เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 22:49:30
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293211 ครั้ง)
Freedom
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 608


ห้องสมุดบิดคิด


« ตอบ #80 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 11:23:56 »

ท่านมะหินฝน บริษัทปั่นไฟที่ว่า EGCO แม่นก่อ เป็นตัวนึงที่ผมชอบมากตัวนึงเลยทีเดียวแต่ไม่เคยซื้อ เพราะถ้าซื้อแล้วกลัวตัดใจขายมันออกไม่ลง แปลกคนมั๊ย 555

ถ้าใช่นะแหล่มเลย...ชอบเหมือนกันครับ EGCO ยิ้ม เป็นหุ้นอีกตัวที่มีอนาคตที่ดีมั่กมาก
จับตามองหาข้อมูลมาหลายเดือน กว่าจะเริ่มซื้อเก็บก็ตอน 6-70 กว่าๆ ขายทำกำไรไปก็หลายครั้ง ... ตอนนี้มาไกล ใกล้จะแตะ 100 บาทอยู่แล้ว  ยิ้ม ....ราคามาได้ไกลกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ตกใจ มากซะจนตัดใจขายหุ้นตัวนี้ไม่ออกอย่างที่คุณบ่าวเริงปอยว่าไว้จริงๆ ...เลือกไม่ถูกระหว่างกำไรก้อนโต (ซื้อรถได้อีกคัน) หรือ ปันผลเรื่อยๆปีล่ะ 2 ครั้ง

...แต่จะว่าไปถ้ายังไม่จำเป็นอะไรคงจะเก็บไว้ เพราะตอนนี้ก็ Happy มีความสุขดี อยู่กับปันผลที่ได้เฉลี่ยเดือนล่ะประมาณ 5,000 บาท แต่ถ้าราคาแตะ 100 เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะยังเก็บหุ้นตัวนี้ไว้อยู่รึเปล่า ขยิบตา เจ๋ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 11:46:27 โดย Freedom » IP : บันทึกการเข้า

toyaom123
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 117


ศศิวิมล


« ตอบ #81 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 14:35:16 »

อยากได้ ความรู้ เกี่ยว กับการซื้อ ขายหุ้น อ่ะครับ พอดีมีเงินก้อนอยู่ นิด หน่อย อ่ะครับ
toyaom123@hotmail.com อยากศึกษา ม๊ากมาก
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #82 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 15:38:03 »

ตอบคุณมะหินฝน
     เท่าที่ผมได้อ่านคำตอบของคุณ  ผมพบว่า  คุณก็เป็นนักลงทุนที่มีความรู้ดีมาก  แต่บางทีอาจเป็นได้ว่า  คุณกับผม  ลงทุนคนละสไตล์กัน  คุณเป็นคนที่ลงทุนแบบเชิงรับ  แต่ผมเป็นคนที่ชอบแบบเชิงรุก  เอาไว้ว่างแล้วเดี๋ยวเราค่อยมาแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ
     ส่วนคุณบ่าวเริงปอย  ช่วงนี้ LPN แย่หน่อยนะครับ  เอาใจช่วยให้ฝ่ามรสุมไปให้ได้  ถ้าของเราดีจริงก็ต้องทนไฟครับ
     ส่วนคุณ FREEDOM  โอ้โห  เห็นปันผลแล้วตกใจ  นี่ไม่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย  ปันผลเลี้ยงตัวเองได้เลย  แหม...เห็นแล้วอิจฉาจัง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #83 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 18:14:30 »

คุณ freedom อย่าลืมเอาใบรับงินปันผลไปเครดิตภาษีคืนเน้อ ที่สรรพกร ช่วงต้นปี น่าจะได้คืนสัก10-20%ของยอดเงินปันผล ไม่แน่ใจเหมือนกันของกลุ่มโรงไฟฟ้าว่าได้คืนเท่าไหร่

คุณวายุLPN ต้นทุนผมแถว 2.5 บาท หนังชีวิตครับตัวนี้ (แต่ก็แอบหวั่นอยู่ลึกๆเหมือนกัน กลุ่มอสังหาก็งี้)


* lpn.JPG (173.1 KB, 1024x768 - ดู 674 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
Freedom
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 608


ห้องสมุดบิดคิด


« ตอบ #84 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 20:46:42 »

อยากได้ ความรู้ เกี่ยว กับการซื้อ ขายหุ้น อ่ะครับ พอดีมีเงินก้อนอยู่ นิด หน่อย อ่ะครับ
toyaom123@hotmail.com อยากศึกษา ม๊ากมาก

อยากทราบอะไรเกี่ยวกับการลงทุน ลองโพสสอบถามที่หน้าบอร์ดนี้ก็ได้ครับ ยิ้ม

มีพี่ๆน้องๆสมาชิกหลายท่านก็กำลังศึกษาทางด้านนี้อยู่

เผื่อมีอะไรแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กันครับ  ยิ้มเท่ห์ ยิงฟันยิ้ม

     ส่วนคุณ FREEDOM  โอ้โห  เห็นปันผลแล้วตกใจ  นี่ไม่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย  ปันผลเลี้ยงตัวเองได้เลย  แหม...เห็นแล้วอิจฉาจัง
ขอบคุณครับท่านวายุ ยิ้ม
อย่าอิจฉาผมเลยครับ ผมก็แค่นักลงทุนรายย่อยมือสมัครเล่นอีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง ยิ้มเท่ห์
ยังมีอะไรที่จะต้องขอคำแนะนำปรึกษา ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลยครับ ยิ้ม ยิ้ม

คุณ freedom อย่าลืมเอาใบรับงินปันผลไปเครดิตภาษีคืนเน้อ ที่สรรพกร ช่วงต้นปี น่าจะได้คืนสัก10-20%ของยอดเงินปันผล ไม่แน่ใจเหมือนกันของกลุ่มโรงไฟฟ้าว่าได้คืนเท่าไหร่

ขอบคุณท่านบ่าวเริงปอยมากเช่นกันครับสำหรับคำแนะนำข้อมูลนี้  ยิ้ม ยิ้ม
ไงหากมีอะไรดีๆ แนะนำกันได้ตลอด ยินดีมากมายเลยครับ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #85 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 18:46:50 »

วันนี้เอาสาระมาฝากครับ


เลือก 'หุ้นห่านทองคำ' ตำรับเซียน..เทพ รุ่งธนาภิรมย์

“หุ้นห่านทองคำ” หรือ “หุ้นปันผล” กลายเป็นทางเลือกที่ 3 “เพิ่มเติม” จากทางเลือกลงทุนแบบ “เทรดหุ้น” และ ”หุ้นมูลค่า”

เป้าหมายหลักของการลงทุนหุ้นประเภทนี้ก็เพื่อที่จะมีอิสระทางการเงิน มีรายได้ที่มาจาก ”ไข่ทองคำ” อย่างเพียงพอ



นี่คือ เหตุผลที่ “เทพ รุ่งธนาภิรมย์” เจ้าของหนังสือ”กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ” ที่โด่งดังเมื่อ 3 ปีก่อน และเจ้าของผลงานเล่มล่าสุด ”วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ” จึงรักเดียวใจเดียวกับการเลือกห่าน (หุ้น) ที่ไข่ออกมาเป็น ”ทองคำ” ...

"เทพ รุ่งธนาภิรมย์" ไม่ใช่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหุ้น แต่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นนักลงทุนในหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ เทพ บอกว่า เกิดจากการได้อ่านหนังสือเล็กๆ เล่มหนึ่งชื่อว่า “บุรุษผู้มั่งคั่งในบาบิโลน” (The Richest Man in Babylon) หรือในชื่อไทยว่า “เศรษฐีชี้ทางรวย” เขียนโดย George S.Clason

ทำให้เขารู้จักการเก็บเงินและรู้จักการลงทุน

ห่านทองคำในความหมายของ "เทพ" จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นหุ้นอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่สม่ำเสมอขึ้นมาได้ อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างคอนโดมิเนียมเก็บค่าเช่า เป็นต้น เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร

“ทุกคนสามารถมีห่านทองคำได้ทั้งนั้น แต่ปัจจุบันการฝากแบงก์เพื่อเก็บกินดอกเบี้ย ทำให้ได้ห่านทองคำลำบากเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือมีบ้านให้เช่า ได้ค่าเช่ามาก็ต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเป็นเงินก้อนใหญ่ ไม่เหมือนลงทุนในหุ้นปันผล มีเงินเท่าไรก็ซื้อได้ หุ้นบางตัวซื้อได้1-2 หมื่นเท่านั้น”

แล้วทำไมต้องเลือกหุ้นห่านทองคำ...??

เทพบอกว่า เขาเลือกกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นห่านทองคำเป็นทางเลือกที่ 3 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับการลงทุนแบบหุ้นมูลค่าหรือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่ต่างกันตรงที่หุ้นห่านทองคำจะให้ความสำคัญกับหุ้นปันผลมาก

“ทำไมต้องหุ้นห่านทองคำ ก็เพราะผมต้องการเป็นไททางการเงินอย่างยั่งยืน ไม่ทำงานใดๆก็อยู่ได้ด้วยรายได้เงินปันผล”

ถามต่อว่า..แล้วกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นห่านทองคำอยู่ตรงไหน...ฮืม

เทพ กล่าวว่า หุ้นห่านทองคำหัวใจของหุ้นห่านทองคำหรือหุ้นที่จ่ายปันผลได้ ต้องมีลักษณะเด่น 9 อย่าง..

