เพื่อความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องของชาวพุทธ
เครดิต... พันทิป
ข้าพเจ้าได้เห็นพฤติกรรมการจัดปริวาสกรรม เพื่อระงับครุกาบัติที่ออกด้วยวุฏฐานวิธีสำหรับพระภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ที่ไม่ถูกต้องตามพระวินัยพุทธบัญญัติ คือเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า “การอยู่กรรม” หรือ “อยู่ปริวาสกรรม” นั้น ตามพระวินัยพุทธบัญญัติ เป็นกิจเฉพาะพระภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเท่านั้น ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อออกจากครุกาบัตินี้ด้วยวุฏฐานวิธี คือการอยู่กรรม หรือ อยู่ปริวาสกรรมนี้ และ การต้องอาบัติสังฆาทิเสสทั้งหมด (ยกเว้นสิกขาบทที่ 5-6-7) เป็นสจิตตกะ คือต้องด้วยเจตนา กล่าวคือจงใจ
ดังตัวอย่างพระบัญญัติ พระอนุบัญญัติและพระปฐมบัญญัติ ที่แสดงไว้แล้วข้างต้น
สำหรับ 9 สิกขาบทแรกต้องอาบัติเมื่อแรกทำ 4 สิกขาบทหลังให้ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาสครบ 3 จบ ผู้ต้องครุกาบัติดังกล่าวจึงเป็นผู้ต้องอยู่ปริวาสกรรม พระปกตัตตภิกษุ ผู้มีศีล หาต้องอยู่กรรมไม่ ดังปรากฏในบทสรุปว่า
“ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมคือสังฆาทิเสส 13 สิกขาบท ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว 9 สิกขาบทให้ต้องอาบัติเมื่อแรกทำ 4 สิกขาบทให้ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาสครบ 3 จบ ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งแล้ว รู้อยู่ แต่ปกปิดไว้สิ้นวันเท่าใด ภิกษุนั้นต้องอยู่ปริวาสด้วยความไม่ปรารถนา สิ้นวันเท่านั้น
ภิกษุอยู่ปริวาสแล้ว ต้องประพฤติวัตรเพื่อมานัต สำหรับภิกษุเพิ่มขึ้นอีก 6 ราตรี ภิกษุประพฤติมานัตแล้ว ภิกษุสงฆ์ 20 รูป อยู่ในสีมาใด พึงเรียกภิกษุนั้น ถ้าภิกษุสงฆ์ 20 รูปเข้าหมู่ในสีมานั้นหย่อนแม้รูปหนึ่ง พึงเรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่ ภิกษุนั้นก็ไม่เป็นอันสงฆ์เรียกเข้าหมู่แล้ว และภิกษุเหล่านั้นควรถูกตำหนิ นี้เป็นสามีจิในกรรมนั้น”
หลักพระธรรมพระวินัยมีอย่างนี้ แต่ปรากฏพฤติกรรมเป็นเจตนากรรมที่ไม่ถูกต้อง ของทั้งผู้จัดปริวาสกรรมบ้าง ของผู้ไปอยู่ปริวาสกรรมเองบ้าง ของผู้ชักนำเพื่อนสหธรรมิกให้ไปอยู่กรรมบ้าง และผู้ชักนำให้สาธุชนมาร่วมทำบุญและมาร่วมปฏิบัติธรรมบ้าง ซึ่งมีค่อนข้างจะมากรายที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง จนกลายเป็นเรื่องปกติไป เสมือนหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปแล้วหลายประการ
ความที่ไม่ถูกต้องนั้น มีดังเช่น
มีการชักชวนพระภิกษุผู้บวชใหม่กันมากว่า ก่อนลาสิกขาควรต้องไปอยู่ปริวาสกรรมเพื่อให้เป็นผู้บริสุทธิ์ (โดยไม่คำนึงถึงว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือไม่) บ้าง บางรายก็อ้างว่าเผื่อว่าตนเองจะเผลอต้องอาบัติสังฆาทิเสสโดยไม่รู้ตัวบ้าง ทั้งๆ ที่การต้องอาบัตินี้ทุกสิกขาบท (ยกเว้นสิกขาบทที่ 5-6-7) เป็นสจิตตกะ คือต้องโดยเจตนาหรือจงใจกระทำ ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
