึงหวานกรอบ ไม่เหนียว ไม่แข็ง ทำให้ต้นทุนถึงผู้บริโภคสูง กว่าราคาของตัวผักเองเสียอีก
และเป็นอุปสรรค์สำคัญในการส่งไปขาย สิงคโปร์ ซึ่งมีความต้องการมาก (เสร็จ มาเลย์)
รสนิยมของคนกิน(ทั่วไป)
ยอมรับในรสชาด คุณภาพ แต่ไม่ยอมรับราคา
และยังไม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพที่ดีกว่า เมื่อต้องจ่ายแพงขึ้น
ตลาดคนรวยที่ยอมสู้ราคา ยังเล็กมาก จึงมีการทุบหัวผู้ปลูกเป็นระยะๆ โดยเฉพาะฤดูหนาว
ที่ผลผลิตต่อรางเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ (รางเดิมแต่ผักโตเร็วขึ้น)
ตลาดรับซื้อมีที่ 4มุมเมือง ตลาดไท โลตัส บิ๊กซี(ระบบคล้ายๆคอนแทร็กฟาร์มิ่ง)
หรือเปิดร้านเอง(ทำกระเช้าสลัด)
หนีไปทำไฮโดรฯแตงโม หรือ แคนตาลูปซิครับ ราคาค่อยดีหน่อยแต่อาศัยความรู้มากหน่อย
ความเห็นที่4ต้องแยกให้ออกนะครับว่าไฮโดรฯกับผักปลอดสาร คนละแบบกัน
เห็นราชภัฏ ที่บ้านเขาปลูกส่งโลตัส ครับ
แต่ถามว่าผมอยากซื้อผักไฮโดรฯกินไหม
ก็คงตอบว่าไม่ ครับ
เพราะถ้าใครลองปลูก ก็จะรู้ว่าสารเคมีล้วนๆ + น้ำ
ที่นี้ประเด็นมันอยู่ที่ตรงที่ว่า เพื่อลดสารเคมี ก่อนจะเก็บขายจะต้องปล่อยให้ผักดูดน้ำที่ไม่มี สารเคมี (A+B) ก่อน อย่างน้อย 3 วัน จึงจะปลอดภัยในการบริโภค จริงๆ
แต่การงด สารเคมี 3 วัน อาจทำให้ผักไม่สวย
ในมุมมอง ของผม(ผู้บริโภค) ทำไมต้องไปรับความเสี่ยงว่า ผู้ปลูก จะงดสารเคมี ก่อน 3 วันหรือไม่ ครับ
และอย่างที่ ความเห็นด้านบนว่าไว้ ครับ การทำการเกษตร ไม่รวย เมื่อเทียบกับคนขาย ครับ
ลองศึกษา Aquaponics ดูครับ อันนี้ ไร้สารเคมีจริงๆ
ผมกำลังทดลองนำร่องอยู่ครับ ยังไม่เห็นผล จึงไม่กล้านำเสนอ ครับ
ไว้ได้ผลสรุปแล้วจะบอกครับ
ความเห็นที่5ที่ส่งมีเยอะครับ แต่ราคาจะไม่เยอะตามที่ผู้ปลูกต้องการ
ถ้าอยากได้ราคาตามต้องการ ก็ต้องขายเองครับ
แล้วก็ยังมีพ่อค้าที่รับซื้อแล้วไปส่งตามร้านอาหารก็เยอะ การแข่งขันเรื่องราคาก็สูง
ช่วงหน้าร้อนผักสลัดออกน้อยราคาก็สูงหน่อย แต่ถ้าอากาศเย็น สลัดออกมากราคาก็ถูกมากจนน่าตกใจ
ไปขายตามตลาดนัดของกระทรวง กรม กองหรือหน่วยงานต่างๆ
พ่อค้า แม่ค้าจะรู้ดีว่า วันไหนเป็นตลาดนัดของหน่วยงานใด
และหน่วยงานใดจะจัดตลาดนัดในวันใด
ความเห็นที่6(สุดท้ายแล้วนะ )ถ้าตั้งราคาสูงเกิน 100 บาทต่อกิโลกรัม จะไม่สามารถขายในราคาส่งได้ เนื่องจากพวกพ่อค้าแม่ค้าที่จะรับซื้อเข้าไม่สามารถบวกเอากำไรได้ เพราะเค้าจะต้องนำ้้้้้้ต้นทุนไปคูณ 2 เท่าจึงจะได้ราคาที่เข้าจะขาย
เช่นถ้าส่ง 100 บาทเมื่อคูณ 2แล้วจะเท่ากับ 200 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่ไม่สามารถขายได้
พวกพ่อค้าแม่ค้าจึงจะรับซื้อที่ 60-65 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อคูณ 2 แล้วจะได้ประมาณ 120-130 บาท เป็นราคาที่เห็นตามตลาดทั่วไป
อันนี้ก็ต้องเข้าใจพ่อค้าแม่ค้าด้วยว่าเมื่อรับผักไปมากๆ แล้วบางทีขายไม่หมด ช้ำ เน่า เีสียหาย ซึ่งมันเป็นข้อจำกัดของผักไฮโดรอยู่ตลอด (ถึงแม้บางครั้งจะรับไม่ค่อยได้กลับราคาที่เค้านำไปขายต่อก็จริง)
ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาให้เห็นสภาพตลาดที่แท้จริงของตลาดผักสลัด ดังนั้นหากต้องการได้ราคาที่สูง จำเป็นต้องขายเอง เปิดตลาดเอง เช่นนำไปตัวอย่างผักอย่างละต้นสองต้นใส่ตระกร้าไปเสนอตามร้านอาหารที่เป็นอาหารต่างประเทศ เช่นร้านสเต็ก ร้านสลัด เป็นต้น อีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถนำไปเสนอขายได้ก็แม่ค้าที่ขายสลัดตักเป็นถุงๆ ตามตลาดนัด อาจจะได้ปริมาณไม่มาก แต่มันก็ได้เรื่อยๆ
ต้องลองดูครับ สู้ๆ แรกๆ อาจต้องทำโปรโมชั่นแจกเยอะหน่อย แล้วพอเริ่มอยู่ตัวละก็จะรู้ควรปลูกสัปดาห์ละกี่กิโลเพื่อไม่ให้มีของเหลือ
ปล. ยาวไปหน่อยนะครับ เพราะผมก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ปล. 2 ต้องขออภัยพ่อค้าแม่ค้าผักสลัดด้วยนะครับที่อาจมีการพาดพิ่งไปถึงบ้าง