หนึ่ง.. ต้องเป็นหุ้นที่บริษัททำ "กำไร" ได้ เพราะถ้ามีผลขาดทุนก็จ่ายปันผลไม่ได้

สอง..กำไรที่ทำได้ต้องมี "คุณภาพ"

“ไม่ใช่มีกำไรเฉพาะในงบขาดทุนอย่างเดียว แต่ต้องมีกำไรเป็นเงินสดส่วนใหญ่ โดยกระแสเงินต้องเป็นบวก เคยมีหุ้นบางตัวประกาศผลกำไรก้าวกระโดด แต่พอดูเงินสดกลับติดลบ เช่น ขายการ์ดอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ขายจริง ก็ฝากตัวเลขลงบัญชีลูกหนี้ และยอดขาย ส่วนของลูกหนี้จึงโตขึ้น ทำให้ส่วนค่าใช้จ่ายไม่เกิด รายได้จึงเกิดขึ้นสูงลิ่ว ราคาหุ้นขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้านเจ้าของบริษัทขายหุ้นออกหมด จนเป็นเรื่องเป็นราวขณะนี้ เป็นต้น”

วิธีดูว่าหุ้นนั้นๆ กำไรมีคุณภาพหรือไม่ ต้องดูที่งบกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ถ้าเป็นยอดบวกและใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ถือว่า "เจ๋ง"

สาม.. ต้องมีกำไร "สะสม" เพราะถ้าบริษัทขาดทุนสะสมอยู่ บริษัทจะไม่สามารถจ่ายปันผลได้

สี่..ต้องมีเงินสดในมือ เพราะบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้มักจะมีเงินสดในมือสูง ซึ่งบางแห่งมีเงินสดมากจนต้องนำบางส่วนไปลงทุนแบบสั้นๆ เพื่อให้ได้ดอกผลที่สูงกว่าฝากแบงก์

“ผมเคยซื้อหุ้นธุรกิจโฆษณาตัวหนึ่ง ราคา 62 บาท เพราะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดต่อหุ้นสุทธิสูงถึงหุ้นละ 34 บาท ซึ่งไม่น่ามีปัญหาจ่ายเงินปันผล พอบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 9 บาท ก็จ่ายเงินปันผล 6 บาท เท่ากับผมได้ Yield เกือบ 10% ในขณะที่ราคาคาขยับขึ้นสูงกว่า 120 บาท เป็นของแถมอีกด้วย”

ห้า..มีภาระหนี้สินน้อย แม้บริษัทจะมีกำไร มีสภาพคล่อง มีเงินสด กำไรสะสมเป็นบวก แต่ถ้ามีหนี้มาก ผู้บริหารบริษัทก็มักจะนำกำไรไปชำระหนี้ก่อน ฉะนั้นหุ้นที่มี D/E ต่ำๆ มักจะมีโอกาสจ่ายปันผลสูงกว่า หุ้นที่มี D/E สูงๆ

หก..การขยายงาน เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้

“ถ้าผลตอบแทนที่ได้สูงและทำได้จริง การขยายงานก็เป็นประโยชน์ เพราะช่วยสร้างมูลค่าหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น และยังมีโอกาสจ่ายปันผลสูงในอนาคต”

เจ็ด..มีนโยบายปันผล โดยให้ดูสถิติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลังไปหลายๆ ปี จะช่วยทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ซึ่งดูได้จากรายงานประจำปีหรือเช็คจากตลาดหลักทรัพย์ และโบรกเกอร์

แปด..จำนวนหุ้นไม่มาก

“ผมไม่ชอบบริษัทที่เอะอะอะไรก็เพิ่มทุน เพราะมักจะทำให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง เนื่องจากเมื่อมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ตัวหารก็เพิ่มขึ้น กำไรสุทธิต่อหุ้นแต่ละหุ้นก็จะลดลง ที่เรียกว่า Dilution Effect นอกจากว่าบริษัทจะเก่งจริง สามารถทำให้กำไรสุทธิสูงกว่าการเพิ่มจำนวนหุ้น

สุดท้าย ข้อที่เก้า..ต้องมีอัตราการเติบโต ถ้าบริษัทมีการขยายงาน อัตราการเติบโตของยอดขายสูงกว่าอัตราการเติบโตของต้นทุนและค่าใช้จ่าย ถือว่าเจ๋งเลย

“อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเติบโตของยอดขาย ถือว่าเป็นหุ้นห่านทองคำ ลงทุนแล้วนอนหลับฝันดีได้เลย”

เมื่อได้กลยุทธ์เลือกหุ้นแล้ว “วิธีการที่ดี” ถึงจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้..

เทพบอกว่า เขาได้พยายามคิดค้นวิธีการหรือตัวช่วยให้สะดวกและรวดเร็ว ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น ในที่สุดก็ได้ “คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ” เพื่อทำให้สามารถ “โฟกัส” ธุรกิจได้มากขึ้น

ข้อแรก..ลักษณะธุรกิจ คืออะไร

ข้อสอง..คุณสมบัติของผู้บริหาร เป็นอย่างไร

ข้อสาม..ผลงานที่ผ่านมาดีหรือไม่

และสี่..แนวโน้มอนาคตเป็นอย่างไร

“คำถามยุทธศาสตร์ 4 ข้อ คือ ต้องมีความรู้ อย่างผมเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ใช้วิธีหาข้อมูลโดยนำรายงานประจำของบริษัทมาดู พออ่านไป มันเยอะมาก ก็มานั่งคิดว่าทำอย่างไรไม่ต้องดูทั้งหมด จึงคิดว่า ควรหาคำถามที่จะช่วยให้รู้ข้อมูลธุรกิจ

ผมคิดว่า ธุรกิจก็เปรียบเหมือนกองทัพ ผู้บริหารเหมือนแม่ทัพที่ดี ตัวเลขการเงินหรือผลงานอดีต คือสิ่งที่จะบอกว่าดีจริง ไม่จริง จึงคิดสูตรนี้ขึ้นแล้วสร้างตาราง เมื่อมีข้อมูลก็ใส่ลงไป เอามาชั่งน้ำหนัก ถ้าพอใจถึงลงทุน แต่สุดท้ายต้องดูเรื่องราคาด้วย ถ้าหุ้นดี ราคาต้องถูกด้วย”

เทพบอกว่า การลงทุนจึงต้องรู้เขา รู้เรา รู้จักธุรกิจ รู้จักเจ้าของ ยุทธศาสตร์ 4 อย่างนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ จะทำให้เราหนักแน่น เป็นการทดสอบพื้นฐานหุ้นว่าพื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่

นอกจากนั้น เขาให้คำแนะนำว่า นักลงทุนหุ้นห่านทองคำ ต้องทำตัวให้เหมือนกับ ”มดงาน”

คือ จะต้องร่วมกิจกรรมนักลงทุน โดยมีหน้าที่ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไปฟังข้อมูลบริษัท(Opportunity Day ) และเยี่ยมชมกิจการ

“ผมเคยไปประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทอิสต์วอเตอร์ ผมถามคำถามหลังจากได้วิเคราะห์รายงานประจำปี ทำให้ผู้บริหารตอบคำถาม หรืองานออฟเดย์ ที่ตลาดจัดขึ้น ก็จะมีบริษัทมาเสนอข้อมูล วิสัยทัศน์บริษัท ทำให้เราเห็นภาพของธุรกิจเร็วขึ้น ไม่ใช่ฟังทุกครั้งต้องซื้อหุ้นเสมอไป

ครั้งหนึ่งบริษัทขยายงาน ใช้เงินมาก ผมถามว่า จะใช้เงินจากไหนมาขยายงาน ผู้บริหารบอกเงินกู้ ตรงนี้น่ากลัว หลังจากนั้นเข้าใจว่าหุ้นตัวนั้นมีปัญหา ตรงนี้จะทำให้เราเห็นภาพธุรกิจและผู้บริหารชัดเจน รวมถึงสามารถซักถามได้ด้วย”

ในวัย 62 ปีวันนี้ของ ”เทพ รุ่งธนาภิรมย์” จึงนั่งอยู่อย่างมีความสุข เพียงแค่คอยตกแต่งสวน (ปรับพอร์ต) จากการมีหุ้นห่านทองคำออกไข่ให้เก็บกิน เขาบอกว่า ตอนนี้มีหุ้นทิปโก้ 8 หมื่นหุ้นที่ต้นทุนเหลือ “ศูนย์” แม้จะขาดทุนหุ้นที่ลงทุนใหม่บางตัว แต่ยังสบายใจ เพราะมีหุ้นห่านทองคำคอยทำงานให้และสู่เป้าหมายอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง..


ถ้าอ่านจบแล้วอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกล่ะก็  ไปหาซื้อหนังสือ"กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"  มาอ่านดูนะครับ  ผมก็ได้ความรู้การดูงบการเงินมากจากหนังสือเล่มนี้นี่แหละ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #86 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 18:53:33 »

ส่วนหัวข้อนี้  สืบเนื่องมาจากที่คุณเบบี้ถามมาเรื่องค่าเงินบาท  ผมไปเอาบทความของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยมาให้อ่านครับ


ค่าเงินบาท
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมเพิ่งกลับจากการส่งลูกไปเรียนที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ  เวลาประมาณเกือบสองสัปดาห์ที่อาศัยอยู่ในอพารตเม้นท์ใจกลางลอนดอนที่ผมเช่าให้ลูกพักอาศัยนั้น  ผมพบประสบการณ์หลายอย่างที่อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าอังกฤษซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วอันดับต้น ๆ  ของโลกนั้น   น่าจะมีระดับการพัฒนาที่เสื่อมถอยลงเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่กำลังพัฒนามากขึ้น  พูดง่าย ๆ   ความห่างระหว่างรายได้หรือระดับการพัฒนาของอังกฤษกับไทยตามสถิตินั้น  น่าจะลดลงในอนาคต  ว่าที่จริง  ผมเองคิดว่าตัวเลขสถิติความห่างชั้นในปัจจุบันเองนั้น  ก็อาจจะไม่ใช่  “ของจริง” ตามพื้นฐาน  แต่เป็นเรื่องของตัวเลขที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทกับค่าเงินปอนด์ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง  ทำให้ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของอังกฤษเหนือกว่าของไทยมากมายกว่าสิบเท่า

เริ่มตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง  ผมต้องใช้เวลาเข้าคิวรอก่อนที่จะผ่านการตรวจประมาณสองชั่วโมง  คิวนั้นยาวมากเป็นร้อย ๆ  คนแต่พนักงานตรวจมีน้อยและไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากนัก   เปรียบเทียบกับการตรวจของสนามบินสุวรรณภูมิของเราแล้ว  ผมคิดว่าของเราเหนือกว่ามาก  การรอส่วนใหญ่ไม่น่าจะเกิน 15 นาที   จริงอยู่ที่สนามบินลอนดอนอาจจะมีป้ายบอกขออภัยในความล่าช้าเนื่องจากประเด็นเรื่องการก่อการร้าย  แต่ผมดูแล้วก็ไม่เห็นมีการตรวจสอบอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้เสียเวลาเพิ่ม  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  ความประทับใจในเรื่องของประสิทธิภาพเสียไปตั้งแต่  “ก้าวแรก”

