เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 17:44:42
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 [38] 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293355 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #740 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2013, 00:39:50 »

ขอเรียนถาน ท่านว่า   จะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์  ที่เชียงราย
โบรก ไหน น่าใช้บริการที่สุด ครับ
อีกสองอาทิตย์ จะไปติดต่อครับ
ขอบคุณมาก ครับ

ตั้งแต่เริ่มลงทุนมา  ผมไม่เคยเปลี่ยนโบรกเลยครับ  ก็เลยไม่รู้ว่าโบรกไหนดีกว่ากัน  แต่เท่าที่ได้ยินมา  คนที่มีเงินน้อยและไม่อยากเสียค่านายหน้าขั้นต่ำ(ครั้งละ 50 บาท)  ควรจะใช้ของเอเซียพลัสหรือไม่ก็ทิสโก้ครับ  ยังไงก็ลองสืบดูอีกทีก็แล้วกัน  ส่วนเรื่องความน่าใช้บริการ  ผมแนะนำว่า  โบรกไหนก็ได้ครับ  แต่ตอนไปสมัคร  ควรถามหามาร์เก็ตติ้งที่ไม่ค่อยมีลูกค้าที่อยู่ในความดูแลมากหรือคนที่เพิ่งมาเป็นมาร์ใหม่จะดีกว่า  เพราะผมรู้สึกว่า  คนที่เป็นมาร์มานานแล้วมักจะเก๋าเกม  มีลูกล่อลูกชนเพื่อทำให้เราซื้อขายบ่อย  ยิ่งถ้าเราเพิ่งหัดลงทุนนี่เสร็จเลยครับ(ขออภัยถ้ามาร์บางท่านเข้ามาอ่านเจอ)  เพราะถ้าเรายิ่งทำธุรกรรมบ่อย  เราก็จะโดนค่าคอมบ่อย  และมาร์เก่า  มักจะมีลูกค้ารายใหญ่อยู่ในความดูแลอยู่แล้ว  ซึ่งถ้าเราเป็นรายย่อยพอร์ตเล็กเข้าไป  ความสนใจของเขาที่มีต่อเรามักจะน้อย  แต่ถ้าเป็นมาร์ใหม่ซึ่งไม่ค่อยมีลูกค้า  เขาจะให้ความสนใจเรามากกว่าครับ  และการที่เราเปิดบัญชีกับมาร์ใหม่  ก็เป็นการช่วยค่ายอดการเทรดให้มาร์ใหม่ด้วย  และการที่เราติดต่อกับมาร์ใหม่  เราก็อย่าคาดหวังว่าเขาจะเก่งจนทำให้เรารวยได้นะครับ  เราแค่ต้องการความเอาใจใส่จากเขาเท่านั้น  เราต้องมีมาร์ไว้เพื่อสอบถามข้อมูล  แต่อย่าฟังความเห็นจากเขา  เราต้องนำข้อมูลที่ได้รับมาย่อยเอาเอง  แล้วคุณจะอยู่รอดในตลาดครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #741 เมื่อ: วันที่ 25 กันยายน 2013, 11:07:11 »

คนรวยไม่เคยพอ
     เมื่อวันก่อนผมนั่งคุยกับคนรู้จักในหัวข้อที่ว่า  คนรวย...มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ  เขาบอกว่า  คนรวยน่ะงกและเห็นแก่ตัว  ถึงตัวเองจะมีเงินมาก  แต่ก็ยังไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรอยู่ดี  ซ้ำบางครั้ง  ยังไปเบียดเบียนคนอื่นอีกต่างหาก  ผมก็บอกว่า  มันคงจะเป็นแค่บางคนเท่านั้นมั๊ง  เพราะอย่างบางคนที่เขาเคยจนมาก่อน  กว่าจะรวยขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้  เขาคงต้องต่อสู้กับความอยากของตัวเองอยู่ไม่น้อย  เมื่อต้องฝืนความอยากอยู่อย่างนั้นบ่อยๆเข้า  มันก็เลยกลายเป็นนิสัยฝังอยู่ในตัวไปโดยปริยาย  ส่วนเรื่องที่จะไปกล่าวหาว่าเขางก  ลองมองบางคนที่มีตังค์แล้วเขาบริจาคดูสิ  คนรวยก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคนหรอก  เขาบอกว่า  ถ้าเขามีเงินเยอะๆ  เขาจะไม่ทำอะไรแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการลงทุน  เขาจะใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวและหาของอร่อยๆกิน  ในเมื่อเราไม่ต้องระวังเกี่ยวกับการใช้เงินแล้ว  เราจะต้องไปห่วงเรื่องหาเงินอีกทำไม  ผมก็บอกว่า  นั่นมันก็แล้วแต่สิทธิส่วนบุคคลว่าเขาต้องการจะใช้เงินหรือใช้ชีวิตแบบไหน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการกระทำดังกล่าวจะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน  และสำหรับเรื่องมีเงินแล้วเขาจะหยุดกิจกรรมเกี่ยวกับการหาเงินเพิ่มนั้น  ผมไม่เห็นด้วยกับเขาในเรื่องนี้  โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน  เขาถามว่า  ทำไมเราจึงต้องหาเงินเพิ่มขึ้นอีกล่ะ  ในเมื่อถ้าชีวิตนี้เราไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องเงินแล้ว  นี่จึงเป็นประเด็นที่ผมอยากเอามาลงให้ทุกท่านได้อ่านกัน  ซึ่งทุกท่านที่อ่านก็คิดซะว่าอ่านเพื่อความบันเทิงก็แล้วกันนะครับ  ไม่ต้องมาคิดว่าที่ผมพูดนั้นมันถูกหรือผิด

     เมื่อก่อนนี้ตอนที่ผมยังจนมาก  (ทุกวันนี้ก็ยังจนอยู่  เพียงแต่ว่าจนน้อยกว่าเมื่อก่อน)  จุดมุ่งหมายหลักในการลงทุนของผมก็คืออยากรวยหรือว่าต้องการเงินมากๆ  สาเหตุที่ผมตั้งธงในเรื่องเงินเป็นอันดับแรก  น่าจะมาจากการที่ผมยังมีเงินไม่มากพอ  ดังนั้นผมจึงหิวกระหายในความรวย  ซึ่งจริงๆแล้วความรวยที่ว่านั้นมันเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้จัก  ผมรู้เพียงแต่ว่าอย่างไรมันก็คงจะดีกว่าสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่แน่นอน  แล้วการที่เราจะเป็นคนรวยมันต้องทำอย่างไรล่ะ?  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว?  ซึ่งทั้งสองข้อนี้ผมจะมาแยกย่อยอธิบายก็แล้วกันนะครับ

     การจะเป็นคนรวยมันต้องทำอย่างไรล่ะ?  ผมเฝ้าหาคำตอบอยู่นานมาก  แต่ก็ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน  ถ้าความรวยมันมีเพียงคำตอบเดียว  คนรวยในโลกทุกวันนี้คงจะทำเหมือนกันหมด  แต่จากสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่  เราได้เห็นคนรวยจากทุกสาขาอาชีพ  แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากคนที่มีเงินก็คือ  เขาจะใช้เงินอย่างสมเหตุสมผล  ลดรายจ่าย  และเพิ่มรายได้  ซึ่งถ้านี่คือสูตรสำเร็จ  ผมว่ามันก็คุ้มค่าที่จะทำตาม

     แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารวยแล้ว?  นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่มันไม่มีคำตอบสำหรับทุกคน  เพราะลิมิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน  แต่สิ่งที่น่าจะเป็นคำตอบที่ใกล้เคียงก็คือ  เมื่อเรามีเงินเหลือมากพอหลังจากที่ไม่รู้ว่าเราจะซื้ออะไรแล้ว

     สำหรับสิ่งที่เป็นประเด็นว่า  ทำไมคนรวยยังต้องหาเงินเพิ่มอยู่อีก  ในเมื่อเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรแล้ว  และโดยเฉพาะในส่วนที่ผมเห็นว่ายังน่าจะลงทุนต่อไป

     สิ่งที่ผมได้เล่าไปแล้วว่า  ตอนที่ผมยังไม่มีเงิน  สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในการลงทุนเป็นอันดับแรกก็คืออยากได้เงิน  แต่เมื่อผมได้อ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก  สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวก็คือ  เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขามีรายได้จากค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์มากกว่ารายจ่ายประจำของเขา  เขาก็รู้ได้ทันทีว่า  เขามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว  เขาไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเงินอีกต่อไป  เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็หยุดกิจกรรมการหาเงินเพิ่ม  และหันไปเล่นกอล์ฟเป็นเวลาสองปี  แต่หลังจากสองปีผ่านไป  เขากลับรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่ทำอยู่มาก  เขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ไม่สนุกและไม่มีคุณค่า  เขาจึงกลับเข้ามาในโลกของการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง  แต่การกลับมาคราวนี้  จุดมุ่งหมายหลักมันเปลี่ยนไป  จากที่ต้องการลงทุนเพื่อเงิน  กลับกลายเป็นว่า  เขาลงทุนเพราะว่ามันสนุกและอยากประสบความสำเร็จ  ส่วนเรื่องเงินที่ทำได้  กลายเป็นสิ่งตอบแทนเมื่อเขาทำสำเร็จเพียงแค่นั้น  ช่วงแรกๆที่ผมได้อ่าน  ผมคิดว่าเขาโม้มากกว่า  ผมคิดว่าไม่มีใครหรอกที่ลงทุนแล้วไม่หวังเงินเป็นอันดับแรก  และต่อมาผมก็เห็นอีกบุคคลหนึ่ง  ซึ่งทุกคนที่ลงทุนในหุ้นน่าจะรู้จักกันดี  นั่นก็คือ ดร.นิเวศน์  เขาออกมาพูดบอกว่า  เงินที่เขามีในขณะนี้  กินชาตินี้ก็ไม่หมด  คำถามก็คือ  แล้วเขาจะลงทุนต่อไปอีกทำไม  เขาสามารถขายหุ้นทิ้ง  แล้วใช้ชีวิตอยู่กับเงินที่มีไปตลอดชีวิตได้  ซึ่งทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้  คิดอย่างไรกันบ้างครับ  สำหรับมุมมองของผมเองแล้ว  ถ้าในเมื่อเรามีความสามารถในการทำเงินให้มันเพิ่มขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งหรือเสียเวลากับมันมากนัก  มันจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าหรือไม่ที่เรายังคงลงทุนต่อไป  ผมรู้สึกเอาเองว่า  ที่ ดร. เขายังลงทุนอยู่  น่าจะมาจากมันสนุกที่ได้ลงทุนแล้วมันประสบความสำเร็จเหมือนกัน  ส่วนเรื่องเงินที่ทำได้  ก็เป็นสิ่งตอบแทนที่ได้จากความเก่งกาจในการเลือกหุ้นของเขา

     ทุกวันนี้  ผมเริ่มเชื่อในสิ่งที่คนรวยหลายๆคนบอก  เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะโกหก  คนที่รวยจริงมักจะทำเพราะมันสนุกที่ได้ทำ  มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเอาเป็นเอาตาย  เมื่อคนรวยทำอย่างนี้แล้ว  ท่านคิดว่าคนรวยไม่เคยพอจริงหรือไม่
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #742 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2013, 02:37:56 »

     เอามาให้อ่านเพลินๆนะครับ  อย่าไปคิดอะไรมาก  เพราะถึงคิดมากไปเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้  เมื่อทุกคนอ่านจบแล้ว  อาจจะรู้สึกเหมือนผมก็ได้  ผมรู้สึกเหมือนกับว่า  ผมเป็นแค่มดปลวกเท่านั้นเมื่อเทียบกับตระกูลที่ได้กล่าวถึงนี้

http://www.manager.co.th/ibizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000062073

มีหัวข้อข่าวทางเศรษฐกิจรายงานข่าวว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมและพลังงานของกรีซเผยว่า บริษัท พับลิก พาวเวอร์ คอร์ปอเรชัน (พีพีซี) กลุ่มพลังงานรายใหญ่ของกรีซ จะถูกแตกออกเป็นบริษัทย่อยภายในปี 2558 ตามแผนแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลังจากกรีซรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ
       
        ซึ่งในแถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า เป้าหมายของทางการคือ การจัดตั้งบริษัทใหม่ที่มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยกระบวนการแปรรูปจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2558 จากนั้นบริษัทใหม่จะเริ่มดำเนินงานได้ทันที บริษัทใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กลงจะดูแลรับผิดชอบทรัพยากรด้านการผลิตส่วนหนึ่งของพีพีซี รวมถึงเหมืองลิกไนต์ ไฟฟ้าพลังน้ำ ก๊าซธรรมชาติ และโรงงานกำเนิดไฟฟ้าจากลิกไนต์ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นจะมีการหารือกันในหมู่คณะกรรมาธิการยุโรปภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้
       
