เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 03:41:08
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 [36] 37 38 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293297 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #700 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:37:07 »



แต่ Jas มันก็ขึ้นมาเยอะแล้วนา

ตรุษจีนปีที่แล้ว 2.00 - 2.10 บาทอยู่เลย

ตรุษจีนปีนี้ 6.15 บาท น่าจะ 200% แล้ว  และไม่รู้ว่า ปีนี้เขาจะแจกอั่งเปาหรือเปล่า ...



     ไม่มีปัญหาครับสำหรับเรื่องราคาหุ้น  เพราะถ้ากำไรมันยังโตได้ต่อเนื่อง  ราคาหุ้นมันก็จะไปต่อตามกำไรเอง

     เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเสียงนกเสียงกาที่คอยพ่นออกมาใส่ตลาดหุ้นอยู่ไม่ได้ขาดของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย  เดี๋ยวเรามาย้อนกลับไปดูอดีตกันดีกว่า

     วันที่  2  พ.ค.  2555  มีนักวิเคราะห์ค่ายหนึ่งออกมาบอกว่าให้ขายหุ้น  CPALL  ดังที่ผมได้ตีกรอบสีแดงเอาไว้


* ขาย 7-11.JPG (254.62 KB, 1920x1080 - ดู 613 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #701 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:38:32 »

ซึ่งราคาหุ้น  ณ  วันนั้นผมก็ได้ตีกรอบแดงเอาไว้

วันนั้นราคาปิดของหุ้นคือ  76.50  บาท


* ราคา 2 5 12.JPG (256.1 KB, 1920x1080 - ดู 564 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #702 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:42:30 »

และพออีกวันเขาก็แจกหุ้นในอัตรา  1:1  ซึ่งมันจะมีผลทำให้ราคาหุ้นจะถูกหารสอง  เพราะฉะนั้น  ในวันถัดมา  ราคาหุ้นที่เหมาะสมก็ควรจะเป็น  38.25  บาท


* วันแจกหุ้น.JPG (233.51 KB, 1920x1080 - ดู 558 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #703 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:44:23 »

และจากวันนั้นถึงวันนี้  ก็เป็นเวลาไม่ถึง  1  ปีดี  ราคาหุ้นล่าสุดก็คือ


* ราคาล่าสุด.JPG (242.55 KB, 1920x1080 - ดู 557 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #704 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2013, 20:48:23 »

     ถ้านับว่าหลังจากวันที่แจกหุ้นแล้ว  ราคาที่ควรจะเป็นก็คือ  38.25  แต่ทำไมวันนี้ราคามันถึงขึ้นมาอีกล่ะครับ?  แต่นั่นไม่ใช่"ประเด็น"  สิ่งที่ผมอยากบอกก็คือ  เราจะกลัวว่ามันขึ้นมาแล้วกี่เปอร์เซ็นต์  หรือมันขึ้นมาแล้วกี่เท่า สิ่งสำคัญก็คือ  มันยังไปต่อได้อีกไหมต่างหาก  และที่สำคัญก็คือ  คนที่มาบอกให้เราขาย  และถ้าเราเชื่อเขา  ทุกวันนี้เขาจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไร
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
fard
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 20



« ตอบ #705 เมื่อ: วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2013, 00:39:35 »

   และที่สำคัญก็คือ  คนที่มาบอกให้เราขาย  และถ้าเราเชื่อเขา  ทุกวันนี้เขาจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไร

คนมาบอกให้ผมขายไม่ใช่คนอื่นครับ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม จำเป็นต้องเชื่อเลยครับ vi อย่างไหร่ก็สู้แรงขับเคลื่อนจากภรรยา ไม่ได้ครับ ท่านวายุ    ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม  cpall ของผมก็ประมาณ 29 บาท/หุ้น คำบัญชาการ ยังไม่ตกมา เลยสบายใจได้อยู่ครับ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม 
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #706 เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2013, 01:50:57 »

ถึงมือใหม่ทุกท่าน
     ช่วงนี้ผมสังเกตเห็นว่า  ถึงแม้ว่ากระทู้ของผมจะไม่ได้อัพ  แต่ก็มีผู้ที่เข้ามาเปิดอ่านอย่างต่อเนื่อง  อาจเป็นไปได้ว่า  ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้นอยู่  เพราะจากข้อมูลที่ผมได้รับมาทำให้ทราบว่า  ในปีที่แล้วทั้งปี  มีคนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเพียง  20000  บัญชีเท่านั้น  แต่ในปีนี้  เพียงแค่มกราคมเดือนเดียว  มีคนเปิดบัญชีไปแล้ว  50000  บัญชี  สังเกตได้จากมูลค่าการซื้อขายรายวันที่โป่งพองมากกว่าที่เคยเป็นก็ได้  เมื่อสัก  2-3  ปีที่แล้ว  มูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่วันละ  30000  ล้านบาท  แต่ทุกวันนี้คุณลองสังเกตดูสิ  5-7  หมื่นล้านบาทต่อวัน  และจำนวนมากนั้นมาจากรายย่อย!!!  ผู้ที่เข้ามาใหม่นี้  หลายคนคงเข้ามาเพราะอยากลงทุนจริงๆ  แต่อีกส่วนหนึ่งก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า  เข้ามาเพราะความโลภ  เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา  ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นเต็มตัว  เรื่องราวความสำเร็จของผู้คนจากที่ต่างๆ  คงจะทำให้ต่อมความโลภเข้ามาครอบงำ  และจากมุมมองส่วนตัวของผมเองนั้นรู้สึกว่า  การลงทุนในช่วงหลังจากนี้  เป็นระยะของงานเลี้ยงใกล้เลิกราแล้ว  เพราะในสายตาของผมเองนั้น  ในช่วงนี้ผมหาหุ้นที่ดีมีราคาเหมาะสมที่จะเข้าลงทุนไม่ได้เลย  ลองดูหุ้นที่ผมถืออยู่ก็ได้ครับ (CPALL)  ในปีที่ผ่านมา  บริษัททำกำไรได้  11023  ล้านบาท  เมื่อเอามาหารด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด  ประมาณ  9000  ล้านหุ้น  กำไรต่อหุ้นก็จะออกมาเป็น  1.22  บาทต่อหุ้น  ในขณะที่บริษัทจะปันผลเต็มเหยียดเลยที่  90  สตางค์ต่อหุ้น  นี่คิดเป็น  73  %  ของกำไรที่บริษัททำได้ทีเดียว  และเมื่อเรามาดูที่ราคาหุ้น  ช่วงนี้แกว่งอยู่แถวๆ  47  บาท  ซึ่งถ้าเราคิดจะลงทุนจริงๆ  เงินปันผลที่ได้รับ  ก็เพียงแค่ไม่ถึง  2  %  ของเงินลงทุนด้วยซ้ำ  นี่ผมกำลังพูดถึงหุ้นเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่นะครับ  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่แข็งแกร่ง  เงินลงทุนมันก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่านี้  ผมจึงเห็นว่าตลาดหุ้นช่วงนี้  “มันบ้า”  ซึ่งแม้แต่ทุกวันนี้  ผมก็ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา  เพราะราคาหุ้นช่วงนี้มันเกินไปแล้ว  ถึงแม้ว่าด้านหนึ่งผมก็ดีใจที่ราคาหุ้นของผมสูงขึ้น  แต่อีกด้านหนึ่งผมก็เป็นห่วง  เนื่องจากว่าถ้าถึงวันที่ตลาดแตกตื่นขึ้นมา  ราคาหุ้นมันก็คงร่วงลงอย่างไม่เป็นท่า  ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของบริษัทเลยสักนิดก็ตาม