ห้องที่ผมเช่านั้น  ผมติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย  ราคาค่าเช่านั้นค่อนข้างสูง  ค่าเช่านั้นแพงพอ ๆ  กับค่าเล่าเรียน  สาเหตุอาจจะเป็นเพราะในลอนดอนไม่มีการอนุญาตสร้างตึกสูงทำให้ราคาอพารตเม้นท์แพงส่งผลให้ค่าเช่าแพงตามไปด้วย  ห้องที่ผมอยู่นั้นมีขนาดเล็กเช่นเดียวกับห้องเช่าทั่ว ๆ ไป  แต่ทุกอย่างออกแบบไว้อย่างมีประสิทธิภาพ  เตียงสามารถพับเก็บเข้าผนังได้  ห้องน้ำใหม่และสะอาด  ห้องครัวมีอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น  โต๊ะสำหรับนั่งทำงานไม่มี  นี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมว่าเขาไม่ทำงานในห้องพัก  อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่ผมแปลกใจก็คือ  เราต้องติดต่อขอใช้บริการกับบริษัทที่ให้บริการน้ำ  ไฟฟ้า  และแก๊สเอง  ซึ่งมีหลายบริษัท  นอกจากนั้น  ผมเพิ่งทราบว่าถ้าเราจะดูทีวี  เราต้องขออนุญาต  และใบอนุญาตนั้นเราต้องเสียเงินเดือนละประมาณห้าร้อยบาท  ทั้งหมดนั้น  สำหรับผมแล้ว  มันเป็นความยุ่งยากโดยเฉพาะถ้าภาษาอังกฤษคุณไม่ดีพอในการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์และทุกอย่างคุณต้องทำเอง

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอังกฤษอาจจะค่อย ๆ  ตกต่ำลงในแง่ของการเป็นประเทศชั้นนำมากที่สุดของโลกก็คือ  การที่ผมขอติดอินเตอร์เน็ตที่ห้องพัก  เพราะคำตอบที่ได้ก็คือ  จะต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์กว่าจะใช้การได้  ผมไม่ทราบว่าอะไรทำให้การขอใช้อินเตอร์เน็ตนั้นยุ่งยากนัก  แต่นี่คือเครื่องมือที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน  ผมเองคิดว่าถ้าประเทศพัฒนามาก ๆ  แล้ว  ห้องพักแทบทุกห้องน่าจะต้องมีอินเตอร์ติดอยู่เป็นพื้นฐานเหมือนกับน้ำ  ไฟฟ้า  หรือโทรศัพท์  อย่างไรก็ตาม  โชคดีที่ประเด็นนี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายแต่ก็ต้องจ่ายแพงกว่ามาก

การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องทำ  ความสะดวกสบายนั้นผมคิดว่าเทียบกับธนาคารของไทยไม่ได้  ผมต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงเหตุเพราะพนักงานให้บริการมีน้อย   การเปิดบัญชีที่จะทำให้ผมสะดวกในการโอนเงินหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ  นั้น  ผมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเดือนละไม่ต่ำกว่า 500 บาท  เปิดเสร็จแล้วเราต้องรออีกหลายวันกว่าจะได้บัตรเอทีเอ็ม  นอกจากนั้น  เครื่องเอทีเอ็มของแบ็งค์เท่าที่เห็นตามสถานที่ต่าง ๆ  นั้น  น้อยกว่าของไทยเรามาก และนี่คือแบ็งค์ชั้นนำในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ผมมีโอกาสไปเที่ยวที่ตลาดขายของเก่าย่านน็อตติงแฮมในลอนดอนซึ่งผู้คนมากมายไปช็อปปิงในวันหยุด  วันนั้น  ลูกสาวผมถูกล้วงกระเป๋า  เงินสูญไปไม่มากนักแต่บัตรเครดิตที่หายทำให้ผมกังวล  ผมรีบโทรติดต่อกลับมาที่เมืองไทยเพื่ออายัดบัตร  ทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็ว  พนักงานของแบ็งค์ถามว่าจะให้ส่งบัตรไปที่ลอนดอนหรือส่งไปที่บ้านในกรุงเทพ  ผมเลือกอย่างหลังและได้รับบัตรเมื่อผมกลับมาที่เมืองไทยแล้ว  ผมคิดว่าธุรกิจ  บริการ  และความสามารถในการแข่งขันของแบ็งค์ไทยเรานั้นไม่เบาทีเดียว  และนี่อาจจะไปถึงธุรกิจอื่น ๆ  ด้วย

เป็นเรื่องปกติที่ผมจะต้องเดินห้างและหาร้านหนังสือโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ   ผมค่อนข้างผิดหวังที่พบว่าร้านหนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้ขายหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและการลงทุนโดยเฉพาะในเรื่องของหุ้นมากนัก  ดูเหมือนว่าร้านหนังสือใหญ่ ๆ ของไทยจะขายหนังสือแนวธุรกิจและการลงทุนมากกว่าร้านหนังสือในอังกฤษ  นี่แสดงให้เห็นถึงความ “คึกคัก”  ของความ “เป็นธุรกิจ”  ของไทยที่เหนือกว่าหรือไม่แพ้อังกฤษได้เหมือนกัน

นอกจากร้านค้าใหญ่โตหรูหราอย่างห้างแฮร็อดแล้ว  สิ่งที่น่าสนใจก็คือ  อังกฤษนั้นแทบไม่มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เลย  ร้าน “โชห่วย”  ที่มีเต็มบ้านเต็มเมืองนั้นเป็นร้านแบบครอบครัวที่ส่วนใหญ่บริหารโดยคนที่มีเชื้อสายอื่นเช่นอินเดียเป็นต้น  ดังนั้น  คุณภาพจึงสู้ร้านสะดวกซื้อของไทยไม่ได้แม้ว่าสินค้าจะมีค่อนข้างครบเหมือนกัน

สิ่งที่อังกฤษดีกว่าไทยมากจริง ๆ  นั้นผมคิดว่าอยู่ที่ระบบการเดินทาง  ระบบรางทั้งที่เป็นรถไฟบนดิน  ใต้ดิน  และรถบัส  นั้น  ต้องเรียกว่า “สุดยอด”   เพราะเราสามารถซื้อตั๋วรายวัน  รายสัปดาห์  หรือรายเดือน ที่ใช้บริการได้ทุกอย่าง  ดังนั้น  จะไปที่ไหนก็สะดวกและรวดเร็วมากด้วยราคาที่ไม่แพง

ผมคงต้องจบประสบการณ์สั้น ๆ  จากอังกฤษด้วยการบอกว่า  สิ่งที่เป็นข้อด้อยที่ผมพบที่อังกฤษนั้น   ผมไม่ได้พบในประเทศย่านเอเซียที่เจริญแล้ว  หลายประเทศในเอเซียที่ผมไปนั้น  ประสิทธิภาพคล้าย ๆ หรือดีกว่าประเทศไทย  นี่อาจจะเป็นการบอกให้เรารู้ว่า  เอเซีย  ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้นดีกว่าที่ตัวเลขรายได้ประชาชาติแสดงให้เห็นเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและอนาคตก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ   ดังนั้น  ค่าเงินบาทและค่าเงินของเอเซียที่แข็งค่าขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว  เพราะมันจะเป็นตัวบอกว่าเราไม่ได้จนและแย่กว่าประเทศพัฒนาแล้วมากขนาดนั้น  และดังนั้น  คนที่ “โวย” และต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลงจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผลกับพื้นฐานของประเทศและในระยะยาวแล้วก็คงจะฝืนไม่ได้

IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #87 เมื่อ: วันที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 15:33:18 »

