ต้องถามตัวเองก่อนล่ะครับ ว่าต้องการปลูกเพื่อกินหรือเพื่อขาย ตอนนี้ลูกไฮบริทยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะไม่นิยมบริโภคกินกัน ข้าวซีพี 304 ปรับปรุงสายพันธุ์จากสุพรรณ 1 แน่นอนว่าคนทางเหนือเราไม่นิยมกินกัน บ้านเราส่วนใหญ่จะกิน กข.15 มะลิ 105 กข.6 และตามร้านอาหารบางทีก็ใช้ข้าวขาวนาปรังที่มีราคาถูกกว่า
ข้าวไฮบริทเป็นที่รู้ ๆ กันว่าไม่สามารถเพาะพันธุ์เมล็ดเองได้เพราะผ่านกระบวนการทำให้เป็นหมันคนที่ปลูกก็ต้องซื้อพันธุ์ข้าวไปตลอดเสี่ยงต่อการยึดครองตลาดเมล็ดพันธุ์เหมือนข้าวโพด ตอนนี้ประเทศไทยยังไม่วิกฤติถึงจะต้องปลูกข้าวไฮบริทกินกันเพราะมีปริมาณข้าวเหลือมากกว่าครึ่งสำหรับส่งออกต่างประเทศ ต่างกับประเทศจีนที่บางปีข้าวไม่พอกินจึงต้องมีการปลูกข้าวไฮบริทครึ่งค่อนประเทศเพื่อเลี้ยงประชากรให้ได้ แม้ว่าข้าวซีพี304 จะมีการโฆษณาว่าให้ผลผลิตต่อไร่สูง 1 ตัน/ไร่ แต่ข้าวพิษโลก2 กข.41 กข.47 ก็ทำให้ 1 ตัน/ไร่ได้ไม่ยากเช่นกัน ราคาข้าวพันธุ์ก็ถูกกว่ากันมากหลายเท่าตัว ถ้าคุณทำนาหว่านในช่วงนาปรังคุณก็ต้องซื้อข้าวพันธุ์ไม่ต่ำกว่า 3000 บาททั้งที่คนอื่น ๆ ใช้ข้าวพันธุ์ราคาแค่ 650-800 บาท และหากทำนาดำคุณต้องใช้เงิน 1500 สำหรับข้าวพันธุ์นี้แต่คนอื่นใช้แค่ 250 บาทเท่านั้นเอง
ตอนนี้ประเทศไทยมีพื้นที่ทำนาปีนาปรัง 65 ล้านไร่ ผลผลิตที่ได้ 36 ล้านตัน ส่งออก 10 กว่าล้านตัน หากลดพื้นที่ปลูกเหลือ 25 ล้านไร่อย่างเจ้าสัวซีพีว่าโดยใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีอยู่เดิมจะทำให้ผลผลิตข้าวไทยลดลงเหลือ 13 ล้านตันก็ถึงคราววิกฤติที่คนไทยจะต้องหันมาปลูกข้าวไฮบริทที่ว่า ตอนนี้ ซีพี ก็เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ตัวนี้อยู่อย่างน้อยประเทศไทยต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่ราว ๆ 6 แสนตัน/ปี แบ่งสัดส่วนการตลาดอย่างน้อยแค่ 1 แสนตันต่อปีเท่ากับว่า บริษัทนี้จะมีรายได้ค่าเมล็ดพันธุ์ปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท ว่ากันแล้วอย่างกรมการข้าวตอนนี้ก็ไม่มีศักยภาพพอที่จะผลิตข้าวลูกผสมให้ได้ 6 แสนตันต่อปีคงต้องพึ่งเอกชนซะส่วนใหญ่ กลับมาที่หากพื้นที่ข้าวลดลงและหันไปส่งเสริมปลูกยางพาราและปาล์มแทนเข้าของตลาดพันธุ์พืชพวกนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
ผมมีบทสรุปของการวิจัย
“ไบโอไทย” เปิดผลศึกษาวิเคราะห์ปัญหาพันธุ์ข้าวลูกผสมของเครือซีพี ชี้ผลผลิตไม่ได้เพิ่มสูงดังคำโฆษณา แถมคุณภาพข้าวต่ำกว่า ชาวนาต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงขึ้น เผยบริษัทยักษ์ใหญ่เดินเกมผลักดันเชิงนโยบายให้สภาพัฒน์ - กระทรวงเกษตรฯ - ธ.ก.ส. เกื้อหนุนธุรกิจของบริษัทเพื่อครอบครองตลาดพันธุ์ข้าวลูกผสมอย่างแยบยล ซึ่งมีผลต่อการผันเปลี่ยนชีวิตและชะตากรรมของชาวนาไทยในอนาคต
