เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 02:18:46
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 [32] 33 34 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293364 ครั้ง)
เอ็มไอ ซิก (MI6)
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271



« ตอบ #620 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2012, 14:07:21 »

แอบไปเจอแฟนพันธุ์แท้ cpall มาครับ เลยเอามาแบ่งท่านวายุและเพื่อนสมาชิก

ทำเป็นเว็บเลย สุดยอด

http://jo.klongjan.com/news/CPALL

ผมขอตามอ่านก่อนครับ พิมพ์ CPALL ใน google ขึ้นมาเยอะจริงๆ

สนุกมากเลยครับ ใครสนใจก็ลองศึกษาดูนะครับ

เพราะกำไรไตรมาส 1 ได้ 0.305 ต่อหุ้น และถ้าไตรมาสที่ 2 โตเพิ่มอีก 15%

จะคำนวนราคาเหมาะสมได้อยู่ที่  0.305 * 15% = 0.04575

บวกกับกำไรไตรมาส 1 คือ 0.305+0.04575= 0.35 ต่อหุ้น

สมมุติว่า ไตรมาสอื่นๆไม่โตขึ้นเลย ก็จะคำนวนได้ว่า

0.305 + 0.35 + 0.305 + 0.305 = 1.265 กำไรสุทธิ/ หุ้น ต่อปี

และเอามาคุณกับ PE ซึ่งเฉี่ลยแล้วอยู่ที่ 30 เท่า ก็จะได้

30 * 1.265 = 37.95 บาท ซึ่งนี้แค่คิดแบบโตแค่ไตรมาสเดียว

และถ้ามันโตขึ้นทุกๆไตรมาส มันจะวิ่งไปเท่าๆไหร่ ก็คำนวนกันเอาเองนะครับ

ซึ่งราคาตอนนี้อยู่ที่ 36.25 บาท/หุ้น และยังไม่ประกาศผลประกอบการ

ลองมาติดตามกันนะครับว่า หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/55 แล้ว

กำไรต่อหุ้นจะอยุ่ที่เท่าไหร่ โตกี่% และราคาหุ้นที่วิ่งไปหากำไร จะอยู่ที่เท่าไหร่ครับ

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น การลงทุนมีความเสี่ยงครับ

http://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000184434/U_CPALL_120616.pdf

http://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000183831/Cpall_550608.pdf
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 กรกฎาคม 2012, 16:14:42 โดย หน่วยพลีชีพ » IP : บันทึกการเข้า
เอ็มไอ ซิก (MI6)
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271



« ตอบ #621 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2012, 20:58:04 »



ผมมีข้อสังเกตุอีกข้อสองข้อตามรูปข้างบนนี้ครับ

จากรูปข้างบน เป็นการเปรียบเทียบกำไร ปีที่มีมหกรรมกีฬา

ซึ่งในที่นี้ก็คือ ฟุตบอลยูโร นั้นเองครับ จะเห็นได้ว่า

ปีไหนที่มีช่วงกีฬายอดรายได้ของของไตรมาสนั้นๆ จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ

เพราะเหตุที่ว่า ไตรมาสสองเป็นช่วงหน้าร้อนจึงทำให้มีการซื้อเครื่องดื่มเป็นจำนวนมาก

และช่วงเทศกาลบอลยูโรมีการแข่งขันที่ดึกพอสมควร

ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าว ร้านโชว์ห่วยต่างๆก็เปิดนอนกันหมดแล้ว

จะเหลือแต่ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้า 7-11 มากกว่าร้านอื่นๆ (เกินครึ่งของผู้มาซื้อทั้งหมด)

ดังนั้นจึงทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่สองซึ่งมีเทศกาลบอลยูโร

เติบโตขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเจน (ซึ่งณ เวลาที่พิมพ์นี้ งบการเงินไตรมาสสองยังไม่ออก)

แต่ก็คาดการได้แน่นอนว่า ผลประกอบการน่าจะโต เหมือนในรูปที่เห็นดังกล่าง


และประเด็นอีกข้อก็คือ ไตรมาสที่สาม

ซึ่งจะเป็นช่วงหน้าฝนพอดี หลายๆท่านคงคิดว่า เวลาฝนตกคงไม่อยากออกไปไหน

ใช่ครับ ช่วงเวลานี้คงไม่มีใครอยากออกไปเที่ยวซื้อของที่ไหนกันแหละครับ

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ หากช่วงไหนที่ฝนหยุดตก ผู้คนส่วนมากก็อยากหาอะไรอร่อยๆทาน

ซึ่งจากการสังเกตุ ฝนส่วนใหญ่มักจะหยุดตกก็ดึกมากโขแล้ว และจะมีที่ไหนละครับ

ที่จะค่อยเปิดบริการกับผู้ที่หิวโหยเหล่านั้น  อ้าวก็ร้านสะดวกซื้อนั้นเองครับ

งานนี้ก็รับลูกค้าไปเต็มๆเลยครับท่านๆ

และอีกอย่างก็คือ มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2012

ช่วงระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม 2555

ซึ่งนักลงทุนทุกๆท่านดูก็คงรู้แล้วนะครับว่า อยู่ในช่วงไตรมาสที่สามนั้นเอง

โอ้ว แบบนี้มันจะมาแนวกับไตรมาสที่สองซึ่งมีฟุตบอลยูโรหรือเปล่า

ไม่ต้องให้หมดดูก็เดาออกได้ว่า ถูกต้องนะคร๊าบๆๆๆๆๆ

และโอลิมปิกนี้ ใช้เวลาแข่งขันตั้ง 17 วัน ซึ่งมากว่าบอลยูโลซึ่งแข่งกัน 15 วัน

และเป็นการแข่งขันที่หลากหลายชนิดกว่าบอลยูโร ซึ่งมีแต่ฟุตบอลอย่างเดียว

จึงทำให้จำนวนผู้ที่ดูกีฬาเยอะกว่าเพราะสามารถดูได้หลายเพศหลายวัย

และการดื่มกินในช่วงเวลานั้นๆ ก็คงหนีไม่พ้นไปแน่แท้เลยครับ

ซึ่งจะไปพ้นจากร้านสะดวกซื้อไปได้อย่างไร ท่านๆว่าจริงหรือไม่ครับ


ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมานี้ เป้นการคาดการส่วนตัวเท่านั้นครับ

ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็คอยติดตามผลประกอบการไตรมาสต่างๆ เอาเองละกันครับ

ถึงแม้ว่าเราไม่ใช้พวก Inside ที่รู้ตื้นลึกหรือความเคลื่อนไหวภายในของบริษัท

แต่เราก็คาดการได้โดยดูจากสิ่งต่างๆ รอบๆตัวได้สบายๆ

ถ้าพวก Inside เขาซื้อเก็งกำไรงบการเงิน เราก็ต้องเป็นโคตร Inside

เพราะเราซื้อตั้งแต่พวก Inside ไม่เข้าซื้อซะอีก ฮาๆ จากนั้นก็นอนตีพุงจากราคาของ

พวก  Inside และพวกไล่ตามงบการเงินตอนประกาศผลประกอบการ

ขอบคุณมากครับ
IP : บันทึกการเข้า
เอ็มไอ ซิก (MI6)
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 271



« ตอบ #622 เมื่อ: วันที่ 22 กรกฎาคม 2012, 12:32:45 »

จะซื้อหุ้น ลงทุนในหุ้น ต้องศึกษาข้อมูลหุ้นนิดนึงครับ หุ้นไม่ใช่หวย ที่หลับตาแล้วก็หยิบซื้อ

ถ้าทำแบบนั้น โอกาสขาดทุนก็มากพอๆกับซื้อหวยแล้วไม่ถูก

หุ้นต่างจากหวย มีข้อมูลประกอบมากมาย ให้ศึกษาให้ตัดสินใจ มีข้อมูลที่ทำให้คาดว่าจะกำไร

หรือขาดทุนได้  ยิ่งรู้มากศึกษามากเข้าใจหุ้นมากโอกาสกำไรจะมากขึ้นและขาดทุนจะน้อยลง

บางคนซื้อหุ้นโดยไม่รู้ ว่าบริษัททำอะไร อยู่ที่ไหน งบออกช่วงไหน ปันผลช่วงไหนหรือตัวย่อมาจากชื่ออะไร

สาเหตุหลักๆที่มักทำให้ขาดทุนอีกอย่าง คือการเข้าซื้อหุ้น ที่ ฮิตในกระทู้ทั้งหลาย  ถ้าคุณซื้อหุ้นที่

คนพูดถึงกันบ่อยหรือเห็นบ่อยในกระทู้แล้วละก็ โอกาสที่จะได้กำไรหรือขาดทุนแทบจะเป็น 50/50

เพราะอย่างแรกคือ กว่าฝูงชนจะรุมสนใจ ก็มีคนที่ทุนต่ำกว่าคุณเก็บกันไปนานแล้ว และพร้อมขาย

เมื่อเกิดเหตุการ์ณใดๆไม่คาดฝัน  อย่างที่สอง เมื่อคลื่นฝูงชนเข้าซื้อและคาดหวังไปในทางเดียวกัน

มากๆ ผลมักจะออกมาตรงกันข้าม เพราะตลาดหุ้นไม่ใช่ตลาดที่ใจดีที่แจกตังทุกคนที่เข้ามาลงทุน

มีหุ้นอีกหลายสิบหลายร้อยตัว ที่แทบไม่มีคนพูดถึงหรือมีคนรู้จักมากมาย แต่ราคาโตขึ้นเรื่อยๆ

มาหลายเท่าตัวตลอดทาง   มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่คอยเฝ้าดูลุ้นผลประกอบการของหุ้นตัวเองเหล่านั้น

ที่โตวันโตคืน คอยดีใจ และเก็บผลกำไรกินกันเงียบๆ

ลองศึกษา ลองมั่นใจ ลองตัดสินใจเลือกหุ้นด้วยตัวเอง ยอมเป็นกลุ่มคนที่ซื้อหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ

แต่กลับได้กำไรโตวันโตคืน ดีกว่าซื้อหุ้น ที่ใครๆก็รู้จัก แล้วต้องมานั่งปลอบใจตัวเองว่า

ไม่เป็นไรมีคนอีกมากมายที่ขาดทุนเป็นเพื่อนเรา
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #623 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 18:17:12 »



เกินไปละ 7-11 จะเอาหมดเลยหรือไง ถึงขนาดขายตั๋วหนังด้วย
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #624 เมื่อ: วันที่ 27 กรกฎาคม 2012, 15:58:37 »

