|
|
|
|
|
Beautiful girl
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 362
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 23 ธันวาคม 2012, 09:50:43 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Jkit
เตรียมอนุบาล
ออฟไลน์
กระทู้: 77
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 25 ธันวาคม 2012, 13:40:43 » |
|
ร่างทรงก็เหมือนคนที่ให้เทวดา นางฟ้า หรือ เทพ หรือ อื่นๆ ยืมร่างครับ คนจำพวกนี้ต้องรักษาศีลหรือข้อสัญญาเอาไว้และถ้าเป็นผิดสัญญาร่างอาจจะโดนลงโทษหรือถูกปล่อยให้อย่างอื่นที่ไม่ดีมาอยู่ก็มี เพราะพวกร่างทรงส่วนใหญ่คือผู้ที่เคยสัญญาให้ยืมร่างกับเทพบ้าง นาค บ้าง หรือมีความเกี่ยวพันธ์กับเทพนั้นๆ อยู่ เพราะดูเหมือนมนุษย์จะเป็นภพที่ทำบุญได้มากที่สุด และทำบาปได้มากที่สุดครับ จึงมีการร่วมหุ้นกันทำบุญ แต่ก็มีพวกที่เป็นสัมพเวสีอยู่แต่มีกำลัง+เจ้าของร่างจิตอ่อน ก็โดนหลอกได้ว่าเป็นองค์นู่นองค์นี้มาทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อยากรู้ว่าร่างทรงนั้นเขาเป็นเทพหรือพวกสัมพเวสี หรือผีนรกมาสิง ดูของกินที่องค์เขาขอถวายเอาได้ครับ ถ้าเป็นเทพ จะไม่ชอบพวกของคราว ก็แหงล่ะ บนสวรรค์อาหารทิตพ์หรูกว่าเยอะ อาหารที่ทำจากสัตว์ยิ่งไม่ชอบใหญ่ แต่ถ้าพวกภพภูมิต่ำๆ จะชอบกินของสดๆคาวๆ เป็นต้น แต่จากที่เคยเจอ ถ้าร่างเขามีกำลังสมาธิดี เขาจะได้ตาทิตย์หูทิตย์ง่ายๆ เลย และสามารถปฎิเสธที่จะให้ยืมร่างได้หรือไม่ได้ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ ถ้ามีกำลังสมาธิดีแล้วจะใช้วิธีถามเอา ตรงข้ามกับร่างทรงที่ไม่มีกำลัง เวลาถูกเข้าจะออกอาการ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของดวงจิตนั้นๆ ว่าเป็นใครเพราะบางที 1 ร่างไม่ได้มีหุ้นส่วนแค่ 1 ครับ และเวลาออกร่างบางทีถึงกับล้ม เพราะเอาจิตมาคุมร่างตัวเองไม่ทันก็มีให้เห็นเยอะแยะ
ป.ล. เรื่องนี้ใครไม่เชื่อ ให้คุณไปฝึกกรรมฐานแล้วหาข้อพิสูจน์ด้วยตัวเอง หาฝึกกับผู้ที่เป็นจริงๆ อย่าไปถามคนอื่นเลย เพราะคุณก็ไม่เชื่อเขาอีกนั้นแหละ ของแบบนี้ไม่เจอด้วยตัวเองไม่เชื่อกันก็มีเยอะอยู่ครับ แต่ใครไม่ใส่ใจก็เก็บเป็นความรู้รกสมองเล่นๆก็ได้ แต่อย่าไปลบหลู่จะดีกว่า