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ และ จักรกฤษณ์ พูลสวัสดิ์กิติกุล นักวิจัย มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย - BioThai) แถลงผลการศึกษา “รายงานวิเคราะห์ปัญหาของพันธุ์ข้าวลูกผสม ศึกษากรณีพันธุ์ข้าวลูกผสมของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์” ซึ่งใช้เวลาระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2551 สำรวจผลผลิตของการปลูกข้าวลูกผสมโดยลงพื้นที่เก็บข้อมูล สัมภาษณ์เกษตรกร ศึกษาสมุดบันทึกรายละเอียดการปลูกข้าวลูกผสมซึ่งเป็นคู่มือที่บริษัทใช้ติดตามงานของทีมส่งเสริมของบริษัทในพื้นที่ โดยได้สุ่มคัดเลือกชาวนาที่ปลูกข้าวลูกผสมของซีพีรวม 9 ราย ที่ปลูกข้าวนาปรังในฤดูการผลิต 2550-2551 ในจังหวัดกำแพงเพชร และอุตรดิษฐ์
จากการวิจัยภาคสนาม พบตัวเลขของผลผลิต ต้นทุนการผลิตต่างๆ โดยสรุปได้ว่า ผลผลิตเฉลี่ยของชาวนาที่ปลูกข้าวลูกผสมจะได้ผลผลิตเฉลี่ย 958 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตที่อ้างโดยซีพีในการแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์หลายครั้งที่บอกว่าข้าวลูกผสมของซีพีสามารถให้ผลผลิตสูงถึง 1,500 กิโลกรัม/ไร่ จะพบว่าผลผลิตที่ได้ในทางปฏิบัตินั้น ต่ำกว่าที่ซีพีโฆษณาถึง 36% ในขณะเดียวกัน การศึกษาในพื้นที่พบว่าต้นทุนการผลิตข้าวลูกผสมนั้นสูงเฉลี่ย 4,462 บาท/ไร่ โดยสัดส่วนของค่าเมล็ดพันธุ์และปักดำนั้นสูงถึงร้อยละ 38 ของต้นทุนการทำนาทั้งหมด
ผลการศึกษาครั้งนี้ คณะผู้วิจัย ได้วิเคราะห์ประโยชน์ของข้าวลูกผสมตกอยู่ที่บริษัท แต่ผลกระทบตกอยู่ที่เกษตรกรและภาคเกษตรกรรมไทยโดยรวม กล่าวคือ
*** 1) ผลผลิตของข้าวลูกผสมสูงกว่าผลผลิตข้าวทั่วไปเล็กน้อยไม่คุ้มค่ากับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
จากผลการศึกษา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผลผลิตข้าวลูกผสมเมื่อเปรียบเทียบกับข้าวทั่วไป ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมเดียวกัน(โดยไม่คิดการเพิ่มขึ้นของปุ๋ยเคมี และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช) จะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15 % กล่าวคือผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวนาที่ทำการศึกษานั้นมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 810 กิโลกรัม/ไร่ ในขณะที่ผลผลิตข้าวลูกผสมของซีพีนั้นสูงกว่า โดยได้ผลผลิตเฉลี่ย 958 กิโลกรัม/ไร่
อย่างไรก็ตามผลผลิตข้าวที่สูงขึ้นนั้น ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนที่เกษตรกรต้องจ่ายเพิ่มขึ้น โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเมล็ดพันธุ์และปักดำซึ่งสูงถึง 1,700 บาท/ไร่ ไม่ว่าเกษตรกรจะเลือกวิธีการปลูกโดยการหว่านเมล็ดหรือปักดำก็ตาม (ในขณะที่ต้นทุนการทำนาโดยทั่วไปค่าใช้จ่ายสำหรับเมล็ดพันธุ์นั้นอยู่ที่ 300 บาท/ไร่ เท่านั้น) สัดส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับเมล็ดพันธุ์นั้นมีสัดส่วนสูงเกือบ 40% ของต้นทุนการทำนาทั้งหมด
นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายด้านเมล็ดพันธุ์แล้ว ชาวนาส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการปลูกข้าวลูกผสมยังต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับค่าปุ๋ยเคมี สารเคมีการเกษตร และผลิตภัณฑ์อื่นๆเพิ่มเติมมากกว่าการปลูกข้าวทั่วไปอีกด้วย