ผู้จัดปริวาสกรรม มักมีเจตนาที่จะให้มีผู้มาร่วมกิจกรรมนี้มากๆ โดยขาดหลักการตามพระธรรมวินัย คือเพียงแต่ต้องการให้มีประชาชนมาร่วมทำบุญด้วยมากๆ โดยอ้างว่าประชาชนมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมน้อย จึงควรมีเมตตาอนุเคราะห์ให้เขาได้มีโอกาสมาร่วมปฏิบัติธรรมด้วยมากๆ จึงพากันโฆษณาเพื่อให้ทั้งพระภิกษุมาอยู่ปริวาสกรรม ณ อาวาสนั้นมากๆ และทั้งให้ประชาชนมาร่วมปฏิบัติธรรมและมาร่วมบำเพ็ญกุศลด้วยมากๆ
มีทั้งการติดตั้งป้ายบอกการจัดปริวาสกรรม และมีทั้งการโฆษณาให้ญาติโยมมาร่วมบำเพ็ญกุศลด้วยมากๆ อ้างว่าการได้มาอยู่ปริวาสกรรมนั้นเป็นความบริสุทธิ์มากเป็นพิเศษ 1 การได้มาบำเพ็ญกุศลกับผู้อยู่ปริวาสกรรมนั้นจึงเป็นมหานิสงส์ คือได้บุญมากเป็นพิเศษ 1 โฆษณาเรื่องบุญกุศลนี้อย่างเลอเลิศ และอย่างโจ่งแจ้ง กว้างขวาง จึงมีผลให้
ก. มีพระภิกษุบางรูปทั้งที่ไม่ได้ต้องครุกาบัตินี้ก็พลอยหลงเชื่อไปตามเขา แทนที่จะเป็นความบริสุทธิ์ กลับไปได้การต้องอาบัติปาจิตตีย์เพิ่ม เพราะล่วงสิกขาบทที่ 1 พูดปด แห่งมุสาวาท-วรรคที่ 1 และแถมยังเป็นสีลัพพตปรามาส คือหลงถือศีลพรตโดยสักว่า ไปตามเขาด้วยความงมงายอีกด้วย ส่วนบางราย (พระภิกษุเก่า) ก็ไปเข้าปริวาสกรรมกับเขาได้ทุกปี ปีละหลายๆ แห่ง ที่เป็นพระผู้เฒ่าก็ยังเห็นมีไม่น้อย ไม่รู้ว่าต้องอาบัติอะไรกันหนักหนา ถ้าต้องครุกาบัติเป็นอาจิณเช่นนั้น แสดงว่าแทบจะไม่เคยมีความสังวรระวังในศีล อินทรีย์ และสติสัมปชัญญะเลย จนพระภิกษุบางรูปได้ชื่อว่า “นักล่าปริวาส” ก็มี
ข. คฤหัสถ์ชายบางคนหลงเชื่อว่า การอยู่ปริวาสกรรมนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมอันเป็นการขัดเกลา ให้ถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จึงพากันมาบวชเตรียมรออยู่ 1 วันบ้าง 2 วันบ้าง หรือแม้บวชในวันที่เขาจะมีพิธีเข้าปริวาสกรรมนั้นเองบ้าง ด้วยความตั้งใจที่จะมาอยู่ปริวาสกรรมกับเขา เพื่อทำตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ตนเองยังมิได้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสนั้นเลย และ/หรือยังไม่ได้เรียนรู้เลยว่าอาบัติสังฆาทิเสสนั้นคืออย่างไร ตนเองเป็นผู้ต้องครุกาบัตินี้ด้วยหรือไม่ ก็มาตามที่เขาโฆษณาว่า มาเข้าปริวาสกรรมแล้วจะเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการบรรพชาอุปสมบทตามปกติเสียอีก เมื่ออยู่กรรมกับเขาแล้ว ก็ลาสิกขาด้วยความกระหยิ่มใจว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ทั้งๆ ที่กลับพกเอาความหลงผิดเป็น สีลัพพตปรามาส คือ หลงถือศีลพรตด้วยความงมงายติดตัวไป
ค. แม้ชาย-หญิง อื่นก็หลงมาอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับเขา โดยเข้าใจว่า นั้นก็เป็นการมาอยู่กรรม ซึ่งจะได้มีความบริสุทธิ์มากกว่าการปฏิบัติธรรมคือการรักษาศีลและเจริญภาวนาโดยธรรมดามากมายนัก จึงเป็นสีลัพพตปรามาสติดตัวเองไปกับเขาอีกด้วย
ง. ญาติโยมผู้มาทำบุญ ก็มาทำบุญด้วยความเข้าใจว่า มาทำบุญกับพระภิกษุ ผู้อยู่กรรมนี้จะได้ผลบุญมากมาย ยิ่งกว่าการทำบุญกับพระภิกษุผู้มีศีลเป็นปกติเสียอีก เพราะผู้อยู่กรรมเป็นผู้มีความขัดเกลาเพื่อความบริสุทธิ์มากที่สุด