     ผู้ที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นใหม่นี้  ทำให้ผมนึกถึงการที่เราไปกินอาหารที่ร้านหมูกระทะ  ซึ่งตอนที่เขากำลังเริ่มเปิดร้านก็มีหลายคน(รวมทั้งผมเอง)เข้าไปนั่งในร้านเป็นกลุ่มแรกๆ  เมื่อเราลองกินดูก็รู้สึกว่าอาหารอร่อยและราคาไม่แพง  ด้วยความหวังดีต่อเพื่อนร่วมโลก  ทุกคนในร้านต่างก็โทรบอกคนรู้จักให้เข้ามาร่วมกันกินที่ร้านนั้นโดยบอกว่าร้านนี้เข้าท่าผู้ว่ายกนิ้ว  เมื่อคนรู้จักของทุกคนได้รับการบอกกล่าว  ต่างคนต่างก็รีบมุ่งหน้ามาที่ร้านนั้นด้วยความหวังว่าจะฟาดให้เต็มคราบ  แต่อนิจจา  เมื่อหลายๆคนมาถึงกลับพบว่า  อาหารที่บอกว่าดีเหล่านั้น  กลับไม่ค่อยมีมาเติมให้สำหรับคนที่มาใหม่เสียแล้ว  แล้วถ้าเป็นคุณ  คุณยังจะยอมเสียเงินเท่าคนอื่นเพื่อไปร่วมในมหกรรมการกินนั้นหรือไม่  เพราะในขณะที่ทุกคนต้องจ่ายเท่ากัน  แต่อาหารดีๆกลับไม่เหลือมาถึงเราแล้ว  เมื่อผู้มาใหม่กำลังไปถึง  คนที่เข้าไปเป็นกลุ่มแรกๆก็กำลังเดินออกจากร้านมาด้วยอาหารชั้นเลิศที่เต็มกระเพาะและรอยยิ้มที่สุขสม  คุณจะจ่ายเงินเท่ากันกับคนอื่นเพื่อเข้าไปกินแต่ผักงั้นหรือ?

     ช่วงนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ขยันเดินสายเสียจริง  นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งกระมังที่ทำให้มีคนเข้ามาร่วมในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น  ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องผิด  ที่ใครต่อใครต่างก็อยากรวย  แต่ผมอยากให้มุมมองส่วนตัวไว้อย่างหนึ่งว่า  ในขณะที่ราคาหุ้นกำลังแพงเต็มเหยียดอย่างนี้  ถ้ามันจะขึ้น  มันจะขึ้นไปได้อีกสักเท่าไหร่  และถ้ามันตก  มันจะตกได้สักเท่าไหร่?  เรื่องนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  ในขณะที่หุ้นอยู่ที่  1500  จุดและเต็มมูลค่าแล้ว  หรือบางทีก็เวอร์นิดๆ  ถ้ามันขึ้นมันก็คงได้อีกไม่มาก  แต่ถ้าเวลามันตก  คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็จะรู้ว่านรกมีจริง  เพราะในขณะที่หุ้นกำลังตกอย่างน่ากลัว  มือใหม่ซึ่งเป็นพวกลูกวัวไม่กลัวเสือก็จะดี๊ด๊าพากันเข้าไปซื้อแล้วบอกว่าได้ของถูก  แต่เมื่อมันตกลงมาอีกเรื่อยๆ  คนที่เก๋าเกมกว่าก็จะหายหน้าไปทันที  ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดต้องมีการถ่วงน้ำหนักทั้งด้านซื้อและด้านขาย  แต่เมื่อไม่มีคนอยู่อีกด้านหนึ่ง  เพราะใครๆก็กลัวเสียเงินทั้งนั้น  เมื่อถึงเวลานั้นตลาดก็จะพัง  แล้วมือใหม่ก็จะพากันติดดอยทั้งประเทศ...ไชโย

     ผมก็พูดเกินไป  บางทีสิ่งนั้นอาจจะไม่เกิด  แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นจริง  เพราะธรรมชาติทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง  เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  และลองถามตัวคุณเองเถอะว่า  คุณพร้อมหรือยังเมื่อวันนั้นมาถึง