        นอกจากนั้น รัฐบาลกรีซยังรับปากจะขายหุ้น 17% ในพีพีซีออกจากพอร์ต ภายในปลายปี 2558 จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 50% ส่วนกองทุนบำนาญถือหุ้นในพีพีซีอยู่ 3.8 สำหรับบริษัทแอดมี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพลังงานอิสระ ก็จะถูกแปรรูปเช่นกัน โดยคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2559
       
        จะเห็นได้ว่า เมื่อประเทศเกิดพังทลายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทรัพยากรต่างๆในประเทศถูกขายทอดตลาดออกมาให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ วิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้น เกิดจากการวางแผนไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมในยูโรโซน จากการให้คำปรึกษาจากวานิชธนกิจระดับโลกคือ โกลด์แมนแซกค์ ในการตกแต่งตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่อให้เข้ากฎเกณฑ์การเข้าร่วม เช่น โยกเงินบำนาญกว่า 600 ล้านยูโรและค่าใช้จ่ายทางทหารมาไว้นอกงบประมาณรายจ่าย ลดอัตราเงินเฟ้อด้วยการตรึงค่าไฟฟ้า น้ำประปา ลดภาษีน้ำมัน สุรา และบุหรี่
       
        วานิชธนากรให้คำแนะนำให้แปลงรายได้เป็นหลักทรัพย์ โดยการนำตัวเลขในอนาคตจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ค่าผ่านทางด่วน ค่าธรรมเนียมในการขึ้นลงของอากาศยาน (landing fee) และแม้แต่เงินให้เปล่าที่ได้รับจากสหภาพยุโรป รายได้ในอนาคตอะไรก็ตามที่มองเห็น ถูกรัฐบาลกรีกเอามาขายแปลงเป็นเงินสดในปัจจุบัน (securitized)
       
        ปิดปากข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ด้วยการขึ้นเงินเดือนให้ 3 เท่า มีการคอรัปชั่น กันอย่างกว้างขว้างมีการบอกกล่าวกันว่า ตัวเลขในการคอรัปชั่นสูงถึง 1 ใน 3 ของมูลค่างาน
       
        เมื่อกรีซประสบความสำเร็จด้วยการเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป อัตราดอกเบี้ยที่เคยสูง 8-12% ได้ลดลงเหลือ 4-5% นักลงทุนทั้งหลายต่างรู้ดีว่าเงินกู้นี้มีเยอรมันเป็นคนค้ำประกัน ดังนั้นรัฐบาลกรีชจึงเพิ่มปริมาณของหนี้สาธารณะของประเทศสูงขึ้นมาถึง 4 เท่า ทำให้ประเทศมีกระแสเงินในระบบที่สะพัดอย่างสูง แต่เงินไปอยู่กับสินค้าฟุ่มเฟือยและการคอรัปชั่นในประเทศ ตลาดหุ้นจากระดับดัชนี 800-1200 จุด ปรับขึ้นไปสูงสุดกว่า 6000 จุด
       
        โกลด์แมนแชคในฐานะที่ปรึกษา ได้ออกตราสารทางการเงินที่เรียกว่า CDS ออกมาเพื่อประกันว่า พันธบัตรของรัฐบาลกรีซ อยู่ในระดับ Investment Grade เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้มาลงทุนในพันธบัตร
       
        ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2009 เมื่ออำนาจเปลี่ยนขั้ว พรรคอนุรักษนิยมตกจากอำนาจ พรรคสังคมนิยมขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ พบว่ามีเงินของรัฐบาลที่มีอยู่ในคลังน้อยกว่าที่คาดไว้ มากจนตัดสินใจว่าไม่มีทางออกอื่นนอกจากบอกความจริงให้กับสาธารณะชนได้รับรู้
       
        ทันทีที่พูดความจริง เจ้าหนี้ของกรีซก็ตื่นตระหนกทันที พอถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 รัฐบาลก็เสนออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสูงถึงร้อยละ 25 แต่นักลงทุนจำนวนมากมองว่ากรีซเสี่ยงสูงเกินกว่าจะรับไหวแล้ว
       
        และประเทศก็เข้าสู่การทำลายอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจาก
       
        •การประโคมข่าวถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายในกรีซจากสำนักข่าวทั่วโลก

       •การปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ปรับลดทีละขั้น แต่เป็นการปรับลดอย่างรุนแรง จนสุดที่การแฮร์คัทหนี้

       •การเทขายอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ดัชนีตลาดหุ้นจากระดับสูงสุดกว่า 6,000 จุด ลดลงเหลือเพียง 500 กว่าจุด เท่ากับราคาสินทรัพย์ในกรีซลดลงถึง 90% ผลตอบแทนในพันธบัตรสูงถึง 98%

        •การว่างงานและการล้มละลาย

       
        อะไรคือเหตุผลที่บอกว่า วิกฤตทางเศรษฐกิจถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า เราจะย้อนเวลากลับไป
       
        กลุ่มตระกูล Rothschild อาจจะมีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จัก ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นครอบครัวที่คุมเศรษฐกิจโลกทั้งระบบ
       
        Nathan Mayer Rothschild คือ บุคคลที่พิชิตหรือครอบครองระบบการเงินทั้งหมดของสหราชอาณาจักร ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าหุ่นเชิดเช่นไรที่วางไว้บนตำแหน่งราชาปกครองจักรวรรดิแห่งพระอาทิตย์ไม่ตกดินที่ใหญ่โตแห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าใครสามารถควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนของจักรวรรดิอังกฤษนี้ เขาก็จะเป็นผู้ควบคุมจักรวรรดิอังกฤษตัวจริง ซึ่งขณะนี้ข้าพเจ้าก็ได้ควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนของจักรวรรดิอังกฤษอยู่แล้ว” (1815)
       
        มีการประเมินกันว่าปัจจุบันนี้ตระกูล Rothschild มีทรัพย์สินประมาณ 500 ล้านล้านดอลล่าร์ มีวิธีการอย่างไรถึงมีความมั่งคั่งได้มากมายขนาดนั้น
       
        การทำธุรกิจของตระกูลนั้นมีวิธีการอย่างเข้มงวด การทำธุรกิจต่างๆทำอย่างเป็นความลับไม่แพร่งพราย การทำงานมีการประสานกันอย่างแม่นยำ ได้รับข่าวสารในตลาดก่อนใคร การมีสติที่เย็นชาอยู่ตลอด การมองให้เห็นอย่างลึกซึ้งถึงทรัพย์สินเงินทองอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง การคาดการณ์อย่างอัฉริยะ ทำให้ตระกูล Rothschild ประสบความสำเร็จตลอด 200 ปี ท่ามกลางการต่อสู้อย่างดุเดือดและโหดเหี้ยมทางการเงิน การเมืองและสงคราม และสามารถสร้างอาณาจักรทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
       
        “ถ้าข้าพเจ้ามีอำนาจควบคุมการออกเงินตราของประเทศได้ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครคือผู้ออกกฎหมาย” คำพูดของ Mayer Amschel Rothschild
       
        ธนาคาร Rothschild เป็นธนาคารระหว่างประเทศ (International Bank) แห่งแรกในโลก การแต่งงานภายในครอบครัวเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมของความมั่งคั่งของพวกเขายังคงอยู่ในมือของครอบครัว จากรากฐานในแฟรงค์เฟิร์ต ลูกชายทั้ง 5 ได้ถูกส่งไปคุมคลุมยังที่สำคัญต่างๆ ในยุโรป อันได้แก่
       
        •Amschel Mayer von Rothschild บุตรชายคนโตของตระกูล บริหารที่ Frankfurt ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของ ธนาคาร Rothschild (M.A. Rothschild and Sons.)

        •Salomon Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 2 ก่อตั้งและบริหารอยู่ที่ เวียนนา ประเทศออสเตรีย (S.M. Rothschild and Sons.)

        •Nathan Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 3 ก่อตั้งและบริหารงานที่ ลอนดอน ประเทศ อังกฤษ (N M Rothschild & Sons.)

        •Calmann Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 4 ก่อตั้งและบริหารงานที่ เนเปิล ประเทศ อิตาลี

       •James Mayer von Rothschild บุตรคนที่ 5 ก่อตั้งและบริหารงานที่ ปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส (Messieusde Rothschild Freres)

       
        ความพยายามร่วมกันของพวกเขาทำให้มีทรัพย์สินและมีชื่อเสียงขึ้นมาในความหลากหลายของธนาคาร รวมทั้งความพยายามที่กู้ยืม ซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล และการซื้อขายในทองคำแท่ง การจัดหาเงินทุนของพวกเขาทำให้มีโอกาสในการลงทุน และในช่วงศตวรรษที่ 19 พวกเขากลายเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญในขนาดใหญ่การทำเหมืองแร่และการขนส่งทางรถไฟกิจการที่เป็นพื้นฐานของการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของยุโรป
       
        อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงในผู้นำของรัฐบาล การเกิดสงครามและเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะมีผลกระทบกับความมั่งคั่งของคนในครอบครัว เพื่อประโยชน์ของพวกเขา อย่างไรก็ตามมี 3 เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ของครอบครัว Rothschild บนความเสียหายของธนาคารทั่วยุโรป
       
        •การปฏิวัติ 1848

       
        •Great Depression of the 1930s

       
        •ลัทธินาซีจากช่วงปลายยุค 30 จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง

       
        การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล Rothschild คือช่วงปี 1815 การทำสงครามระหว่างนโปเลียนของฝรั่งเศสและลอร์ดเวลลิงตันของอังกฤษ ที่มีตระกูล Rothschild ให้การสนับสนุนการเงินทั้งสองฝ่าย จนสงครามมาถึงจุดแตกหักที่ Water Loo สงครามครั้งนี้หากใครเป็นผู้ชนะก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทันที ตระกูล Rothschild ได้วางเครือข่ายข่าวสารไปทั่วทั้งยุโรป ถนนทุกสายในฝรั่งเศสจะมีหน่วยข่าวของตระกูล Rothschild
       
        สงครามครั้งนี้เป็นการเดิมพันครั้งที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของนักลงทุน ผู้ชนะจะได้เงินก้อนใหญ่ ผู้แพ้ก็จะเสียหายแบบย่อยยับ และถ้าหากอังกฤษพ่ายแพ้ มูลค่าพันธบัตรของอังกฤษจะดึงลงเหว แต่ถ้าชนะจะสูงขึ้นทะลุฟ้าทันที
       
        ก่อนสงครามเริ่มเพียงหนึ่งวัน หน่วยข่าวกรองอันแม่นยำของตระกูล Rothschild ได้ออกจากสนามรบในฝรั่งเศสมุ่งตรงสู่ ลอนดอน
       
        Nathan Mayer Rothschild ได้รับจดหมายข่าวจากสมรภูมิ และในเวลาต่อมามีการเทขายพันธบัตรของอังกฤษออกมาเป็นแสนปอนด์ หลังจากนั้นมีการกระหน่ำเทขายออกมาในปริมาณมหาศาล มูลค่าของพันธบัตรอังกฤษเข้าสู่ภาวะพังทลายอย่างรวดเร็ว มีการปล่อยข่าวการพ่ายแพ้ของลอร์ดเวลลิงตันในตลาดหุ้นลอนดอน เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงมูลค่าพันธบัตรของอังกฤษเหลือมูลค่าเพียง 5%
       
        และในระยะเวลาไม่นาน Nathan Mayer Rothschild และพนักงานเข้าซื้อพันธบัตรของอังกฤษทุกใบที่มีการขายในตลาด ในคืนนั้นเองคนถือสารจากลอร์ดเวลลิงตันเดินทางมาแจ้งชัยชนะที่มีต่อกองทัพนโปเลียนที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับหลังการรบที่ใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง
       
        ข่าวนี้มาถึงช้ากว่า Nathan Mayer Rothschild ถึงหนึ่งวัน ในวันรุ่งขึ้นเขามีกำไรมากกว่า 20 เท่า และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของธนาคารกลางอังกฤษ (Bank Of England)
       
        Nathan Mayer Rothschild ได้ถือครองพันธบัตรของอังกฤษจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยมีภาษีของประชาชนเป็นภาระในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น แทนที่จะถูกจ่ายให้กับรัฐบาล กลับถูกจ่ายให้กับธนาคาร Rothschild แทน และทำให้เขาเป็นต่อ เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินการหมุนเวียนทางการเงินของอังกฤษตัวจริง การเงินของจักรวรรดิพระอาทิตย์ไม่ตกดินอยู่ในกำมือของตระกูล Rothschild และมีอำนาจเหนือรัฐบาลทั้งปวง
       
        การแผ่ขยายอาณาจักรก้าวเข้าสู่โลกใหม่คือ "อเมริกา" จะมีใครในโลกนี้รู้บ้างว่า แท้ที่จริงแล้วธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกามีสถานะเป็นเอกชน และมีธนาคารตระกูล Rothschild ถือหุ้นอยู่ในนั้น จึงมีสถาณะในการควบคุมและออกแบบเศรษฐกิจทุนนิยมในอเมริกาตัวจริง เป็นเจ้าของอุสาหกรรมการรถไฟในยุโรปและอเมริกา เหมืองแร่ทองคำและเพชร (DeBeers) เหมืองแร่ (Rio tino) ธนาคารขนาดใหญ่ เช่น โกล์ดแมนแซค เจพีมอร์แกน ซิตี้แบงค์ บาร์แค บีเอนพี ยูบีเอส ฯลฯ อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอีกมากมาย
       
        ปรัชญาทางความคิดในการสร้างความร่ำรวยมหาศาลของตระกูล Rothschild ก็คือ “การเติบโตและการพังทลายทางเศรษฐกิจจะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่เสมอ” เมื่อสามารถควบคุม BOE, FED และ ECB ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เท่ากับว่าสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
       
        การทำให้เศรษฐกิจเติบโตหรือล้มละลายทำได้อย่างง่ายดายโดยเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆคือ “คนในโลกนี้เหมือนกับปลาในบ่อน้ำ เงินเปรียบเสมือนน้ำ เมื่อใส่น้ำเข้าไปปลาก็จะสดชื่น เมื่อสูบน้ำออกจากบ่อปลาก็จะตาย และเลือกจับได้อย่างง่ายดาย”
       
        วิกฤติที่เห็นได้ชัดคือตอนปี 40 ก่อนหน้านั้นมีการปล่อยเงินเข้ามามากมายในระบบเศรษฐกิจของประเทศจนเกิดฟองสบู่ และดึงเงินออกอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการปล่อยข่าวทำลาย ลดอันดับความหน้าเชื่อถือ (Rating) แล้วก็เรียกคืนหนี้ ก็คือการดึงเงินออกอย่างเป็นระบบ และปล่อยให้เศรษฐกิจพังทลาย และใช้องค์กรระหว่างประเทศเข้าควบคุมภายใต้แนวทางของข้อตกลงฉันทามติ "วอชิงตัน" ภายใต้ขบวนการสร้าง New World Order และเข้าซื้อทรัพยากรในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ออกกฎหมายให้ประโยชน์ (กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับที่ปัจจุบันยังคงอยู่) และเข้าครอบครองอย่างแยบยล
       
        เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดเวลา เช่น ในอาร์เจนตินา เม็กซิโก อาเซียน สหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ไอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส กรีซ และล่าสุดที่ไซปรัส
       
        ถามว่าทำไมเกิดขึ้นแม้นแต่ในอเมริกา คำตอบคือ กลุ่มทุนนี้อยู่เหนือความเป็นชาติ ไร้พรมแดน และมองประชากรทั่วโลกว่าเป็นทาส มีหน้าที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่กลุ่มทุนของตน และจ่ายค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นผ่านภาษี
       
        ปรัญชาสูงสุดของทุนนิยมก็คือ “เวลาที่รุ่งเรือง กลุ่มผู้บริหารและผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์ เมื่อมีความผิดพลาดจนล้มละลาย ประชาชนจะเป็นผู้จ่ายราคาของความเสียหายหรือหายนะนั้นๆ และทุนก็เข้าทำกำไรในความหายนะนั้นอีกที”
       
        (บทความนี้จากการสัมภาษณ์ คุณ ทวีสุข ธรรมศักดิ์)

http://www.onopen.com/2007/01/1703

อันที่จริง…ก่อนหน้าที่ "นาธาน” จะได้รับมอบหมายจากตระกูลรอทไชลด์ให้มาดำเนินธุรกิจธนาคารในอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๗๘๙ บรรดาชาวยิวที่เคยถูกเนรเทศออกไปจากประเทศนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๒๙๐ ก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาทำมาหากินในประเทศอังกฤษได้อีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๖๕๕ เป็นต้นมาแล้ว โดยเฉพาะชาวยิวที่อพยพมาจากเมืองเวนิส ซึ่งสามารถสร้างเครือข่ายทางการค้า จนมีอำนาจต่อรองกับประเทศต่างๆในยุโรปได้อย่างเป็นจริงเป็นจังในเวลาต่อมา ช่วงเวลานับร้อยๆ ปีที่ชาวยิวได้กลับมาใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษกันอีกครั้ง ก็ย่อมทำให้เกิดการวางรากฐานทางการค้าที่มั่นคงแน่นหนาและหยั่งรากลึกเชื่อมโยงกันเป็นระบบมานานแล้ว…

นอกจากนั้น เครือข่ายชาวยิวในอังกฤษหรือทั่วทั้งยุโรปในช่วงระยะหลังๆ ก็ไม่ได้คิดแต่จะกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะในหมู่พวกเดียวกันเองเท่านั้น แต่ชาวยิวแต่ละรายล้วนแสดงถึงความพยายามที่จะปรับตัวให้เกิดความกลมกลืนกับชาวยุโรปด้วยกรรมวิธีต่างๆอยู่ไม่น้อย บางรายอาจจะใช้วิธีเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แทนศาสนายูดาห์ ซึ่งก็คงเป็นเพียงแค่การนับถือกันแต่เฉพาะรูปแบบมากกว่าที่จะเชื่อมั่นศรัทธากันแบบจริงๆ จังๆ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีโอกาสไต่เต้าเข้าไปสู่ระบบอำนาจได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น บางรายอาจจะยึดมั่นอยู่กับศาสนาเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็พร้อมที่จะแสดงตัวเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างเต็มอกเต็มใจ หรือกระทั่งบางรายก็หันมาแต่งงานกับชนชาติอื่นจนกลายเป็นลูกผสม โดยไม่ได้เคร่งเครียดมากมายนักกับความเป็นสายเลือดบริสุทธิ์เหมือนในอดีต…

และแม้นว่าชาวยิวโดยทั่วไปอาจจะยังคงยึดมั่นอยู่กับการแต่งงานในหมู่พวกเดียวกันเองเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับบรรดาชาวยิวที่มีอำนาจทางการค้ามีหน้ามีตาขึ้นมาในสังคมชาวยุโรป ก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้บุตรหลานในครอบครัวได้แต่งงานกับบรรดาชนชั้นสูงในยุโรปกันเป็นจำนวนไม่น้อย ตระกูลดังๆในยุโรปไม่ว่าตระกูลแอสเธอร์, คอลลินส์, ดูปองท์, ออพเพนไฮเมอร์, ฟรีแมน, ร็อคกี้เฟลเลอร์, เคนเนดี้…ฯลฯ ว่ากันว่า…ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชาวยิวผ่านการสมรสกันในแต่ละรุ่น อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษบางรายอย่างเช่น ”ลอร์ด โรเซเบอร์รี่” ก็สมรสกับภรรยาชาวยิวที่ชื่อ "ฮันนาห์ รอทไชลด์” หรือ "ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบทเทน” พระอัยกาของเจ้าชายฟิลลิปและพระญาติของพระราชินีอลิซาเบธที่ ๒ ก็แต่งงานกับหลานสาวนายธนาคารชาวยิวที่ชื่อ "เออร์เนสท์ คาสเซล” หรืออดีตนายกรัฐมนตรี "เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล” ก็ยอมรับว่ามารดาของตัวเองที่ชื่อว่านาง

"เจนนี (จาคอบสัน) เจอโรม” นั้นก็เป็นชาวยิวเช่นกัน…

สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีอคติในเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก หรือนอกจากจะเป็นสิ่งปกติธรรมดาแล้วยังถือเป็นทัศนคติที่เปิดกว้าง เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับต่อความเป็นสากลของมวลมนุษยชาติที่น่าเคารพยกย่องกันอีกต่างหาก แต่สำหรับชาวยิวที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากการปลูกฝังให้ยึดมั่นกับสายเลือดบริสุทธิ์กันมานานนับเป็นพันๆ ปี ยึดมั่นต่อพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าของชาวยิวล้วนๆ…สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนหลอมละลายให้ความเป็นยิวลดน้อยถอยลงไปมากน้อยขนาดไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ…มันย่อมมีผลทำให้เครือข่ายของชาวยิวสามารถขยายตัวได้กว้างขวางและซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ… และโดยเครือข่ายอันกว้างขวางซับซ้อนเช่นนี้นี่แหละ ที่ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญสำหรับ "นาธาน รอทไชลด์” ในอันที่จะแผ่ขยายอำนาจของตระกูลและอำนาจของเผ่าพันธุ์ชาวยิวให้ครอบคลุมกันในระดับสุดขอบฟ้าไปเลยทีเดียว….

ว่ากันว่า…หลังจาก "นาธาน” ได้เริ่มลงหลักปักฐานอยู่ในประเทศอังกฤษ เขาก็ได้แสดงความสามารถและชั้นเชิงในทางธุรกิจการค้าให้เป็นที่ยอมรับสำหรับครอบครัวและเครือข่ายชาวยิวได้ในระยะเวลาไม่นานนัก นั่นก็คือเขาสามารถทำให้เงินจำนวนประมาณ ๔,๐๐๐ ปอนด์ ที่ตระกูลรอทไชลด์มอบหมายให้เขามาลงทุน เพิ่มขึ้นไปถึง ๗,๐๐๐ ปอนด์ ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และหลังจากที่เขาได้แต่งงานกับลูกสาวคหบดีชาวอังกฤษที่ชื่อ "บาเรนท์ โคเฮน” ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบรรดาชนชั้นสูงในประเทศอังกฤษ ก็ลึกซึ้งแน่นหนาตามไปด้วย…จนในท้ายที่สุดเครือข่ายทางการเงินของตระกูลรอทไชลด์ และเครือข่ายชาวยิวที่แทรกซึมอยู่ในหมู่ชนชั้นสูงของประเทศอังกฤษก็ได้ทำให้ ”นาธาน” สามารถเอ่ยคำพูดอันเป็นที่จดจำกันในประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้นั่นก็คือ… “ผู้ที่ควบคุมจักรวรรดิแห่งนี้ ก็คือผู้ที่ควบคุมระบบการเงินของประเทศนี้…” หลังจากที่ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมระบบการเงินของราชสำนักอังกฤษในเวลาต่อมา…

แม้นว่า "นาธาน” จะเป็นลูกชายคนที่สามของ "ไมเยอร์ รอทไชลด์” หรือไม่ได้มีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวสืบต่อจากผู้เป็นพ่อตามแบบแผนประเพณีของชาวยิว ซึ่งมักจะยกสิทธิเหล่านี้ให้กับลูกชายคนโตหรือบุตรคนหัวปีเป็นหลัก…แต่โดยประวัติความเป็นมาของตระกูลรอทไชลด์ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวถึง หรือมีบทบาทค่อนข้างจะเด่นที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ นอกจากนั้นอาจจะเป็นเพราะสถานะของประเทศอังกฤษเอง ที่ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกหลังสงครามวอเตอร์ลู เป็นตัวผลักดันให้บทบาทของ "นาธาน” กลายเป็นบทบาทที่โดดเด่นตามไปด้วยก็อาจเป็นได้ จนทำให้ท้ายที่สุดศูนย์กลางของธนาคารรอทไชลด์ที่เคยตั้งมั่นอยู่ในเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนีซึ่งเคยถูกควบคุมดูแลโดยไมเยอร์ รอทไชลด์จนมาถึงอัมสเชล รอทไชลด์ ลูกชายคนโต ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาสู่การยึดเอาธนาคารในลอนดอนหรือ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์” ที่ควบคุมโดย "นาธาน” เป็น”ศูนย์กลาง”ในการเชื่อมโยงกับกิจการการค้าและกิจการธนาคารอีก ๔ สาขาของตระกูลในเวลาต่อมา...