การเงินที่เปลี่ยนไป
     นับตั้งแต่ผู้นำสหรัฐที่ชื่อนิกสัน  นำสหรัฐออกจากการค้ำค่าเงินด้วยทองคำ  โลกการเงินก็ได้เปลี่ยนไป  กล่าวคือ  ในสมัยก่อน  การที่เราจะพิมพ์เงินออกมาใช้และได้รับการยอมรับในเงินนั้นจากนานาประเทศ  เราต้องมีทองคำมาค้ำประกันว่า  เงินที่เราพิมพ์ออกมาใช้  มีการค้ำประกันด้วยทอง  เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้น  เราสามารถนำทองคำที่เราเก็บไว้  มาชำระหนี้แทนเงินที่เราพิมพ์ขึ้นมาได้  แต่เมื่อนิกสันออกมาประกาศว่า  รัฐบาลสหรัฐ  ไม่ต้องค้ำประกันค่าเงินด้วยทองคำอีกต่อไป  และสามารถพิมพ์ขึ้นมาได้ตามต้องการ  และหลังจากนั้น  มูลค่าเงินของสหรัฐ  ก็ถูกค้ำประกันด้วยภาษีของประชาชนแทน  เราจะสังเกตได้ว่า  ทุกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐต้องการเงินมากขึ้น  เขาก็จะขึ้นภาษีที่เก็บจากคนทำงาน  แต่การขึ้นภาษีนั้น  ถ้าไม่มีสิ่งตอบแทนให้กับประชาชน  เราจะได้เห็นการประท้วงเกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น  รัฐบาลจึงตอบแทนประชาชนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ในด้านการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่มีงานทำ  แต่นั่นก็เป็นระเบิดเวลาลูกโตที่รอวันแตก  เพราะค่ารักษาพยาบาลนั้น  มันมากมายเกินกว่าที่จะทดแทนด้วยภาษีได้  เพราะฉะนั้นแล้ว  รัฐบาลจึงแก้ปัญหาด้วยการออกพันธบัตร  (พันธบัตรคือ  การยืมเงินของประชาชน  และรัฐรับปากว่าจะใช้คืนให้เมื่อถึงกำหนดเวลาพร้อมดอกเบี้ย)  แต่เมื่อถึงเวลาครบอายุต้องไถ่ถอนพันธบัตร  รัฐบาลกลับไม่มีเงินที่จะมาซื้อพันธบัตรเหล่านั้นคืนกลับ  ดังนั้น  จึงแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มและไปซื้อพันธบัตรเหล่านั้นคืน  และปัญหาเหล่านี้ก็เกิดขึ้นวนซ้ำไปเรื่อยๆ  มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นในโลกนี้  เราจะสังเกตได้ว่า  สิ่งของต่างๆในโลก  ได้แพงขึ้นตลอดเวลา  ก็เนื่องจากสหรัฐนั่นเอง  และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า  ทำไมเราต้องลงทุน
     เมื่อเราทำงานเก็บเงินตามคำสอนของพ่อแม่  เราแน่ใจแล้วหรือว่า  เราจะใช้เงินนั้นเลี้ยงตัวเองไปได้ตลอดชีวิต  เพราะในโลกนี้มีเงินเฟ้อ  มันจึงทำให้เงินที่มีอยู่  ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ  มันจะดูแย่สำหรับคนที่ทำงานแล้วออมเงิน  เพราะว่า  เงินที่มันด้อยค่าลงไปทุกขณะ  มันจะทำให้คนที่ฝากเงินกลายเป็นผู้แพ้  แต่มันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เป็นหนี้  เพราะเรายืมเงินมาซื้อของในวันนี้  แต่ใช้คืนโดยเงินที่มีค่าน้อยกว่าให้กับเจ้าหนี้ในวันข้างหน้า  เพราะฉะนั้นแล้ว  มันจึงทำให้คนเป็นหนี้  กลายเป็นผู้ชนะไป  แต่การที่เราจะได้เปรียบในเหตุการณ์แบบนี้ได้นั้น  เราต้องรู้ด้วยว่า  การที่เราจะคงสภาพความได้เปรียบอย่างนี้  เราคงต้องมีความรู้พอสมควร  นั่นคือ  เราต้องรู้ด้วยว่า  เรายืมเงินมาซื้ออะไร  ที่มันจะสามารถเพิ่มค่าขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปตามภาวะเงินเฟ้อ  ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออสังหาริมทรัพย์นั่นเอง
     อสังหาริมทรัพย์  เป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่ธนาคารสามารถให้เรายืมเงินมาซื้อได้มากกว่าทรัพย์สินประเภทอื่น  และถ้าเรายืมเงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  เราก็จะยิ่งได้เปรียบทั้งในจำนวนหนี้ที่ต้องชำระในอนาคต  และในด้านการเพิ่มค่าขึ้นของทรัพย์สิน  และหากเรานำอสังหาพวกนั้นมาให้เช่า  ก็เท่ากับเรามีผู้มาชำระเงินแทนเราได้อีก  แต่เรายังสามารถครอบครองสิทธิ์ในทรัพย์เหล่านั้นอยู่  เมื่อเวลาผ่านไป  ค่าเงินด้อยลง  เราก็สามารถเพิ่มค่าเช่าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อได้  โดยที่เรายังส่งค่างวดในอัตราเท่าเดิม  เพียงเท่านี้  เราก็สามารถรักษาสถานะความได้เปรียบในโลกการเงินปัจจุบันนี้ได้แล้ว  แต่ถ้าเป็นการยืมมาซื้อรถยนต์เพื่อให้เช่า  ผมไม่นับว่าเป็นการลงทุนที่ฉลาด  เนื่องจากราคาของรถยนต์นั้นด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ   ส่วนคนที่มีเงินเก็บอยู่แล้วและไม่ต้องการเป็นหนี้  เราอาจจะเอาไปลงทุนทางอื่นได้อีกเช่น  ทองคำ
     ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า  ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ราคาของทองคำได้ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ  นั่นเป็นเพราะว่า  จำนวนทองคำบนโลกนี้มีจำกัด  เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลสหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้น  ราคาทองคำก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน  เพราะตลาดค้าทองคำนั้น  อยู่ที่สหรัฐ  แต่ผมไม่ชอบทองคำตรงที่  ในระหว่างที่เราถือครองมันอยู่  เราจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆในระหว่างที่ถือมันเลย  เราจะได้ผลตอบแทนก็ต่อเมื่อ  เราได้ขายมันออกไปในราคาที่สูงกว่าตอนซื้อมา  แต่ว่าทรัพย์สินชนิดนี้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์  สามารถนำไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก  มันจึงเป็นทรัพย์สินที่เป็นสากล  คนจึงนิยมลงทุนกันพอสมควร  และเป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องใช้ความสามารถด้านการเงินมากเท่าอย่างอื่นเช่น  หุ้น  เป็นต้น
     สำหรับหุ้นแล้ว  ใช้ความสามารถในการลงทุนมากพอสมควร  เพราะต้องมีความรู้ทางด้านการเงินช่วยประกอบการตัดสินใจในการลงทุน  และถ้าเราลงทุนในหุ้นที่ดีแล้ว  เราสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้สบายมาก  เพราะตามสถิติแล้ว  เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3 % ซึ่งเคยมีเซียนหุ้นบางท่านได้กล่าวไว้ว่า  เงินเฟ้อมาจากไหน  เงินเฟ้อก็มาจากการที่ข้าวของแพงขึ้นใช่ไหม  และถ้าของแพงขึ้นแล้วใครเป็นคนได้ประโยชน์  ก็ต้องเป็นคนที่ผลิตของพวกนั้นขายจริงไหม  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราอยู่ข้างเดียวกับผู้ประกอบการ  เงินเฟ้อก็ทำอะไรเราไม่ได้...  การลงทุนในหุ้น  เหมาะสำหรับคนที่ชอบประกอบธุรกิจ  แต่ขี้เกียจไปทำเอง  เพราะเรื่องมากและอีกจิปาถะ  หรือถ้าไปทำเอง  อาจทำได้ไม่ดีเท่าคนที่ทำอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ถ้าเราทำสู้เขาไม่ได้  เราก็ไปเป็นพวกเดียวกับเขาเลยจะดีกว่า  ดังนั้น  เราก็ศึกษาดูว่า  ธุรกิจอะไรที่เรามองออก  และเข้าใจธุรกิจนั้นดี  เราก็มองดูบริษัทที่เขากำลังทำธุรกิจนั้นอยู่และสามารถทำได้ดี  เราก็ซื้อหุ้นของเขา  ข้อห้ามสำหรับผมก็คือ  ผมจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ผมไม่เข้าใจการทำธุรกิจนั้น  เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว  ผมไม่สามารถเห็นอนาคตได้  ยกตัวอย่างเช่น ผมซื้อหุ้นของ 7-11  เพราะผมเข้าใจดีว่า  เขาเป็นพ่อค้าที่ขายทุกอย่างที่สามารถขายได้  และใน 7-11 ทุกสาขาไม่จำเป็นต้องมีสินค้าที่เหมือนกันเสมอไป  ดังนั้น  การทำธุรกิจของเขาจึงมีความยืดหยุ่นสูง  และในประเทศไทยทุกวันนี้  ยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งที่สูสีกัน  เพราะฉะนั้น  ผลกำไรจากการดำเนินงานก็ยังมีกำไรดีอยู่  และส่วนที่ดีอีกอย่างก็คือ  เขายังไม่หยุดโต  เขายังสามารถขยายสาขาเพิ่มได้อีก  ดังนั้น  แสดงว่าผลกำไรในอนาคตยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกจากปัจจุบัน  ส่วนธุรกิจที่ผมไม่เข้าใจเช่นปิโตรเคมี  ผมมองไม่เห็นอนาคตเลย  ซึ่งหมายถึงว่า  ผมไม่รู้ว่าปิโตรเคมีคืออะไร  มันมีกี่ชนิด  นำไปทำอะไรได้บ้าง  และมีคู่แข่งเยอะไหม  การทำกำไรเป็นอย่างไร  ขายให้ใครได้บ้าง  ราคาซื้อขายในตลาดอิงกับอะไร  ถ้ามันออกมาในลักษณะนี้แล้ว  ผมจะไม่ซื้อหุ้นนั้นเลย  เพราะผมไม่เข้าใจมัน  ถ้าเราจะซื้อหุ้น  เราต้องสร้าง  “ขอบเขตความรอบรู้”  และอยู่ในขอบเขตนั้น  และเราอย่าเสียดายกับโอกาสที่เกิดขึ้นนอกขอบเขตความรอบรู้ของเราเช่น  เมื่อเห็นหุ้นปิโตรเคมีวิ่งหน้าตั้ง  แต่เราไม่รู้ว่ามันขึ้นเพราะอะไร  เราก็อย่าไปเสียดายกับสิ่งที่เราไม่รู้จักมันเลยจะดีกว่า
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #88 เมื่อ: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2010, 16:16:55 »