     สำหรับข้อคิดในวันนี้คือ  ถ้าคุณเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นมันตกจาก  1500  จุดลงมาเหลือ  750  จุด  นั่นเท่ากับว่าคุณเสียเงินไป  50  %  ใช่ไหม  แต่ถ้ามันกระเด้งกลับมาที่เก่า  คุณก็ไม่ได้เสียอะไรเลยถ้าคุณไม่ได้ขายมันออกไป  แต่ถ้ามีอีกคนหนึ่งเข้ามาซื้อหุ้นตอนที่มันตกลงมาเหลือ  750  จุดแล้วมันกระเด้งกลับขึ้นมานี่สิ  นั่นเท่ากับว่าคนที่โชคดีคนนั้นจะทำเงินได้เท่ากับ  100  %  เชียวนะ  และยิ่งช่องว่างตรงนั้นถ่างกว้างเท่าไหร่  ผลตอบแทนที่ได้รับเกี่ยวกับการเข้าตลาดถูกจังหวะก็จะมากขึ้น  สมมติอีกว่าถ้าตลาดตกลงมาเหลือ  150  จุด (มันคงเป็นไปไม่ได้  ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น)  ถ้าคุณซื้อหุ้นตอน  1500  จุด  คุณจะติดลบ  90  %  แต่ถ้าคุณโชคดีเข้าไปซื้อตอน  150  จุดทัน  ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับเมื่อมันกระเด้งกลับมาที่เก่าก็คือ  900  %  นะครับ!!!

     เมื่ออ่านจบแล้ว  ทีนี้ก็มาถึงดุลพินิจของคุณเองแล้วแหละว่าจะเห็นด้วยกับผมหรือไม่  เพราะเรื่องอย่างนี้คุณต้องคิดเอาเอง  ในเมื่อคุณต้องการเข้าสู่โลกของนักลงทุนแล้ว  คุณก็ควรจะคิดเองและแยกแยะให้ได้ว่า  อันไหนเป็นความเห็น  และอันไหนเป็นข้อมูล  ผมหวังว่าพวกคุณคงจะมีความสามารถเพียงพอที่จะแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นอะไร  และมันมีประโยชน์กับเราแค่ไหน  แต่ถ้าคุณไม่ทราบ  ผมพอจะยกตัวอย่างได้บางส่วน

ความเห็น
-ตลาดเป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นจะไปต่อ
-ตรงนี้เป็นแนวรับ  เมื่อหุ้นตกลงมาให้ซื้อ  ตรงนี้เป็นแนวต้าน  เมื่อหุ้นขึ้นมาถึงค่อยขาย
-หุ้นตัวนี้มีเจ้ามือ  เจ้ากำลังปั่น

ข้อมูล
-หุ้นตัวนี้ปันผลทุกปีไม่เคยขาด  ปีละ...บาท
-บริษัทกำลังได้งานใหม่
-บริษัทกำลังขยายสาขา
-บริษัทออกสินค้าตัวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 มีนาคม 2013, 20:40:49 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #707 เมื่อ: วันที่ 18 เมษายน 2013, 15:40:45 »

ถัว
     นักลงทุนทั้งมือเก่าและมือใหม่คงจะคุ้นเคยกับคำนี้เป็นอย่างดี  เพราะมันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเล่นหุ้นที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด  เพราะมันมีอะไรที่ลึกกว่าแค่คำว่า  "ถัว"  ธรรมดาๆ
 
     ความหมายของคำว่าถัวโดยกว้างๆก็คือ  ทำสิ่งที่เรามีอยู่ทั้งหมดให้เป็นจำนวนที่เท่ากันหรืออยู่ในระดับเดียวกัน  เมื่อนำวิธีการถัวมาใช้ในการเล่นหุ้น  การถัวนิยมทำกันเมื่อหุ้นลงมากกว่าหุ้นขึ้น  สาเหตุที่ต้องถัวตอนหุ้นลงก็เนื่องจากว่า  เราต้องการต้นทุนราคาหุ้นที่ถูกลง  และสิ่งที่ตลกในมุมมองของผมก็คือ  บ่อยๆที่นักวิเคราะห์ชอบบอกให้ขายหุ้นทิ้งเมื่อหุ้นตกลงมา  โดยเขาให้เหตุผลว่า  เป็นการลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นเมื่อมันจะตกลงไปอีก  อย่ากระนั้นเลย  โดยความเห็นส่วนตัวของผมแล้วมองว่า  ความสูญเสียนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว  เพราะเมื่อคุณได้ขายหุ้นออกไปในราคาที่ขาดทุน  มันก็คือความสูญเสีย  ถ้าคุณโดดเข้าไปเล่นกับหุ้นร้อนแล้วไม่รู้จักขายไปในตอนที่ได้กำไร  นั่นก็แสดงให้เห็นว่า  "คุณไม่เก่ง"  เพราะด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าก็คุณเข้าไปซื้อมันมา
 
     สิ่งที่ผมบอกว่าการถัวนั้นลึกกว่าที่คุณคิดก็คือ  สมมุติว่าเมื่อหุ้นตัวที่คุณมีอยู่ได้ตกลงมา  คุณจะถัวเลยหรือไม่  สิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณต่อไปนี้ก็คือ  การถัวมันเป็นกลยุทธ์  แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าคุณจะใช้ได้พร่ำเพรื่อหรือกับหุ้นทุกตัว  เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ดู
 
     หุ้นสุดคลาสสิกตัวหนึ่งที่นักวิเคราะห์หรือใครหลายๆคนฝันและเชียร์ให้มันราคาไปถึงหนึ่งพันบาท  " BANPU "  หุ้นตัวนี้มีราคาสูงสุดในวันที่  5/1/11  ด้วยราคา  868  บาท  ในขณะนั้นตลาดทั้งตลาดเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ว่าเป้าหมายหนึ่งพันบาท  และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจในหุ้น  BANPU  คุณกำลังคิดว่าถ้าซื้อตอนนี้  ยังเหลืออีกหลายบาทกว่าจะถึงพัน  อย่ากระนั้นเลย  เข้าสักเล็กน้อยพอให้กระชุ่มกระชวยดีกว่า  เมื่อคุณซื้อเสร็จเรียบร้อย  หลังจากนั้น  1  เดือน  ราคาหุ้นก็ไหลลงมาเรื่อยๆ  คุณนั่งสังเกตอยู่เงียบๆแล้วรำพึงรำพันว่า  ถ้ามันน่าซื้อที่แปดร้อย  มันจะเป็นเรื่องที่ดีมากที่จะซื้อในราคานี้  ว่าแล้วคุณก็ควักกระเป๋าซื้อหุ้นเข้ามาอีกในราคา  700  บาท  และเมื่อเวลาผ่านไปถึงจนสิ้นปี  2011  ราคาหุ้นเหลืออยู่ห้าร้อยกว่าบาท  คุณคงจะต้องคิดว่า  ถ้ามันน่าซื้อที่  700  บาท  มันจะต้องน่าซื้อมากที่สุดที่ราคานี้  ว่าแล้วคุณก็ทุ่มสุดตัวเข้าไปที่ราคานั้น  และจวบจนถึงวันนี้  ราคาหุ้นบ้านปูเหลืออยู่สามร้อยกว่าบาท  คุณจะบอกกับตัวเองว่าอย่างไร  ในเมื่อวันนี้เงินคุณหมดแล้ว
 