NISSAN  LEAF  ฝันร้ายของหุ้นน้ำมัน
     เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้ดูรายการเกี่ยวกับการทดสอบรถของช่องสปีดแชนแนลทางจานแดงทรูวิชั่น  เมื่อดูจบผมมีความรู้สึกว่ารถรุ่นที่เอามาทดสอบนั้นเป็นรถที่ดีมากๆรุ่นหนึ่ง  รถรุ่นนั้นก็คือนิสสันลีฟ  จุดเด่นของรถรุ่นนี้คือเป็นรถสีเขียว!!!  มันไม่ได้หมายความว่าเขาเอารถสีเขียวมาทดสอบนะครับ  แต่สีเขียวในที่นี้คือมันเป็นรถที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ  อุปกรณ์ที่นำมาทำเป็นรถนั้น  ทำมาจากของรีไซเคิลแทบทุกอย่าง  และในขณะเดียวกัน  เมื่อรถนั้นหมดสภาพแล้ว  เขาก็สามารถนำมันไปรีไซเคิลได้อีกสูงสุดถึง  99  %  เลยทีเดียว  ซึ่งนับว่าเป็นค่าการรีไซเคิลที่สูงมาก  ส่วนระบบขับเคลื่อนของรถนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครับ  ใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว  ไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเลย  ซึ่งตรงนี้จะทำให้  ไม่มีควันไอเสียออกมาในอากาศ  และเราผู้ใช้รถก็ไม่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลที่ต้องขุดหาขึ้นมาจากใต้พื้นโลกด้วย  และเนื่องจากมันไม่ได้ใช้เครื่องยนต์  มันก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง  ตรงนี้ก็จะทำให้เราประหยัดค่าถ่ายน้ำมันเครื่องไปได้อีก  เนื่องจากมันจะไม่เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์  และยังเป็นการช่วยโลกไม่ให้มีคราบน้ำมันดำๆที่หมดสภาพจากการใช้งานแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นขยะสารพิษได้อีกทางหนึ่ง  สำหรับที่เก็บพลังงานของรถนั้นใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเที่ยม  ซึ่งเป็นแบบชนิดเดียวกันกับที่เราใช้ในมือถือนั่นแหละ  การชาร์จไฟเข้าไปก็ใช้ไฟบ้าน  220  โวลท์ธรรมดา  เสียบปลั๊กทิ้งไว้  8  ชั่วโมงก็เต็ม  เมื่อชาร์จจนเต็ม  100  %  แล้ว  สามารถวิ่งได้ไกลถึง  160  กม.  ซึ่งระยะทางเท่านี้  เราสามารถขับไปเที่ยวหากิ๊กข้ามจังหวัดได้สบายเลย  ในแผงหน้าปัดจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังงานไฟที่ยังเหลืออยู่  แถมคำนวณให้เสร็จสรรพเลยว่าสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโล  และที่สำคัญ  รถนี้มีแอร์ด้วยนะครับ  ซึ่งก็ใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเหมือนกัน  ถ้าเราอยากขับรถให้ได้ระยะทางไกลขึ้น  เพียงแค่เราปิดแอร์ขับ  ไฟก็จะเหลือเพิ่มขึ้นมาอีก  สำหรับสมรรถนะของรถนั้นก็ดีครับ  เพราะความเร็วสูงสุดที่ผู้ทดสอบทำได้คือประมาณ  160  กม./ชม.  อัตราแรงบิดนั้นก็ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์  เพราะมันเป็นมอเตอร์จึงสามารถเร่งขึ้นได้ทันใจ  เมื่อเทียบแรงบิดแล้ว  สามารถเทียบได้กับรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด  3000  C.C.  เลยทีเดียว  แต่สิ่งที่หลายท่านอาจสงสัยก็คือ  ถ้าเราเดินทางไกลกว่า  160  กม.  แล้วจะทำอย่างไร  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่ารถรุ่นนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทยนะครับ  ตอนนี้มีขายแต่ในต่างประเทศเท่านั้น  แต่ปัญหาเกี่ยวกับการที่ต้องเดินทางไกลนั้นเขาก็แก้ไว้แล้วคือ  เขาจะมีจุดพักรถตามที่ต่างๆไว้คอยบริการครับ  เราสามารถเข้าไปชาร์จไฟได้โดยใช้เวลาเพียงแค่  45  นาทีเท่านั้นก็เต็ม  เนื่องจากว่าสถานที่ชาร์จไฟที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น  ใช้แรงดันไฟสูงถึง  400  กว่าโวลท์  มันก็เลยใช้เวลาน้อยกว่าการชาร์จที่บ้านครับ  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วผมอยากซูฮกคนที่คิดรถรุ่นนี้ขึ้นมาจริงๆ  เพราะยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัวเลย

นกตัวแรกก็คือ  ช่วยทำให้โลกนี้ปลอดมลพิษ  ไม่ว่าจะเป็นควันพิษจากท่อไอเสีย  การกำจัดน้ำมันเครื่องที่หมดสภาพแล้ว  เสียงดังของท่อไอเสีย  และลดการใช้เหล็กลงไปได้มาก

นกตัวที่สองคือ  ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายของเราไปได้มาก  เนื่องจากว่ารถใช้พลังงานไฟฟ้า  เราก็ไม่ต้องขวัญผวาว่า  พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร  และเราก็ไม่ต้องกังวลว่า  จะถึงรอบถ่ายน้ำมันเครื่องหรือยัง

นกตัวที่สามคือ  วัสดุทุกชิ้นที่นำมาประกอบเป็นรถ  สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยกระบวนการรีไซเคิล

     เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจ  เพราะนับจากนี้ไปคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็จะดีขึ้น  และผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้  คงจะมีค่ายรถต่างๆแข่งกันทำรถไฟฟ้าออกมาขายกันให้เกลื่อน  เพราะผมมีความเชื่อว่า  ทุกสิ่งต้องพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีอายุมากหน่อยก็คงจะเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ได้ว่า  สมัยก่อนนนู้นมีแต่มอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่ทั้งเสียงท่อดังและควันโขมง  ซ้ำยังไม่พอ  คราบน้ำมันที่ปลายท่อซึ่งเกิดจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ก็ย้อยติ๋งๆ  น้ำมันออโต้ลูปหรือที่เรียกกันว่า  2  T  ก็ต้องใส่  ทำให้เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ  และพอหมดจากรุ่นสองจังหวะมา  ก็มาถึงรุ่นสี่จังหวะที่เสียงเงียบกว่า  ไอเสียมีพิษน้อยกว่า  และไม่ต้องเติมออโต้ลูป  แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เรากำลังจะเปลี่ยนอีกครั้งก็คือ  อีกหน่อยก็คงจะมีแต่มอเตอร์ไซค์หัวฉีดซึ่งประหยัดน้ำมันมากกว่า