ทั้งๆ ที่ผู้ที่จะต้องอยู่ปริวาสนั้น คือพระภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เท่านั้น และการอยู่ปริวาสกรรมนี้ก็เป็นเพียงวุฏฐานวิธีเพื่อให้พระภิกษุผู้ต้องครุกาบัติออกจากอาบัติได้ เป็นปกตัตตภิกษุ คือเป็นพระภิกษุผู้มีศีลโดยปกติ ตามพระวินัยเท่านั้น หาใช่ว่าผู้อยู่ปริวาสกรรมแล้วจะเป็นผู้บริสุทธิ์ที่เลิศเลอกว่าปกตัตตภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ทรงศีลทรงธรรมตามพระธรรมวินัยโดยปกติไม่ และแถมยังจะมีมลทินมัวหมอง คือ ความหลงผิด เป็นสีลัพพตปรามาส การถือศีลวัตรด้วยความงมงาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุผู้ที่มีได้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสจริงๆ แต่ไปขออยู่ปริวาสกรรมกับเขา และปฏิญาณตนต่อสงฆ์ว่า “อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ...” (ท่านผู้เจริญ กระผมต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว (หรือตัวเดียว) แล้ว...) ดังนี้ เป็นต้น ย่อมกลับต้องอาบัติปาจิตตีย์เพราะล่วงสิกขาบทที่ 1 เพราะพูดปด ตามมุสาวาทวรรคที่ 1 อีกด้วย
จ. การประกาศข่าวโจ่งแจ้งว่าที่อาวาสนี้มีการจัดปริวาสกรรม ให้อนุปสัมบันคือประชาชนทั่วไปทราบเช่นนี้ พระภิกษุผู้ทำการประกาศเองเช่นนั้นก็ดี หรือสั่งให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้นก็ดี ย่อมต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะล่วงสิกขาบทที่ 9 บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ตามมุสาวาทวรรคที่ 1 นี้อีกด้วยเช่นกัน และยังเป็นอาบัติที่จัดเป็นอาจิณได้ เพราะต้องอาบัติตลอดเวลาที่มีการโฆษณาการอยู่ปริวาสกรรมเช่นนั้นให้อนุปสัมบันทราบ แม้จะปลงอาบัติกันทุกๆ วัน จะพ้นจากอาทีนพคือโทษจากอกุศลเจตนาที่ได้กระทำอยู่บ่อยๆ เช่นนั้นได้หรือ ?
ฉ. ยิ่งถ้าโฆษณาด้วยเจตนาเพียงเพื่อที่จะให้ผู้คนมาร่วมกิจกรรมและมาทำบุญด้วยมากๆ อีกว่า ผู้ได้มาอยู่กรรมแล้วจะได้ความบริสุทธิ์ยิ่งนัก ยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยโดยปกติเสียอีก เช่นนั้น ก็คงไม่พ้นการล่วงละเมิดสิกขาบทที่ 1 เพราะพูดปด ตามมุสาวาทวรรคที่ 1 นี้บ่อยๆ อันเป็นการเพิ่มความหลงเข้าใจผิดแก่ทั้งพระภิกษุ และแม้อนุปสัมบันผู้ยังมิได้เรียนรู้พระธรรมวินัยดีพอไม่น้อยเลย แล้วอย่างนี้ จะพ้นอาทีนพได้ละหรือ ? จะคุ้มกันหรือ กับลาภสักการะที่ได้มา ?
ช. ยังมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยอีกว่า มีการโฆษณาชักชวนพระภิกษุผู้มิได้เรียนรู้พระธรรมวินัยดีพอ ให้หลงเชื่อตามๆ กันว่า
“การอยู่ปริวาสกรรมนี้ เป็นหนึ่งในกิจวัตร 10 อย่าง ที่พระภิกษุพึงปฏิบัติเป็นประจำ (ทุกปี) ”
โดยมิได้อธิบายให้แจ้งชัดว่า ข้อนี้เป็นกิจวัตรเฉพาะพระภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเท่านั้น ทั้งนี้โดยอาศัยข้อความในหัวข้อ กิจวัตร 10 อย่าง ในหนังสือ “มนต์พิธี สำหรับพระภิกษุสามเณร และพุทธศาสนิกชนทั่วไป” โดย พระครูวินัยธรเอี่ยม สิริวณฺโณ วัดอรุณราชวราราม ที่มีใช้กันอย่างดกดื่น กว้างขวาง ว่า
“กิจวัตร 10 อย่าง
1) ลงอุโบสถ
2) บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
3) สวดมนต์ไหว้พระ
4) กวาดอาวาสวิหารลานพระเจดีย์
5) รักษาผ้าครอง
6) อยู่ปริวาสกรรม
7) โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