     สิ่งที่เป็นประเด็นก็คือ  ถ้าคุณมองแต่ราคาหุ้นแล้วเล่นอย่างนี้  อีกไม่นานคุณก็คงต้องขายบ้านแล้วไปหาถ้ำอยู่  จริงๆสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าราคาหุ้นก็คือ  "เรื่องราวของบริษัท"  เพราะช่วงที่ราคาหุ้นกำลังไหลลง  ข่าวเกี่ยวกับการฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากบ้านปูเป็นเงินจำนวนมากและราคาถ่านหินที่ลดลงเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกับความสามารถในการหาเงินและความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในอนาคต  ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวกดดันทำให้ราคาหุ้นไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง
 
     ตัวอย่างอีกหนึ่งบริษัท  " THAI "  หุ้นสายการบินแห่งชาติที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก  มันมีราคาหุ้นสูงสุดในวันที่  30/11/10  ด้วยราคา  57.25  บาท  และในกรณีเดียวกับบ้านปู  ราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อยๆ  จวบจนถึงวันนี้  ราคาหุ้นเหลืออยู่ยี่สิบกว่าบาท  ประเด็นเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้คือ  การเข้ามาแข่งขันของสายการบินราคาถูก  ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง  และสิ่งที่ผมมองว่าเป็นจุดอ่อนอย่างมากก็คือ  "มันมีสหภาพแรงงาน"  การมีสหภาพภายในองค์กร  ทำให้ลูกจ้างแข็งแกร่งและมีพลังในการต่อรองกับนายจ้างมาก  เราคงจะเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับการนัดหยุดงานหลายๆครั้งที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน  ไม่ว่าจะเป็นสายการบินหรือรถไฟ  ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง  การนัดหยุดงานประท้วงมาจากการบินไทย  ไม่ว่าข้อต่อรองจะสำเร็จหรือไม่  นายจ้างก็จะมีแต่เจ็บตัว  ถ้าตกลงกันได้  นายจ้างก็ต้องทำตามข้อตกลง  ไม่ว่าจะเป็นการขอขึ้นเงินเดือน  การเพิ่มสวัสดิการ  ฯลฯ  แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้  การประท้วงก็จะยืดเยื้อต่อไป  ทำให้นายจ้างเสียผลประโยชน์
 
     เมื่ออ่านจบแล้ว  หวังว่าพวกคุณทั้งหลายคงจะพอเห็นภาพกันบ้าง  การถัวสามารถทำได้  ถ้าบริษัทนั้นเรื่องราวยังดีอยู่หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือ  เรื่องราวนั้นดีขึ้นแต่ราคาหุ้นตกลงมา  การที่คุณซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาโดยที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของบริษัทดีๆจะทำให้คุณเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้  อย่างเช่นตัวอย่างข้างต้น  สิ่งที่คุณควรทำไม่ใช่ถัว  แต่ควรขายทิ้งเมื่อเห็นว่าปัญหานั้นจะทำให้บริษัทดูไม่ดี  ทิ้งท้ายกับบทความนี้ก็คือ  "คุณต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะลงทุน"  ก่อนจากกันวันนี้  ผมมีตัวอย่างการถัวเล็กๆน้อยๆส่วนตัวมาฝากครับ
 
     ในวันที่  11/2/2013  ผมเข้าซื้อหุ้น  JAS  10000  หุ้นที่ราคา  6.20  บาท
 
     และพอถึงวันที่  12/2/2013  หุ้นตกลงมา  ผมจึงเข้าซื้ออีก  10000  หุ้นที่ราคา  6.05  บาท
 
     วันที่  15/2/2013  หุ้นตกลงมาอีก  ผมก็เข้าซื้ออีก  10000  หุ้นที่ราคา  5.80  บาท
 
     พอถึงวันที่  21/2/2013  หุ้นดีดกลับมาที่  6.30  ผมก็เลยเทขายหมดเลย
 
     กำไรที่ผมทำได้ในงวดนั้นเป็นเงิน  7818  บาท  แม้จะเป็นเงินไม่มาก  แต่มันก็ดีกว่าเสียเงินเป็นไหนๆใช่ไหมครับ  มีนักลงทุนขาใหญ่คนหนึ่งเคยบอกว่า  "ถ้าคุณไม่พนัน  คุณก็จะไม่ชนะ  แต่ถ้าคุณเสียเงินทั้งหมดไป  คุณจะไม่มีวันชนะเลย"


* 6.20.JPG (120.2 KB, 1024x768 - ดู 341 ครั้ง.)

* 6.05.JPG (120.42 KB, 1024x768 - ดู 339 ครั้ง.)

* 5.80.JPG (120.31 KB, 1024x768 - ดู 341 ครั้ง.)