     เอาล่ะ...ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ  ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน  เราเห็นอะไรจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้บ้าง?  จากความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคาดว่า  อีกไม่นานรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะหมดไป  โดยมีรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่  และเมื่อถึงเวลานั้น  หุ้นน้ำมันจะเป็นอย่างไรผมก็นึกสภาพไม่ออก  จริงอยู่ที่น้ำมันสามารถเอาไปทำอะไรได้หลากหลายกว่าการเอามาเติมรถยนต์  แต่เราลองนึกถึงว่าอุปสงค์น้ำมันจากส่วนนี้หายไปทั้งโลก  แล้วรายได้ของคนที่ทำธุรกิจน้ำมันอยู่จะตกลงไปขนาดไหน  สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ  ในการสร้างรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้านั้น  ส่วนประกอบของรถที่เปลี่ยนไปมีอะไรบ้าง  เราไม่ต้องใช้เหล็กเพื่อทำเครื่องยนต์ถูกต้องไหม  แล้วเราใช้อะไรมาแทนมันล่ะ  “มอเตอร์”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “แบตเตอรี่”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “ธุรกิจรีไซเคิล”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนทำมันล่ะ  ถ้าเราหูไวตาไว  เราคงรู้เข้าสักวัน  และเมื่อถึงวันนั้น  ก็จะเป็นวันที่เราควรลงทุนในหุ้นที่เราคิดว่าต้องตีแตกให้ได้  ถ้าใครรู้จักบริษัทที่ทำกิจการเหล่านี้ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ

http://www.siamsport.co.th/Motoring/120408_159.html
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Ni KruNi
086-114-7787
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 544



« ตอบ #625 เมื่อ: วันที่ 30 กรกฎาคม 2012, 14:43:43 »

แวะเข้ามาศึกษาดูจ้า
ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ
IP : บันทึกการเข้า

ยามเฮาตุ๊ก ตึงบ่มีไผตวย ยามเฮารวย คนตวยเป็นปุ๊ก
thexfile
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา... จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 349


ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ


« ตอบ #626 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 10:43:43 »

NISSAN  LEAF  ฝันร้ายของหุ้นน้ำมัน
     เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้ดูรายการเกี่ยวกับการทดสอบรถของช่องสปีดแชนแนลทางจานแดงทรูวิชั่น  เมื่อดูจบผมมีความรู้สึกว่ารถรุ่นที่เอามาทดสอบนั้นเป็นรถที่ดีมากๆรุ่นหนึ่ง  รถรุ่นนั้นก็คือนิสสันลีฟ  จุดเด่นของรถรุ่นนี้คือเป็นรถสีเขียว!!!  มันไม่ได้หมายความว่าเขาเอารถสีเขียวมาทดสอบนะครับ  แต่สีเขียวในที่นี้คือมันเป็นรถที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ  อุปกรณ์ที่นำมาทำเป็นรถนั้น  ทำมาจากของรีไซเคิลแทบทุกอย่าง  และในขณะเดียวกัน  เมื่อรถนั้นหมดสภาพแล้ว  เขาก็สามารถนำมันไปรีไซเคิลได้อีกสูงสุดถึง  99  %  เลยทีเดียว  ซึ่งนับว่าเป็นค่าการรีไซเคิลที่สูงมาก  ส่วนระบบขับเคลื่อนของรถนั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครับ  ใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว  ไม่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเลย  ซึ่งตรงนี้จะทำให้  ไม่มีควันไอเสียออกมาในอากาศ  และเราผู้ใช้รถก็ไม่ต้องใช้พลังงานฟอสซิลที่ต้องขุดหาขึ้นมาจากใต้พื้นโลกด้วย  และเนื่องจากมันไม่ได้ใช้เครื่องยนต์  มันก็ไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง  ตรงนี้ก็จะทำให้เราประหยัดค่าถ่ายน้ำมันเครื่องไปได้อีก  เนื่องจากมันจะไม่เกิดการสึกหรอของเครื่องยนต์  และยังเป็นการช่วยโลกไม่ให้มีคราบน้ำมันดำๆที่หมดสภาพจากการใช้งานแล้วเพิ่มขึ้นมาเป็นขยะสารพิษได้อีกทางหนึ่ง  สำหรับที่เก็บพลังงานของรถนั้นใช้แบตเตอรี่ชนิดลิเที่ยม  ซึ่งเป็นแบบชนิดเดียวกันกับที่เราใช้ในมือถือนั่นแหละ  การชาร์จไฟเข้าไปก็ใช้ไฟบ้าน  220  โวลท์ธรรมดา  เสียบปลั๊กทิ้งไว้  8  ชั่วโมงก็เต็ม  เมื่อชาร์จจนเต็ม  100  %  แล้ว  สามารถวิ่งได้ไกลถึง  160  กม.  ซึ่งระยะทางเท่านี้  เราสามารถขับไปเที่ยวหากิ๊กข้ามจังหวัดได้สบายเลย  ในแผงหน้าปัดจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพลังงานไฟที่ยังเหลืออยู่  แถมคำนวณให้เสร็จสรรพเลยว่าสามารถวิ่งได้อีกกี่กิโล  และที่สำคัญ  รถนี้มีแอร์ด้วยนะครับ  ซึ่งก็ใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยเหมือนกัน  ถ้าเราอยากขับรถให้ได้ระยะทางไกลขึ้น  เพียงแค่เราปิดแอร์ขับ  ไฟก็จะเหลือเพิ่มขึ้นมาอีก  สำหรับสมรรถนะของรถนั้นก็ดีครับ  เพราะความเร็วสูงสุดที่ผู้ทดสอบทำได้คือประมาณ  160  กม./ชม.  อัตราแรงบิดนั้นก็ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์  เพราะมันเป็นมอเตอร์จึงสามารถเร่งขึ้นได้ทันใจ  เมื่อเทียบแรงบิดแล้ว  สามารถเทียบได้กับรถที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด  3000  C.C.  เลยทีเดียว  แต่สิ่งที่หลายท่านอาจสงสัยก็คือ  ถ้าเราเดินทางไกลกว่า  160  กม.  แล้วจะทำอย่างไร  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่ารถรุ่นนี้ยังไม่มีขายในเมืองไทยนะครับ  ตอนนี้มีขายแต่ในต่างประเทศเท่านั้น  แต่ปัญหาเกี่ยวกับการที่ต้องเดินทางไกลนั้นเขาก็แก้ไว้แล้วคือ  เขาจะมีจุดพักรถตามที่ต่างๆไว้คอยบริการครับ  เราสามารถเข้าไปชาร์จไฟได้โดยใช้เวลาเพียงแค่  45  นาทีเท่านั้นก็เต็ม  เนื่องจากว่าสถานที่ชาร์จไฟที่เขาเตรียมไว้ให้นั้น  ใช้แรงดันไฟสูงถึง  400  กว่าโวลท์  มันก็เลยใช้เวลาน้อยกว่าการชาร์จที่บ้านครับ  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วผมอยากซูฮกคนที่คิดรถรุ่นนี้ขึ้นมาจริงๆ  เพราะยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัวเลย

นกตัวแรกก็คือ  ช่วยทำให้โลกนี้ปลอดมลพิษ  ไม่ว่าจะเป็นควันพิษจากท่อไอเสีย  การกำจัดน้ำมันเครื่องที่หมดสภาพแล้ว  เสียงดังของท่อไอเสีย  และลดการใช้เหล็กลงไปได้มาก

นกตัวที่สองคือ  ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายของเราไปได้มาก  เนื่องจากว่ารถใช้พลังงานไฟฟ้า  เราก็ไม่ต้องขวัญผวาว่า  พรุ่งนี้ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร  และเราก็ไม่ต้องกังวลว่า  จะถึงรอบถ่ายน้ำมันเครื่องหรือยัง

นกตัวที่สามคือ  วัสดุทุกชิ้นที่นำมาประกอบเป็นรถ  สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วยกระบวนการรีไซเคิล

     เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจ  เพราะนับจากนี้ไปคุณภาพชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ก็จะดีขึ้น  และผมคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้  คงจะมีค่ายรถต่างๆแข่งกันทำรถไฟฟ้าออกมาขายกันให้เกลื่อน  เพราะผมมีความเชื่อว่า  ทุกสิ่งต้องพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีอายุมากหน่อยก็คงจะเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ได้ว่า  สมัยก่อนนนู้นมีแต่มอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่ทั้งเสียงท่อดังและควันโขมง  ซ้ำยังไม่พอ  คราบน้ำมันที่ปลายท่อซึ่งเกิดจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ก็ย้อยติ๋งๆ  น้ำมันออโต้ลูปหรือที่เรียกกันว่า  2  T  ก็ต้องใส่  ทำให้เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ  และพอหมดจากรุ่นสองจังหวะมา  ก็มาถึงรุ่นสี่จังหวะที่เสียงเงียบกว่า  ไอเสียมีพิษน้อยกว่า  และไม่ต้องเติมออโต้ลูป  แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เรากำลังจะเปลี่ยนอีกครั้งก็คือ  อีกหน่อยก็คงจะมีแต่มอเตอร์ไซค์หัวฉีดซึ่งประหยัดน้ำมันมากกว่า

     เอาล่ะ...ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ  ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน  เราเห็นอะไรจากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้บ้าง?  จากความเห็นส่วนตัวของผมแล้วคาดว่า  อีกไม่นานรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะหมดไป  โดยมีรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่  และเมื่อถึงเวลานั้น  หุ้นน้ำมันจะเป็นอย่างไรผมก็นึกสภาพไม่ออก  จริงอยู่ที่น้ำมันสามารถเอาไปทำอะไรได้หลากหลายกว่าการเอามาเติมรถยนต์  แต่เราลองนึกถึงว่าอุปสงค์น้ำมันจากส่วนนี้หายไปทั้งโลก  แล้วรายได้ของคนที่ทำธุรกิจน้ำมันอยู่จะตกลงไปขนาดไหน  สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ  ในการสร้างรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้านั้น  ส่วนประกอบของรถที่เปลี่ยนไปมีอะไรบ้าง  เราไม่ต้องใช้เหล็กเพื่อทำเครื่องยนต์ถูกต้องไหม  แล้วเราใช้อะไรมาแทนมันล่ะ  “มอเตอร์”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “แบตเตอรี่”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนผลิตมันล่ะ  “ธุรกิจรีไซเคิล”  ใช่แล้ว...แล้วใครเป็นคนทำมันล่ะ  ถ้าเราหูไวตาไว  เราคงรู้เข้าสักวัน  และเมื่อถึงวันนั้น  ก็จะเป็นวันที่เราควรลงทุนในหุ้นที่เราคิดว่าต้องตีแตกให้ได้  ถ้าใครรู้จักบริษัทที่ทำกิจการเหล่านี้ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ

http://www.siamsport.co.th/Motoring/120408_159.html

ถ้าเพิ่มหลังคาเป็น โซล่าเซล ชาร์จไฟคงจะแจ่มกว่านี้ ขับกลางแดดไปชาร์จไป จอดก็แย่งกันจอดรถกลางแดดกันเลย 555
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #627 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 16:05:13 »

ผมคิดไปไกลกว่านั้นอีกนะ  ผมคิดว่าถ้าขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่  เราก็น่าจะใช้ประโยชน์จากพลังลมอีกทางหนึ่งด้วย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
►•••   Natz.   •••◄
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,434



« ตอบ #628 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2012, 16:42:54 »

ยังไงก็ดีแน่นอนครับ  ยิ้มกว้างๆ  แต่ว่าถ้าราคาไม่แพงเกินไปนะ  โดยส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะอีกนานอยู่ครับ

ดูอย่างโฆษณา toyota prius ที่เขาบอกว่าเราใช้แล้ว แล้วคุณละ..?  อยากจะตอบว่าอยากใช้อยู่ อยากช่วยโลกอยู่แต่ว่าไม่มีตังซื้อ แบตเตอรี่แพ๊งแพง  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #629 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2012, 16:00:17 »

ธุรกิจเครือข่าย  VS  หุ้นเก็งกำไร
     เมื่อไม่กี่วันมานี้  ขณะที่ผมกำลังขายของอยู่นั้น  ก็มีคนมาชักชวนให้ผมไปฟังการบรรยายกับเขาด้วยโดยบอกว่า  มาชวนให้ไปเอาเงิน  ใช้เวลาไม่นานหรอก  ไม่ต้องรักษายอดด้วย !!!  เพียงแค่คำว่าไม่ต้องรักษายอด  ผมก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร  นี่ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า  นี่มันเป็นการเก็งกำไรชัดๆ  แล้วมันเป็นการเก็งกำไรได้อย่างไร?