จากการเปรียบเทียบการปลูกข้าวลูกผสมในปีการผลิต 2551 กับการปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลก 2 และสุพรรณ 4 ของชาวนาใน ต. พญาแมน อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิษฐ์ ในปีการผลิต 2550 พบว่าต้นทุนในการทำนาข้าวลูกผสมสูงกว่าเกือบ 2 เท่าตัว และได้ผลกำไรน้อยกว่ามาก
กล่าวคือ แปลงนาที่ปลูกข้าวลูกผสม มีต้นทุนต่อไร่ ดังนี้ ค่าพันธุ์ 1,500 บาท เตรียมพื้นที่ 360 บาท สูบน้ำ 200 บาท ปุ๋ย 850 บาท สารเคมี 600 บาท ค่าแรง 200 บาท เก็บเกี่ยว 400 บาท ขนส่ง 100 บาท รวม 4,210 บาท ได้ผลผลิตต่อไร่ 980 กก. รายได้ต่อไร่ 5,684 บาท รายได้สุทธิ 1,474 บาท
ส่วนแปลงนาที่ปลูกข้าวทั่วไป มีต้นทุนต่อไร่ ดังนี้ ค่าพันธุ์ 300 บาท เตรียมพื้นที่ 360 บาท สูบน้ำ 200 บาท ปุ๋ย 425 บาท สารเคมี 300 บาท ค่าแรง 200 บาท เก็บเกี่ยว 400 บาท รวม 2,285 บาท ผลผลิตต่อไร่ 800 ก.ก. รายได้ต่อไร่ 4,640 บาท รายได้สุทธิ 2,355 บาท/ไร่
จากการสอบถามชาวนาในพื้นที่พบว่าประมาณ 20-30% ของชาวนาจะเลิกการปลูกข้าวลูกผสม โดยเหตุผลส่วนใหญ่คือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและต้องดูแลตามขั้นตอนต่างๆที่บริษัทกำหนด ในขณะที่ชาวนาส่วนที่เหลือยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะปลูกข้าวลูกผสมต่อไปหรือหันกลับไปปลูกพันธุ์ข้าวแบบเดิม โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ราคาข้าว ราคาของปัจจัยการผลิตต่างๆ เป็นต้น
*** 2) คุณภาพของข้าวลูกผสมต่ำกว่าข้าวสายพันธุ์อื่นๆ
มีเกษตรกรหลายรายในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร ได้นำข้าวลูกผสมซีพี 304 ไปสีและหุงรับประทาน พบว่า เป็นข้าวที่มีคุณภาพต่ำมาก กล่าวคือแข็งและรับประทานไม่อร่อย ตรงกับข้อสรุปของกรมการข้าวของไทย ที่ได้ข้อสรุปว่า ข้าวลูกผสมเท่าที่มีการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยนั้นเป็นข้าวคุณภาพต่ำ เหมาะกับการเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น แนะนำให้ใช้สำหรับการแปรรูปในอุตสาหกรรมต่างๆ หรือการผลิตเอธานอล เป็นต้น ซีพีเองที่รับซื้อผลผลิตข้าวลูกผสมจากเกษตรกรก็นำไปแปรรูปเป็นข้าวนึ่ง ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพต่ำ ตลาดส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแอฟริกา
ปัญหาข้าวลูกผสมจะเป็นปัญหาสำหรับทั้งต่อเกษตรกรและต่อตลาดข้าวของไทยในอนาคต เนื่องจากในขณะนี้เกษตรกรขายข้าวลูกผสมในราคาข้าวทั่วไป แต่ในระยะยาวเมื่อมีการปลูกข้าวลูกผสมมากขึ้น ข้าวคุณภาพต่ำเหล่านี้จะมีราคาต่ำกว่าข้าวทั่วไป
ที่สำคัญคือเมื่อข้าวลูกผสมเหล่านี้ผสมปนกับข้าวขาวทั่วไปของไทยโดยไม่แยกแยะเป็นชั้นพันธุ์ข้าวอีกระดับหนึ่ง จะส่งผลให้คุณภาพข้าวจากประเทศไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตลาดข้าวคุณภาพดีได้รับผลกระทบ สร้างความเสียหายให้กับตลาดข้าวทั้งหมดในที่สุด
