เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 18:49:49
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  การปฏิบัติธรรม คืออะไร?? อย่างไร?? (มีท่านผู้รู้ได้อธิบายไว้เอามาให้อ่านครับ)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน การปฏิบัติธรรม คืออะไร?? อย่างไร?? (มีท่านผู้รู้ได้อธิบายไว้เอามาให้อ่านครับ)  (อ่าน 3536 ครั้ง)
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2013, 15:40:06 »

การปฏิบัติธรรม คืออะไร?? อย่างไร??
คำถามนี้พอจะให้ความเห็นอย่างย่อๆได้ว่า
การปฏิบัติธรรม คือการกระทำที่นำไปสู่การมีชีวิตอยู่
ได้อย่างไม่เป็นทุกข์ ด้วยการกระทำตามแนวทางที่พระพุทธองค์
ทรงชี้แนะไว้ ซึ่งมีอยู่หลายแนวทางด้วยกัน ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้อง
รู้จักเลือกเฟ้นแนวทางที่เหมาะกับตนเอง
แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติตามแนวทางใดก็ตาม ย่อมนำไปสู่ความพ้นทุกข์
ได้เช่นกัน สิ่งใดที่กระทำแล้วไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่
การปฏิบัติของพุทธศาสนา และการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์นั้น จะต้องอยู่
ภายใต้กรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้อีกลักษณะหนึ่งว่า
การปฏิบัติธรรมก็คือ การทำให้ตนเองมีศีล มีสมาธิ และมีปัญญา
ที่ถูกต้องและเพียงพอต่อการดับทุกข์ได้อย่างถาวร

เป็นการยากที่เราจะเห็นได้ว่า
ธรรมะเป็นเรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่สุด
เพราะภาพลักษณ์ของศาสนา หรือของธรรมะ ที่เรารู้จักนั้น
ดูอย่างไรก็ไม่ธรรมดาเลย
เริ่มตั้งแต่ภาษาที่ใช้ เต็มไปด้วยภาษาบาลี มีศัพท์ที่มีความหมายเฉพาะมากมาย
แค่ทำความเข้าใจศัพท์ก็ยากนักหนาแล้ว

พอรู้ศัพท์แล้วลงมือศึกษาตำราจริงๆ
ก็พบความยากอีก คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีมากเหลือเกิน
และตำราที่พระรุ่นหลังลงมาท่านเขียนไว้ ก็มีอีกมากมาย

บางท่านพอใจที่จะลงมือปฏิบัติ ก็มีปัญหาอีกว่า
สำนักปฏิบัติมีมากมาย ทุกสำนักบอกว่าแนวทางของตน
ถูกตรงที่สุดตามหลักมหาสติปัฏฐาน
บางทีก็ทับถมสำนักอื่นหน่อยๆ ว่า สอนไม่ตรงทาง

ความยากลำบากนี้ พบกันทุกคนครับ
ทำให้ผมต้องนั่งถามตนเองว่า เป็นไปได้หรือไม่
ที่เราจะศึกษาธรรมได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องรู้ศัพท์บาลี
หรือไม่ต้องอ่านหนังสือ หรือเข้าสำนักปฏิบัติใดๆ เลย

*****************************************************

ความจริงธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เป็นเรื่องง่าย ๆ ธรรมดาๆ
ดังที่ผู้ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ มักจะอุทานว่า
"แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า ธรรมที่ทรงแสดงเหมือนดังเปิดของคว่ำให้หงาย"
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก ที่ผู้ฟังจะรู้สึกเช่นนั้น
ก็เพราะผู้ฟังเอง เกิดมากับธรรม อยู่กับธรรม จนตายไปกับธรรม
เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพียงแต่มองไม่เห็นว่า ธรรมได้แสดงตัวอยู่ที่ไหน
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะ ก็สามารถรู้เห็นตามได้โดยง่าย

อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยความรอบรู้
สามารถอธิบายธรรมอันยุ่งยากซับซ้อนให้ย่นย่อเข้าใจง่าย
สามารถขยายความธรรมอันย่นย่อให้กว้างขวางพอเหมาะแก่ผู้ฟัง
ทรงปราศจากอุปสรรคทางภาษา
คือสามารถสื่อธรรมด้วยภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายๆ

ไม่เหมือนผู้ศึกษาและสอนธรรมจำนวนมากในรุ่นหลัง
ที่ทำธรรมะซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวและแสนธรรมดา
ให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน และไกลตัวเสียเหลือประมาณ
จนเกินความจำเป็นเพื่อความพ้นทุกข์
และสั่งสอนด้วยภาษา ที่ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย

***********************************************

แท้จริงแล้ว ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ใกล้จนถึงขนาดที่เรียกว่า
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ตัวเราเอง
และขอบเขตของธรรมะก็มีเพียงนิดเดียวคือ
ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความทุกข์

ถ้าจะศึกษาธรรมะ ก็ศึกษาลงไปเลยว่า
"ความทุกข์อยู่ที่ไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปได้อย่างไร"
และความสำเร็จของการศึกษาธรรมะ
อยู่ที่ปฏิบัติจนเข้าถึงความพ้นทุกข์
ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้รกสมอง
หรือเพื่อความสามารถในการอธิบายแจกแจงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร

แท้จริงแล้ว ความทุกข์ของคนเราอยู่ในกายในจิตของตนนั่นเอง
สนามศึกษาธรรมะของเรา จึงอยู่ที่กายที่จิตนี้แหละ
แทนที่เราจะเที่ยวเรียนรู้ออกไปภายนอก
ก็ให้เราย้อนเข้ามาศึกษาอยู่ในกายในจิตของเรานี้แหละ

วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก ขอเพียงให้หัดสังเกตกายและจิตของเราเองให้ดี
เริ่มต้นง่ายๆ จากการสังเกตร่างกายก่อนก็ได้

ขั้นแรก ทำใจให้สบายๆ อย่าเคร่งเครียด
อย่าไปคิดว่าเราจะปฏิบัติธรรม แต่ให้คิดเพียงว่า
เราจะสังเกตดูร่างกายของเราเองเท่านั้น
สังเกตแล้วจะรู้ได้แค่ไหนก็ไม่เป็นไร
เอาแค่ว่าจะเฝ้าสังเกตให้ได้เท่าที่ทำได้ก็พอ

เมื่อทำใจสบายๆ แล้ว ลองนึกถึงร่างกายของเรา
นึกถึงให้รู้พร้อมทั้งตัวเลยก็ได้
เหมือนเรากำลังดูหุ่นยนต์อยู่สักตัวหนึ่ง
ที่มันเดินได้ เคลื่อนไหวได้ ขยับปากได้
กลืนอาหารอันเป็นวัตถุเข้าไปในร่างกาย
ขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกาย

ถ้าเราเห็นหุ่นยนต์ที่ชื่อว่าตัวเรา มันทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ
เราเป็นคนดูเฉยๆ
ถึงจุดหนึ่งก็จะเห็นแจ้งประจักษ์ใจเองว่า
ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นวัตถุก้อนหนึ่งเท่านั้น
มีความไม่หยุดนิ่ง ไม่คงที่ แม้แต่วัตถุที่ประกอบเป็นเจ้าหุ่นตัวนี้
ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา
เช่นหายใจเข้าแล้วก็หายใจออก กินอาหารและน้ำแล้วขับถ่ายออก
ไม่ใช่สิ่งที่เป็นก้อนธาตุที่คงที่ถาวร
ความยึดถือด้วยความหลงผิดว่า กายเป็นเรา ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้
แล้วก็จะเห็นอีกว่า
ยังมีธรรมชาติที่เป็นผู้รู้ร่างกาย อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เอง

เมื่อเห็นชัดแล้วว่า กายนี้เป็นแค่ก้อนธาตุ ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวเรา
คราวนี้ก็ลองมาสังเกตสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายนี้ต่อไป
เป็นการเรียนรู้เรื่องของเราเองให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก

สิ่งที่แฝงอยู่ในร่างกายที่เห็นได้ง่ายๆ
คือความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง
เช่นเมื่อเราเห็นหุ่นยนต์ตัวนี้เคลื่อนไหวไปมา
ไม่นานก็จะเห็นความเมื่อยปวด ความหิวกระหาย
หรือความทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้แทรกเข้ามาเป็นระยะๆ
พอความทุกข์นั้นผ่านไปทีหนึ่ง
ก็จะรู้สึกสบายไปอีกช่วงหนึ่ง(รู้สึกเป็นสุข)
เช่นกระหายน้ำ เกิดเป็นความทุกข์ขึ้น
พอได้ดื่มน้ำ ความทุกข์เพราะความกระหายน้ำก็ดับไป
หรือนั่งนานๆ เกิดความปวดเมื่อย รู้สึกเป็นทุกข์
พอขยับตัวเสีย ก็หายปวดเมื่อย รู้สึกว่าทุกข์หายไป(รู้สึกเป็นสุข)

บางคราวมีความเจ็บไข้ได้ป่วย
ก็จะรู้ความทุกข์ทางกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น
เช่นเกิดปวดฟันติดต่อกันนานๆ เป็นวันๆ
ถ้าคอยสังเกตรู้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น
ก็จะเห็นชัดว่า ความปวดนั้นเป็น สิ่งที่แทรก อยู่กับเหงือกและฟัน
แต่ตัวเหงือกและฟัน มันไม่ได้เจ็บปวดด้วยเลย
กายเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความเจ็บปวด
เพียงแต่มีความเจ็บปวด เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แฝงอยู่ในกาย

เราก็จะรู้ชัดว่า ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ
ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นสิ่งอีกสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่ในร่างกาย
และที่สำคัญ เจ้าความรู้สึกเหล่านั้น
ก็เป็นสิ่งที่กำลังถูกรู้ ถูกดูอยู่ เช่นเดียวกับร่างกายนั้นเอง

ถัดจากนั้น เรามาเรียนรู้เรื่องราวของตัวเองให้ละเอียดมากขึ้น
คือคอยสังเกตให้ดีว่า เวลาที่เกิดความทุกข์ขึ้นนั้น
จิตใจของเรามันจะเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจตามมาด้วย
เช่นหิวข้าวแล้วจะโมโหง่าย เหนื่อยก็โมโหง่าย
เจ็บไข้ก็โมโหง่าย เกิดความใคร่แล้วไม่ได้รับการตอบสนองก็โมโหง่าย
ให้เราหัดรู้ให้เท่าทันความโกรธที่เกิดขึ้น ในเวลาที่เผชิญกับความทุกข์

ในทางกลับกัน เมื่อเราได้เห็นของสวยงาม ได้ยินเสียงที่ถูกใจ
ได้กลิ่นหอมถูกใจ ได้ลิ้มรสที่อร่อย
ได้รับสิ่งสัมผัสร่างกายที่นุ่มนวล
มีอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
ได้คิดถึงสิ่งที่พอใจ
เราจะเกิดความรักใคร่พึงพอใจในสิ่งที่
ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส และได้คิดนึกนั้น
ก็ให้เรารู้เท่าทันความรักใคร่พอใจที่เกิดขึ้นนั้น

พอเรารู้จักความโกรธ หรือความรักใคร่พอใจแล้ว
เราก็สามารถรู้จักกับอารมณ์อย่างอื่นๆ ได้ด้วย
เช่นความลังเลสงสัย ความอาฆาตพยาบาท ความหดหู่ใจ
ความอิจฉาริษยา ความคิดลบหลู่ผู้อื่น
ความผ่องใสอิ่มเอิบของจิตใจ ความสงบในจิตใจ ฯลฯ

เมื่อเราเรียนรู้อารมณ์หรือความรู้สึกเหล่านี้มากขึ้นๆ
เราก็จะเริ่มรู้ว่า ความจริงแล้วอารมณ์ทุกอย่างนั้นไม่คงที่
เช่นเมื่อโกรธ และเราก็รู้อยู่ที่ความโกรธนั้น
ก็จะเห็นระดับของความโกรธเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
อยู่ไปๆ ความโกรธก็ดับไปเอง
และไม่ว่าความโกรธจะดับหรือไม่ก็ตาม
ความโกรธก็เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีเราอยู่ในความโกรธ
แม้อารมณ์อื่นๆ ก็จะเห็นในลักษณะเดียวกับความโกรธนี้ด้วย