9) เทศนาบัติ
10) พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง 4 เป็นต้น
กิจวัตร 10 เหล่านี้เป็นกิจใหญ่ควรที่ภิกษุจะต้องศึกษาให้ทราบความชัดและจำไว้เพื่อปฏิบัติสมควรแก่สมณสารูปแห่งตน”1
ซึ่งตามพระวินัยจริงๆ แล้ว คำว่า “กิจวัตร” หมายถึง กิจที่พึงกระทำ หน้าที่ หรือธรรมเนียมความประพฤติ ข้อปฏิบัติต่างๆ เช่น อุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกวัตร อาคันตุกวัตร เป็นต้น2 ว่าพระภิกษุพึงปฏิบัติอย่างไรเป็นประจำ จึงไม่น่าจะหมายถึง “การอยู่ปริวาสกรรม” ซึ่งเป็นกิจที่ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเท่านั้น จะพึงต้องปฏิบัติเพื่อออกจากครุกาบัตินี้ด้วยวุฏฐานวิธีนี้ หาใช่เป็นกิจที่ภิกษุผู้ปกตัตตะจะพึงปฏิบัติด้วยไม่ แม้จะมีคำอธิบายว่า
“กิจวัตร 10 เหล่านี้ เป็นกิจใหญ่ควรที่ภิกษุจะต้องศึกษาให้ทราบความชัด และจำไว้เพื่อปฏิบัติสมควรแก่สมณสารูปแห่งตน”
ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้งดีพอแก่พระภิกษุผู้ยังมิได้ศึกษาพระวินัยมาดีแล้ว จึงมีพระภิกษุหลงชักจูงกันผิดๆ หลงเข้าใจผิด และปฏิบัติตามอย่างกันผิดๆ กันมากว่า “การอยู่ปริวาส เป็นกิจที่พระภิกษุ (ทั่วไป) พึงต้องปฏิบัติ” โดยไม่ได้คำนึงถึงว่า ผู้ที่จะต้องอยู่ปริวาสกรรมนี้ คือพระภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพื่อออกจากอาบัตินี้ด้วยวุฏฐานวิธี ตามพระวินัยพุทธบัญญัติเท่านั้น หาใช่เป็นกิจวัตรแก่พระภิกษุทั้งหลายทั่วไปผู้ปกตัตตะด้วยไม่ และหาใช่เป็นกิจวัตรของสามเณรและคฤหัสถ์ด้วยไม่ อันจะพลอยให้พระภิกษุผู้มิได้ศึกษาพระวินัยให้ดีนั้น ต้องอาบัติ “ปาจิตตีย์” เพราะพูดปด เมื่อกล่าวปฏิญาณตนต่อสงฆ์เพื่อขออยู่ปริวาสกรรม ว่าตนเองต้องอาบัตินี้ และยังเป็นสีลัพพตปรามาส คือการถือศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย ไม่เข้าใจความมุ่งหมายที่แท้จริงตามพระวินัยพุทธบัญญัติ อีกด้วย
ซ. ส่วนการเมตตาสงเคราะห์ญาติโยมที่ไม่ค่อยจะมีโอกาสปฏิบัติธรรม ให้ได้มาร่วมปฏิบัติด้วย ในอาวาสเดียวกัน แม้แต่จะให้แยกกันอยู่ (พักผ่อนหลับนอน) คนละส่วน ก็จริง แต่ก็ไม่ได้แยกไกลกันออกไป คงอยู่ใกล้ๆ กันในบริเวณอาวาสเดียวกันนั้นเอง และมีการโฆษณากันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งว่า มีการจัดพระภิกษุอยู่ปริวาสกรรมในอาวาสนี้ แก่อนุปสัมบัน ได้แก่ สามเณรและคฤหัสถ์ ให้ได้ยิน ได้รู้ ได้เห็น และยังจัดให้ปฏิบัติธรรมร่วมกันกับพระภิกษุ ผู้อยู่ปริวาสกรรมนั้นเองด้วย ก็เท่ากับเป็นการบอกอาบัติชั่วหยาบของเพื่อนพระภิกษุแก่อนุปสัมบันทราบตลอดเวลา เช่นนี้ พระภิกษุผู้จัด ผู้ร่วมจัด ผู้ทำการโฆษณา จะพ้นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะล่วงสิกขาบทที่ 9 แห่งมุสาวาทวรรคที่ 1 หรือ ?
การอนุเคราะห์ญาติโยมด้วยธรรมปฏิบัตินี้เป็นการดีเลิศ แต่ถ้าประสงค์อนุเคราะห์ญาติโยมจริง ก็น่าจะจัดการอยู่ปริวาสกรรมเฉพาะพระภิกษุแยกไปต่างหาก ให้ห่างไกลออกไปคนละส่วน จัดให้การมาอยู่ปฏิบัติธรรมของปกตัตตภิกษุ สามเณร และคฤหัสถ์ อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ย่อมจะเป็นเจตนากรรมที่บริสุทธิ์จริงแท้แก่ทุกฝ่าย จะมิดีกว่าหรือ ?