* 6.30.JPG (118.94 KB, 1024x768 - ดู 335 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #708 เมื่อ: วันที่ 18 เมษายน 2013, 17:27:47 »

  ในการถัวแต่ละครั้งก็ต้องดูด้วยนะครับว่าหุ้นนั้นมันเป็นอย่างไร ดูภาวะตลาดด้วย แนวโน้วในอนาคต

อย่างตอนนี้ทองคำหลาย ๆ สำนักก็ให้ตัดขาดทุน ( Cut loss ) ไปก่อน รวมทั้งหุ้นบ้านปูด้วย

เพราะในบางครั้งเมื่อกระแสโลกเปลี่ยนไป แหล่งพลังงาน ฯลฯ ก็ย่อมเปลี่ยนไปตากกระแส และอาจวกมาอีกก็เป็นได้

ในบางครั้งเราอาจได้ยินคำว่า wait and see หรือที่คุณวายุว่ารอให้มันเสด็จน้ำก่อนนั่นแหละ ผมจะถัวก็ต่อเมื่อหุ้นนั้นมันอยู่ในกระแส


ปล.ภาพที่คุณวายุนำขึ้นใหญ่มาก จอผม 17 นิ้วดูลำบากมากครับ... ยิ้มเท่ห์ ยิงฟันยิ้ม


* Cut loss.jpg (53.47 KB, 641x614 - ดู 334 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #709 เมื่อ: วันที่ 08 พฤษภาคม 2013, 15:40:10 »

อนุรักษ์นิยม
  มือใหม่หลายๆท่านรวมถึงผมและนักลงทุนมือเก่าที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนคงจะเคยพบกับคำนี้อยู่บ่อยๆ  และถ้าถามหลายๆคนว่ามันหมายความว่าอย่างไร  คำตอบที่ได้คงจะออกมาแตกต่างกันตามความเข้าใจหรือความแตกฉานของการศึกษาในแต่ละคน  แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของตัวผมเองแล้ว  ผมจะตอบว่า  "การลงทุนแบบเน้นความปลอดภัย"  พูดสั้นๆกระชับได้ใจความ  แต่มันมีประเด็นที่สามารถแตกออกมาได้มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยที่ตัวกิจการ  ปลอดภัยที่ภาวะตลาดหุ้น  หรือปลอดภัยที่ผลตอบแทน
 
     ปลอดภัยที่ตัวกิจการ  อันนี้เราต้องมีความเข้าใจในการทำธุรกิจ  เพราะธุรกิจแต่ละประเภทมีลักษณะการหารายได้ไม่เหมือนกัน  ถ้าเราสามารถแยกได้ว่ากิจการไหนปลอดภัยหรือหวือหวา  เราก็ถือได้ว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งพอสมควร ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจแบบไหน  ตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่า  เราพอใจที่จะลงทุนในกิจการนั้นๆหรือไม่  ถ้าพูดถึงกิจการใหญ่ๆในประเทศที่ใครๆก็รู้จัก  มันก็ไม่ได้หมายความว่ากิจการทุกกิจการที่ใหญ่ๆจะปลอดภัย  ถ้าจะให้ผมแยกประเภทว่าอันไหนเสี่ยง  ผมสามารถแยกได้ดังนี้  น้ำมัน  ถ่านหิน  ปิโตรเคมี  ปูน  เหล็ก  รถยนต์  ท่องเที่ยว  ฯลฯ  ธุรกิจพวกนี้มักจะเติบโตในช่วงที่เศรษฐกิจดี  เนื่องจากว่าประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย  และถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดก็จะพบว่า  ธุรกิจที่น่าเป็นห่วงในกลุ่มนี้ก็คือ  ธุรกิจที่ไม่สามารถกำหนดราคาขายได้เองอย่างเช่นแก๊ส  น้ำมัน  ถ่านหิน  เดินเรือ  หรือพวกปิโตรเคมี  กิจการที่ทำธุรกิจประเภทนี้  เมื่อถึงคราวที่เศรษฐกิจดี  ราคาขายพุ่ง  กำไรก็จะโตกระฉูด  ราคาหุ้นของกิจการเหล่านี้ก็วิ่งกันระเบิด  ถ้าเรามองออกว่ามันกำลังเป็นขาขึ้นของกิจการ  เราก็จะรวย  แต่เมื่อถึงคราวที่ราคาขายของผลิตภัณฑ์ตกลงมา  หรือเป็นขาลง  ราคาหุ้นก็ทรุดตาม  ถ้าเราเข้าผิดจังหวะ  ต่อให้ถือยาวแค่ไหนก็ไม่กำไร  หนำซ้ำ  ยิ่งถือนานเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดทุน  เพราะราคาหุ้นมันจะตกลงไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้น  ที่  "เขา"  บอกว่าถือยาวแล้วดี  จึงไม่เป็นความจริง  และถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะกลับมาได้  แต่มันก็อาจจะทำได้แค่เท่าทุนของคุณเท่านั้น  สำหรับหุ้นประเภทนี้  คนที่เรียกตัวเองว่าอนุรักษ์นิยม  จึงไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
 
     แล้วหุ้นแบบไหนล่ะที่เหมาะกับคนประเภทอนุรักษ์นิยม?  คุณก็ต้องมองหาความสม่ำเสมอของรายได้กิจการน่ะสิเช่น  ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ  ไฟฟ้า  ประปา  ค้าปลีก  รถไฟฟ้า  และสินค้าหรือบริการจำเป็นต่างๆที่ผู้บริโภคจะไม่งดมัน  (แต่มันก็ไม่เหมือนน้ำมันหรอกนะ  เพราะถึงคนจำเป็นต้องเติมน้ำมันทุกวัน  แต่ราคาขายน้ำมันในแต่ละวันมันก็สามารถขึ้นลงได้)  และที่สำคัญสุดยอดสำหรับหุ้นประเภทนี้ก็คือ  ยิ่งกิจการไหนสามารถขึ้นราคาขายได้โดยที่ลูกค้าไม่หายหน้า  กิจการหรือบริษัทนั้นจะถือว่าสุดยอดมาก  อย่างเช่นอาหารพร้อมทานก็เป็นตัวหนึ่ง  เพราะถ้าราคาหมูหรือไก่ขึ้น  บริษัทสามารถขึ้นราคาขายได้  เพราะแม้จะเป็นร้านข้างทาง  เมื่อหมูหรือไก่แพง  เขาก็ต้องขึ้นเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  บริษัทที่ทำธุรกิจตรงนี้ก็จะไม่เสียเปรียบร้านข้างทาง  เนื่องจากว่ามันโดนกันถ้วนหน้า  ซึ่งมันก็จะมีผลทำให้กำไรของบริษัทไม่ตกลงมา  และธุรกิจที่ผมสังเกตดูอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งไม่ว่าราคาขายจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน  สาวกก็ยังอุดหนุนกันอยู่ไม่ได้ขาดก็คือ  เหล้าและบุหรี่ครับ
 