ถึงตอนนี้ เราจะรู้ชัดว่า ร่างกายก็เป็นแค่หุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
ความรู้สึกสุขทุกข์ และอารมณ์ทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อหัดสังเกตเรียนรู้จิตใจตนเองมากขึ้น
คราวนี้ก็จะเห็นการทำงานของจิตใจได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนรู้ความจริงว่า ความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่มีเหตุทำให้เกิดขึ้นเป็นคราวๆ เท่านั้น

เราจะพบพลังงานหรือแรงผลักดันบางอย่างในจิตใจของเรา
เช่นพอเห็นผู้หญิงสวยถูกใจ
พอจิตใจเกิดความรู้สึกรักใคร่พอใจแล้ว
มันจะเกิดแรงผลักดันจิตใจของเรา
ให้เคลื่อนออกไปยึดเกาะที่ผู้หญิงคนนั้น
ทำให้เราลืมดูตัวเอง เห็นแต่ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น

(เรื่องจิตเคลื่อนไปได้นี่ ถ้าเป็นคนที่เรียนตำราอาจจะงงๆ
แต่ถ้าลงมือปฏิบัติจริง จะเห็นว่า ความรับรู้มันเคลื่อนไปได้จริงๆ
ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านพูดเรื่องจิตเที่ยวไปได้ไกล
ไม่มีคลาดเคลื่อนแม้แต่คำเดียว)

หรือเมื่อเราเกิดความสงสัยในธรรม ว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร
ก็จะเห็นแรงผลักดันที่บังคับให้เราคิดหาคำตอบ
จิตใจของเราเคลื่อนเข้าไปอยู่ในโลกของความคิด
ตอนนั้น เราลืมดูตัวเราเอง
เจ้าหุ่นยนต์นั้นก็ยังอยู่ แต่เราลืมนึกถึงมันก็เหมือนกับว่ามันหายไปจากโลก
ความรู้สึกต่างๆ ในจิตใจเราเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้
เพราะมัวแต่คิดหาคำตอบในเรื่องที่สงสัยอยู่นั่นเอง

หัดรู้ทันจิตใจตนเองมากเข้า ไม่นานก็จะทราบด้วยตนเองว่า
ความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร
ความพ้นทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร
สภาพที่ไม่ทุกข์ เป็นอย่างไร
สภาพจิตใจมันจะพัฒนาของมันไปเองทุกอย่าง
ไม่ต้องไปคิดเรื่องฌาน เรื่องญาณ หรือเรื่องมรรคผลนิพพานใดๆ ทั้งสิ้น

ถึงตรงนี้ อาจจะพูดธรรมะไม่ได้สักคำ แปลศัพท์บาลีไม่ได้สักตัว
แต่จิตใจพ้นจากความทุกข์ หรือมีความทุกข์ ก็ทุกข์ไม่มากและไม่นาน

*******************************************************************

ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเป็นของฝากสำหรับผู้เริ่มสนใจจะศึกษาธรรมะ
เพื่อบอกว่า ธรรมะ เป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นเรื่องของตัวเราเอง
และสามารถเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก ด้วยตนเอง
อย่าพากันท้อถอยเสีย เมื่อได้ยินคนอื่นพูดธรรมะแล้วเราฟังเขาไม่รู้เรื่อง
เราไม่ต้องรู้อะไรเลยก็ได้
รู้แค่ว่า ทำอย่างไรเราจะไม่ทุกข์ ก็พอแล้ว
เพราะนั่นคือใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
ซึ่งจำเป็นที่คนๆ หนึ่งควรจะเรียนรู้ไว้

*******************************************************
ท่านอธิบายได้ชัดเจนและงดงามที่สุดเลยครับ
IP : บันทึกการเข้า

ละอ่อนเจียงของ
บทเรียนนอกห้องเรียน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,120


เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2013, 18:17:06 »

ดีครับๆ อิอิ สาธุ=ชอบแล้ว ดีแล้ว  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

แต่ก็นะ ธรรมะ เป็นเรื่อง ที่วิญญูชนหรือผู้รู้แจ้งหรือผู้บรรลุผลด้วยการประพฤติปฏิบัติตามเท่านั้นจึงจะรู้ประจักษ์โดยเฉพาะตนคนเดียว คนอื่นที่ยังไม่รู้แจ้งยังไม่ได้บรรลุจะพลอยตามรู้ตามเห็นด้วยหาได้ไม่

''ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ'' วิญญูชนผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้นแล
IP : บันทึกการเข้า

หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 28 พฤศจิกายน 2013, 17:05:38 »

ไหว้สา  ขอกราบอนุญาต มา  ฟื้น หัวข้อนี้  สาธุ ครับ
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2014, 16:32:52 »

ไหว้สา  พระพุทธธัมมวินัยสังฆามาตาปิตุปุพพการีครุปิอาจาริโย สายบุญในจักรวาลฮอดอนัตจักรวาล

การปฏิบัติธัมม์ ที่เราได้ยินมานั้น มักหมายถึง  การปฏิบัติสมถสมาธิภาวนา  คือ  ทำกัมมัฏฐาน 

การฝึกกัมมัฏฐาน 40 กอง  จัดว่า เป็นข้อย่อย ของ สติปัฏฐาน 4 มีกาย  เวทนา จิต และ ธัมมะ  ตามที่ผมว่ามานี้  ผิดหรือถูก  ขอสายบุญได้โปรด ธัมมเมตตากรุณา แนะนำ บอกเล่าสู่ผมด้วย ครับ

สาธุ


IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
Gu
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 508


บริการเช่ารถตู้ รถบัสปรับอากาศ ติดต่อ 081-8414267


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2014, 15:48:54 »

อธิบายได้ชัดเจน เข้าใจง่าย เยี่ยมครับ
IP : บันทึกการเข้า

บริการเช่ารถตู้ รถบัสปรับอากาศ ติดต่อ 053-711164-5  
053-712829  081-8414267
www.pdtour.com
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2015, 22:11:41 »

ไหว้สา พระแก้วทั้งสาม พระปัจเจกพุทธา พระมาตาปิตุ พระครุปิอาจาริโย ญาติมิตร สายบุญในจักรวาลฮอดอนันตจักรวาล

หลวงพ่อพุธ  เล่าถึงเรื่อง การนำ พลังจิต ไปใช้งาน   มี พูดถึงเรื่องต่าง ๆ อย่าง มโนมยิทธิ  วิธีการสะกดจิตของฝรั่ง   ฯ        




คลิกดู ที่นี่ www.youtube.com/watch?v=a2rNi6xZ-zQ  



ขอ บุญกุศล จาก  ธัมมทาน    จงมี แด่  สายบุญทุกดวงจิตด้วยเถิด

สาธุ ๆ ๆ   อนุโมทามิ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 26 มีนาคม 2015, 22:19:46 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 07 เมษายน 2015, 16:14:57 »

ไหว้สา พระแก้วทั้งสาม พระปัจเจกพุทธา พระมาตาปิตุปุพพการี พระครุปิอาจาริโย  ญาติมิตรสายบุญในจักรวาลฮอดอนันตจักรวาล

อัตถกถา ฑีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปทานสูตร  ธัมมเทสนา  ธิฏฐานวัณณนา  เปรียบบุคคลไว้ 4 จำพวก คือ

อุคฆฏิตัญญู / วิปจิตัญญู / เนยยะ / ปทปรมะ   ในบุคคล 4 จำพวกนั้น 

บุคคล ที่ ตรัสรู้ธัมมะ พร้อมเวลาท่านยกขึ้นแสดง  ชื่อ  อุคฆฏิตัญญู

บุคคล ที่ ตรัสรู้ธัมม์  เมื่อ ท่านแจกคำย่อ  โดย พิศดาร  ชื่อว่า  วิปจิตัญญู

บุคคล ที่ ตรัสรู้ธัมม์  โดย  ลำดับ  ด้วยความพากเพียร  ท่องจำ  ด้วยการไต่ถาม  ด้วยทำไว้ในใจ โดย แยบคาย  ด้วยคบหาสมาคม กับ กัลยาณมิตร  ชื่อว่า  เนยยะ

