วายุ
มัธยม
ออฟไลน์
กระทู้: 650
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011, 18:25:55 » |
|
ตอบคุณ suddum ถ้าอยากอ่านงบการเงินเก่งๆ ขอแนะนำหนังสือ "กลยุทธหุ้นห่านทองคำ" ครับ แต่จริงๆแล้ว การดูงบการเงิน คือการดูอดีตนะครับ เหมือนเรารู้จักคนหนึ่งคน คนๆนี้ฐานะดีมาก แต่ในอนาคต เราจะรู้หรือไม่ว่า ฐานะเขาจะยังดีเหมือนเดิมหรือไม่เพราะ "การซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคตครับ" เราจะมัวแต่ดูอดีตอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องมองไปข้างหน้า ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างสักเล็กน้อย ขอยกตัวอย่างธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก็แล้วกันนะครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่มือถือกำลังมาใหม่ ใครๆก็ยังไม่มีใช้กัน ถ้าเรามองว่า มันเป็นสิ่งจำเป็น และจะมีคนใช้กันเป็นจำนวนมาก เราก็ซื้อหุ้นนั้นไว้ เมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นตามกำไรที่เติบโต แต่เดี๋ยวนี้ ใครๆก็มีใช้กันหมดแล้ว มันจึงถึงภาวะอิ่มตัวของธุรกิจ ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนเหมือนกับการอิ่มตัวของธุรกิจนั่นเอง แต่ถ้าจะให้ผมตอบแบบคร่าวๆหยาบๆว่า เราจะดูว่าธุรกิจไหนดีหรือไม่ ให้ดูที่กำไรเป็นหลักครับ เมื่อกำไรโต ราคาหุ้นก็จะวิ่งไปพร้อมกับกำไร ถ้าราคาหุ้นไม่วิ่ง นั่นคือโอกาสในการซื้อของเราครับ หรือในมุมกลับ ถ้ากำไรตกแล้วราคาหุ้นไม่ตก นั่นก็เป็นโอกาสในการขายของเราครับ เพราะไม่ช้าก็เร็ว ราคาหุ้นนั้นย่อมตกลงมาแน่นอน แต่ถ้าอยากรู้อะไรที่มันครอบคลุมทุกมิติการลงทุน ผมว่า อ่านหนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทของ ปีเตอร์ ลินซ์ ครับ และยังมีอีกหลายเล่ม เอาไว้คราวหน้าจะมาแนะนำเพิ่ม ตอบคุณนิสา เล่นน้อยๆก่อนก็ดีครับ เป็นการหาประสบการณ์ ถึงแม้ว่าเราจะอ่านคู่มือการขี่จักรยานจนเชี่ยวชาญเพียงใด แต่ถ้าเราไม่เคยลงมือทำเลย ของที่เรามีมันก็แค่ทฤษฏีเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินมากมาย แต่ถ้าเรา"ไม่เป็น"แล้ว มันก็หมดได้ครับ ผมอยากให้ข้อคิดนิดนึงว่า ระหว่างเงินแปดหมื่นกับแปดแสน ต่างกันตรงไหน คำตอบคือ เลขศูนย์ตัวเดียวครับ.....
|
ถึงจะจน พี่ก็จน อย่างมีเกียรติ ถึงจะเครียด พี่ก็เครียด อย่างมีหวัง ถึงจะบ้า พี่ก็บ้า อย่างมีพลัง ถึงจะพัง พี่ก็พัง อย่างมีฟอร์ม
|
|
|
|
pandora
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:32:17 » |
|
เท่าที่ทราบนะคะ 1. บล.ธนชาต ตั้งอยู่ในธนาคารนครหลวงไทยสาขาเชียงราย(ธ.ธนชาตจะควบรวมกับธ.นครหลวง) 2.บล.เอเชียพลัส ตั้งอยู่ในธนาคารกรุงเทพสาขาห้าแยกพ่อขุน 3.บล.ซีจีเอส อยู่ตรงข้ามทวียนต์ 4.บล.เคจีไอ ใกล้ธนาคารออมสิน 5.บล.ฟินันเซีย อันนี้อยู่แม่สายค่ะ 6.บล.เคทีซิมิโก้ ตั้งอยู่ที่ธนาคารกรุงไทยสาขาห้าแยกพ่อขุน ผิดพลาดข้อมูลประการใดก็ขอสุมาตวยเน้อเจ้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
วายุ
มัธยม
ออฟไลน์
กระทู้: 650
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: วันที่ 11 เมษายน 2011, 15:20:38 » |
|
กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง คุณนำชัย ผู้เขียนเรื่องอยากรวยต้องรู้ สำหรับจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในพอร์ตเหมือนกับ ปีเตอร์ ลินซ์ เพียงแต่ว่า เขาให้น้ำหนักกับภาวะตลาดมากกว่าตัวหุ้น โดยเขาให้เหตุผลว่า ถึงแม้ว่าหุ้นนั้นจะมีพื้นฐานดีสุดยอดขนาดไหน แต่ถ้าขาดแรงซื้อเสียแล้ว หุ้นนั้นก็ไม่ขึ้น เขามักจะติดตามการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของผู้ลงทุนประเภทต่างๆด้วย สำหรับคำแนะนำในหนังสือของเขา มีคำแนะนำให้ลงทุนในทรัพย์สิน 4 ประเภทคือ พันธบัตร เงินฝาก ทองคำ และหุ้น ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ก็จะสร้างผลกระทบทั้งดีและเสียให้กับทรัพย์สินชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย สังคม ภาวะเศรษฐกิจโลก ฯลฯ ยกตัวอย่าง เมื่อดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น มันจะดีต่อเงินฝาก แต่มันจะแย่สำหรับหุ้น กล่าวคือ เมื่อดอกเบี้ยกำลังขึ้น คนที่มีเงินจะลงทุนก็มองว่า หากเขาเอาเงินไปฝาก จะได้ดอกเท่านี้ แต่ถ้าเอาไปซื้อหุ้นเพื่อเอาเงินปันผล เขาต้องได้เงินปันผลเพิ่มเพื่อให้คุ้มกับเงินลงทุน เพราะหุ้นนั้นต้องบวกค่าความเสี่ยงของการผันผวนด้านราคาเข้าไปด้วย แต่ถ้าปันผลไม่เพิ่ม ราคาของหุ้นนั้นก็จะปรับตัวลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับความคุ้มค่าในด้านความเสี่ยง หรือบางบริษัท ไปกู้เงินเพื่อมาทำธุรกิจ ก็ต้องมีภาระในการชำระดอกเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลทำให้เงินปันผลลดลง ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงเช่นกัน สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ในตลาดหุ้น มีผู้ลงทุนแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ ต่างชาติ โบรกเกอร์ สถาบัน และรายย่อย ซึ่งกลุ่มที่มีความสามารถในการกำหนดแนวโน้มของตลาดได้นั้น จะเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากว่า มีเงินมาก กลยุทธ์ที่คุณนำชัยใช้คือ ให้ดูต่างชาติเป็นหลัก ถ้าเขาซื้อเราก็ซื้อ ถ้าเขาขายเราก็ขาย...ง่ายมาก แต่ตามความเห็นของผมแล้ว กลยุทธ์แบบนี้คล้ายๆเราจะเป็นเหาฉลามอย่างไรไม่รู้ เนื่องจากว่า ต้องคอยตามแห่ขาใหญ่ไปตลอดเวลา มีเหตุผลหลักๆอยู่เพียง 2 ข้อในการซื้อหรือขายของนักลงทุนต่างชาตินั่นก็คือ ประเทศที่เขาลงทุนและตัวเขาเอง หากจะย้อนไปในปี 40 ตอนนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤตการเงินที่เรียกว่าต้มยำกุ้ง รัฐบาลได้ออกมาประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการขายหุ้นทิ้งหนีตายของนักลงทุนต่างชาติกันอลหม่าน ซึ่งมีผลทำให้ หุ้นของไทยร่วงไม่เป็นท่า และเมื่อไม่นานมานี้ หุ้นไทยก็ร่วงหนักอีกครั้ง แต่เป็นที่ตัวเขาเองเกิดปัญหาซับไพร์มขึ้น นักลงทุนต่างชาติได้ขายทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ทั่วโลกเพื่อหอบเงินกลับไปแก้ไขปัญหาในประเทศตัวเอง ดังนั้นแล้ว การที่เราจะได้เงินจากตลาด แค่เพียงการดูว่าเขากำลังซื้อหุ้น อาจจะยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า เวลาเขาเข้ามา เขาจะซื้อหุ้นตัวไหน จากประสบการณ์ของผมเอง เขาจะซื้อหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง สำหรับบริษัทเล็กๆจำนวนหุ้นน้อยๆ เขามักไม่ค่อยซื้อ เพราะแค่เศษเงินของเขา ก็ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว ต้องไปทำรายงานส่งตลาดหลักทรัพย์กันวุ่นวาย แต่หากจะลงลึกเป็นรายตัวจริงๆแล้ว ผมแนะนำให้ดูที่เว็บของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจะได้ตามแกะรอยกันทัน เนื่องจากว่าเขามีเงินเยอะ เมื่อจะซื้อหุ้นอะไรแล้ว ก็คงซื้อไม่ได้หมดในวันเดียว แต่ต้องทยอยซื้อกันหลายวัน ในทางกลับกัน ถ้าเขาคิดจะขายแล้ว ก็คงขายไม่ได้หมดในวันเดียว เพราะฉะนั้น หากเราหมั่นตรวจเช็คดู ก็จะรู้ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติครับ http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do;jsessionid=104A74B555D9228AF8BC6A401E02F79Bสำหรับผมคงจะพอเท่านี้ก่อน ถ้าวันหลังนึกประเด็นอะไรได้แล้ว ก็จะเอามาลงให้อ่านเพื่อประเทืองปัญญากันครับ
|
ถึงจะจน พี่ก็จน อย่างมีเกียรติ ถึงจะเครียด พี่ก็เครียด อย่างมีหวัง ถึงจะบ้า พี่ก็บ้า อย่างมีพลัง ถึงจะพัง พี่ก็พัง อย่างมีฟอร์ม
|
|
|
|
|