     ปลอดภัยที่ภาวะตลาดหุ้น  คนที่เรียกตัวเองว่า  VI  ก็มักจะลงทุนลักษณะนี้  ในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังบูม  VI  ตัวจริงจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น  เพราะช่วงเวลานั้นมีแต่ของแพง  หรืออย่างน้อย  มันก็แค่ราคาเหมาะสมกับตัวมัน  สิ่งที่  VI  รวมถึงคนที่อนุรักษ์นิยมต้องการก็คือ  "ของถูก"  เพราะฉะนั้น  ถ้าคุณอยากจะปลอดภัยจากภาวะตลาดหุ้น  คุณควรจะขยับตัวตอนที่หุ้นมันตกลงมามากๆเท่านั้น
 
     ปลอดภัยที่ผลตอบแทน  คนที่อนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่งต้องการมากกว่าของถูก !!!  เหตุผลที่ดีที่ถูกกล่าวอ้างก็คือ  ถึงแม้ว่าหุ้นของบริษัทนั้นจะเป็นกิจการที่มีรายได้สม่ำเสมอและสามารถขึ้นราคาสินค้าได้  หรือราคาหุ้นมันถูกเมื่อเทียบกับคุณค่าของมัน  แต่ถ้าไม่มีเงินปันผลหรือหุ้นไม่ขึ้นมันก็เปล่าประโยชน์ที่จะซื้อมัน  และที่สำคัญ  เงินปันผลเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสัมผัสได้จริงไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  ตัวเลขทางบัญชี...ไม่ว่าจะเป็นยอดขายหรือกำไร  มันสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในสิ่งที่บริษัทอยากให้มันเป็นได้  หรือบริษัทอาจจะเล่นแร่แปรธาตุตัวเลขเพื่อให้มันดูดี  แต่ถ้าบริษัทไม่มีเงินในกระเป๋าจริงๆแล้ว  บริษัทนั้นก็ไม่สามารถจ่ายปันผลได้  แต่ถ้าบริษัทไหนสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง  นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า  บริษัทนี้คือของจริง !!!
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #710 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2013, 23:17:32 »

พี่มาก
     ช่วงนี้กระแสหนังเรื่องพี่มากแรงถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เลยทีเดียว  และพอดีผมได้ไปอ่าน
บทความที่เขียนวิจารณ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ประมาณว่า  "เป็นหนังผีตลกไร้สาระ  แค่การตลาดดีโปรโมทเยี่ยม
ยังไงมันก็ขายได้  ทำหนังกันอย่างนี้  วงการหนังไทยถึงไม่พัฒนา"  ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าจะให้เลือก
หว่าง  หนังดีแต่ขายไม่ได้  กับไร้สาระแต่กำไรถล่มทลาย  ผู้สร้างหรือนายทุนชอบแบบไหนมากกว่ากัน?  
ถ้ามองจากด้านทุนนิยมแล้ว  ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องชอบกำไรมากๆไว้ก่อน  แต่ถ้าเป็นนักวิจารณ์หนังหรือคนที่
เกี่ยวข้องกับวงการนี้แบบลึกๆ  ก็คงอยากเห็นหนังมันพัฒนา  แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ  คำว่าพัฒนาหมายถึง
อะไร  หมายถึงเราควรสร้างหนังจากบทภาพยนต์ที่เขียนออกมาใหม่ๆ  ไม่ควรเล่นง่ายๆด้วยการไปนำบท
ภาพยนต์เก่าเอามาดัดแปลงทำอย่างนั้นน่ะหรือ?  หรือว่าถ้าอยากจะทำหนังจากบทภาพยนต์เก่าๆ  
เราก็ไม่ควรจะไปดัดแปลงให้มันเพี้ยนไปกว่าของเดิม  ถ้านักวิจารณ์อยากให้มันเป็นอย่างนั้นจริง  
ลองดูสภาพของหนังเรื่องคู่กรรมหน่อยเป็นไร  เนื้อเรื่องซ้ำซาก  ไม่มีอะไรใหม่  
ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้เนื้อเรื่อง หมดแล้ว  อย่างนี้จะให้คนเสียเงินซื้อกันหรือ  และอย่างที่เรารู้กัน  
ตั๋วหนังบ้านเราแพงติดอันดับ  
ใครจะซื้อสินค้าเก่าในแพ็คเกจใหม่กันบ้างล่ะ  และจากการสังเกตของตัวผมเองพบว่า  
นักวิจารณ์ไม่ได้เขียนถึงเรื่องคู่กรรมซึ่งขายไม่ดีเลย  อันนี้ทำให้ผมรู้สึกเอาเองว่า  
นักวิจารณ์ลำเอียงหรืออิจฉาออกหน้าออกตาไปหน่อยไหม

     ในสภาวะอย่างเช่นทุกวันนี้  การลงทุนแล้วได้กำไรเป็นเรื่องใหญ่  เนื่องจากคำจำกัดความเกี่ยว
กับภาพยนต์ในทุกวันนี้เขาใช้คำว่า "อุตสาหกรรมหนัง"  และในเมื่อเขาใช้คำว่าอุตสาหกรรม  
มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงความคุ้มค่าในการลงทุนก่อน  ถ้ามันเป็นของดีแต่ขายไม่ได้  
มันก็ไม่มีใครอยากลงทุน หรือว่านักวิจารณ์ทั้งหลายอยากจะลองทำกันเองดู?  ผมอยากถามนักวิจารณ์
หนังดูว่า  ถ้าคุณเป็นนักลงทุน  คุณจะซื้อหุ้นของหนังเรื่องไหน

     เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงคำสอนในหนังสือพ่อรวยสอนลูกที่บอกว่า "สินค้าไม่จำเป็นต้องใหม่  
เพียงแต่ต้องดีกว่า"  คำสอนตรงนี้เข้าใจได้ไม่ยาก  ถ้าจะให้ผมอธิบายง่ายๆก็คือ  เราไม่จำเป็นต้องไปนั่ง
คิดค้นหรอกว่า  จะทำอาหารชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีในโลกขึ้นมาขาย  เราเพียงแค่ทำให้อร่อยกว่าที่เป็นอยู่
มันก็ขายได้แล้ว  จริงๆแล้วถ้าเรามีความเป็นอัจฉริยะมากพอ  เราสามารถประดิษฐ์สิ่งที่ไม่เคยมีในโลกและ
นำมันออกมาขายได้  แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ  มีคนไม่มากนักที่สามารถประสบความสำเร็จได้จากสินค้าไฮเทค
เหล่านั้น  เพราะบางครั้ง  เราสามารถสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้  แต่สินค้าเหล่านั้นกลับไม่มีคนต้องการหรือขาย
ไม่ได้  สำหรับสินค้าบางอย่างที่ทำออกมาแล้วมีแต่คนอยากจะได้  มันจะทำให้ผู้คิดค้นรวย  
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ iPhone  สิ่งนี้ทำให้แอปเปิ้ลเกิดได้  และก็อย่างที่เราเห็น  
ซัมซุงก็เข้ามา  แต่ผมไม่ได้บอกว่าใครจะโค่นใคร  เพียงแต่กำลังจะสื่อว่า  
ซัมซุงไม่ได้ทำของเป็นคนแรก  เพียงแค่ทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้(เห็นว่า)ดีกว่า...ถูกกว่าก็เท่านั้นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 พฤษภาคม 2013, 22:03:41 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #711 เมื่อ: วันที่ 26 พฤษภาคม 2013, 12:34:08 »

พรุ่งนี้มีงาน...เปิดตัวหนังสือเล่มนี้ด้วยโดยประธานชมรมด้วย  ถ้าว่างผมจะไป.


* 01.jpg (91.53 KB, 676x960 - ดู 197 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #712 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 21:31:28 »

ไปมาแล้วครับงานเปิดหนังสือตระกูลพ่อรวย พ่อจน เวอร์ชั่น(ใหม่) ในบรรดาเงิน 4 ด้าน

เลือกเอาครับ ว่าใครจะซ้ายจัด ขวาจัด หรือสุดโต่ง แต่ผมขอกลาง ๆ ก่อนหนาช่วงนี้..^^


* P1120397.JPG (104.39 KB, 800x650 - ดู 180 ครั้ง.)

* เงิน4ด้าน3.jpg (62.69 KB, 960x720 - ดู 183 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #713 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 22:21:25 »

มะซื้อต่อ 50% 55+
IP : บันทึกการเข้า

Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #714 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2013, 19:19:34 »


  ว่าจะเก็บไว้ครับคุณวัยทองฯ บังเอินเล่มนี้มันมีตำหนิพิเศษ  แต่เล่มอื่น ๆ ผมอ่านหลายรอบแล้วให้เขาไปหมดเลย

ต้องขออภัยจริง ๆ เมื่อวานย้ายที่นั่งหลายที่มาก กระทั่งบันได ตอนไปทั้งรถเมล์ฟรี,ลอยฟ้าและมุดดิน ตอนกลับมุดดินมาลงบางซื่อ

ต่อด้วย Taxi มาบ้านพัก ขรก.รัฐสภาอีก บวก 50% ยังน้อยไปสำหรับเล่มนี้ ถึงแม้จะได้ส่วนลดแล้ว 15% ในงานก็ตาม 55+
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
chamrus
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 556


« ตอบ #715 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2013, 21:32:48 »

ทองตก ก็เห็นแล้ว วันนี้หุ้นตกอีก ช่างเป็นวาสนาของเราจริงๆๆ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #716 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2013, 15:47:32 »

ผมเคยเตือนไปแล้วตอนวันที่  10  มีนาคม  กระทู้ #707  ลองย้อนกลับขึ้นไปอ่านดูนะครับ  ช่วงนี้ผมก็ไม่มีหุ้นแล้วล่ะครับ  กำลังรอช็อปของถูกอยู่
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #717 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2013, 15:54:16 »

ประกัน
     ช่วงที่ผ่านมามีเด็กที่บ้านผมประสบอุบัติเหตุเอารถมอเตอร์ไซค์ไปชนจนสาหัส  ต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวนานพอสมควร  แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นที่ผมจะเอามาลงนี้มันเป็นเรื่องที่จุดประกายความคิดมาจากเรื่องที่เด็กไปประสบเหตุครับ

     เมื่อพูดถึงเรื่องประกัน  หลายคนอาจจะยังไม่ได้สนใจกับบทบาทของมันมากนัก  เนื่องจากว่าถ้าชีวิตเป็นปกติสุขดี  เราจะรู้สึกว่ามันเป็นภาระ  บางคนเคยเปรียบเปรยไว้ว่า  การทำประกันคล้ายกับการพกร่มไปไหนต่อไหน  ถ้าวันไหนท้องฟ้าแจ่มใส  เราจะรู้สึกว่าไม่จำเป็น  แต่ถ้าเดินๆอยู่แล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่  เมื่อนั้นเราจะรู้สึกดีกับร่มขึ้นมาทันที  ลองนึกดูสิครับว่า  ถ้าคุณไม่มีที่หลบฝนและคุณไม่ได้พกร่ม  ตัวคุณจะมีสภาพเป็นอย่างไร

     กฏข้อแรกของการทำประกันก็คือ "คุณไม่สามารถซื้อประกันได้ในเวลาที่คุณต้องการ"  การทำประกันนั้นให้ความรู้สึกสงบทางใจ  เพราะหลังจากที่คุณได้ทำประกันแล้ว  คุณจะรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น  ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นเพื่อที่คนข้างหลังจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน  หรือว่าเราจะมีเจ้ามือจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เราถ้าต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม  เมื่อก่อนผมก็นึกว่าเขาพูดเรื่องนอนหยอดน้ำข้าวต้มนี้เป็นเรื่องขำๆ  แต่พอผมเห็นอาหารที่พยาบาลเขาเอามาให้เด็กกิน  มันคือน้ำข้าวและน้ำผัก  เพราะว่าเด็กยังไม่มีแรงที่จะเคี้ยว  อาการที่ผมเป็นก็คือ "หัวเราะมิได้  ร่ำไห้มิออก"  มันขำไม่ออกจริงๆครับ