กระจายความเสี่ยง
     การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนั้น  ควรจะลงทุนให้หลากหลายในทรัพย์สินหลายประเภทเช่น  เงินฝาก  สลากออมสิน  พันธบัตร  ทองคำ  อสังหาริมทรัพย์  และหุ้น  แต่หลายๆคน  ลงทุนในทรัพย์สินประเภทเดียวเช่นหุ้น  แต่ทำการซื้อหลายๆตัว  เพราะคนพวกนี้มีความคิดว่า  อย่าเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว  จริงๆแล้ววิธีการแบบนี้  น่าจะเรียกว่า"กระจัดกระจาย"มากกว่า  เนื่องจากว่า  เวลาที่หุ้นขึ้นหรือลงแล้ว  มันก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  ซึ่งเวลามันตก  มันก็มักจะตกพร้อมๆกัน  เพราะฉะนั้นแล้ว  มันจึงเป็นภาระให้กับเรามากกว่า  เนื่องจากว่า  เราจะขายหุ้นหลายตัวในเวลาพร้อมๆกันไม่ค่อยทัน  กลยุทธ์ที่คนอื่นว่าเสี่ยง  แต่ผมกลับคิดว่าไม่เสี่ยงนั่นก็คือ  การลงทุนแบบ"โฟกัส"  ถ้าถามว่าการลงทุนแบบนี้เสี่ยงเป็นพิเศษไหม  เพราะถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่เพียงบริษัทเดียว  ก็อาจทำให้เราเจ็บหนักมากกว่าลงทุนในหลายๆบริษัท  คำตอบอาจจะใช่ก็ได้  แต่การลงทุนในตลาดหุ้น  มันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเราอยู่แล้วว่า  เราต้องรู้จักสิ่งที่เราลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน  เหมือนถ้าคุณจะซื้อรถยนต์  แต่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถที่คุณจะซื้อเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่า  เป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยฉลาดเลย
     เวลาเราบอกว่าจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนชนิดเดียวกัน มันดูคล้ายกับว่า  เราไปที่ร้านขายรถมือสองแล้วถามเซลล์ว่า  ถ้าผมซื้อรถไปแล้วใช้ไม่ได้ล่ะ  เซลล์ก็จะแนะนำว่า  คุณควรกระจายความเสี่ยง  ด้วยการซื้อรถหลายๆคัน  เพราะถ้าหากว่าคันหนึ่งเสีย  ก็ยังเหลือรถคันอื่นที่ยังใช้งานได้อยู่
     การตอบสนองของทรัพย์สินแต่ละประเภทในแต่ละสถานะการณ์นั้นไม่เหมือนกัน  เช่นถ้าดอกเบี้ยขึ้น  คนที่ฝากเงินจะได้ประโยชน์มากขึ้น  แต่คนที่ลงทุนในพันธบัตรจะเสียประโยชน์  เนื่องจากดอกเบี้ยในพันธบัตรนั้นระบุดอกเบี้ยไว้คงที่  ซึ่งคนที่ถือพันธบัตรจะไม่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่กำลังขึ้น  หรือว่าจะเป็นตลาดหุ้น  ซึ่งก็จะเสียประโยชน์ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากว่าผู้ประกอบการต่างๆในตลาดหุ้นที่กู้เงินมาทำธุรกิจ  จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น  จึงอาจทำให้จ่ายปันผลได้น้อยลง  และสำหรับคนที่จะนำเงินไปซื้อหุ้น  ก็จะเสียโอกาสทางการเงินด้วย  เพราะถ้าเขาเอาเงินไปฝากในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น  เขาก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด  เพราะฉะนั้น  การกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ควรทำ  แต่ต้องมีให้ต่างชนิดกัน  และตอบสนองต่อตัวแปรที่ต่างกัน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #89 เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2010, 16:31:29 »

วินโดว์เดรสซิ่ง
     ทุกวันปิดท้ายไตรมาสในตลาดหุ้น จะเป็นช่วงเวลาของสิ่งที่วงการเรียกกันว่า วินโดว์ เดรสซิ่ง ซึ่งมักจะทำให้ราคาปิดหุ้นจำนวนมากในตลาดดูดีกว่าปกติเสมอ แต่หลายต่อหลายครั้ง สถานการณ์ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะอาจจะมีลูกเล่นที่ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนได้

คำถามก็คือ แล้วนักลงทุนรายย่อย จะเรียนรู้เพื่อที่จะจับได้ไล่ทันว่า จะมีวินโดว์เดรสซิ่งเพื่อทำกำไรระยะสั้นได้หรือไม่

คำถามดังกล่าว ต้องย้อนกลับไปที่รากเหง้าของพฤติกรรมวินโดว์ เดรสซิ่ง

คำคำนี้ แรกเริ่มเดิมที มาจากศัพท์ที่ใช้กันในงานแต่งหน้าร้านของร้านค้าปลีก หรือร้านขายสินค้าแฟชั่นทั้งหลาย ที่พยายามตกแต่งหน้าร้านให้สวยหรูชวนฝัน เพื่อหลอกล่อให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนเดินเข้าไปชมสินค้าภายในร้าน

ความหมายแรกเริ่มก็คือ การแต่งหน้าร้านนั่นเอง

เมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้เปรียบเทียบโดยนักการเงิน สาระก็ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกัน นั่นคือ การตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดีเกินจริงชั่วคราว

ในทางการเงิน ความหมายของวินโดว์ เดรสซิ่ง มีความแตกต่างกันระหว่างในวงการบัญชี กับวงการหุ้น

ในวงการบัญชี ความหมายของวินโดว์ เดรสซิ่ง คือ การแต่งบัญชี ซึ่งมีความหมายทางลบ โดยถือเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า ?ลับลวงพราง? (Trojan Horse Tactic) โดยการเคลื่อนย้ายตัวเลขทางบัญชีในงบการเงินทุกอย่างเพื่อให้ดูดีเกินจริง ทำให้ดูเหมือนว่าบริษัทดูดี

ส่วนใหญ่แล้ว กรรมวิธีวินโดว์ เดรสซิ่งทางบัญชีนี้ จะใช้กับกิจการที่มีปัญหาทางการเงิน และความสามารถของผู้บริหารหย่อนยาน จึงต้องใช้เล่ห์เพทุบายที่ฉ้อฉลทำให้ตัวเลขสวยงามเกินจำเป็นเพื่อปิดบังความไม่ปกติของกิจการ

วิธีการทางบัญชีที่นิยมใช้ในการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ประกอบด้วยหลายวิธีคือ 1.ซื้อหรือเช่าคืน 2.กู้เงินระยะสั้น 3.สร้างลูกหนี้เทียม 4.เอาตัวเลขขายสินค้าล่วงหน้ามาบันทึกลงบัญชีก่อน 5.เปลี่ยนนโยบายค่าเสื่อมราคา 6.เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ และ 7.ปรับเปลี่ยนมูลค่าสินค้าคงค้าง

กิจการใดที่ถูกตรวจสอบพบว่า มีการทำวินโดว์ เดรสซิ่งทางบัญชี ถือว่า เป็นกิจการที่ต้องระมัดระวังการฉ้อฉลและสุ่มเสี่ยงล้มละลายได้ง่าย ดังเช่นกรณีของกลุ่มเอนรอนของอเมริกา ที่ใช้วิธีควบรวมกิจการและสร้างหนี้พร้อมกันขยายสินทรัพย์ใหญ่โตจนดูดีเกินเหตุ ก่อนที่จะล้มลงอย่างกะทันหัน

ในวงการหุ้น วินโดว์ เดรสซิ่ง ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่เกิดขึ้นในวงการบัญชี เพราะคนที่ชอบใช้และจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์นี้ จะเป็นพวกผู้จัดการกองทุนทั้งหลายที่ลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนเมื่อวันสิ้นงวดแต่ละไตรมาสดูดี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือกองทุนนั้นๆ เพราะมันเกี่ยวข้องกับโอกาสในการไถ่ถอน

ผลงานที่วัดกันได้จากวันสิ้นงวดไตรมาสของกองทุนแต่ละชนิด คือความจำเป็นที่จะต้องสร้างวินโดว์ เดรสซิ่งขึ้นมา ดังนั้น สิ่งที่จะต้องแต่งหน้าตาของมูลค่าสินทรัพย์ให้ดูดีก็จึงเกิดขึ้น

วิธีการแต่งหน้าตา ก็คือการปรับพอร์ตการลงทุนที่มีทั้งขายและซื้อพร้อมกัน โดยผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือการที่ทำให้มูลค่าของหน่วยลงทุนหรือสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย สวยงามมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเปรียบเทียบกับผลงานในไตรมาสก่อนหน้า หรือระยะเดียวกันปีก่อน

ที่ต้องทำก็เพราะว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของหน่วยลงทุนของกองทุนแต่ละแห่งนั้น เขาวัดกันที่ราคาตลาดของหุ้น (มาร์ก ทู เดอะ มาร์เกต-mark to the market) เป็นสำคัญ

การปรับพอร์ต? กลยุทธ์ ?ปรับเปลี่ยน? (switching strategy) ก็คือ การเร่งขายหุ้นที่มีผลประกอบการไม่ดี หรือซื้อมาแล้วขาดทุนออกไป แล้วซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดีหรือมีอนาคตสดใสเข้ามาแทนที่ หรือกำลังจะประกาศผลประกอบการที่ดีเป็นพิเศษในช่วงใกล้สิ้นไตรมาส

การปรับพอร์ตถือหุ้นมีอนาคตสดใสขึ้น ละทิ้งหุ้นที่มีอนาคตย่ำแย่ออกไปจากมือ เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ใช่เรื่องประหลาด และไม่ควรจะถือเป็นเรื่องของการฉ้อฉลแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่มายาคติของนักลงทุนที่ไม่เข้าใจในกลยุทธ์การปรับพอร์ตของผู้จัดการกองทุน ทำให้เข้าใจกันผิดๆ ต่อเนื่องมาว่า การทำวินโดว์ เดรสซิ่งคือการดันราคาหุ้น หรือการเข้าซื้อทางเดียวของกองทุนเพื่อให้หุ้นราคาวิ่งแล้วตัวเลขกองทุนดูดีกว่าปกติ

ความไม่เข้าใจเช่นนี้ ทำให้คนเชื่อกันว่า เมื่อวันสิ้นงวดไตรมาสทุกครั้ง ดัชนีตลาดหรือหุ้นบลูชิพทั้งหลายในตลาดจะต้องถูกดันราคาหุ้นสูงขึ้น

หากว่าข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับความเชื่อ คนที่เข้าใจผิดทั้งหลายก็จะพาลเข้าใจอีกว่า ไตรมาสนั้นไม่มีการทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ทั้งที่โดยความเป็นจริงเบื้องลึกแล้ว การทำวินโดว์ เดรสซิ่งได้กระทำตลอดเวลา

การทำวินโดว์ เดรสซิ่งเพื่อปรับพอร์ตลงทุนให้ดูดี กับราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้น จึงอาจจะมีทิศทางเดียวกัน หรือขัดแย้งกันได้

การหาประโยชน์จากธุรกรรมวินโดว์ เดรสซิ่งในตลาด จึงอยู่ที่จะต้องจัดการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการล่วงหน้าสวยงามกว่าระยะเดียวกันปีก่อน หรือดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา หรือมีราคาต่ำกว่าบุ๊คเก็บเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรอให้ผู้จัดการกองทุนเข้ามาซื้อเพื่อปรับพอร์ตในเวลาก่อนสิ้นไตรมาส