     เวลาเราจะทำธุรกิจเครือข่ายยี่ห้ออะไรสักอย่างหนึ่ง  เรารู้ไหมว่า  เราจะเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่เท่าไหร่  แล้วมีธุรกิจเครือข่ายยี่ห้ออื่นอยู่อีกกี่ยี่ห้อบ้าง  และยี่ห้อพวกนั้นมีคนเข้าไปแล้วมากน้อยแค่ไหน  และมันจะเหลือคนที่ยังว่างให้เราไปชวน(หลอก)ได้อีกเท่าไหร่  ถ้าคุณไม่รู้คำตอบของคำถามพวกนี้  คุณก็เหมือนนักเก็งกำไรในหุ้นนั่นแหละ  นักเก็งกำไรส่วนมากหวังแต่ได้  และไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังจะเข้าไปพัวพันเลย  สิ่งที่นำพาให้เขาไปถึงจุดนั้นได้ก็คือ  ”ความโลภ”  เพียงอย่างเดียว  โลภอยากได้เงินคนอื่น  โดยลืมนึกไปว่า  คนอื่นก็อยากได้เงินของเราเหมือนกัน  เวลาเราเข้าไปสมัครปั๊บ  มีคนรอกินหัวคิวเราบานเลย

     การเก็งกำไรในหุ้นก็เช่นกัน  เวลาเราเห็นหุ้นวิ่งปั๊บ  เราก็อยากจะเข้าไปมั่วแล้ว  และคำถามก็คือ  เราอยู่ในตำแหน่งที่เท่าไหร่ของเกมนี้  เผลอๆตอนที่เราเข้าไป  เราอาจเป็นคนสุดท้ายแล้วก็ได้  และเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คาดเดาได้ไม่ยาก  แต่มีสิ่งหนึ่งตามความคิดเห็นของผมที่อาจจะไม่มีใครเห็นด้วยคือ  ถ้าเรา  “รู้”  ว่าจุดสิ้นสุดของเกมนั้นมันอยู่ตรงไหน  นั่นก็ไม่นับว่ามันเป็นการเก็งกำไร  เพราะการลงทุนกับการเก็งกำไรมันมีเส้นแบ่งนิดเดียวก็คือ  คุณรู้หรือไม่เท่านั้นเอง  บัฟเฟตเคยพูดว่า  ถ้าคุณนั่งเล่นโปกเกอร์แล้วภายใน  20  นาทีคุณไม่รู้ว่าใครหมู  “คุณนั่นแหละหมู”

     แต่สิ่งที่ผมจะมาบอกกล่าวคุณในวันนี้  มันไม่ใช่แค่การที่ผมออกมานั่งบ่นเพียงอย่างเดียวหรอกนะ  วันนี้ผมมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการปฏิเสธคนที่มาชวนไปทำธุรกิจเครือข่ายมาฝากด้วย  ผมก็ไม่รู้จะเรียกวิธีการนี้ว่าอะไรดี  มันอาจจะเรียกว่าย้อนศร  หรือหนามยอกเอาหนามบ่ง  หรือว่าเกลือจิ้มเกลือ  ก็สุดแท้แต่เราจะเข้าใจให้ตรงกันก็แล้วกันนะครับ  เพราะทันทีที่เขาชวนผม  ผมก็ตอบเขาไปว่า  ผมกำลังทำยี่ห้อ...อยู่  ซึ่งการที่เราบอกไปอย่างนี้  มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้  เพียงแค่เราบ่ายเบี่ยงแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  แต่มันจะทำให้คนชวนชะงักไปชั่วครู่  ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ขี้ตื้อนัก  เขาอาจจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเรา  เพราะถึงชวนไปก็เท่านั้น  ยังไงเสีย  เราก็มีสังกัดแล้ว(นี่เป็นการปฏิเสธในกระบวนท่าแรก)  แต่พอดีคนที่ผมเจอนั้น  ไม่ทราบว่าไปกินดีหมีมาจากไหน  พูดง่ายๆว่าจะเอาให้ได้  เขาชวนผมต่อทันทีเลยว่า  ที่นี่ไม่ต้องรักษายอดนะ  ผมก็ตอบไปว่า  ทุกวันนี้ผมไม่เน้นขายหรอกครับ  ซื้อใช้อย่างเดียว(โม้อีกแล้ว)  เขาก็บอกอีกว่า  ที่นี่ไม่ต้องขายหรอก  แค่ซื้อใช้อย่างเดียวก็ได้เงินแล้ว  เพียงแค่เราชวนคนอื่นให้มาใช้สินค้าของบริษัทด้วยก็พอ  ผมก็เลยงัดไม้ตายกระบวนท่าสุดท้ายปล่อยออกไปเลยว่า  ผมเคยชวนแล้ว  แต่ทุกคนที่ผมชวน  ไม่มีใครเข้าร้านมาอีกเลย  ซึ่งนั่น...ทำให้ผมเสียฐานลูกค้าของตัวเองไป  ผมจึงคิดว่า  ผมจะไม่ชวนใครอีกแล้ว  เพราะถ้าผมมุ่งแต่จะขายสินค้าให้คนอื่น  แต่ทำให้สินค้าของตัวผมเองเสียหาย  ผมเลือกสินค้าของตัวเองครับ  แล้วพี่ไม่สนใจมาสมัครเป็นดาวน์ไลน์ผมบ้างหรือ  เมื่อผมบอกออกไปอย่างนี้  สุดท้ายมันก็เลยแตกตึ้งบ้านใครบ้านมัน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
thexfile
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา... จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 349


ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ


« ตอบ #630 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 20:14:00 »

ผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ (Financial Statement Quarter) 2/2555(2012)
http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
IP : บันทึกการเข้า
pairote
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 183


« ตอบ #631 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2012, 22:00:54 »

นักวิเคราะห์ยังปากกาหักมานับไม่ถ้วนผมว่ามีได้ก็มีเสียครับ. ไม่งั้นก็รวยกันหมดไม่ต้องทำไรแล้วครับการลงทุนมีความเสี่ยงหุ้นพื้นฐานก็อยู่ที่ฐานนั่นหละครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #632 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 13:34:27 »