ภายใต้บทบาทของธนาคารแห่งกรุงลอนดอนซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์ในการเชื่อมประสาน โยงใยกับเครือข่ายธนาคารของตระกูลทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งความใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจและชนชั้นสูงในแต่ละประเทศ ทำให้อำนาจทั้งในทางการค้าหรือแม้กระทั่งทางการเมืองของตระกูลรอทไชลด์แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรป กิจการการลงทุนขนาดใหญ่ๆในยุโรปไม่ว่ากิจการเหมืองแร่ในเขตอาณานิคมต่างๆ ธุรกิจก่อสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรรมในฝรั่งเศส การลงทุนขุดคลองสุเอซของอังกฤษ… หรือแม้กระทั่งการใช้จ่ายในการทำสงครามของประเทศยุโรปในแต่ละประเทศ ฯลฯ ต่างก็ต้องพึ่งพาเครือข่ายธนาคารของตระกูลรอทไชลด์ด้วยกันทั้งสิ้น ถึงขนาดที่จักรพรรดิออสเตรียตัดสินใจมอบตำแหน่ง "บารอน” ให้กับพี่น้องรอทไชลด์ทั้ง ๕ ราย ในปี ค.ศ. ๑๘๒๒ เพื่อแสดงความยอมรับต่ออิทธิพลทางการเงินของพี่น้องรอทไชลด์ที่มีต่อรัฐบาลต่างๆ ในยุโรปขณะนั้น แม้แต่องค์กรทางศาสนาอย่างสำนักวาติกันก็ได้แสดงออกถึงความยอมรับต่ออิทธิพลเหล่านี้ไม่ต่างไปจากกัน ซึ่งเห็นได้จากการจัดพิธีการต้อนรับ "คาร์ล รอทไชลด์” ผู้ดูแลกิจการธนาคารของตระกูลในอิตาลีในระดับไม่ต่างอะไรไปจากพิธีต้อนรับผู้นำระดับประเทศ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษสองสมัยอย่าง ”เบนจามิน ดิสเรลี” ชาวยิวผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกันจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษขุดคลองสุเอซโดยเงินกู้จากตระกูลรอทไชลด์ ถึงกับเคยกล่าวยกย่อง "นาธาน รอทไชลด์” ว่าเป็น”พระเจ้าและนายของตลาดเงินแห่งโลก…ซึ่งทำให้เขาเป็นพระเจ้าและเป็นนายของทุกสิ่ง…”???

และไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างเครือข่ายอำนาจทางการค้า ครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปอันแทบไม่ต่างไปจากการควบคุมโลกทั้งโลกที่ต่างก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวยุโรปในขณะนั้นได้แล้ว ความพยายามของ "นาธาน”ในการที่จะจัดสร้างเครือข่ายธุรกิจการค้าและสาขาธนาคารของตระกูลขึ้นมาในประเทศเกิดใหม่ ที่เพิ่งดิ้นรนพ้นไปจากความเป็นอาณานิคมอย่างประเทศอเมริกาในช่วงระยะนั้น ยังถือได้ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลเอามากๆ และแสดงให้เห็นถึงลีลาการทำธุรกิจของตระกูลรอทไชลด์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนและแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมเกรียมไม่น้อยทีเดียว…

ว่ากันว่าเดิมทีตระกูลรอทไชลด์นั้น ได้เริ่มวางเครือข่ายธุรกิจของตัวเองไว้ในอเมริกาก่อนหน้าที่ "นาธาน” จะถูกส่งมาตั้งธนาคารในอังกฤษซะอีก แต่ก็เป็นเครือข่ายที่ไม่ถึงกับมีความมั่นคงแน่นหนาอะไรมากมายนัก แม้นว่าเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้ จะได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีอำนาจในอเมริกาบางราย อย่างเช่น ”อเล็กซานเดอร์ แฮมมิลตัน” จนกระทั่งตระกูลรอทไชลด์สามารถก่อตั้งธนาคาร "แบงค์ ออฟ เดอะ ยูไนเต็ด เสตท” ขึ้นมาได้ในปี ค.ศ. ๑๗๙๑ แต่การดำเนินธุรกิจของตระกูลรอทไชลด์ก็ประสบกับอุปสรรคไม่น้อย อันเนื่องมาจากทัศนคติและแนวนโยบายของนักการเมืองรุ่นต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นนาย "แอนดรูว์ แจ๊กสัน” ซึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๒๙-๑๘๓๗ หรือ "อับราฮัม ลินคอล์น” ที่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในช่วงปี ค.ศ. ๑๘๖๑-๑๘๖๕ …

ภาพแห่งการปะทะขัดแย้ง ระหว่างตระกูลรอทไชลด์ภายใต้การนำของ "นาธาน” ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่ประเทศอังกฤษ กับรัฐบาลอเมริกาในยุคของ "แอนดรูว์ แจ๊กสัน” หรือ ”อับราฮัม ลินคอล์น” นั้น นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจของเครือข่ายชาวยิวที่นับวันจะเติบโตยิ่งใหญ่ในระดับโลกอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นการปะทะที่ก่อให้เกิด "จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญต่อประเทศที่เคยได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ หรือดินแดนของผู้ใฝ่หาอิสรภาพ ให้ต้องกลายมาเป็นดินแดนของผู้ใฝ่หาความมั่งและผลประโยชน์ หรือกลายมาเป็น ”ศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลก” ที่ถูกควบคุมบงการโดยกลุ่มพลังอำนาจของกลุ่มคนแค่ไม่กี่ตระกูลในเวลาต่อมา...ฮืม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Khunbank11
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 320


« ตอบ #743 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 00:47:53 »

Acap จะปันผลวันที่16นี้ หุ้นละ1บาท ตอนนี้ราคาหุ้น หุ้นละ 6บาทครับ รีบหาชื้อกันไว้เลยครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #744 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 03:38:12 »

Acap จะปันผลวันที่16นี้ หุ้นละ1บาท ตอนนี้ราคาหุ้น หุ้นละ 6บาทครับ รีบหาชื้อกันไว้เลยครับ

แล้วคุณซื้อไว้หรือยังครับ  ซื้อให้หมดตังค์เลยนะครับ

     ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
tongchai
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 552


« ตอบ #745 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 16:06:23 »

ถามที่ครับพอจะมีเบอพี่สมชายธนชาติไหมครับเบอหายไปไหนไม่รู้มีเรื่องติดต่อ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #746 เมื่อ: วันที่ 07 ตุลาคม 2013, 21:43:22 »

ถามที่ครับพอจะมีเบอพี่สมชายธนชาติไหมครับเบอหายไปไหนไม่รู้มีเรื่องติดต่อ

     ผมคิดว่าในเว็บนี้คงจะหาไม่ยากครับ  เพราะเขาเป็นมาร์และอยากได้ลูกค้า  แต่ถ้าไม่มีเบอร์เขาจริงๆ  ท่านก็ส่ง  PM  ไปหาเขาก็ได้นี่ครับ  ผมไม่ทราบว่าที่ท่านถามมาที่ผมนี้มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Khunbank11
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 320


« ตอบ #747 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 00:47:10 »

ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ

เอ่อพอดีผมชื้อไว้ตอนราคา5บาทอะครับผม หลายหมื่นหุ้น เมื่อ2อาทิตย์ก่อน เช้าวันที่ประกาศปันผลนั่นแหละครับ พอดีผมเร็ว ตอนนี้ราคา6.4บาทแล้ว และคงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนถึงวันxd เชื่อว่าคนฉลาดจะเทขายวันxdครับ ผมก็หนึ่งในนั้น ผมคงไม่รอมันตกถึงราคาทุนครับ งบการเงินมันจะขาดทุนมา100ปีก็ไม่น่าเกี่ยวกะผมนะ เพราะผมชื้อตอนราคาต่ำ และขายตอนราคาสูงกว่าต้นทุน แถมยังได้ปันผล 20 เปอร์เช็นของราคาชื้อ คือหุ้นละ5 บาทนั่นเอง สังเกตุดูดีๆ บริษัทที่ขาดทุนติดต่อกัน3-4ปีก็ยังมีครับ เช่นTrue ผลกำไรติดลบมาตั้ง3ปี ก็ยังมีคนชื้อขายกันทุกวัน ผมลองคิดเล่นๆ ผมน่าจะทำกำไรได้ถึง52เปร์เซ็นต์เลยทีเดียว แค่11วัน รู้มั้ยครับ คนรวยกะคนจนมันต่างกันนิดเดียวอะคับ ตรงกึ๋นครับ ปล.ที่ผมแนะนำให้ชื้อ เพราะแค่หวังให้ราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นเรื่อยๆครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #748 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 03:06:04 »

ปัญหาของหุ้นตัวนี้ก็คือ  ปันผลไม่ได้จ่ายทุกปี  นี่ก็เว้นมา  2  ปีแล้วเพิ่งจะมาจ่าย  แล้วคุณเข้าไปดูงบการเงินหรือยังครับ  บริษัทขาดทุนมาปีครึ่งแล้ว  นี่ถ้าได้ปันผล  1  บาท  แต่พอปันเสร็จแล้วหุ้นตกลงมา  2  บาทนี่  นรกเลยนะครับ  แต่ถ้าคุณมั่นใจในหุ้นและซื้อไว้แล้ว  ก็ขอให้คุณโชคดีนะครับ

เอ่อพอดีผมชื้อไว้ตอนราคา5บาทอะครับผม หลายหมื่นหุ้น เมื่อ2อาทิตย์ก่อน เช้าวันที่ประกาศปันผลนั่นแหละครับ พอดีผมเร็ว ตอนนี้ราคา6.4บาทแล้ว และคงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ จนถึงวันxd เชื่อว่าคนฉลาดจะเทขายวันxdครับ ผมก็หนึ่งในนั้น ผมคงไม่รอมันตกถึงราคาทุนครับ งบการเงินมันจะขาดทุนมา100ปีก็ไม่น่าเกี่ยวกะผมนะ เพราะผมชื้อตอนราคาต่ำ และขายตอนราคาสูงกว่าต้นทุน แถมยังได้ปันผล 20 เปอร์เช็นของราคาชื้อ คือหุ้นละ5 บาทนั่นเอง สังเกตุดูดีๆ บริษัทที่ขาดทุนติดต่อกัน3-4ปีก็ยังมีครับ เช่นTrue ผลกำไรติดลบมาตั้ง3ปี ก็ยังมีคนชื้อขายกันทุกวัน ผมลองคิดเล่นๆ ผมน่าจะทำกำไรได้ถึง52เปร์เซ็นต์เลยทีเดียว แค่11วัน รู้มั้ยครับ คนรวยกะคนจนมันต่างกันนิดเดียวอะคับ ตรงกึ๋นครับ ปล.ที่ผมแนะนำให้ชื้อ เพราะแค่หวังให้ราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นเรื่อยๆครับ

     เอาล่ะ...ผมตีโจทย์ของคุณแตกแล้ว  ตรงที่ผมเน้นสีแดงนั้น  เจตนาของคุณก็คือ  เชียร์ให้คนที่ไม่รู้เรื่องหุ้นเข้าไปรับของต่อจากคุณหรือไปช่วยกันซื้อเพื่อทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น  ตรงนี้คุณคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับคนอื่นหรือเปล่า  คุณรับผิดชอบกับการกระทำของตัวคุณเองบ้างไหม  ผมไม่อยากจะต่อว่าคุณเลยนะครับ  ให้คนที่เขาเข้ามาอ่านตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน  ส่วนสีเขียวนั้น  ตรงนี้อ่านแล้วเหมือนคุณเย้ยหยันคนอื่นว่าตัวคุณนั้นฉลาดกว่า...เก่งกว่า  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมฉลาดนะครับ  ผมแค่แนะนำในเรื่องการลงทุนที่ผมรู้และไม่อยากให้คนอื่นพลาดเหมือนผมก็เท่านั้น  แล้วการที่คนรวยต้องกระทำเหมือนกับคุณ  คุณคิดว่าคุณควรภูมิใจในความเป็นคนรวยนั้นไหมครับ?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
ซาลาเปา(เฉพาะกิจ)
...เฉพาะกิจเท่านั้น...
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 415


IN GOD I TRUST


« ตอบ #749 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 11:22:28 »

ACAP เป็นหุ้นสุดสวิงริงโก้ ขึ้นลงทีน่าใจหาย ถ้าหวังระยะยาวต้องมีหัวใจที่แข็งแรงมากๆเพราะต้องเหนื่อยกับมัน... ฟันธงงงง
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #750 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2013, 11:36:42 »

เอาละครับ ต่างฝ่ายก็ต่างมีมุมมองในการลงทุนแตกต่างกัน

หุ้น มันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท หลักๆก็คือ ลงทุนหุ้น กับ เล่นหุ้น

ซึ่งทางเว็บที่เปิดห้องนี้ึ้ขึ้นมาก็มีความต้องการให้คนเชียงรายหันมาสนใจในด้านการลงทุน

ซึ่งห้องของท่านวายุนี้ก็คงจะเป็นการลงทุนแบบ ระยะกลางถึงยาว ดูพื้นฐานเป็นหลัก

และข้อมูลของท่าน Khunbank11 ก็ไม่ใช่ว่าจะผิดเพราะจากที่อ่านมาน่าจะเรียนว่าเล่นหุ้น..

ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็สามารถสร้างกำไรให้กับพอร์ตได้เช่นเดียวกับนักลงทุนหุ้น

แตกต่างที่วิธีคิดและการเทรดเท่านั้นเอง

สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ เราควรจะมาให้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้จริงได้มากกว่า

การเชียร์หรือเอาข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาลงให้เพื่อนสมาชิกหน้าใหม่เข้าใจผิดมมากกว่าครับ

ขอฝากไว้ด้วยครับ

ปล.ผมแนวไฮบริด ทั้งลงทุนและเล่นหุ้น

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

Khunbank11
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 320


« ตอบ #751 เมื่อ: วันที่ 09 ตุลาคม 2013, 01:27:15 »

โอ๊วว เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับหุ้นAcap ถ้าสื่อไปในทางที่ผิดยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้เลยนะครับ(ขออภัยจริงๆ) แต่บางครั้งมันก็อยู่ที่คนตีความด้วยนะครับ ที่ผมเชียร์ให้ชื้อเพราะเผื่อบางคนที่สนใจอาจจะทำกำไรได้บ้างนะครับ ซึ่งมันก็ไม่ผิดจากที่ผมคาดเอาไว้สักเท่าไหร่นะครับ ผมนั่งวิเคราะและโพสเข้ามาเวลาเที่ยงคืนก่าก่าของวันที่7  ถ้าใครชื้อเก็บไว้ ณ เช้าวันนั้น วันที่7 หุ้นตัวนี้ บวก.40 หรือ 6.67 เปอร์เซ็น พอวันที่8 บวกเพิ่มเข้ามา .65 หรือ 10.16 เปอร์เซ็น ส่วนวันที่9และวันที่10น่าจะบวกเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยนะครับเพราะวันที่11เป็นวันxdครับ  ถ้าใครที่อ่านและพิจารณาหุ้นตัวนี้ และเห็นอย่างที่ผมเห็นและชื้อเก็บไว้ อาจทำกำไรได้บ้างนะครับ แถมปันผลอีกหุ้นละบาท อาจทำกำไรได้หลายสิบเปอร์เซ็นภายในเวลาอันสั้นๆเลยทีเดียว (ของผม 40เปอร์เซ็นแล้วครับ พรุ่งนี้จะนั่งภาวนาให้มันขึ้นต่อ) เอ่อถ้าบางท่านเห็นว่าข้อมูลที่ผมโพสไปมันเป็นเรืื่องไม่จริง หลอกลวง ทำให็คนอื่นเข้าใจผิด ชื้อไปก็ขาดทุน มันโฆษณาชวนเชื่อ ก็ขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้เลยนะครับ วันหลังจะได้ไม่โพสอะไรแบบนี้อีก
ส่วนบางท่านต้องการผลเกร็งของผมแนะนำหลังไมครับ ผมเกร็งได้ทุกวัน ขนาดอยู่ในห้องน้ำผมยังเกร็งเลย เอาสิ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #752 เมื่อ: วันที่ 09 ตุลาคม 2013, 02:51:05 »

     OK  ถ้าขออภัยมาเราก็ต้องให้อภัยไป(ถูกไหม)  ถ้าคุณไม่ลง  ปล.มา  มันก็คงไม่มีอะไรมาก  แต่พอคุณลง  ปล.ปุ๊บ  มันก็ดูเหมือนกับว่า  คุณกำลัง  "เชียร์"  ให้คนอื่นตามไปซื้อเพื่อหนุนคุณไว้  ยังไงก็ยินดีในความสำเร็จที่คุณเลือกหุ้นได้ถูกตัวถูกเวลาด้วยนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #753 เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2013, 14:21:06 »

คุณรู้จักหุ้นดีแค่ไหน?
     เมื่อมีใครสักคนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นเข้าหู  ปฏิกิริยาที่มีต่อคำๆนี้มักจะแตกต่างกันออกไปตามทัศนคติ  มุมมอง  และประสบการณ์ที่ดีหรือร้ายของแต่ละบุคคล  แล้วเรื่องหุ้นที่คนแต่ละประเภทได้ยินนั้น  เขาจะเข้าใจไหมว่าหุ้นคืออะไร  แม้แต่บางคนที่กำลังเกี่ยวข้องกับหุ้นอยู่  อาจจะยังไม่รู้อะไรมากไปกว่าการซื้อถูกขายแพงก็เป็นได้  และเท่าที่ผมได้สัมผัสมา  ผมสามารถจำแนกประเภทคร่าวๆของผู้ที่มีความรู้สึกต่อหุ้นตามความตื้นลึกหนาบางของเขาที่ได้รู้จักกับหุ้นได้สามประเภทคือ

-คนที่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นเลย  เวลาที่ได้ยินใครพูดถึงหุ้น  หรือแม้แต่มีคนมาชวนเล่นหุ้น  ความรู้สึกแรกของคนประเภทนี้มักจะมีอคติ  ด้วยอาจจะเป็นเพราะเคยได้ยินคนอื่นเขาพูดว่า  เสี่ยง  การพนัน  ขี้โกง  เสียเงิน  หมดตัว  อย่าเข้าไปยุ่งด้วย  หลีกให้ไกลๆ  ฯลฯ

-คนที่กำลังเริ่มสนใจในหุ้นหรือคนที่กำลังหัดเล่นอยู่  คนประเภทนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาอาจจะเห็นคนอื่นรวยหุ้นแล้วอยากได้บ้าง  หรือว่าได้ยินได้ฟังในมุมที่ดีของการลงทุนในหุ้น  เขาก็เลยเริ่มสนใจมันขึ้นมาบ้าง  คนประเภทนี้เริ่มมีใจที่เปิดกว้างให้กับหุ้นมากกว่าประเภทแรก  และพร้อมที่จะเรียนรู้วิชาต่างๆว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้เงิน  แต่นี่มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับหุ้นเท่านั้น

-คนที่กำลังเล่นอยู่หรือเล่นมานานแล้ว  คนประเภทนี้คงไม่ต้องบอกให้เขาเลิกเสียให้ยาก  เพราะเอาสเต็คมาแลกก็คงไม่ยอม  แต่ประเด็นคือว่า  คนประเภทนี้  เขาเล่นอย่างไร  ถือยาว...หรือซื้อๆขายๆ  และได้หรือเสีย

     ผมคาดว่าคงจะมีมือใหม่ไม่น้อย(คนประเภทแรก)ที่ยังสงสัยว่า  ทำไมหุ้นมันจึงเสี่ยง  มันได้เสียกันอย่างไร  แล้วมีวิธีไหนที่ไม่ต้องมีคนเสียเลยจะได้หรือไม่  ทุกคำถามผมมีคำตอบให้แล้วครับ  แต่คำอธิบายของผมต่อจากนี้ไป  บางคนอาจไม่เคยรู้  เพราะคงไม่เคยมีใครบอกคุณ  ซึ่งบทความนี้  ผมกลั่นมันออกมาจากประสบการณ์และมุมมองของผมเองล้วนๆ

     ก่อนอื่นเลย  เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันให้ถึงรากเหง้าของหุ้นว่า  มันเป็นมาเป็นไปได้อย่างไร

     หุ้นก็คือหุ้นส่วน  สมมุติว่าผมทำกิจการฟาร์มไข่ไก่  ผมอาจจะเริ่มต้นทำกิจการที่หนึ่งล้านบาท  แล้วทีนี้ผมก็สร้างหุ้นขึ้นมาหนึ่งล้านหุ้น  โดยผมบอกว่า  หุ้นของบริษัทผมมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละหนึ่งบาท  บริษัทมีทั้งหมดหนึ่งล้านหุ้น  นั่นก็เท่ากับว่า  บริษัทผมมีมูลค่ากิจการตอนเริ่มต้นที่หนึ่งล้านบาท  ว่าแล้วผมก็ชวนคนรู้จักให้มาลงขันกัน  ใครลงเยอะก็ได้หุ้นเยอะ  เมื่อจัดสรรหุ้นกันลงตัวแล้ว  ผมก็นำเงินที่ได้ไปทำธุรกิจ  เมื่อธุรกิจมีกำไร  ผมก็นำกำไรที่ได้มาจัดสรรแบ่งเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น  ใครถือหุ้นเยอะก็ได้ส่วนแบ่งเยอะ  จริงๆแล้วถ้าวิถีของธุรกิจมันดำเนินไปตามนี้เรื่อยๆมันก็คงจะโอเค  แต่มันจะเริ่มยุ่งก็อีตอนที่ผมละโมภอยากรวยนี่แหละ  ผมก็มานั่งคิดวิธีว่า  เราจะทำยังไงให้บริษัทของเราอยู่ๆก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาในชั่วข้ามคืน  ว่าแล้วผมก็เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นเสียเลย

     เมื่อบริษัทผมกำลังจะเข้าตลาดหุ้น  ผมอาจจะเพิ่มหุ้นขึ้นมาอีกสักหนึ่งแสนหุ้นเพื่อกระจายให้รายย่อยเอาไว้ไปเล่นเพื่อกำหนดราคาของบริษัทผมกัน  แต่สำหรับผู้ถือหุ้นเก่าแก่อย่างผมและผู้ร่วมลงทุนอื่นๆในตอนเริ่มก่อตั้งบริษัทก็ยังมีหุ้นอยู่เท่าเดิม  เมื่อจะเข้าตลาด  สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ  นำผลการดำเนินงานในช่วงก่อนที่จะเข้าตลาดมาโชว์ให้นักลงทุนดูว่ามันแจ่มแมวขนาดไหน  เมื่อผมให้ข้อมูลว่า  ในรอบปีที่ผ่านมา  บริษัทเราจ่ายเงินปันผลหุ้นละหนึ่งบาทต่อปี  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นที่เราต้องการขายให้กับนักลงทุนทั่วไปคือสิบบาท  เพราะราคานี้เมื่อเทียบกับการได้ปันผลปีละหนึ่งบาท  เท่ากับว่านักลงทุนจะได้ผลตอบแทนสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี  เพียงเท่านี้...นักลงทุนก็จะเฮโลมาซื้อหุ้นของผมกันยกใหญ่  สำหรับนักลงทุนที่เข้ามาใหม่นี้  ได้ผลตอบแทนสิบเเปอร์เซ็นต์ต่อปี  แต่สำหรับผมในฐานะเจ้าของหุ้น  มีเงินเพิ่มขึ้นมาสิบเท่าตัวจากราคาหุ้นที่ลงทุนในตอนเริ่มแรก!!!  และยังไม่พอ  ผมยังได้เงินโบนัสอีกปีละหนึ่งบาทต่อหุ้นจากเงินปันผล  แล้วถ้าเกิดนักลงทุนทั้งหลายมองว่า  สิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้นมันเป็นผลตอบแทนที่สูงมาก  ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากทุกวันนี้ต่ำเตี้ยติดดิน  อย่ากระนั้นเลย  ขอผลตอบแทนแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ต่อปีก็พอ  ว่าแล้วนักลงทุนทั้งหลายก็ไล่ราคาหุ้นขึ้นไปจนถึงยี่สิบบาท  เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้  นักลงทุนผู้มาทีหลัง  เงินก็จะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า  ในขณะที่ผม  เงินเพิ่มขึ้นมาเป็นยี่สิบเท่า  ทีนี้คุณก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่า  ทำไมเขาถึงนิยมเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นกันนัก  และถ้าผมอยากขายบริษัท  ผมสามารถทำเงินจากบริษัทได้เท่ากับราคาหุ้นที่กำลังซื้อขายในตลาด  ในขณะที่ถ้าผมไม่ได้เอาบริษัทเข้าตลาด  ผมคงจะขายบริษัทได้ราคาแค่เท่าที่เขาประเมินจากทรัพย์สินเช่นที่ดิน  อาคาร  รถส่งของ  ฯลฯ

     ทีนี้ก็มาถึงช่วงตอบคำถามแล้วนะครับ  สำหรับคำถามแรกก็คือ  "ทำไมหุ้นมันจึงเสี่ยง"  ที่มันเสี่ยงนี่ต้องแยกตอบเป็นสองข้อก็คือ

-อย่างแรก  ความเสี่ยงจากผลการดำเนินงานของบริษัท  ถ้าเราซื้อหุ้นของกิจการที่มันไกลตัวเราหรือเราไม่มีความรู้  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นไปในทิศทางที่ไม่ดี  เราจะเสียเปรียบเพราะติดตามสถานการณ์ไม่ทัน