บุคล ที่  ไม่ตรัสรู้ธัมมะได้  ใน ชาตินี้  แม้ เรียนมาก ทรงไว้มาก ชื่อว่า  ปทปรมะ

บุญ กุศล ใด จาก ธัมมทาน จักมี แก่ หนานธง ขอบูชา พระแก้วทั้งสาม พระปัจเจกพุทธา พระมาตาปิตุปุพพการี พระครุปิอาจาริโย บุตร บริษัท บริวาร ญาติมิตรสายบุญในจักรวาลฮอดอนันตจักรวาล เจ้าบุญนายคุณ  เจ้ากัมม์นายเวร ที่มีมา แต่ใน อดีต ปัจจุบัน อนาคต ด้วยเทอญ 

สาธุ ๆ ๆ   อนุโมทามิ                                                 




IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 09 เมษายน 2015, 23:42:10 »

ดูกาย ดูใจ ไปอย่างเดียว โดยไม่มีความรู้ จะได้ผลหรือครับ
ดูกาย อาจไม่ยาก เจ็บปวด ป่วยตรงไหนก็รู้ง่าย
หรือ ลิ้มรสชาติ เผ็ด เปรี้ยว หวาน รับรู้ง่าย

แต่ดูจิตนี่สิครับ
จิต แบ่งได้เป็นร้อย อย่างน้อยก็หลายสิบ
ถ้าไม่รู้จักจิต ไม่รู้ว่าจิตขณะนั้นอยู่ตรงไหน
เอาความรู้ง่ายๆ มาเทียบ รู้ เพียง โลภ โกรธ หลง ดูน้อยเกินไป

ปฏิบัติธรรมแท้ๆ ให้ทุกข์ดับ อาจไม่ง่าย และไม่ยาก
แต่....สำหรับผม ยากยิ่งจริงครับ
 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน 2015, 21:12:27 »

ไหว้สา พระแก้วทั้งสาม พระปัจเจกพุทธา พระมาตาปิตุปุพพการี พระครุปิอาจาริโย เท้าสนังกุมารพรหมธัมมกถึก ญาติมิตรสายบุญในจักรวาลฮอดอนันตจักรวาล  จงยินดีในบุญกุศลจากธัมมทานด้วยเถิด

หลวงตามหาบัว ท่านนำพระพุทธธัมม์มาเล่าสอนถ่ายทอด ถึง การปฏิบัติ ของ ผู้สำเร็จ 4 จำพวก

การปฏิบัติ คือ การทำ  ทำให้สำเร็จ ของ บุคคล 4 พวก ผู้รู้ธัมมะ  มี

พวกปฏิบัติง่าย  รู้ง่าย  / พวกปฏิบัติง่าย  รู้ยาก / พวกปฏิบัติยาก  รู้ง่าย  และ / ผู้ปฏิบัติยาก  รู้ยาก 

ไม่มีใครทำเกินไปกว่า  4 จำพวกนี้ ในโลก       

สาธุ ครับ

   
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 13 เมษายน 2015, 18:00:02 »

ทุกข์ จริงหนอ...

ร่างกายนี้     ล้วนก่อให้ทุกข์ จาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ใจนี้            ล้วนก่อใ้หทุกข์ จาก โลภ โกรธ หลง

เมื่อไหร่หนอ จะหมด กาย และ หมด ใจ สักที
 
จะได้หมดทุกข์ เสียที....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 เมษายน 2015, 18:02:05 โดย naylex » IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 14 เมษายน 2015, 22:10:53 »

ไหว้สา พระรัตนสาม พระปัจเจกพุทธา พระมาตาปิตุปุพพการี พระครุปิอาจาริโย เท้าสนังกุมารพรหมธัมมกถึก เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากัมม์นายเวร ญาติมิตรสายบุญในจักรวาลฮอดอนันตจัรกวาล ทุกดวงจิตจงได้บุญกุศล  ย้อน ธัมมทานเทอญ  สาธุ ๆ ๆ  อนุโมทามิ


ดูกาย ดูใจ ไปอย่างเดียว โดยไม่มีความรู้ จะได้ผลหรือครับ  ดูกาย อาจไม่ยาก เจ็บปวด ป่วยตรงไหนก็รู้ง่าย หรือ ลิ้มรสชาติ เผ็ด เปรี้ยว หวาน รับรู้ง่าย

แต่ดูจิตนี่สิครับ

จิต แบ่งได้เป็นร้อย อย่างน้อยก็หลายสิบ   ถ้าไม่รู้จักจิต ไม่รู้ว่าจิตขณะนั้นอยู่ตรงไหน  เอาความรู้ง่ายๆ มาเทียบ รู้ เพียง โลภ โกรธ หลง ดูน้อยเกินไป

ปฏิบัติธรรมแท้ๆ ให้ทุกข์ดับ อาจไม่ง่าย และไม่ยาก แต่....สำหรับผม ยากยิ่งจริงครับ

ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
ทุกข์ จริงหนอ...

