วันนี้นึกอยากศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวครับ การผสมพันธุ์ การคัดเลือกพันธุ์ข้าวเพื่อนามาปรับใช้ในแปลงนา .. เลยศึกษาข้อมูลไปเจออาชีพหนึ่งเป็นงานปิดทองหลังพระครับเลยเอามาฝากครับ
นักผสมพันธุ์ข้าว งานปิดทองหลังพระ ข้าวพันธุ์ใหม่เบื้องหลังความสำเร็จของการพัฒนาพันธุ์ข้าวนอกจากจะเกิดขึ้นจากนักวิจัยที่มีความรู้แล้ว น้อยคนนักจะรู้ว่าฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่เป็นเพียงลูกจ้างประจำในตำแหน่งที่อาจเรียกได้ว่า “นักผสมพันธุ์ข้าว” นั้นมีความสำคัญในการช่วยให้พันธุ์ข้าว ที่นักวิจัยต้องการพัฒนานั้นประสบผลสำเร็จ
เนื่องจากการผสมพันธุ์ข้าวไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ เพราะต้องอาศัยการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ดังเช่น ลำไย ใบกุหลาบ ในวัย 52 ปี และ เพลินตา ทองพูล อายุ 48 ปี ลูกจ้างประจำศูนย์วิจัยข้าวฉะเชิงเทรา กรมการข้าว ที่ทำหน้าที่เป็นนักผสมพันธุ์ข้าวมาตลอดชีวิตการเป็นลูกจ้าง
ลำไย เล่าว่า เข้ามาเป็นลูกจ้างเป็นคนงานเกษตรของศูนย์วิจัยข้าวฯ มาตั้งแต่ยังไม่มีการก่อตั้งกรมการข้าวรวมเวลาการเป็นลูกจ้างกว่า 20 ปี
แรกเริ่มเข้ามาเป็นคนงานเกษตรที่ต้องทำงานทั่วไป แต่ต่อมาก็ได้รับการถ่ายทอด จากลูกจ้างรุ่นก่อน ๆ ให้เป็นนักผสมพันธุ์ข้าว โดยฝึกฝนมาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่ากระทั่งปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่สำคัญนี้
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ “ครู” ถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกจ้างรุ่นใหม่ที่เข้ามา ซึ่งลำไยบอกว่าลูกจ้างรุ่นใหม่ที่เข้ามานั้นน้อยคนนักที่จะอาสาเข้ามาเป็นนักผสมพันธุ์ข้าว เพราะเป็น งานที่ต้องอาศัยความประณีต ละเอียดอ่อน แต่ทำงานเหมือนชาวนาคนหนึ่งหลังรับคำสั่งปฏิบัติการจากนักวิจัย
เริ่มตั้งแต่การปัก ดำ ผสมพันธุ์ข้าว และเกี่ยวข้าว แม้จะเป็นพื้นที่นาทดลองขนาดเล็กแต่ก็ต้องสู้แดดสู้ฝน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะนั่งอยู่กับที่แทบทั้ง วันกลางแดดจ้าเพื่อแยกเกสร ตัวผู้ออกจากรวงข้าวที่คัดไว้ให้ เหลือแต่เกสรตัวเมีย
วิธีการผสมพันธุ์ข้าวนั้นเริ่มจาก การต้มน้ำวัดอุณหภูมิให้ได้ประมาณ 45 องศาเซล เซียส ใส่กระติกน้ำร้อน จากนั้นเทน้ำร้อนทิ้ง นำความร้อนที่หลงเหลือในกระติกไปครอบรวงข้าว
ความร้อนที่หลงเหลือในกระติกน้ำร้อนจะไปช่วยเร่งให้เมล็ดข้าวบานออกมา จากนั้นใช้เล็บเรียวค่อย ๆ กรีด รวงข้าวเมล็ดจ้อยของเกสรตัวเมียให้ฉีกออกจากกันเพียงเล็กน้อย
จากนั้นก็จะใช้คีมเล็ก ๆ คล้ายแหนบคีบเกสรตัวผู้ออกจากดอกข้าวให้เหลือแต่เกสรตัวเมีย
ขณะเดียวกัน ก็จะมีนักผสมพันธุ์ข้าวอีกคน ที่ต้องทำงานไปพร้อม ๆ กัน ทำหน้าที่คีบเกสรตัวผู้ที่คัดไว้เข้าไปวางในดอกข้าวที่เหลือแต่เกสรตัวเมียเพื่อให้เกิดการผสมพันธุ์กัน
แต่การผสมพันธุ์ข้าวในแต่ละรวงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครทำได้ในเร็ววัน เนื่องจากเป็นงานที่มีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ
เพราะเกสรดอกข้าวนั้นมีขนาดเล็กมากหากมือไม่นิ่ง หรือมือหนักไปก็จะทำให้เกสรข้าว หรือกระทั่งมดลูกของดอกข้าวช้ำและจะส่งผลให้การผสมพันธุ์ไม่ประสบผลสำเร็จ
อาชีพนักผสมพันธุ์ข้าว ดูแล้วอาจต่ำต้อย เพราะเป็นเพียงคนงานคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ ทำให้ภูมิใจคือการได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศ และเพื่อการส่งออก ล้วนแต่ต้องผ่านมือนักผสมพันธุ์ข้าวมืออาชีพอย่างตน มาทั้งนั้น
“เราดีใจนะ ได้เห็นข้าวที่เราผสมพันธุ์ออกมาแล้วได้ ผล บางครั้งไม่ติดก็มี ที่ภูมิใจ มีข้าว กข 105 เราก็ทำเองกับมือ” เพลินตาบอกด้วยรอยยิ้ม
เพลินตา บอกว่า รู้สึกภาคภูมิใจในการทำหน้าที่เป็นนักผสมพันธุ์ข้าว แม้ว่าตลอดชีวิตจะทำงานแบบปิดทองหลังพระมาตลอดชีวิต