*** 3) การผูกขาดเมล็ดพันธุ์โดยบริษัทยักษ์ใหญ่การเกษตรและบรรษัทข้ามชาติในระยะยาว
ข้าวลูกผสมเป็นพันธุ์ข้าวที่ชาวนาไม่สามารถเก็บรักษาพันธุ์ไปปลูกต่อได้เหมือนพันธุ์ข้าวแบบผสมเปิด(open pollinated seed) ทั่วไป ชาวนาจะต้องซื้อพันธุ์ข้าวซึ่งมีราคาแพงจากบริษัทในทุกฤดูการผลิต เป็นการผลักดันให้เกษตรกรต้องพึ่งพาบริษัทในท้ายที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วไปถูกแทนที่ด้วยพันธุ์ข้าวลูกผสมทั้งหมด โดยที่ภาครัฐไม่สามารถดำเนินการเพื่อคานอำนาจการผูกขาดบริษัทได้ เนื่องจากการผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมนั้นมีความยุ่งยาก และต้องอาศัยการจัดการที่มีประสิทธิภาพเกินกว่าที่ระบบราชการไทยจะดำเนินการได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ลำพังแม้แต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วไปซึ่งมีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณ 1 ล้านตันต่อปีนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้เพียง 60,00-70,000 ตันต่อปีเท่านั้น
บทเรียนจากการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดลูกผสม น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของไทย เพราะในที่สุดแล้ว ข้าวโพดลูกผสมคุณภาพดีสุวรรณ 1 ได้ถูกยึดครองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่การเกษตรและบรรษัทข้ามชาติแทบทั้งหมด ตลาดข้าวโพดถูกผูกขาด เมล็ดพันธุ์มีราคาแพง จนเกษตรกรต้องร้องเรียนต่อกรมการค้าภายในอยู่เนืองๆ
นอกเหนือจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์แล้ว บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ยังมีชื่อเสียงในการดำเนินการระบบการผลิตการเกษตรแบบพันธสัญญา (Contract Farming) ซึ่งนอกจากการขายเมล็ดพันธุ์แล้ว ยังรวมไปถึงปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี สารเคมีการเกษตร และบริการอื่นๆ เช่น การให้บริการดำนา เก็บเกี่ยว รวมถึงการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรด้วย ในแง่นี้ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะเข้ามามีบทบาทครอบงำการผลิตและการตลาดข้าวของประเทศ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในสาขาการผลิตกุ้ง ไก่ หรือการเลี้ยงปลาทับทิม
สิ่งที่สังคมควรตระหนักก็คือ ประเทศไทยนั้นเป็นดินแดนที่มีการปลูกข้าวมาช้านาน มีความหลากหลายของพันธุ์ข้าวซึ่งเกิดจากชุมชนชาวนาได้คัดเลือกปรับปรุงมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้ผลผลิตข้าวพื้นบ้านต่อไร่จะไม่สูงนักแต่ก็เป็นข้าวคุณภาพดี ตอบสนองต่อการบริโภคภายในประเทศ และเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ การปล่อยให้บรรษัทยึดครองเมล็ดพันธุ์ข้าว จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและความมั่นคงทางอาหารของประเทศในที่สุด
*** 4) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อบริษัทการเกษตร
ที่จริงแล้วกรมการข้าวของไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุนหรือส่งเสริมข้าวลูกผสมในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่าคุณภาพของข้าวชนิดนี้สู้ข้าวทั่วไปไม่ได้ และปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนความยุ่งยากในการผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยบทบาทของกรมเกี่ยวกับข้าวลูกผสมนั้น