ร่างกายนี้     ล้วนก่อให้ทุกข์   จาก    เกิด แก่ เจ็บ ตาย            ใจนี้            ล้วนก่อให้ทุกข์   จาก  โลภ โกรธ หลง

เมื่อไหร่หนอ จะหมด กาย และ หมด ใจ สักที   จะได้หมดทุกข์ เสียที....

                       
ผิดถูกใดมี  ขอกราบสมาอภัยทานด้วยเถิด

พระพุทธเจ้า  คือ พระผู้รู้ บรมครูอาจารย์ ของ สัตวโลก ท่านสอน ทำเหตุดีเอาไว้  ตามลำดับธัมมะ คือ ลำดับความรู้ ของ สัตวบุคคล พึงทำธัมมะได้  ไม่ว่า จะทำเหตุหวังผล  หรือ  ไม่หวังผล

การทำไม่หวังผล  จะยังไง  ก็ได้รับผล  ตามเหตุ  แต่  อาจไม่มีพลังดังการเจาะจง  หวังผลดังตั้งจิตใจ บาลีว่า การอธิษฐาน  อันเป็น อีกเหตุ คือ ต้นเรื่อง ปัจจัยตัวหนุน จะได้ชัดเจนเร็วกว่า การวางจิตอุเบกขาปล่อยวาง กลาง ๆเอาไว้


เราท่านเบื่อการวนเกิดเวียนตาย ต้องการดับกิเลส  ดับธาตุขันธ์ ดับจิต  การรู้สึกอารมณ์หน่ายในสังสารวัฏ เรียก นิพพิทาญาณ เป็น เชื้อพระนิพพาน ที่อยู่ในจิต สัญญาขันธ์จำเอาไว้  ต่อจาก การที่สังขารปรุงแต่งให้มีปัญญาอินทรีย์ ในระดับหนึ่งมา

พระพุทธเจ้า ทรงสอนการปฏิบัติ ฝึกทำเหตุ 4 หวังผลได้ ใน 4 ผล    ผลลัพธ์ จาก เหตุ  ที่ หนานได้ยินหนแรก  จาก  พระมหาญาณสัมปันโนบัวอรหันตบุคคล ผู้ดับขันธนิพพานแล้ว ฯ

เหตุ 4 ผล 4 ที่พึงได้ จาก เหตุ  มีเฉพาะ พระบรมพุทธเจ้า แต่ เท่านั้น  จักสรุป ว่า บุคคลใด มีเหตุผล อย่างไร  ในแต่ละลำดับธัมมะ

พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า  มีพระญาณทัศนะ ยังไง ก็ไม่ถึงขั้น พระญาณทัศนสัพพัญญู     แต่ อาจเรียกขั้น พระอนุโลม คำไทย ว่า คาดคะเน ประมาณ พอได้ จีน ว่า หยวน ๆ  ถึงยังไง ๆ ก็ไม่ถึง พระสัพพัญญู

สมัยพระพุทธกาล ยังเคยมี พระผู้ศิษย์พระสารีบุตร  รวมถึง พระน้องชาย ของ พระมหาปันถกะ ต้องมาจบกิจ จาก การสอนธัมมะวิปัสสนา ของ พระพุทธศาสดา เท่านั้น

พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องมาทรงตรัสรู้เอง ใน ยุคอสุญญกัลป คือ ยุคมีมัคคผลนิพพานได้ผล แต่ ก็ไม่ทรงสอนใครให้ได้มัคคผลนิพพานตามท่านได้  ลูกศิษย์เอาแต่ ทำเหตุบุญกุศลเอาไว้  เพื่อหวังผล หรือ ไม่หวังผล ก็ต้องมีผลลัพธ์รออยู่ เมื่อถึงเวลาเสวยผล

ดังนั้น เราท่าน ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า ก็ จงทำเหตุเอาไว้ 