แล้วก็ควรจะรีบขายหุ้นเน่า แม้จะเป็นหุ้นบลูชิพที่คาดว่าจะมีผลประกอบการย่ำแย่ลง ออกไปจากมือ ก่อนที่บรรดาผู้จัดการกองทุนจะขายก่อน

คำว่า ?ให้ดูดี? ของการทำวินโดว์ ?เดรสซิ่ง จึงไม่ใช่ความหมายของการไล่ซื้อหุ้นอย่างเดียวตามที่เข้าใจกัน

ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่ชาญฉลาด ก็คงจะต้องดูด้วยว่า ทิศทางการถือลงทุนในพอร์ตลงทุนของบรรดาผู้จัดการกองทุนนั้น มุ่งไปทางทิศใด เช่น ก่อนจะสิ้นไตรมาส กองทุนมีการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตจำนวนมากผิดปกติ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจะทำวินโดว์ เดรสซิ่งตอนปิดไตรมาส ก็น่าจะเป็นการขายออกเพื่อ ?ตัดขาดทุน? ซึ่งเป็นการทุบราคามากกว่า

ส่วนในกรณีตรงกันข้าม ก็อาจจะหมายถึงการดันราคาหุ้นจริง

ความเข้าใจในเรื่องวินโดว์ เดรสซิ่งของตลาดหุ้น จึงไม่ได้หมายความถึง การปั้นแต่งราคา แต่เป็นการปั้นแต่งพอร์ตลงทุนต่างหาก

ในตลาดหุ้นไทย ความเชื่อว่า การทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ในช่วงไตรมาสแรกและสองจะมีการทำน้อยมาก แต่จะทำกันประจำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี กลายเป็น ?ปรากฏการณ์ธันวาคม? (January Effect)

ความเชื่อเช่นนี้จะจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องสังเกตกันเอาเอง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #90 เมื่อ: วันที่ 25 พฤศจิกายน 2010, 16:19:17 »

P/E  เรโช
     คำว่า P/E  เรโช มาจากการวัดราคาหุ้นในตลาดว่าถูกหรือแพง  ซึ่งได้จาก  การนำราคาหุ้นหารผลตอบแทน  เมื่อได้ตัวเลขออกมาก็จะเรียกกันเป็นเท่า  เช่น ราคาหุ้น 10  บาท  แต่ให้ผลตอบแทนปีละ 1 บาท  เพราะฉะนั้น  10/1  ได้ 10  ซึ่งความหมายก็คือ  เราต้องถือหุ้นนั้นเป็นเวลา  10  ปี  จึงจะคุ้มทุนเท่ากับเงินลงทุนเริ่มแรกของเรา  แต่ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้  มักจะเพิ่มขึ้นทุกปี  เพราะฉะนั้นแล้ว  ค่า PE ในวันนี้  ไม่สำคัญเท่าค่า  PE ในอนาคต  โดยส่วนตัวแล้ว  ผมไม่ค่อยมองที่ค่า PE  มากนัก  ผมจะดูที่การเติบโตของบริษัทมากกว่า  เพราะเมื่อผลตอบแทนในอนาคตเพิ่มขึ้น ค่า PE  ก็จะลดลงมาเอง  หรือในอีกลักษณะหนึ่ง  ถ้าตลาดจะให้ค่า  PE  เท่าเดิม  ราคาหุ้นก็ควรจะเพิ่มขึ้นครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
jomyoot
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 93


~เป้าหมายมีไว้ให้ไขว่คว้า~


« ตอบ #91 เมื่อ: วันที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 06:55:01 »

ผมสนใจลงทุนหุ้นที่มีเงินปันผลครับ งบที่ลงทุน50k-100k หรือมากกว่า

(อยากลองเม็ดเงินไม่มากลงทุนไปก่อนน่ะครับ ดูผลตอบกลับว่าเป็นไงบ้าง)

รบกวนพี่ๆที่มีความรู้ ช่วยแนะนำ ช่วยให้ความรู้หน่อยนะครับ ว่าคุ้มค่าเงินไหม

หรือต้นลงทุนมากๆ ถึงจะได้เงินปันผลเยอะๆ ผมต้นครับ 086-9124262 ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #92 เมื่อ: วันที่ 26 พฤศจิกายน 2010, 11:14:30 »

ตอบคุณจอมยุทธ์
     ถ้าชอบแบบปันผลเยอะๆก็ต้อง ADVANC ครับ  เขาทำมือถือค่าย AIS อยู่  ทุกวันนี้ปันผล 100 % ครับ!!!  พูดง่ายๆว่า หามาได้เท่าไหร่  จ่ายปันผลอย่างเดียว  และจ่ายดีด้วย  ปีนึงไม่ต่ำกว่า 6.30 บาท  ช่วงนี้ราคาหุ้นตกลงมา  เหลือไม่ถึง 90 บาทแล้ว  ถ้าจะเอาปันผล  ก็น่าเก็บครับ  และถ้า 3G เกิดล่ะก็  คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น  แต่ถ้าชอบแบบโตเร็ว  ผมชอบ CPALL มากครับ  เพราะขยันเปิดสาขาเหลือเกิน  และยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งที่ใกล้เคียงด้วย  หรือถ้าชอบแบบตามวงจร  ก็เลือกหุ้นที่แบบว่า  เวลาเศรษฐกิจดีแล้วมักจะดีตามเช่น  รถยนต์  มือถือ  หรือของฟุ่มเฟือยต่างๆครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #93 เมื่อ: วันที่ 01 ธันวาคม 2010, 15:48:15 »

     อย่าเรียกท่านเลยครับ  ผมไม่ได้รวยสักหน่อย  ถ้าอยากถามก็ถามในห้องกระทู้นี้เลยครับ  เพราะจะได้เผื่อแผ่ความรู้ให้ท่านอื่นด้วย  และตัวผมเอง  ไม่ค่อยได้เข้าใช้เนตบ่อย  ถึงให้เมลไป  ผมก็ไม่ค่อยได้ดู  เวลาผมจะเล่นเนต  ผมก็จะเข้าเว็ปนี้ก่อนครับ  สงสัยอะไรก็ถามได้  เพราะบางที  เราจะได้รู้มุมมองจากท่านอื่นๆด้วย  ซึ่งมันก็มีประโยชน์กับทุกคน  ไม่ต้องอายครับ  คนเราก็ต้องไม่รู้มาก่อนทั้งนั้น  อย่างน้อย...เราก็ยังดีที่ได้เริ่มก่อนคนอื่นแล้ว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Bluebird
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 422


« ตอบ #94 เมื่อ: วันที่ 01 ธันวาคม 2010, 16:17:12 »

คุณวายุค่ะ ขอความคิดเห็นด้วยค่ะ คือแพลนไว้ว่าอีกสี่เดือนข้างหน้าจะลาออกงานประจำแต่ยังคิดไม่ตกว่าจะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญดี อยากมีเงินเย็นไว้เล่นหุ้นด้วยเผื่อลาออกมาแล้วมีเวลาว่าง ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #95 เมื่อ: วันที่ 02 ธันวาคม 2010, 16:04:46 »

ตอบคุณบลูเบิร์ด
     จริงๆแล้ว  การใช้เงินของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  เพราะมีหลายๆปัจจัยที่เป็นแบบนั้นเช่น  เป็นคนชอบเก็บออม  เป็นคนขี้สงสาร  เป็นคนหน้าใหญ่  เป็นคนชอบช็อปปิ้ง  ฯลฯ  และแต่ละคน  ใช้เงินวันหนึ่งไม่เท่ากัน  เพราะฉะนั้นแล้ว  เราต้องรู้ตัวเองดีที่สุดว่า  เราต้องการอะไร  ผมจะไม่ตอบว่าคุณจะรับเงินแบบไหน  เพราะคุณย่อมรู้ใจคุณเองดีที่สุด  แต่ถ้าเป็นการเล่นหุ้น  คุณก็ควรรู้อีกว่า  คุณเป็นคนแบบไหน  เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดสไตล์การลงทุนของคุณเองเช่น  ถ้าเป็นคนไม่ชอบตามตลาด  ก็ควรลงทุนในหุ้นปันผลสูงๆ  เพราะไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง  หุ้นนั้นก็ปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอเช่น  หุ้นของแอดวานซ์  เขาทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือค่าย 1-2-CALL  และนโยบายปันผล  ให้สูงถึง 100 %  ในปีหนึ่งๆ  เขาจะจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 6.30 บาท ราคาหุ้นช่วงนี้ประมาณ 90 บาท เมื่อเอาผลตอบแทนมาหารราคาหุ้น  ได้ผลตอบแทน 7 % ต่อปี  ซึ่งก็สูงกว่าเงินฝากมาก  และในปีนี้  เขาปันถึง 3 รอบ  รวมกันแล้วเป็นเงินที่ได้ต่อหุ้นถึง 17.3 บาท  เมื่อคิดเป็นผลตอบแทนได้เท่ากับ 19 % กว่าๆ  ซึ่งก็ดีมากๆเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝาก
     แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้  และมีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด  หุ้นที่หวือหวาคงจะเหมาะกับคุณเช่น  หุ้นน้ำมัน  ถ่านหิน  ฯลฯ
     ถ้าสนใจเรื่องหุ้นยังไงแล้ว  เอาไว้คราวหน้าเราค่อยมานั่งคุยกันก็ได้ครับ  บางทีผมอาจแนะนำกลเม็ดเคล็ดลับในการดูตัวหุ้น  จังหวะเข้าซื้อ  การลดต้นทุนของราคาหุ้น  ใช้ความผันผวนให้เป็นประโยชน์  และอีกหลายอย่าง  ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #96 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2010, 18:34:41 »

ตอบคุณบลูเบิร์ด
     สมมติถ้าคุณจะลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศไทย  แต่ตัวคุณอยู่ต่างประเทศ  คุณก็สามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านทางเว็บของโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าได้เลยครับ  ถ้าสนใจรายละเอียดมากกว่านี้  ก็ลองไปสอบถามดูที่โบรกเกอร์ครับ