น้อยคนนักจะรู้ว่าก่อนที่นักวิจัยจะพัฒนาข้าวพันธุ์ใหม่ออกมาในแต่ละพันธุ์ บุคคลที่มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้งานวิจัยประสบความสำเร็จ คือการได้ผู้ช่วยนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในการเป็นนักผสมพันธุ์ข้าว อย่างพวกเรา
ปัจจุบันก็ยอมรับว่าจำนวนคนงานหรือลูกจ้างที่จะมาทำหน้าที่เป็นนักผสมพันธุ์ข้าว จึงเป็นเรื่องที่กรมการข้าวต้อง เร่งผลิตบุคลากรเหล่านี้ออกมา ทดแทนคนรุ่นเก่าที่กำลังจะเกษียณอายุไปในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกันงานวิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอด เพื่อสู้กับโรค แมลงศัตรูพืช สิ่งเหล่านี้ปรับตัวตลอดเวลา
อีกทั้งต้องผลิตพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เพื่อรองรับสภาพนาที่ลุ่มที่ดอนต่างกัน รวมทั้งเป้าหมายที่จะผลิตข้าวส่งออกต้องหาพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงต้นทุนต่ำ เหล่านี้เป็นภาระหนักของการวิจัยพันธุ์ข้าว
ชัยฤทธิ์ ดำรงเกียรติ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันงานวิจัยกับการพัฒนาเป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพราะว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว จะให้ความสำคัญกับงานวิจัยค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจโลกจะแบ่งงบประมาณส่วนหนึ่งหรือประมาณ 2% ของ จีดีพี มาใช้ในการ วิจัยและในขณะเดียวกันก็มี การพัฒนาจำนวนนักวิจัยในประเทศด้วย
ทั้งนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีจำนวนนักวิจัยมากกว่า 50 คนต่อประชากร 10,000 คน แต่ประเทศไทยจำนวนนักวิจัยมีน้อย ประมาณ 3-5 คนต่อประชากร 10,000 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ให้ความสนใจและเร่งแก้ไขเพื่อ มุ่งเพิ่มสัดส่วนนักวิจัยให้มีมากขึ้นในทุกสาขาอาชีพ
ในส่วนของนักวิจัยพัฒนาด้านข้าวนั้น ปัจจุบันประเทศไทยยังมีนักวิจัย นักผสมพันธุ์ข้าวในสัดส่วนที่น้อย เนื่องจากเป็นงานที่ต้องทุ่มเท และอดทนเพราะข้าวแต่ละพันธุ์กว่าจะสามารถทำวิจัยได้สำเร็จต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 8-10 ปี
ทำให้ความสนใจเข้ามาศึกษาในสาขานี้ต่ำ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีพื้นที่ทำนากว่า 57.5 ล้านไร่ ชาวนากว่า 3.7 ล้านครัวเรือนและมียอดส่ง ออกข้าวกว่าแสนล้านบาท แต่การวิจัยและพัฒนาข้าวไทยยัง มีน้อย
ดังนั้น กรมการข้าวจึงให้ความสำคัญในการพัฒนางานวิจัยข้าวของไทย ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเพื่อตอบสนองความต้องการและภาวะการแข่งขันโลกและรองรับวิกฤติอาหารโลกในอนาคต
ทั้งนี้ได้เตรียมจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาข้าว ซึ่งในปี 52 กรมการข้าวได้รับ การจัดสรรงบประมาณด้านวิจัยประมาณ 205 ล้านบาท ซึ่งจะเร่งพัฒนาและวิจัยข้าวไทยให้มีศักยภาพมากขึ้น
สำหรับการวิจัยและพัฒนาข้าวซึ่งปี 2552 มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวและเทคโนโลยีการผลิตและนำไปถ่ายทอดให้ชาวนาปฏิบัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดย ใช้ต้นทุนต่ำ
รวมทั้งเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว พัฒนาเศรษฐกิจชาวนาให้พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ส่งผลให้การผลิตข้าวของประเทศมีเสถียรภาพมีแนวทางการดำเนินงานที่เน้น 4 ยุทธศาสตร์ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าว การลดการสูญเสียและรักษาเสถียรภาพผลผลิตการเพิ่ม มูลค่า
และการสร้างมูลค่าข้าวและเสริมสร้างความสามารถในการผลิตข้าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางการอาหารในพื้นที่เฉพาะ
หรือแม้กระทั่งระเบียบ การจ้างลูกจ้างมาทำงานเป็นนักผสมพันธุ์ข้าวนั้นทำค่อนข้างยากหรือล่าช้า
แต่ยืนยันว่าในแผนการ วิจัยข้าวและพัฒนาข้าวนั้น ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วน และจำเป็นอย่างยิ่งต้องพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อให้มีคุณภาพเหมาะสมกับความต้องการในอนาคต
ทั้งเพื่อการส่งออก และบริโภคในประเทศต่อไป
แหล่งที่มา เดลินิวส์ออนไลน์