-อย่างที่สองก็คือ  ความเสี่ยงจากราคาหุ้น  ตรงนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่า  บางทีราคาหุ้นที่มันขึ้นลงนี้  อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานเลยก็ได้  เพราะการที่หุ้นขึ้นหุ้นลงนั้น  มันเกิดมาจากแรงซื้อกับแรงขายปะทะกัน

     เมื่อมาสรุปเป็นภาพชัดๆก็จะเห็นว่า  ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก  ถ้าเราต้องการจำกัดความเสี่ยงจริงๆแล้วล่ะก็  ให้เราซื้อหุ้นของบริษัทที่เราเข้าใจและใกล้ชิดมันจะดีที่สุดครับ  เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ดี  เมื่อนั้น...เราก็จะเห็นก่อนคนอื่น  ทำให้เราสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เร็วกว่า  ซึ่งหมายถึง  ขายหุ้นทิ้งได้ก่อนคนอื่น  และการที่เราขายก่อนคนอื่น  ก็จะทำให้เราขายได้ราคาดีกว่าตอนที่มีคนมาแย่งกันขายด้วยครับ

     และสำหรับคำถามที่สองก็คือ  "มันได้เสียกันอย่างไร"  ต้องขอตอบชัดๆตรงนี้เลยว่า  คนที่ได้หรือเสียนั้น  เป็นนักพนันทั้งนั้นครับ  ถ้าเป็นนักลงทุนจริงๆแล้ว  เขามักไม่ค่อยเสีย  แค่มักไม่ค่อยเสียนะครับ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เสียเลย  เพราะในกรณีที่บริษัทที่เขาลงทุนมันเจ๊ง  เขาก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน  ผมจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ  สมมุติว่าถ้าผมและทุกคนถือหุ้นของบริษัทฟาร์มไข่ไก่ไว้โดยที่บริษัทไม่ได้เข้าตลาด  ทุกคนจะรู้ไหมครับว่าหุ้นแต่ละหุ้นมีราคาเท่าไหร่?  แน่นอน...ทุกคนไม่รู้  สิ่งที่ทุกคนรู้อยู่อย่างเดียวก็คือ  ทุกคนจะได้เงินปันผลเท่าไหร่  ถูกต้องไหมครับ  แต่พอบริษัทได้เข้าตลาดปุ๊บ  ราคาหุ้นมันมีให้เห็นทุกวันจากการซื้อขายของนักเล่นหุ้น  ซึ่งนักเล่นหุ้นพวกนี้ก็ซื้อๆขายๆกินเงินกันเอง  ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัทเลยสักนิด  ดังนั้น  คนที่ได้หรือเสีย  เป็นคนที่เข้ามาซื้อๆขายๆนั่นเอง  และคนที่เข้ามาเล่นหุ้นพวกนี้  เกือบทั้งหมดไม่ได้ดูหรอกว่าตัวบริษัทดีอย่างไร  แต่ที่เข้ามาเล่นก็เพราะเห็นหุ้นมันขึ้นแล้วก็นึกว่ามันจะขึ้นไปอีก  ก็เลยตามน้ำมาเผื่อว่ามันขึ้นไปอีกจะได้มีเงินใช้  แต่หลังจากที่ซื้อแล้วหุ้นมันดันตกลงมา  แล้วตัวเองกลัวว่ามันจะตกลงไปอีกก็เลยยอมขายขาดทุน  มันก็เลยทำให้เสียไง  คนพวกนี้ก็เลยพยายามจะเอาชนะคนอื่นด้วยความมีหลักการ  มันก็เลยมีสายเทคนิคโผล่มาให้เราเห็นในทุกวันนี้  การเล่นหุ้นด้วยเทคนิค  เป็นการลงทุนโดยจับอารมณ์ของคนเล่น  ไม่ว่าจะจับความกลัวหรือความโลภ  แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานของบริษัทเลยสักนิด  ผมก็เลยไม่เชื่อมันไง  เพราะถ้าเรามีอารมณ์ที่มั่นคง  และวิเคราะห์บริษัทอย่างมีเหตุมีผลมาเป็นอย่างดีแล้ว  ราคาหุ้นที่มันเหวี่ยงขึ้นลง  มันก็ทำอะไรเราไม่ได้  บางที...เวลาที่หุ้นมันตกลงมามากๆ  อาจเป็นโอกาสให้เราเพิ่มการลงทุนเสียด้วยซ้ำ

     คำถามสุดท้ายก็คือ  "แล้วมีวิธีไหนที่ไม่ต้องมีคนเสียเลยจะได้หรือไม่"  ขอตอบว่า  วิธีที่ทุกคนจะไม่เสียเงินเลยก็คือ  "ทุกคนที่มีหุ้นอยู่อย่าขายมันออกมา"  ผมอยากจะบอกว่า  ถ้าเราไม่รู้ราคาหุ้น  เราก็จะไม่รู้ว่าขณะนี้เราได้หรือเสีย  แต่ในเมื่อบริษัทได้เข้าตลาดแล้ว  มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราก็อยากจะรู้ว่าความมั่งคั่งของเราเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่  ถ้าคุณได้อ่านบทความด้านบนดีๆก็จะเห็นว่า  ตอนที่บริษัทยังไม่ได้เข้าตลาด  ทุกคนที่ถือหุ้นอยู่ก็ไม่ได้ทุรนทุรายกับเรื่องราคาหุ้นเลย  เพราะหุ้นมันไม่มีราคาบอกไว้  ที่จุดนั้น  ผมว่าทุกคนที่มีหุ้นก็มีความสุขดี  แต่พอเรารู้ราคาปั๊บ  ความโลภในตัวเรามันก็เริ่มทำงานทันทีว่า  ถ้าเราซื้อตรงนี้แล้วเอาไปขายตรงนี้จะได้เท่าไหร่  หรือเราขายก่อนตรงนี้แล้วค่อยไปซื้อคืนตอนที่มันตกลงมาตรงนี้จะได้เท่าไหร่  ถ้าทุกคนถือหุ้นไว้โดยไม่มีการขายออกมา  มันก็จะไม่มีคำว่าใครได้ใครเสีย  เพราะทุกคนจะได้หมด(จากเงินปันผล)  แต่สิ่งที่ผมบอกมันคงเป็นไปไม่ได้  ในเมื่อในโลกของเรามีคนอยู่หลายประเภท  และมนุษย์ทุกคนก็ยังไม่ได้เป็นอรหันต์  คนที่สามารถลงทุนแล้วได้เงินมากกว่าคนอื่น  นั่นก็เป็นเพราะว่า  เขาสามารถอดทนถือหุ้นของบริษัทที่ดีได้นานกว่าคนอื่นก็แค่นั้นเอง  และการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ  ไม่เพียงแต่ทำให้เรามีโอกาสผิดบ่อยแล้ว  เงินส่วนที่เราทำได้  ยังโดนหักเพื่อไปเป็นค่าคอมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายด้วยเงินและเวลาของเราเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงินค่าคอมของเราโดยไร้ความเสี่ยง  เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว  คุณอยากซื้อขายหุ้นบ่อยๆเพื่อเพิ่มความเสี่ยงและหาเงินเลี้ยงพวกเขาเหล่านั้นบ้างมั๊ยล่ะ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #754 เมื่อ: วันที่ 20 ตุลาคม 2013, 04:50:17 »

เอามาฝากครับ  สำหรับคนที่ไม่ได้ดู

http://www.watchlakorn.in/แฟนพันธุ์แท้ตอนที่88วันที่18ตุลาคม2556-video-39941

ก๊อปปี้ไปวางนะครับ  ถ้าคลิกแล้วมันไม่ได้เข้าที่หน้านี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 22:45:35 โดย วัยทองฯ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #755 เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 21:56:33 »

เทคนิคที่ไม่ใช่กราฟ
     เมื่อพูดกันถึงเรื่องเทคนิค  ส่วนใหญ่เรามักจะนึกถึงกราฟที่เป็นเส้นยึกๆยือๆขึ้นๆลงๆชวนให้ปวดหัว  แต่ใครจะรู้บ้างว่า  เทคนิคในการเล่นหุ้นมันไม่ได้มีแค่กราฟเพียงอย่างเดียว  ถ้ากราฟคือการเอาสถิติมาคำนวณเพื่อหาจุดซื้อขายที่ดีที่สุด  การคำนวณที่สามารถทำได้อีกแบบหนึ่งก็คือการดูจำนวนหุ้นที่ซื้อขายและการวางราคาหุ้นที่กำลังซื้อขาย

     จริงๆแล้วต้องบอกก่อนว่า  ผมไม่ใช่เซียนทางด้านนี้  แต่จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นผ่านตามา  ทำให้ผมพอจะรู้เทคนิคบางอย่างที่เกี่ยวกับรายใหญ่บ้างพอประมาณ

1.ดูดให้แห้ง  วิธีนี้รายใหญ่จะต้องไล่เก็บหุ้นเข้ามาให้มากที่สุดโดยที่ยังไม่ต้องไล่ราคาขึ้น  เมื่อมีหุ้นหมุนเวียนเหลืออยู่ในตลาดจำนวนไม่มาก  การจะทำราคามันก็ง่ายขึ้น  ยิ่งถ้าคนทำราคารู้กันกับเจ้าของหุ้นว่าอย่าขายออกมานะ  มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมราคา  การสังเกตก็คือ  ยิ่งหุ้นมีราคาสูงขึ้น  จำนวนหุ้นหมุนเวียนยิ่งน้อยลง  นั่นเป็นเพราะว่า  จำนวนหุ้นที่อยู่ในมือรายย่อยเหลือไม่มากแล้ว  แต่ถ้าราคาหุ้นมันขึ้นไปถึงช่วงหนึ่ง  แล้วมีตัวเลขการตั้งซื้อตั้งขายออกมาจำนวนมาก  นั่นเป็นสัญญาณว่า  รายใหญ่กำลังจะปล่อยของแล้ว  ลองคิดดูง่ายๆสิครับ  เมื่อหุ้นโดนดูดไปหมดแล้ว  มันจะมีใครที่ยังเหลือหุ้นให้ขายอยู่อีกล่ะ  แต่การตั้งซื้อตั้งขายของรายใหญ่จะไม่ออกมาทื่อๆ  ตัวเลขที่รายใหญ่จะใส่ก็จะเป็นแบบตั้งรอซื้อเยอะมากเป็นล้านหุ้น  และตั้งรอขายแค่จำนวนหลักแสน  เมื่อเม่า(รายย่อย)เห็นก็จะเข้าใจว่า  ถ้ารอนานไปอาจโดนรายใหญ่กวาดหุ้นไปซะก่อน  เพราะฉะนั้น  ต้องชิงซื้อตัดหน้ารายใหญ่  ว่าแล้วเม่าทั้งหลายก็แย่งกันซื้ออุตลุตโดยไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าใครเป็นคนตั้งขายอยู่  และถ้าเม่าสังเกตดีๆก็จะเห็นว่า  ที่ตั้งขายอยู่แค่หลักแสนนั้น  แต่พอเม่าซื้อพร่องไป  ก็จะมีคนเติมขายหุ้นออกมาเรื่อยๆ  แต่ก็จะตั้งเป็นจำนวนหลักแสนอยู่เหมือนเดิม  เพราะถ้าหุ้นมีจำนวนตั้งขายเยอะมาก  เม่าก็จะเริ่มลังเลไม่กล้าซื้อ  แล้วเม่าที่ช่วยกันซื้ออยู่น่ะ  ไม่มีใครสงสัยบ้างเลยหรือว่าใครที่มีหุ้นอยู่ในมือเพื่อรอขาย  เมื่อรายใหญ่ขายหุ้นออกไปให้เม่าจนหมดแล้ว  ใครจะมาไล่ราคาให้เม่าเนี่ย  เผลอๆรายใหญ่ทิ้งหุ้นหนีส่งท้าย  ติดดอยกันถ้วนหน้า  บางท่านอาจสงสัยว่า  การตั้งจำนวนหุ้นรับซื้อ  ถ้ามีใครโยนขายหุ้นให้  รายใหญ่ก็ต้องรับไปมิใช่หรือ  จริงๆแล้วมันมีทั้งใช่และไม่ใช่  การที่รายใหญ่ตั้งรอรับซื้อเป็นจำนวนมากๆนั้น  รายใหญ่จะต้องรู้ว่าตัวเองใส่เลขไปเท่าไหร่  ถ้าสมมุติใส่ไปล้านหุ้น  แต่ตัวเลขในกระดานมีสองล้าน  นั่นก็แสดงว่าเป็นของคนอื่นหนึ่งล้าน  เมื่อเป็นดังนี้  รายใหญ่จะถอนออเดอร์ของตัวเองออก  และจะรีบใส่เลขกลับเข้าไปใหม่อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตุ  เมื่อเม่ามองแต่ตัวเลขก็จะไม่เห็นอะไรผิดปกติ  แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปก็คือคิวมันเปลี่ยน  เพราะตามปกติแล้ว  เมื่อใครตั้งออเดอร์ก่อนก็จะได้คิวก่อน  คนที่ตั้งราคาเดียวกันแต่ใส่ออเดอร์ทีหลังก็จะต้องต่อคิวไปเรื่อยๆ  ทีนี้ีถ้ารายใหญ่ถอนออเดอร์ออกแล้วใส่เข้าไปใหม่  คนที่ต้องไปรับของก่อนก็คือเม่านั่นเอง