ตอบคุณT2K
     จริงๆแล้วการที่คุณมาขอความเห็นจากผมคนเดียว  อาจจะเป็นอันตรายกับตัวคุณเองก็ได้นะครับ  เนื่องจากว่า  ผมจะให้คำปรึกษาในมุมมองของผมคนเดียวเท่านั้น  ซึ่งบางที  ข้อมูลที่ผมรู้มา  อาจจะล้าสมัยไปแล้ว  ซึ่งนั่นหมายถึง  เราได้พลาดอะไรบางอย่างไป  ผมแนะนำให้คุณถามมาที่ห้องกระทู้นี้เลยดีกว่าครับ  เพราะบางที  อาจจะมีผู้รู้ท่านอื่นมาบอกข้อมูลหลายอย่าง  ซึ่งบางทีผมอาจจะไม่รู้และหลายคนก็ไม่รู้เหมือนกัน  เป็นการแบ่งปันข้อมูลกันดีกว่านะครับ
     ยกตัวอย่างเช่น  คุณถามว่าหุ้นแอดวานซ์เป็นยังไงบ้าง  ผมก็อาจจะตอบว่า  เป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งในความเห็นของผม  เนื่องจากว่า  มีผู้ประกอบการน้อยราย  เพราะต้องขอสัมปทาน  และตำแหน่งในตลาดของเขาก็เป็นอันดับหนึ่ง  เพราะมีลูกค้าอยู่ในมือมากที่สุด  ส่วนลักษณะธุรกิจ  สินค้าของเขาก็เป็นของที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน  และผมเชื่อว่า  สมัยนี้จะหาคนที่ไม่มีมือถือคงน้อยมาก  แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเรื่องหนึ่งคือ  มันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวของธุรกิจแล้ว  แต่ธุรกิจของเขาดีตรงที่  เสาโครงข่ายตั้งไปมากแล้ว  ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ลงทุนเพิ่มมากนัก  เพราะฉะนั้น  รายได้ที่เข้ามาในตอนนี้  จึงไม่ค่อยได้นำไปใช้อะไร  มันจึงเหลือเป็นเงินปันผลเยอะ  และในประเด็นของ 3G  ถ้ามันไม่เกิดก็ไม่เป็นไร  เนื่องจากว่า  ถ้ายังไม่เกิด  เขาก็ยังไม่ต้องลงทุนเพิ่ม  เพราะฉะนั้น  เงินปันผลก็จะจ่ายในระดับสูงต่อไป  แต่ถ้ามันเกิด  อันนี้มันก็จะต้องลงทุนเพิ่ม  อาจจะทำให้ปันผลลดลง  แต่หลังจากลงทุนไปแล้ว  ก็จะทำให้มีลูกค้าใหม่ๆเพิ่มเข้ามา  แม้แต่คนใบ้หรือหูหนวกก็จะสามารถใช้โทรศัพท์ได้แล้ว  เพราะฉะนั้น  เมื่อวิเคราะห์แล้ว  ในความเห็นของผม  จึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนตัวหนึ่งครับ   นี่เป็นตัวอย่างนะครับ  ผมไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นตัวนี้  เพราะแต่ละคนมีความรอบรู้ไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน  ยังไงแล้วก็ถามมาที่กระทู้นี้แหละครับดีที่สุด  บางทีข้อมูลที่ผมได้บอกไป  อาจมีผู้รู้ท่านอื่นเข้ามาบอกข่าวให้เรารู้ตัวได้เช่น  อาจมีคนมาบอกว่า  อายุสัมปทานใกล้หมดแล้ว  และรัฐบาลไม่ต่อสัญญาให้  อันนี้ถือเป็นข่าวร้ายครับ  ถ้าเรากำลังจะลงทุน  หรือลงทุนไปแล้ว  เราจะได้กลับตัวได้ทัน  ยังไงก็ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #97 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2010, 14:04:59 »

ตอบคุณT2K
     จริงๆแล้วความเสี่ยงมันมีทุกที่แหละครับ  แต่ถ้าเป็นการซื้อขายรายวันเค้าเรียกว่า"เทรด"   ซึ่งในความหมายแล้วมันไม่ใช่การลงทุนนะครับ  แต่เป็นการพนันมากกว่า  ซึ่งข้อเสียของการเทรดก็คือ  คุณจะเสียค่าคอมฯมาก  เสียสุขภาพจิต  และไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น  เพราะคุณต้องนั่งเฝ้าตลาดอยู่ตลอดเวลา  ผมเคยเห็นคนที่เทรดหุ้นแบบนี้  ดูแล้วเขาไม่มีความสุขในชีวิตเลย  ขนาดจะลุกไปเข้าห้องน้ำยังกลัวหุ้นตกแล้วขายไม่ทัน  หรือบางทีอย่างนี้ก็อาจจะนับเป็นการลงทุนได้เหมือนกัน  แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้ได้กำไร  แต่ถ้าคุณรู้เรื่องเงินสี่ด้านในหนังสือพ่อรวยสอนลูกแล้ว  คุณจะรู้ว่า  การทำแบบนี้  อยู่ในด้านซ้ายของเงินสี่ด้าน  เพราะถ้าคุณ"ไม่ทำ" คุณก็ "ไม่ได้"  แล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน  ระหว่างไม่ทำก็ไม่ได้  หรืออยู่เฉยๆแล้วได้ตังค์  ถ้าเป็นการลงทุนแบบคนด้านขวาแล้ว  เขามักจะทำอย่างหลังมากกว่า  เพราะเขาให้เงินไปทำงานแทนเขา  โดยที่เขาอยู่เฉยๆ  หรืออาจจะทำอะไรที่เขาอยากทำเช่น  ท่องเที่ยว  ตกปลา  จีบสาว  หรือนอนหลับ  เป็นต้น  นั่นคือความหมายของ "นักลงทุน"  ครับ  เอาไว้เดี๋ยวผมจะลงความรู้ให้อ่านอีกทีแล้วกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #98 เมื่อ: วันที่ 08 ธันวาคม 2010, 16:03:30 »

การทำกำไรจากราคาหุ้น
     ทุกครั้งที่คุณลงทุนโดยคาดหวังว่า  ราคาหุ้นที่คุณซื้อจะมีราคาสูงขึ้น  นั่นคือการพนันแบบหนึ่ง  ซึ่งผมไม่ได้บอกว่านี่คือเรื่องผิด  สิ่งสำคัญอยู่ที่คุณจะต้องรู้ว่าเป้าหมายในการลงทุนของคุณคืออะไร

ทำไมไม่ค่อยมีคนสนใจลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสด
     คำถามมีอยู่ว่า  ถ้าคุณให้เงินผม 10 บาทในวันนี้  แล้วผมจะคืนให้คุณปีละ 1 บาท  คุณคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมคิดว่าคุณตอบว่าใช่  นั่นหมายความว่า  คุณจะได้เงิน 10 บาทคืนภายในเวลา 10 ปี  หลังจากนั้นก็จะได้เงินมาฟรีๆทุกปี

ทำไมคนจึงนิยมซื้อขายหุ้นเพื่อทำกำไร
     ถ้าการซื้อและขายเพื่อให้ได้กำไรจากส่วนต่างเป็นการเสี่ยงแล้ว  ทำไมจึงมีคนนิยมซื้อขายหุ้นเพื่อทำกำไร  คำตอบก็คือ  เพราะว่าอยากรวยเร็วน่ะสิ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  นักลงทุนเอกของโลกเคยกล่าวไว้ว่า  เหตุผลที่งี่เง่าที่สุดในการซื้อหุ้นก็คือ  หวังว่ามันจะขึ้น  นักลงทุนส่วนมากลงทุนโดยหวังกำไรจากส่วนต่างของราคา  ดังนั้นบรรดานักวิเคราะห์จึงมักให้คำแนะนำผู้คนให้ลงทุนแบบนี้  จนทำให้นักลงทุนส่วนมากคิดว่าการลงทุนเป็นความเสี่ยง

     จริงๆแล้วสิ่งที่ผมอยากแนะนำก็คือ  ก่อนที่เราจะลงทุนซื้อหุ้น  เราควรดูที่เงินปันผลก่อนเป็นอันดับแรก  เพราะเราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้ถูกต้องทุกครั้งหรอก  ฉะนั้นแล้ว  ถ้าหุ้นที่เราซื้อ  มีเงินปันผลรองรับไว้อยู่  ถึงแม้ราคาหุ้นจะตกลงไปมาก  เราก็ยังได้รับประกันการคืนเงินอยู่  เมื่อคุณลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสด  คุณกำลังลงทุนเพื่อรับประกันการคืนเงิน  ถ้าคุณลงทุนเพื่อต้องการกำไรจากส่วนต่างราคา  คุณกำลังลงทุนบนความหวัง  นักลงทุนที่ชาญฉลาด จะลงทุนเพื่อวันนี้  กล่าวคือ  เขาจะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในวันนี้ทันทีที่เขาลงทุนไป  ไม่ใช่ลงทุนโดยหวังว่า  พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะขึ้น  คนที่ลงทุนเพื่อวันพรุ่งนี้  จะทำให้เขากลายเป็นนักพนัน  มีหลายคนที่นั่งคอยดูตลาดหุ้นขึ้นลง  พวกเขามีความสุขเมื่อตลาดหุ้นขึ้น  และผิดหวังเมื่อมันลง  คนเหล่านี้จริงๆแล้วเป็นนักลงทุนที่ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคา  พวกเขาถูกเรียกว่า  นักลงทุนตามเทคนิค  จากปรัชญาของนักลงทุนกลุ่มนี้  ทำให้หุ้นมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนคนอื่นๆ  ผมสนับสนุนให้มองการลงทุนเหมือนการทำธุรกิจ  เมื่อคุณพบธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและจ่ายเงินสดให้คุณสม่ำเสมอ  ให้รักษามันไว้  การลงทุนบนราคาหุ้น  คือการลงทุนบนความเห็น  ซึ่งราคานั้นมันอาจจะไม่สมเหตุผลก็ได้  ผมเคยเห็นหุ้นหลายๆตัว  มีกำไรแต่ไม่เคยจ่ายปันผลเลย  แล้วอย่างนี้  จะถือมันไว้ทำไม  ในความเห็นของผม  ราคาหุ้นเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น  เพราะราคาหุ้นนั้นมีขึ้นมีลง  ถ้าเราไม่รู้จักขายทำกำไรออกไป  เราก็จะไม่ได้อะไรเลย  แต่ถ้าเป็นเงินปันผลแล้ว  ถึงเราไม่ได้เฝ้าดูตลาดหุ้น  ก็ยังมีเงินไหลเข้ามาหาเราไม่ขาด