     ถูกของคุณ  pairote นะครับ  เพราะหุ้นมันมักจะอิงกับพื้นฐานของบริษัท  แต่ทุกวันนี้ผมไม่เคยเชื่อนักวิเคราะห์เลยนะครับ  เพราะถ้าเค้าเก่งจริง  เค้าคงจะรวยไปแล้ว  ส่วนเรื่องความเสี่ยง  อันนี้มันก็มีอยู่ทุกที่แหละครับ  มันไม่ได้มีแต่ในการลงทุนในกิจการของคนอื่นเท่านั้น  ถ้าสมมุติว่าคุณขายอาหารที่ถนนคนเดิน  คุณจะรู้ไหมว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้คุณจะขายของได้เงินเท่าไหร่?  นั่นคือความเสี่ยงไหม?  แต่ถ้าผมไม่ได้สนใจว่าเขาจะได้เงินเท่าไหร่และฝนจะตกไหม  แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคือ  ถ้าเขาเป็นคนขายอาหาร  และเขาทำอร่อย  ราคาไม่แพง  มีลูกค้าติดเยอะ  นั่นคือวิธีการลงทุนโดยการลดความเสี่ยงของผมครับ  เพราะผมดูที่พ่อค้าก่อนว่าอาหารเขาอร่อยและขายได้  ส่วนเรื่องจะขายได้เท่าไหร่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครรู้ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #633 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2012, 16:53:28 »

ความลับของบัฟเฟต
     ถ้าหากว่าเราลองไปดูหุ้นของบัฟเฟตนักลงทุนบันลือโลกกันก็จะเห็นได้ว่า  แม้กิจการที่เขาถือหุ้นอยู่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน  และแต่ละบริษัทก็ผลิตสินค้าและบริการที่แตกต่างกันเช่น  โค้ก  มีดโกนยิลเลตต์  หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์  ลูกอมซีแคนดี้  บัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรส  แต่ถ้าเรามองให้ลึกๆและพิจารณาให้ถ้วนถี่ก็จะเห็นได้ว่า  มีสามอย่างที่เป็นปัจจัยหลักทำให้บัฟเฟตเลือกลงทุนในบริษัทพวกนี้  สิ่งนั้นก็คือ

1.มันเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น  การเลือกผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรมจะทำให้มั่นใจได้ว่า  ทางบริษัทเองมีความสามารถในการแข่งขันสูงและคู่แข่งจะทำลายได้ยาก  เนื่องจากว่าบริษัทพวกนี้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผูกใจลูกค้าอยู่เช่น  “ยี่ห้อ”  บัฟเฟตจะไม่ซื้อบริษัทใหม่ๆ  แม้ว่าเรื่องราวในตอนเริ่มต้นมันจะน่าตื่นเต้นแค่ไหนก็ตาม  เขาจะรอจนกว่าจะเห็นตัวผู้ชนะแล้ว  และเขาก็จะเลือกผู้นั้น

2.มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ  ถ้าเรามองดูที่บริษัทซึ่งบัฟเฟตเป็นเจ้าของอยู่ก็จะเห็นได้ว่า  สินค้าทั้งหมดนั้น  ลูกค้าต้องซื้อเป็นประจำหรือใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น  และเมื่อลูกค้าใช้สินค้าบ่อย  กระแสเงินสดก็มักจะคงที่  และมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจก็คือ  บริษัทพวกนี้สามารถขึ้นราคาสินค้าได้อย่างอิสระเมื่อต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีในการทำธุรกิจมาก  เพราะมันจะไม่ทำให้บริษัทต้องขาดทุน  บัฟเฟตเคยพูดเกี่ยวกับบริษัทซีแคนดี้ไว้ว่า  “ไม่ว่าราคาลูกอมของบริษัทจะแพงกว่าของคู่แข่งขนาดไหน  ทุกครั้งที่ลูกค้าต้องการซื้อลูกอม  ลูกค้าก็ยังจะซื้อลูกอมของบริษัทอยู่ดี  นั่นก็เป็นเพราะว่า  ลูกค้าเชื่อมันในยี่ห้อของซี”

3.ราคาหุ้นตอนนั้นมันสามารถซื้อได้  เมื่อบัฟเฟตพบบริษัทที่ดีแล้ว  เขาจะจดรายชื่อของบริษัทต่างๆที่เขาสนใจไว้  แต่เขาจะยังไม่ซื้อหุ้นในขณะนั้น  เขาจะรอจนกว่าราคาหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจไว้จะตกลงมา  และไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน  เขาก็มีความอดทนที่จะรออย่างดีเยี่ยม  และเมื่อวันนั้นมาถึง  เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก  ตัวอย่างที่ดีก็คือ  ตอนที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์โดนถล่มขายอย่างหนัก  ราคาหุ้นของบริษัทตกลงมาอยู่ที่  2  เหรียญ  บัฟเฟตก็เข้าซื้อทันที  แต่หลังจากที่บัฟเฟตเข้าซื้อแล้ว  ปรากฎว่าราคาหุ้นไหลลงต่อมาอยู่ที่  1  เหรียญ  แต่บัฟเฟตก็ไม่ได้ร้อนใจขายออกมาแต่อย่างใด  แม้ว่าเขาจะขาดทุนไปถึง  50  %  ก็ตาม  และเมื่อเหตุการณ์ต่างๆในตลาดหุ้นสงบลง  การกลับมาของราคาที่ควรจะเป็นก็เกิดขึ้น  และเมื่อถึงตอนนั้น  บัฟเฟตก็รวยแล้ว  บัฟเฟตให้เหตุผลว่า  ถ้าใครไม่สามารถจะทำใจได้ว่าราคาหุ้นจะตกลงมาครึ่งหนึ่งในชั่วข้ามคืนได้  เขาก็ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหุ้นเสียตั้งแต่แรกแล้ว