เป็นการวิจัยเพื่อให้เท่าทันการพัฒนาเทคโนโลยีในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเพื่อเป็นการเตรียมการในกรณีที่เกษตรกรให้การยอมรับข้าวลูกผสมในอนาคต เพื่อที่จะสร้างทางเลือกให้กับเกษตรกรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์วิกฤติเรื่องอาหาร-วิกฤติพลังงานนั้น นายธนินทร์ เจียรวรานนท์ ประธานบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ได้เสนอความคิดที่จะให้มีการลดพื้นที่ปลูกข้าวจาก 62 ล้านไร่ ให้เหลือ 25 ล้านไร่ และที่เหลือให้ใช้สำหรับการปลูกยางอีก 30 ล้านไร่ และปลูกปาล์มเพิ่มอีก 12 ล้านไร่ ทั้งนี้โดยเสนอให้รัฐบาลใช้พันธุ์ข้าวที่มีผลผลิตสูงเพื่อทดแทนพื้นที่ปลูกข้าวที่ลดลง โดยสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวเท่ากับพื้นที่ปลูกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็คือการเสนอให้ปลูกข้าวลูกผสมของตนนั่นเอง
ข้อเสนอของประธานบริษัทซีพี ได้รับการขานรับจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของไทย รวมทั้งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ซึ่งอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของกรมการข้าวและนโยบายของรัฐบาลภายในระยะเวลาไม่นาน
ดังเป็นที่ทราบกันว่า ซีพีมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสถาบันต่างๆอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ทหาร ข้าราชการระดับสูง สถาบันการศึกษา ฯลฯ เพราะแม้แต่ภริยาของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็เป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของซีพี รายการทีวีเกี่ยวกับอาหารของนายสมัคร สุนทรเวช ก็มีบริษัทนี้เป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการ
จากการสำรวจข้อมูลในพื้นที่ พบว่า กลไกของรัฐในระดับพื้นที่ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในระดับจังหวัด ได้ชักชวนให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการปลูกข้าวลูกผสมโดยหลายๆวิธีการ เช่น เป็นเงื่อนไขในการอนุมัติเงินกู้ของธนาคาร นำพันธุ์ข้าวลูกผสมพร้อมกับปุ๋ยเคมีและปัจจัยการผลิตไปแจกจ่ายแก่เกษตรกรดีเด่นระดับจังหวัด โดยทำหน้าที่เสมือนเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
ไม่น่าแปลกใจที่กลไกของรัฐได้ทำหน้าที่สนับสนุนการส่งเสริมข้าวลูกผสมอย่างแข็งขันขนาดนี้ ทั้งนี้เนื่องจาก นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหลายสมัยติดต่อกัน
แม้จากการวิเคราะห์และการศึกษาในพื้นที่จริงพบว่า ข้าวลูกผสมไม่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและมีผลกระทบต่อตลาดข้าวของไทย แต่อิทธิพลของซีพีในแวดวงการเกษตรและการเมือง รวมทั้งกลไกของรัฐในระดับท้องถิ่นนั้น มีโอกาสที่นโยบายเรื่องการปลูกข้าวของประเทศไทยจะเปลี่ยนไป โดยหันไปสนับสนุนส่งเสริมข้าวลูกผสมมากขึ้น และผลักดันให้เกษตกรเปลี่ยนวิถีการปลูกข้าวสายพันธุ์ทั่วไปมาเป็นสายพันธุ์ข้าวลูกผสมของซีพี ทั้งๆที่ผลประโยชน์จากการผลักดันข้าวโพดลูกผสมนั้น คือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และพันธมิตรบรรษัทข้ามชาติ เช่น มอนซานโต้ และซินเจนต้า เป็นต้น