น่าจะจริงเน๊าะครับ คงจะเหมือนคลื่นสัญาญาณที่เรามองไม่เห็นแต่ก็มีอยู่ถ้ามนุษย์ไม่คิดค้นเครื่องมือวัดก็คงไม่รู้จัก และก็คงไม่มีโทรศัพท์ใช้เป็นรูปธรรมกัน แต่สมัยนี้คนทรงมีทั้งของจริงและของปลอม หากินต้มตุ๋นหลอกลวงก็เยอะคงต้องระวังกัน ถ้าจะไปดูต้องพาเพื่อนไปหลายๆคนจะปลอดภัยกว่า อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ มิจฉาชีพเยอะ ส่วนถ้าใครจะไปฝึกอะไรก็ขอให้ประมาณตนด้วยครับนกน้อยทำรังแต่พอตัว บุญมีกำลังมีเท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่างฝืน เพราะว่าพึ่งมีข่าวครับว่ามีคนไปวิปัสนาแล้วสิ้นลมอยู่ในท่าสมาธิได้รับข่าวเมื่อเช้านี้เองของแบบนี้ต้องมีครูอาจารย์คอยกำกับ นี้ขนาดเขาไปวิปัสนาในสถานที่ที่ดังและมีคนไปเยอะนะครับ กว่าจะมีคนเห็นก็ปาไปห้าวันแล้วครับ ครั้งก่อนก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่เป็นข่าวในเรื่องจริงผ่านจอ ผมเลยคิดว่าทำแต่พอดีให้เป็นสุขดีกว่าครับ ทำสมาธิแบ่งเป็น วิปัสนา กับ สมภาวณา ครับถ้าคุณต้องการปัญญา ก็วิปัสนาไป(วิปัสนาคือการคิดพิจารณา เรื่องตามที่กำหนด) ส่วนสมถภาวณาเป็นการเก็บกำลังจิต (คือการจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเพื่อเป็นอุบายให้จิตนิ่งเป็นสมาธิเป็นการพักจิตหยุดคิด เป็นการเก็บกำลังครับ) ที่เขานั่งวิปัสนาไปแล้วตายน่ะผมไม่รู้นะว่าเพราะอะไรเพราะงั้นไม่ขอวิจารณ์นะ แต่ว่าการทำสมาธิเนี้ยใครว่าต้องมานั่ง มาเดินจงกลมล่ะ แค่คุณว่าง คุณก็ดูลมหายใจวันละ 5 นาที ก็ได้แล้ว ส่วนที่ว่าให้ไปหาคนที่เป็นจริงๆ ก็เพราะจะได้มีคนแนะนำให้ถูกไม่งั้นเข้าใจผิดพอไปเจอสถาณการณ์แปลกๆ ในสมาธิคุณจะวางอารมผิดก็เท่านั้นเอง ปกติเขาก็สอนกันเป็นนาที แต่ที่เหลือไปเก็บสะสมกันเอาเองนะ ผมทำตอนก่อนจะนอน บ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้นั่งนะ นอนอยู่นั้นแหละ แล้วก็ทำไปจนกว่าจะนอนเลย ไม่ยากนะ ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างพวกหูทิตย์ตาทิตย์นี้มันมีวิธีฝึกอยู่สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้มาก่อนอยู่ แต่ก็เป็นแค่กีฬาสมาธิครับเพราะถ้าได้มาล่ะก็ มันเป็นดาบ 2 คมดีๆนี้เอง ใช้ดีก็ได้ดี ใช้ทำชั่วก็บาปหนักกว่าเดิมอีก เอาเป็นว่าผมไม่ค้านเรื่องที่คุณว่ามาหรอกเพราะอะไรเกินพอดีน่ะ มันไม่ดีซักอย่างหรอก ทำแต่พอเหมาะก็พอ แต่พอเหมาะของใครของมันนะครับ(ฮา) แต่ที่เสริมนี้เป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับการทำสมาธิ เพราะการทำสมาธิเป็นการพักครับ ทำแล้วเครียดอย่าไปทำ (แต่ก็มีคนบางจำพวก ต้องเป็นทุกข์ถึงจะทำได้อยู่ล่ะนะ แล้วแต่จริตคนครับ)
|
|
|
|
|
|