     การทำประกันนี้จะเป็นการจำกัดรายจ่ายบางอย่างที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้  เมื่อถึงเวลาที่เราต้องใช้ประกัน  เราอาจจะได้คืนมากกว่าหรือน้อยกว่าที่เราได้จ่ายออกไป  แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก เพราะถ้าเราพอใจที่จะทำประกัน  นั่นหมายถึงว่า  เราได้ควบคุมหรือจำกัดความเสี่ยงเอาไว้แล้วบางส่วน  เพราะไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  เราก็จ่ายในราคาที่เราได้ล็อคไว้แล้ว  และผมได้ค้นพบจากตัวเองว่า  "ประกัน"  เป็นสินค้าชนิดเดียวที่คนซื้อไม่ต้องการใช้มัน

     และก็เหมือนเดิม  ผมสามารถโยงทุกเรื่องที่ผมได้ออกความเห็นมาผูกกับเรื่องลงทุนได้  คุณคิดว่าการลงทุนในทุกวันนี้  มีการรับประกันว่าคุณจะได้เงินแน่ๆมีหรือไม่?  ตอบได้เลยว่า  "มี"  ยกตัวอย่างเช่น  เงินฝาก  สลากออมสิน  ประกันชีวิตบางประเภท  ตราสารหนี้และพันธบัตรที่มีความมั่นคง  อา...นี่คงเป็นการลงทุนในฝันของใครหลายคนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงเลย  มันไม่ผิดหรอกที่คุณจะเลือกการลงทุนประเภทนี้  แต่คุณควรคำนวณผลตอบแทนด้วยนะว่าชนะเงินเฟ้อหรือไม่

     แล้วถ้าอยากได้อะไรที่มันแรงๆล่ะมีมั๊ย?  คำตอบก็คือ  "มี"  อีกนั่นแหละ  แต่คุณต้องรู้ด้วยนะว่า  การขับรถสปอร์ตมันต้องใช้ฝีมือขั้นเทพถึงจะควบคุมความแรงของมันได้  การลงทุนประเภทนี้ยกตัวอย่างเช่น  ซื้อหุ้นที่มีปันผล  ซื้ออสังหาเพื่อให้เช่า  ถ้าคุณพออ่านออก  คุณก็จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

     และสุดท้าย  ถ้าอยากรวยเลยล่ะ  อันนี้มันก็มีความเป็นไปได้  แต่โดยมากแล้วมันมักไม่ค่อยมีการรับประกันว่าคุณจะได้เงินจริงๆ  การลงทุนประเภทนี้  คุณจำเป็นจะต้องรับประกันโดยตัวคุณเอง  และโดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันเหมือนม้าพยศ  ยกตัวอย่างเช่น  หุ้นที่กำลังขยายงานหรือกำลังเติบโต  เพราะหุ้นประเภทนี้จะปันผลน้อยหรือไม่ปันผลเลย  เนื่องจากว่าต้องเอากำไรที่ทำได้ไปขยายงานต่อ  ถ้าหุ้นตัวนั้นทำสำเร็จ  เราก็ได้ดีไปด้วย  หรือจะเป็นการซื้อขายอสังหาเช่น  ที่ดิน  บ้าน  คอนโด  ตึกแถว ฯลฯ  การลงทุนประเภทนี้ต้องอ่านว่าซื้อมาแล้วต้องขายได้  เพราะถ้าปล่อยไม่ออกก็ติดมือและเงินจม  เนื่องจากสินทรัพย์ประเภทนี้สภาพคล่องหรือการเปลี่ยนมือน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่น  การลงทุนประเภทอื่นก็จะมีทองคำ  โลหะต่างๆ  ภาพเขียน  แสตมป์  ของเก่า  ฯลฯ  ของพวกนี้ก็ต้องอ่านว่าสามารถขายได้และมูลค่ามันต้องเพิ่มขึ้นด้วย  เพราะถ้ามันพลาดขึ้นมา  มันไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้เหมือนบ้าน  ไม่สามารถเอาไปให้เขาเช่าได้เหมือนที่ดินหรืออสังหา  ไม่มีเงินปันผลเหมือนหุ้น  ไม่มีดอกเบี้ยเหมือนเงินฝาก  และสุดท้าย  สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆถ้าเราเก็งผิดทางและไม่ยอมแก้ไขสถานการณ์  สิ่งที่เราต้องระวังก็คือ  อย่าตกม้าตายก็พอ(พูดง่ายแต่ทำยาก)   แต่ถ้าเราคาดการณ์ได้ถูก  ไม่ต้องให้ใครมาฟันธงหรือคอนเฟิร์ม  เราก็จะรวยระยับจากเงินลงทุนเพียงน้อยนิด  เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครรวมทั้งตัวผมเองด้วย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
LoveYou2
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 926


096-0133136 บอย


« ตอบ #718 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2013, 18:54:14 »

สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ยิงฟันยิ้ม ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #719 เมื่อ: วันที่ 16 มิถุนายน 2013, 09:42:55 »

สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ยิงฟันยิ้ม ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ


  
  ในตลาด TFEX เดียวนี้มันมี Single Stock Futures ด้วย ไม่ได้มีแต่ SET50 Index ที่ว่าอย่างเดียวครับ

ในการซื้อ-ขายก็ไม่จำเป็นต้องวางเงินเยอะเท่า ลองเข้าไปศึกษาดูครับ การจะเป็น I นั้น มันต้องรู้จักตัวเอง

รู้จักตลาด รู้จักจังหวะ แต่จะคิดว่าเขียวแล้วค่อยซื้อ อย่างนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่ รวมทั้งการเป็น VI ด้วย บางครั้ง

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA มันก็เหมาะสำหรับการเริ่มเป็น VI นะครับ ใครบอกครับว่ามีเงินเยอะถึงจะเป็น VI ได้...^^
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
หน้า: 1 ... 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 [36] 37 38 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!