หาอาชีพให้เงินของคุณ
     ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณอ่านเพื่อเป็นแนวทางการทำเข้าใจนะครับ  เรื่องนี้เป็นบทสนทนาระหว่างผู้ให้คำปรึกษา  กับผู้สอบถาม  โดยจะสมมติแทนเป็นตัวเลขแล้วกันนะครับ  โดยผู้ให้คำปรึกษาใช้เลข 1  และผู้สอบถามใช้เลข 2
2:คุณคือคนที่บอกให้ผู้คนเอาเงินไปลงทุนใช่ไหม
1:ครับ
2:ผมกำลังจะออกจากงาน 3 เดือนข้างหน้านี้  และผมต้องการให้เงินของผมงอกเงย  เพราะหลังจากนี้ผมจะไม่มีรายได้  คุณช่วยผมได้หรือไม่
1:ผมช่วยคุณได้ถ้าคุณพร้อมที่จะเรียนรู้การเป็นนักลงทุน
2:ผมต้องใช้เงินเพื่อการเรียนรู้เท่าไหร่
1:ขึ้นอยู่กับคุณ  คุณมีเงินที่จะลงทุนแค่ไหนล่ะ
2:ผมมีเงินเก็บอยู่ 18000  มีบ้านเล็กๆและรถยนต์ที่ผ่อนหมดแล้ว  ไม่มีหนี้สินอะไร  ผมเป็นวิศวกรในบริษัทเล็กๆ  แต่โชคร้ายที่บริษัทไม่ค่อยเติบโต  โดยส่วนตัวแล้วผมก็ชอบงานที่ทำอยู่  แต่เงินเดือนน้อยไปนิด  และดูเหมือนว่าจะไม่มั่นคง
1:ภายใต้ความเงียบวูบนั้น  ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดหลังจากที่เขาพูดจบลง  ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างจากความเจ็บปวดของใครหลายคนที่มองหางานทำหลังจากเกษียณ  ผมตอบเขาว่า  บางทีนี่อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่คุณจะลาออกจากงาน  ทำไมคุณไม่ฝากเงินไว้ในธนาคาร  แล้วทำสิ่งที่คุณอยากทำ
2:ผมรู้ตัวดี  ผมรู้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าผมต้องลงทุน  ผมไม่สามารถโกหกตัวเองว่าสามารถทำงานหาเงินได้ตลอดไป  วันหนึ่งผมก็ต้องหยุดทำงาน  มันน่ากลัวเมื่อคิดว่าผมซึ่งเป็นคนที่มีการศึกษา  วันหนึ่งต้องกลายเป็นภาระของสังคม  เพียงเพราะว่าไม่สามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้  ทุกวันนี้ผมจึงทำงานหนัก  แต่ผมรู้ดีว่าวันที่ผมไม่สามารถทำงานได้จะต้องมาถึง
1:คราวนี้เราสองคนเงียบไปพักใหญ่  นั่นเป็นเพราะว่า  ผมไม่มีคำตอบง่ายๆเหมือนปาฏิหาริย์ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น  การบริหารเงิน  การลงทุน  การวางแผนการเงินระยะยาว  ไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถามทำนองนี้
2:บอกได้มั๊ยว่าอะไรที่จะช่วยให้ผมเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น
1:ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า   คุณทำอาชีพอะไร
2:ผมเป็นวิศวกรโรงงาน  ผมมีลูกน้อง 25 คนที่ทำงานตามที่ผมสั่งทุกวัน
1:ดีล่ะ   แล้วเงินของคุณล่ะทำอาชีพอะไร
2:อาชีพของเงิน!ผมไม่รู้  ผมฝากเงินไว้ในธนาคาร
1:นั่นล่ะ  อาชีพของเงินคุณคือพนักงานธนาคาร
2:ผมไม่เข้าใจ  คุณกำลังบอกว่าเงินของผมมีอาชีพเป็นพนักงานธนาคารเหรอ
1:เพราะว่าเงินของคุณกำลังทำงานให้คุณ  ผมอยากให้คุณมองเงินเหมือนเป็นลูกจ้าง  อาชีพของผมคือนักลงทุนที่มองหางานให้ลูกจ้างของผม  ลูกจ้าง 18000 คนของคุณทำงานอยู่ในธนาคาร  นั่นหมายความว่าพวกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
2:เงินของผมเป็นพนักงานธนาคารเหรอ
1:ใช่แล้ว  พวกนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน  เพราะธนาคารจ่ายเงินเพื่อให้พวกเขาทำงานที่นั่น
2:ผมไม่เคยคิดแบบที่คุณบอกเลยนะ
1:และธนาคารปฏิบัติกับลูกจ้างของคุณยังไง  ธนาคารจ่ายค่าแรงให้ดีมั๊ย
2:ไม่ดีเลย
1:อ้าว..ธนาคารจ่ายค่าแรงไม่ดีเหรอ  ผมถามพร้อมรอยยิ้ม  เมื่อรู้ว่าเขาเริ่มเข้าใจที่ผมพูด
2:ไม่ดี  จริงๆแล้วธนาคารเคยจ่ายให้ 5 % แต่ตอนนี้ลูกจ้าง 18000 คนของผมได้แค่ 1 % ต่อปี
1:นั่นไม่มากเลยนะ  แล้วได้สิทธิพิเศษอะไรบ้างหรือเปล่า
2:สิทธิพิเศษ...สิทธิพิเศษอะไร
1:เช่นส่วนแบ่งจากผลกำไร
2:ไม่   ดอกเบี้ยที่ผมได้ก็ถูกหักภาษี  ผมไม่เคยได้รับการยกเว้นภาษีใดๆเลย
1:ผมมีเงินฝากในธนาคารเหมือนกันนะ  แต่ไม่มาก  เพราะธนาคารก็ดูแลลูกจ้างของผมไม่ดีไปกว่าที่ทำกับลูกจ้างของคุณ
     เราเงียบกันไปอีกครู่หนึ่ง  โดยที่วิศวกรคนนี้เริ่มเข้าใจบทบาทหน้าที่ของนักลงทุน  “หน้าที่ของผมก็คือ  การหาอาชีพที่เหมาะสมให้กับเงินของผม  นั่นคือสิ่งที่นักลงทุนทำกัน  ผมอยากหางานที่มั่นคงให้เงินของผม  และจ่ายค่าแรงงาม”  ผมพยักหน้าแล้วยิ้ม  ก็คล้ายๆกับที่ผู้ปกครองต้องดูแลลูกๆของพวกเขา  นักลงทุนก็ต้องดูแลสุขภาพของเงินและเลี้ยงดูลูกจ้างเหล่านี้  คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้เงินอยู่ผิดที่ผิดทาง  ทำเรื่องผิดพลาด  และให้ผลตอบแทนนิดเดียว  การหาความรู้เพิ่มขึ้นจะทำให้คุณปฏิบัติกับลูกจ้างของคุณด้วยความเอาใจใส่  หาที่ที่เหมาะในการทำงาน  ปกป้องดูแลพวกเขา  ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างที่ดี  และลูกจ้างของคุณก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำงานหนักให้คุณ

     เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้  หวังว่าทุกท่านที่อ่านคงได้ความรู้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ  ยินดีกับทุกท่านที่สนใจเรื่องการลงทุนครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #99 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2010, 16:06:48 »

ตอบคุณซาลาเปา
     ขอโทษที่หายไปนาน  แต่ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว  อุตส่าห์กบดานเงียบยังมีคนรู้อีก  สงสัยจะมาจากรายการแฉแต่เช้า  ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า  คุณคือมาร์ประจำตัวผมแหง๋มๆเลย  ช่วงที่หายไปนี้  พอดีไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือที่คุกเก่า  หนังสือมีชื่อว่า  "เหนือกว่าวอลล์สตรีท"  เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง  อ่านง่าย  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผม  แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนอื่นที่ชอบลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม  เพราะในหนังสือแนะนำว่า  ให้ซื้อ...และก็ขายในท้ายที่สุด  ที่ผมบอกว่ามันเหมาะกับผมก็คือ  ทุกอย่างในโลกนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ  เพราะฉะนั้นแล้ว  การที่หุ้นตัวหนึ่งในอดีตเคยดีมาก  มันอาจจะไม่ดีในวันนี้ก็ได้  เช่น  สมัยก่อนคนยังไม่มีอะไร  สินค้านั้นมันก็จะขายดีมาก  แต่ถ้าคนเขามีกันหมดแล้ว  มันก็จะไม่มีความต้องการซื้อมากเหมือนสมัยก่อนในตอนที่ยังไม่มีใครมีมัน  ตัวอย่างคือ  โทรทัศน์  เสื้อผ้า  บ้าน  มือถือ  รถ  ฯลฯ  เพราะฉะนั้น  ผู้เขียนได้ตระหนักดีว่า  ทุกอย่างไม่คงที่เสมอไป  เพราะอย่างนั้นแล้ว  เราก็ควรซื้อหุ้นนั้น  ตอนที่สินค้านั้นกำลังเป็นที่ต้องการ  และขายออกไป  ตอนที่สินค้านั้นไม่มีใครต้องการมันมากอีกแล้ว  และเรา...ก็ควรจะมองหาผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นๆด้วย  ไม่ใช่เลือกที่ตัวอุตสาหกรรมอย่างเดียว  เพราะในระบบทุนนิยม  ไม่ยอมให้มีผู้ชนะทุกราย  เอาไว้เดี๋ยวมีเวลาแล้วค่อยมาลงรายละเอียดใหม่ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!