2.ทุบก่อนแล้วค่อยเก็บ  วิธีนี้จะมีขั้นตอนการทำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นตอน  นั่นก็คือต้องเอาหุ้นมาขายอย่างหนักให้ราคามันร่วงลงไปมากๆก่อนแล้วค่อยเก็บสะสม  วิธีการหลอกเพื่อเก็บหุ้นก็จะทำคล้ายๆกับแบบแรกเพียงแต่ทำตรงข้ามกันคือ  เอาหุ้นมาตั้งขายเป็นจำนวนเยอะมากๆเป็นล้านหุ้น  แล้วตั้งรอซื้อแค่จำนวนหลักแสนหรืออาจจะยังไม่ตั้งเลย  สำหรับลูกเล่นการใส่ออเดอร์ก็คล้ายๆกันคือ  ตั้งขายไว้เป็นจำนวนกี่หุ้น  ถ้านอกเหนือจากนั้นก็เป็นของคนอื่น  เมื่อเปลี่ยนคิวเอาหุ้นของตัวเองไปต่อท้ายแล้ว  เวลารายใหญ่ซื้อหุ้น  หุ้นที่ได้ไปนั้นก็เป็นของคนอื่น  ไม่ใช่ของตัวเอง  หรืออาจจะได้ของตัวเองไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา  เพราะมันเหมือนกับเอาจากกระเป๋าซ้ายไปใส่กระเป๋าขวา  และถ้าใครที่มีหุ้นอยู่แล้วตกใจกลัวว่าจะขาดทุนก็จะตั้งขายออกมา  แต่เม่าขายเท่าไหร่หุ้นก็ไม่ลงสักที  นั่นก็เป็นเพราะว่า  มีคนเติมการซื้อเข้ามาตลอด  เมื่อรายใหญ่เก็บหุ้นได้มากพอแล้ว  ก็จะปั่นหุ้นกลับขึ้นมาเพื่อขายให้เม่าต่อไป

3.หลอกคนอ่านกราฟ  สำหรับคนเล่นสั้นแล้ว  ไม่มีอะไรที่จะใช้ยึดเหนี่ยวและใช้อ้างอิงการเล่นนั้นอย่างมีเหตุมีผลมีหลักการได้ดีเท่ากับกราฟอีกแล้ว  เพราะฉะนั้นแล้ว  รายใหญ่รู้ถึงจุดนี้ดี  การเป็นรายใหญ่จริงๆนั้น  ไม่จำเป็นต้องใช้กราฟ  เพราะคนใช้กราฟนั้น  ส่วนมากจะเป็นรายเล็กรายน้อย  การใช้กราฟ  ก็ใช้เพื่อต้องการดูว่าคนอื่นหรือคนที่ใหญ่กว่าตนนั้นจะลากหุ้นไปถึงไหน  เมื่อมันขึ้นไปจนถึงจุดที่ต้องการแล้ว  คนอ่านกราฟก็จะขายออกมา  แต่ถ้าเป็นรายใหญ่เงินหนาจริงๆ  เขาสามารถลากหุ้นขึ้นลงเพื่อเขียนเป็นกราฟได้ตามใจชอบ  เมื่อสามารถเขียนกราฟเองได้  พอรายใหญ่ลากหุ้นขึ้นไปจนถึงแนวต้าน(จุดขาย)  คนที่อ่านกราฟก็จะเฮโลพากันขาย  ถ้าเป็นรายใหญ่เงินหนาจริงๆแล้ว  เขาก็สามารถรับซื้อหุ้นไว้ไม่ให้ตกลงมาได้  และเมื่อเม่าเทขายที่จุดนั้นจนหมดแล้ว  รายใหญ่ก็จะลากหุ้นขึ้นไปต่อ  ในทางทฤษฎีของเทคนิคแล้ว  ถ้าหุ้นสามารถผ่านแนวต้านขึ้นไปได้  แนวต้านนั้นก็จะกลับมาเป็นแนวรับที่สำคัญ  อธิบายง่ายๆก็คือ  เมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง  คนก็จะพากันขายเพื่อทำกำไร  แต่ถ้ามันยังขึ้นต่อไปได้  คนที่ได้ขายออกไปก่อนก็ต้องนึกว่า  ตรงจุดที่ได้ขายออกไปนั้นเป็นราคาที่ถูกอยู่สำหรับรายใหญ่ที่ต้องการซื้อ  แต่ถ้าจะให้ตามไปซื้อคืนในราคาที่สูงกว่าที่ตนขายออกไป  ตนก็จะไม่ยอมซื้อ  แต่ถ้าราคามันตกกลับลงมาถึงราคาที่ได้เคยขายออกไป  ตรงนี้อาจพิจารณาซื้อกลับคืนมาได้  เนื่องจากว่าที่ราคานั้น  มันก็ยังไม่ได้เสียหายอะไร  เพราะเท่ากับว่า  ซื้อกลับมาในราคาเดิมที่ได้ขายออกไป  เมื่อถึงตรงจุดนี้แล้ว  คนที่พากันขายออกไปก็จะยอมซื้อคืนกลับมา  โดยหวังว่า  เมื่อซื้อหุ้นคืนกลับมาแล้ว  ก็จะได้ลุ้นต่อ  เพราะก่อนหน้าที่ราคามันจะตกลงมานี้  มันเคยไปสูงกว่านี้มาแล้ว  ซึ่งกลยุทธ์ของเม่าพวกนี้เรียกว่า  "ซื้อแพง  เพื่อไปขายแพงกว่า"  เมื่อเม่าพากันเข้าใจ(เอาเอง)ว่า ราคาที่ได้ขายออกไปก่อนหน้านี้มันยังถูกอยู่  เม่าก็จะขอซื้อคืนเพื่อไปลุ้นต่อก็แล้วกัน  จากนั้นเม่าก็ช่วยกันซื้อคนละตุ้บคนละตั๊บ  เมื่อเม่าซื้อ  แล้วใครขายล่ะ?  คำตอบเดาได้ไม่ยาก...เขาคือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

4.ดูฟิวเจอร์  สมัยนี้มีของเล่นในการทำเงินอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือฟิวเจอร์  หรือจะพูดให้ความหมายชัดเจนก็น่าจะเป็นแทงหวย  ของเล่นชนิดนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้เงินจากการขึ้นเพียงอย่างเดียว  ขอแค่ทายถูกถึงทิศทางที่มันจะไป  อาจจะเป็นลงก็ได้  คำว่าฟิวเจอร์ก็หมายถึงอนาคต  เพราะฉะนั้นแล้ว  ตรงส่วนนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่พอจะเป็นเข็มทิศบอกเราได้ว่ารายใหญ่กำลังคาดว่าหรือจะทำอะไรกับสิ่งที่ฟิวเจอร์กำลังไปอ้างอิง  ถ้าเป็นฟิวเจอร์ของตลาด  คนที่คิดจะแทงฟิวเจอร์ก่อนแล้วค่อยเอาเงินไปทำให้ตลาดมันเป็นไปอย่างใจ  มันจะทำยากหน่อย  เพราะว่าต้องใช้เงินเยอะมาก  การทำเงินจากฟิวเจอร์ที่ง่ายกว่านั้นคือการแทงหุ้นเป็นรายตัว  ซึ่งตรงนี้ใช้เงินน้อยกว่า  เพราะเจาะเล่นเป็นตัวๆไป  ถ้าเราเห็นว่าหุ้นบางตัวมีการแทงฟิวเจอร์ไว้มโหฬาร  ตรงนี้มันก็จะเป็นการ "ส่อ" ว่ามีรายใหญ่กำลังลงมือ  เพราะคงไม่มีรายใหญ่หรือคนรวยคนไหนหรอกที่อยู่ดีๆก็บ้าแทงฟิวเจอร์ไปเล่นๆ  เพราะฟิวเจอร์นี่ถ้าแทงผิดทางจนเงินที่เอาไปวางประกันมันลดลง  เขาจะโดนเรียกให้เอาเงินไปเติม  ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเรื่องตลก  ถ้าใครไปแทงฟิวเจอร์เล่นๆโดยไม่ได้หวังผลอะไร

     ซึ่งทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานั้น  เราเพียงแค่ตามดูว่ารายใหญ่จะทำอะไรเพียงเท่านั้นเอง  มันยังไม่มีบทสรุปหรอกว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะได้เงินจากการกระทำของรายใหญ่หรือไม่  แต่มันมีจุดหนึ่งที่ผมได้สังเกตพบก็คือ  ไม่ว่ารายใหญ่จะทำอะไรกับหุ้นตัวหนึ่ง  มันก็จะมีกรอบราคาของมันอยู่  มันจะไม่สุดโต่งไปเสียทีเดียว  ราคาที่หุ้นตัวหนึ่งจะเคลื่อนไหว  มันจะเป็นราคาที่คนจะลังเลว่ามันถูกหรือมันแพงไปแล้วหรือยัง  เพราะถ้าราคามันล้ำเส้นไปเมื่อไหร่  ไม่ว่าจะเป็นถูกหรือแพง  มันจะมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้จริงเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆเข้าร่วมวงด้วย  ซึ่งรายใหญ่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากแก้ไขได้ยากเช่น  ถ้าราคาหุ้นมันแพงไป  ก็จะไม่มีคนตามแล้ว  ซ้ำยังไม่พอ  คนที่มีหุ้นอยู่ก็จะช่วยกันกระหน่ำยัดใส่มือรายใหญ่อีกด้วย  เมื่อถึงตอนนั้นก็เท่ากับว่ารายใหญ่เพลี่ยงพล้ำ  แต่ถ้ารายใหญ่จะแก้เกมมันก็ทำได้  เขาจะทำการปิดสถานะฟิวเจอร์เพื่อเอากำไรจากขาขึ้น  หลังจากนั้นเขาก็จะเปิดฟิวเจอร์อีกครั้งแทงว่าลง  จากนั้นการเทกระจาดก็จะเกิดขึ้น  เพราะหุ้นอยู่ในมือรายใหญ่มาก  ยิ่งขายหนักหุ้นก็ยิ่งลง  หุ้นยิ่งตกคนก็ไม่กล้าซื้อ  แต่นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับรายใหญ่  เพราะยิ่งหุ้นตกมาก  กำไรจากฟิวเจอร์ก็จะมากตามไปด้วย  สรุปแล้วรายใหญ่ได้เปรียบวันยังค่ำ  เหนื่อยแทนเม่าเนอะ

     แล้วอย่างนี้เม่าจะทำอย่างไรดี?  ผมคิดว่าเราควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่ถูกต้อง  นั่นก็คือการดูที่พื้นฐานของกิจการจะดีกว่า  เพราะถ้าเราลองไปดูตอนช่วงที่ตลาดหุ้นพัง  มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่หุ้นทุกตัวในตลาดจะต้องตกลง  แต่ถ้าเราดูดีๆจะเห็นว่า  ถ้าความโกลาหลที่เกิดขึ้นมันไม่มีเหตุผล  ราคาหุ้นทุกตัวที่อยู่ในตลาดก็น่าจะตกลงมาเหลือ 1 สตางค์เท่ากันหมดสิ  แต่ถึงแม้หุ้นทั้งตลาดจะตกหนัก  ราคาหุ้นแต่ละตัวก็ยังไม่เท่ากัน  สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างกันก็คือ  พื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวมันไม่เท่ากัน  ซึ่งตรงนี้มันก็เลยทำให้รู้ว่า  ในความแตกตื่นทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้  แผ่นดินไหว  หรือหุ้นตก  คนที่มีสติ  มีเหตุผล  และเตรียมพร้อม  จะสามารถเอาตัวรอดได้ในภาวะที่ยากลำบากนั้นครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 พฤศจิกายน 2013, 23:09:23 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #756 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2013, 23:07:08 »