ไม่ว่า คิดว่า เป็น เหตุการทำ ที่ ง่าย หรือ ยาก  ทำหวังผล หรือ ทำไม่อยากหวัง หมดกิเลส เป็น ดับกิเลสนิพพาน    หมดกาย  เป็น ดับขันธนิพพาน จนไม่มีจิตใจเหลือไปเกิดที่ไหนได้ ?   ย้อน กลายเป็น อนัตตา  อยู่ในความว่าง  บ้างอาจเข้าใจ ว่า กลายเป็น พลังจักรวาล ที่แฝงอยู่ ใน จักรวาล ถึง อนันตจักรวาล  แต่ ก็ไม่มีดวงจิตแล้ว ด้วย ขันธ์ 5 ไม่มีเหลือ

แม้นว่า  ใน วงการพระเณร ศาสนา บ้างอาจยังสงสัย กันว่า..............
มีดินแดนพระนิพพานอยู่เหนือขึ้นไปจาก แดนพรหม เป็น ที่อุบัติ ของ พระวิสุทธิเทพ ผู้ดับขันธนิพพานจะไปผุดอยู่กันบนโน้น  ดังหลวงพ่อสด  สอนศิษย์รุ่นใหญ่น้อย  อย่างทั้ง  หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ  ท่านธัมมชโย ตลอดจนผู้เข้าใจตามนั้น ฯลฯ

สรุป ว่า ให้ทำเหตุเอาไว้  ไม่ว่า จะเหตุยาก หรือ ง่าย  ได้ผลลัพธ์  เมื่อใด  ก็รู้เมื่อนั้น  แหละ       

ธัมมทาน ที่ หนานทำเอาไว้  ได้ประโยชน์สูงสุด  ระดับ อริยทรัพย์  เมื่อ ท่านได้อริยผล  ยามใด ก็ยามนั้นแหละ  ได้ผลแล้ว  มาโปรดผมด้วยเด้อ  ในกรณี ที่ผมยังไม่ได้ไปถึง พระนิพพาน นะ  จงอย่าลืม     ผมนิพพานไปก่อน ก็หยวน ๆ ยกให้ท่าน เป็น อโหสิกัมม์ ไปสาา.....

 ยิงฟันยิ้ม   ยิงฟันยิ้ม     ;Dสาธุ ๆ ๆ   อนุโมทามิ         นิพพานะ  ปัจจะโย  โหตุ     :  ดีแล้ว ๆ ๆ  ยินดีด้วยแล้ว       จงเป็น เหตุ ปัจจัยหนุนไปในการดับทุกข์ ตามลำดับ จนหมดกิเลส     ยิงฟันยิ้ม   ยิงฟันยิ้ม     ยิงฟันยิ้ม




 ขยิบตา   กราบขอสมาอภัย  ว่ามา อย่างยืดยาว  ตามสไตล์หนานขี้อู้ หำยาน      ไม่รู้ กระทู้นายเล็ก ให้ หนานช่วยโปรดมีธัมมเมตตาแนะนำ     หรือ  นายเล็ก มีธัมมเมตตา ตั้งมาเพื่อโปรด หนานธง ให้ได้สร้างบุญกุศล ด้วยธัมมทาน  ฝึกสมองปัญญา            5                  5                     ฮ๊าา.........     ยิงฟันยิ้ม  ยิงฟันยิ้ม   ยิงฟันยิ้ม   ยิงฟันยิ้ม   ยิงฟันยิ้ม            ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 15 เมษายน 2015, 00:03:53 »

ไหว้สา ฯ

มีคลิบ หลวงปู่ชา สอนการฝึกดูจิต   www.youtube.com/watch?v=RKunia63IuA                   


หรือ จะเข้าดูคลิบ จาก ใน กูเกิลพลัส ของ Nantong หนานธง

สาธุ ครับ
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 15 เมษายน 2015, 23:38:17 »

ไหว้สา ฯ

คลิบ หลวงปู่ดูลย์  อตุโล  สอนทำสมาธิ         www.youtube.com/watch?t=740&v=naZj8IMq9-U                       

หรือ ดูจาก ใน กูเกิลพลัส หนานธง

สาธุ ๆ ๆ   อนุโมทามิ


IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!