     และในทุกๆวัน  บัฟเฟตก็ยังดำเนินการตามกระบวนการนี้อยู่  เขาจะศึกษาบริษัทต่างๆโดยใช้วิธีตะกร้า  3  ใบคือ  เขาจะมีตะกร้าอยู่  3  ใบ  โดยแต่ละใบจะเขียนว่า  เข้า,ออก,และยากเกินไป  โดยเขาจะเอาข้อมูลของบริษัทต่างๆที่ได้รับมาและเอามันมาวิเคราะห์  ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว  บริษัทที่ผ่านเข้ามาจะลงไปสู่ตะกร้ายากเกินไป  บัฟเฟตให้เหตุผลว่า  ถ้าเขาไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจในตัวบริษัทดีพอ  เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งด้วย  ยกตัวอย่างเช่นบริษัทอินเตอร์เนตทั้งหลาย  เขาไม่เข้าใจว่าบริษัทพวกนี้จะมีวิธีหาเงินอย่างไร  และจะสามารถดำรงความเป็นผู้นำไว้ได้อย่างไร  บริษัทหลังๆที่บัฟเฟตลงทุน  คุณทราบไหมว่าเขาลงทุนในอะไร  เขาลงทุนในบริษัทผลิตก้อนอิฐ!!!  ก้อนอิฐมันน่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ?  เขาตอบว่ามันน่าสนใจแน่ถ้ามันเป็นบริษัทที่ใช่  ลองไปถามชาวเท็กซัสดูก็ได้ว่าพวกเขารู้จักอิฐยี่ห้ออะไร  3  ใน  4  คนจะตอบว่าแอคมี่  ซึ่งนั่นก็คือบริษัทที่บัฟเฟตลงทุน  สุดท้ายนี้ผมคงไม่ต้องกล่าวอะไรมากถึงวิธีการที่บัฟเฟตใช้ในการลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  เพราะสิ่งที่ช่วยยืนยันให้ผมเชื่อในหลักการลงทุนของเขาก็คือ  ทุกวันนี้เขาเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกนั่นเอง  และคำเตือนสำหรับคนที่อยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพก็คือ  หลีกเลี่ยงการซื้อขายที่บ่อยครั้งเกินไป  เพราะมันมักจะผิดพลาดได้  และนั่น...จะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เงินที่คุณควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยถูกทำให้ลดลงจากค่าคอมที่ต้องเสียให้กับนายหน้า  และสิ่งที่คุณควรรู้ไว้ก็คือ  คุณไม่สามารถซื้อขายได้ถูกจังหวะในทุกครั้งที่ลงมือหรอก  "ถ้าเรามั่นใจกับบริษัทตั้งแต่ตอนแรกที่เราเข้าลงทุนแล้ว  คุณจะซื้อๆขายๆไปเพื่ออะไรกัน"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2012, 16:57:45 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #634 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2012, 20:22:43 »

     สำหรับมือใหม่ที่สนใจการลงทุนแบบเป็นเรื่องเป็นราว  โอกาสมาถึงคุณแล้ว  วันเสาร์ที่  25  ส.ค  นี้  ตลาดหลักทรัพย์พร้อมด้วยธนาคารกรุงไทยจะจัดงานเกี่ยวกับการลงทุนที่โรงแรม  เลอ  เมอริเดียน  ท่านที่สนใจก็เข้าไปติดต่อที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาเพื่อขอบัตรได้นะครับ  ผมก็ไปขอมาหนึ่งใบแล้ว  ถ้าใครไม่มีบัตร  ก็จะเข้างานได้แค่เฉพาะช่วงบ่าย  แต่ถ้ามีบัตร  เราสามารถเข้าไปร่วมงานได้ตั้งแต่เช้าเลย  แถมยังได้รับประทานอาหารกลางวันด้วย

     จริงๆแล้วผมก็รู้เรื่องการลงทุนมากพอสมควรแล้ว  แต่ที่ผมอยากจะไปก็คือ  ผมอยากจะไปดูว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง  แล้วการเลี้ยงดูผู้ร่วมงานจะดีไหม  และผมอยากเข้าไปเที่ยวในโรงแรมดูด้วย  เพราะปกติผมคงไม่ได้เข้าไปในที่หรูๆแบบนี้แน่

    ถ้าใครไปร่วมงานเราคงได้พบกันนะครับ

ใครสนใจก็รีบหน่อย  เพราะบัตรมีแค่ร้อยที่นั่งเท่านั้น  แล้วเจอกันนะครับ


* บัตรเชิญ.jpg (98.86 KB, 800x600 - ดู 359 ครั้ง.)

* บัตรด้านหลัง.jpg (113.98 KB, 800x600 - ดู 625 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #635 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2012, 08:16:17 »

ขออภัยท่านวายุด้วย ลืมเอาลงให้


* DSC_0155.JPG (425.75 KB, 902x600 - ดู 312 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

Oconner
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 36


« ตอบ #636 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2012, 21:46:47 »

ผมแนว technical พรุ่งนี้เจอกัน
IP : บันทึกการเข้า

Day Trade
nutbogger
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 207


« ตอบ #637 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 00:18:53 »

ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าของกระทู้ครับ. คอเดียวกัน
IP : บันทึกการเข้า
ซาลาเปา(เฉพาะกิจ)
...เฉพาะกิจเท่านั้น...
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 415


IN GOD I TRUST


« ตอบ #638 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 10:16:02 »

แล้วเอาข้อมูลดีๆมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ นลท.ในนี้ด้วยล่ะ 
หลายท่านไปบ่ได้  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #639 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 10:24:03 »

เสียดายจริงๆที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสัมมนา

เพราะติดภารกิจเดินทางไปสอบ กพ. ที่ จังหวัดเชียงใหม่

จะไปครึ่งเช้าก็กลัวจะเตรียมเอกสารไม่ครบไม่ทัน

ไว้รอท่านวายุมาแบ่งปันความรู้จากที่ไปสัมมนามาให้ฟังที่หลังแล้วกัน

ขอบคุณครับ (ห้องเราได้ส่งหน่วยกล้าตายไปละ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม)
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 [32] 33 34 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!