หุ้นสามประเภท
     โดยส่วนตัวแล้ว  ผมยกให้หนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทเป็นที่หนึ่งในใจผม  ด้วยสำนวนการเล่าเรื่องและคำอธิบายของปีเตอร์ ลินซ์  เขาใช้ถ้อยคำเรียบง่ายไม่ซับซ้อน  และแทรกมุขตลกเสียดสีอยู่เป็นระยะ  ทำให้การอ่านความรู้ในหนังสือเล่มนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนอ่านหนังสือวิชาการทั่วไป  โดยส่วนตัวของลินซ์แบ่งหุ้นออกเป็น  6  ประเภท  ถ้าใครอยากทราบว่า  6  ประเภทที่ว่านั้นคืออะไรบ้าง  ก็ลงทุนไปหาซื้อหนังสือมาอ่านก็ดีนะครับ  แต่สำหรับตัวผมเองแล้ว  เกณฑ์การมองหุ้นจะถูกทำให้เข้มข้นขึ้น  เพราะผมแบ่งหุ้นไว้เพียงแค่  3  ประเภทเท่านั้นคือ  หุ้นมั่นคง (ไม่ค่อยขึ้นหรือลง)  หุ้นพารวย  และหุ้นพาจน  แต่อย่างไรเสีย  แนวทางการเลือกหุ้นหรือแกนหลักหรือความรู้ในการเลือกหุ้น  ผมก็ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในหนังสือของเขามาประเมินและกลั่นมันออกมาอีกทีหนึ่ง

     หนึ่งในคำถามที่หลายคนคงอยากถามผมก็คือ  ผมใช้วิธีไหนในการแบ่งมันออกเป็นประเภทต่างๆ  เกณฑ์การแบ่งของผม  บอกตามตรงว่ามันอธิบายยากครับ  เพราะในช่วงเวลาที่ไม่เหมือนกัน  หุ้นตัวเดียวกันนี้แหละอาจให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรตลาดหุ้น  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรเศรษฐกิจโลก  บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับวงจรชีวิตของตัวบริษัทเอง  ถ้าจะให้ผมอธิบาย  ผมพอจะสรุปคร่าวๆได้ดังนี้

     หุ้นมั่นคง  โดยส่วนมากหุ้นพวกนี้จะเป็นหุ้นของบริษัทที่ใหญ่โตแข็งแกร่ง  มีประวัติที่ดีต่อเนื่องยาวนาน  ผ่านการพิสูจน์จากกาลเวลามาจนไร้ข้อกังขาแล้ว  ถ้าเราถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้ไว้  อย่างไรเสียเราก็อุ่นใจได้ในระดับนึงว่า  เมื่อตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้  บริษัทคงจะไม่ล้มละลายหรือล้มหายตายจากไปเป็นแน่  ถ้าถามผมว่ามันเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยไหม  ผมตอบได้เลยว่าปลอดภัย  แต่ถ้าถามผมอีกว่า  มันเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมตอบได้เลยว่าไม่ดี  เนื่องจากขนาดของบริษัทพวกนี้มันใหญ่มากแล้ว  แล้วคุณคิดว่ามันจะใหญ่กว่านี้ได้อีกซักเท่าไหร่  หรือถ้ามันยังสามารถใหญ่ขึ้นได้อีก  มันต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่จะสร้างกำไรจากราคาหุ้นได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับคุณ ?  เพราะในขณะที่ถ้าคุณลงทุนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในหุ้นตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่งซึ่งเติบโตได้เร็วกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องความแข็งแกร่งของบริษัท  คุณกลับพบว่าในช่วงเวลาที่เท่ากัน  หุ้นอีกตัวหนึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่า  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้ว  คุณกลับรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะทำเงินได้มากกว่าจากหุ้นตัวเล็กที่ว่านั่น  แต่คุณก็ต้องอย่าลืมว่า  ถ้าคุณอยากเสี่ยงแบบนั้นจริงๆแล้วล่ะก็  คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงเพื่อแลกกับการได้ผลตอบแทนก้อนโตนั้นได้หรือไม่  ถ้าคุณรับความเสี่ยงนั้นได้ก็จัดไป  และมีหุ้นมั่นคงอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งขนาดของบริษัทอาจไม่ต้องใหญ่โตมากแต่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ  นี่ก็เป็นการลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัย  ถ้าถามผมว่าเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่  มันอาจจะดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก  แต่นี่คือการลงทุน  มันมิใช่การฝากเงิน !  เพราะฉะนั้น  มันควรจะได้กำไรที่งดงามมากกว่าที่จะมาบอกว่า  ผมจะต้องได้เงินปันผลไปอีก  10  ปีถึงจะคืนทุน  ถ้าคุณดูแต่ปันผลเพียงอย่างเดียว  คุณน่าจะดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้น  SE-ED  เมื่อผู้บริโภคนิยมการดาวน์โหลด  E-BOOK  มาอ่านมากกว่าการไปเดินเลือกซื้อหนังสือ  ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้  นั่นก็ทำให้  SE-ED  ขายของไม่ได้และงดจ่ายปันผล  และสุดท้าย  ราคาหุ้นก็ดูไม่จืด  แต่ถ้าคุณอยากสร้างผลตอบแทนที่งดงามจากหุ้นมั่นคงเหล่านี้  วิธีการที่น่าจะดีที่สุดก็คือ  “รอซื้อเมื่อตลาดหุ้นลดราคาให้มากๆ”

     หุ้นพารวย  อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว  หุ้นประเภทนี้ไม่ใช่หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคงแน่นอน  แต่มันอาจมีข้อยกเว้นเป็นบางช่วงบางจังหวะที่วัฎจักรหรือวงจรขาขึ้นได้หมุนกลับมาหาอีกรอบพอดี  ถ้ามันเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่  มันน่าจะอยู่ในธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์  แต่คุณต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า  ธุรกิจที่มีวงจรพวกนี้  เวลาทองมันสั้นนัก  เมื่อหุ้นมันขึ้นไปจนถึงระดับหนึ่งซึ่งมีค่า  PE  ที่สูงมากจนสะท้อนความสามารถในการทำกำไรไปหลายปี  คุณจะต้องขายเพื่อทำกำไร  เพราะถ้าเมื่อมันถึงวงจรขาลงเมื่อไหร่ศพอาจไม่สวย  หรือถ้ามันไม่ได้เป็นบริษัทที่มีวงจร  บริษัทอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางด้านโครงสร้างของกำไรที่จะดีขึ้นเป็นอย่างมากและจะคงอยู่อย่างนั้นสืบเนื่องไป  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว  ผมชอบอย่างหลังมากกว่า  เพราะผมไม่ค่อยจะติดตามข่าวสารว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกบ้าง  ผมก็เลยชอบที่จะถือหุ้นที่มันจะดีขึ้นและคงอยู่อย่างนั้น  และโดยเฉพาะต้องเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือเป็นหุ้นขนาดกลางที่ยังโตต่อเนื่องไปได้อีก  แต่มันมีประเด็นอยู่หน่อยตรงที่ว่า  ผมพูดถึงแต่เรื่องของพื้นฐานกิจการ  แล้วถ้าเป็นหุ้นเน่าที่โดนปั่นขึ้นไปหลายเปอร์เซ็นต์  แล้วบังเอิญคุณได้ถือเอาไว้  เราอาจจะอนุมานได้ว่า  นี่ก็ถือว่าเป็นหุ้นพารวยได้ (ด้วยความฟลุค)  และผมก็ขออวยพรให้ว่า  คุณอย่าไปเจอหุ้นพาซวยเข้าก็แล้วกัน

     หุ้นพาจน  ในหมวดนี้สามารถเป็นหุ้นอะไรก็ได้  แม้แต่หุ้นของบริษัทดีๆแต่เราดันเข้าไปซื้อตอนที่มันพีค  แต่อย่างน้อยเราก็น่าจะอุ่นใจมากกว่าหุ้นของบริษัทเน่าๆแหละน่า (ปลอบใจตัวเอง)  วิธีการมองบริษัท  ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของทุกคน  เพียงแต่ว่าบางคนสายตาอาจจะโดนบดบังด้วยความสุดสวิงริงโก้ของราคาหุ้น  เห็นแล้วมันอดไม่ได้ก็เลยต้องลุ้นดูสักหน่อย  “รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง”  และตามสถิติโดยส่วนมาก  คนที่เสี่ยงก็ได้เสี่ยงสมใจไง  เสียค่าคอมแต่ไม่รวย  ซึ่งนั่นถือเป็นความคุ้มค่าอย่างมากสำหรับคนที่ชอบให้อะดรีนารีนพลุ่งพล่านแต่ไม่ใช่ผม  อ่ะ...ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องความรู้กันต่อ  สิ่งที่บอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้นพาจนหรือกำลังจะเป็นก็คือ  ไม่มีกำไร  เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง  ไม่จ่ายปันผลหรือจ่ายน้อยลง  สินค้าและบริการของบริษัทไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่เป็นที่นิยม  แข่งขันไม่ได้ (ดูการบินไทยเป็นตัวอย่าง  ทุกวันนี้ใครขึ้นการบินไทยบ้าง  ตั๋วแพงกว่าชาวบ้าน)  กำลังจะเพิ่มทุนหรือเคยเพิ่มทุนไปแล้วแต่บริษัทไม่ได้ดีขึ้นเลย  บริษัทอยู่ในช่วงขาลงของธุรกิจ  แผนงานในอนาคตไม่ชัดเจน  ฯลฯ  ที่ผมกล่าวมานั้นเป็นด้านของพื้นฐานกิจการ  ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นด้านของความรู้ในด้านตัวเลขคือ   PE  สูงกว่าความสามารถในการเติบโตมากๆ  ราคาหุ้นเทียบกับเงินปันผลแล้วเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก (ถ้าเราคาดว่าบริษัทมันไม่สามารถโตได้อีก  แต่ถ้าบริษัทมันโตได้อีก  ค่า  PE  สูงและเงินปันผลน้อยไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมาก)

     ถ้าจะให้สรุปสั้นๆแบบเน้นๆจากบทความของผมเลยก็คือ  เลือกหุ้นที่ดี  ดูจังหวะเข้าซื้อตอนราคามันตก  และอดทนถือหุ้นไว้นานๆถ้ามันยังโตได้อีก  พูดง่ายแต่ทำยาก  3  ข้อ  และมันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นหุ้นที่มาจากธุรกิจที่กำลังเป็นที่จับตามอง  เพราะธุรกิจคลื่นลูกใหม่และกำไรดีมักมีคู่แข่งเยอะ (ดูสมาร์ทโฟนเป็นตัวอย่าง)  สุดท้ายคนที่ทำก่อนและได้กำไรงาม  ก็จะมีคนเข้ามาทำแข่งด้วยจนไม่มีใครทำกำไรได้ดีสักเจ้า  เพราะส่วนแบ่งการตลาดถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ  ถ้าเลือกได้  ผมขอมีหุ้นของบริษัทที่ผูกขาดแล้วยังโตได้อีกจะดีมาก  และถ้าจะให้กลั่นคำแนะนำทั้ง  3  ข้อของผมลงไปอีก  ผมสามารถกลั่นได้จนเหลืออยู่ข้อเดียวที่คุณจะต้องมีหากอยากประสบความสำเร็จ  สิ่งนั้นก็คือ  “ความรู้”  ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #757 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2013, 16:50:42 »

http://www.jomvphd.com/2013/10/assault-on-wall-street-hd-2013.html
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
KATAI-ZAA
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 330


How about you...


« ตอบ #758 เมื่อ: วันที่ 17 ธันวาคม 2013, 14:05:44 »

ขอบคูณสำหรับความรู้ ประสบการณ์และข่าวสารที่นำมาแชร์ค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

แกง เขียว หวาน...
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #759 เมื่อ: วันที่ 17 ธันวาคม 2013, 15:54:15 »

ขอบคูณสำหรับความรู้ ประสบการณ์และข่าวสารที่นำมาแชร์ค่ะ

ด้วยความยินดีครับ

     จริงๆแล้วผมอยากแจกหุ้นให้น้องๆนะ  แต่ผมก็อยากรู้ว่า  ใครบ้างที่สนใจจริงๆ  และผมได้แจกใครไป  เอาเป็นว่า  ถ้าใครสนใจหุ้นที่ผมลงทุนอยู่พร้อมรายละเอียดต่างๆของตัวหุ้น  ก็คลิกเข้ามาเป็นเพื่อนผมก็แล้วกัน  แล้วเดี๋ยวผมจะจัดให้

https://www.facebook.com/vayuasanee

ที่จริงแล้วไม่มีอะไรมากหรอกครับ  พอดีอยากมีเพื่อนคุย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 [38] 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!