แนวทางการปฎิบัติภาวนาในศาสนาพุทธมี 4 ดังนี้
1. แนวสมถยานิก หรือสมาธินำปัญญา หรือแนวพระป่า ในพระไตรปิฎก
จะเรียกว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า คือการที่ทำสมถะจนถึง
ฌานสองขึ้นไป แล้วเอาผู้รู้ที่เกิดในฌานมาเจริญวิปัสสนา เมื่อตัวผู้รู้หมดกำลังลง
ก็ต้องเริ่มต้นทำสมาธิใหม่ ทำแบบนี้สลับกันไปมา ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาว่างมากๆ
และจริตนิสัยไปทาง ประเภทรักสวยรักงาม รักสงบ
2. แนววิปัสสนายานิก หรือปัญญานำสมาธิ ในพระไตรปิฎกจะเรียกว่า
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า คือการเจริญสติ ตามรู้กาย
ตามรู้ใจ ตามความเป็นจริงเลย เพราะขณะเจริญสติจะเกิดการสลับระหว่าง
สมถะและวิปัสสนา เหมาะสำหรับคนทำงานอย่างเรา ๆ ที่ไม่มีเวลาว่างในการทำสมาธิ
เพราะต้องยุ่งกับงานทั้งวัน จริตนิสัยไปทาง คนที่ชอบคิด จ้าวความคิด จ้าวความเห็น
3. แนวสมาธิควบปัญญา ในพระไตรปิฎกจะเรียกว่า เจริญสมถะและวิปัสสนา
ควบคู่กันไป
4. แนวนี้ไม่รู้จะเรียกอะไรแต่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า ใจของภิกษุปราศจาก
อุทธัจจะในธรรม สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน เป็นจิตเกิด
ดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ (ตามความเข้าใจของผม จะหมายถึง อภิญญา
ที่มีชื่อว่า อาสวักขยญาณ) [
แนวทางนี้มีบันทึกอยู่ใน ยุคนัทธสูตร พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ซึ่งพระอานนท์ได้
กล่าวถึง ภิกษุที่บรรลุอรหันต์ในสำนักท่านที่มีอยู่
โดยมีรายละเอียดในพระสูตรดังนี้
[๑๗๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมือง-
*โกสัมพี ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม ย่อมพยากรณ์การบรรลุ
อรหัตในสำนักของเราด้วยมรรค ๔ โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดามรรค ๔ ประการนี้ มรรค ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ
เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อม-
*สิ้นสุด ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า เมื่อเธอ
เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ
ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป เมื่อเธอ
เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละ
สังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
อีกประการหนึ่ง ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม สมัยนั้น จิตนั้น
ย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน เป็นจิตเกิดดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำ
ให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ดูกรอาวุโส
ทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัต
ในสำนักของเรา ด้วยมรรค ๔ ประการนี้ โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใด
อย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ
อย่างไรก็ตาม อรรถกถาสรุปว่า ไม่ว่าจะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะนำหน้า หรือเจริญสมถะโดยมีวิปัสสนานำหน้าก็ตาม เมื่อถึงขณะที่อริยมรรคเกิดขึ้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาจะต้องเกิดขึ้นด้วยกันอย่างควบคู่เป็นการแน่นอนเสมอไป ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าโดยหลักพื้นฐานแล้ว สมถะและวิปัสสนาก็คือองค์ของมรรคนั่นเอง วิปัสสนาได้แก่สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ สมถะได้แก่องค์มรรคที่เหลืออีก 6 ข้อ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่องค์มรรคเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะบรรลุอริยภูมิ
หนาน ได้ไป ศึกษา เพิ่มเติม
สมาธิยานิก ก็คือ มีสมาธิ เป็น ยาน
ยาน คือ ตัวนำ มีสมาธิ นำ ๆ อะไร สมาธิ คือ ทำสมถะ สงบ มีฌาน แล้วค่อย ใช้ วิปัสสนา ปัญญา
มาพิจารณาธรรม
วิปัสสนายานิก คือ ปัญญา เป็นยาน
ใช้ปัญญา แล้ว จึงมี สมถะ สงบ ตามมา
ฯลฯ