ภิกษุณีสาวอดีตนักแสดง ยังกล่าวอีกว่า
เธอรู้สึกชื่นชมการเป็นภิกษุณีมาก
ตั้งแต่เด็กเวลาที่เธอพบพวกภิกษุณี ที่ Swayambu
นางดูมีความสุขและแต่งกายแบบเดิมเสมอ เรียบง่าย
และปราศจากเครื่องยึดเหนี่ยวใจให้ตกต่ำ เช่น สังคมของคนธรรมดา
ที่ต้องนึกถึงภาพลักษณ์และปั้นแต่งอยู่เสมอ
ยิ่งเวลาอายุน้อยมีกิเลสอยากได้มากเท่าไร สังเกตได้ว่าความสุขก็น้อยลงเท่านั้น
หลายคนคิดว่าที่เธอบวชภิกษุณี เพื่อสร้างข่าวให้ตัวเองดังยิ่งขึ้น
แต่ภิกษุณีสาวก็กล่าวว่าไม่เป็นความจริงเช่นนั้น
เพราะเธอไม่ได้บอกสื่อมวลชนเลยตลอดเดือนที่เริ่มบวช แต่คนอื่นก็มาสืบรู้กันเอาเอง
ภิกษุณีสาวกล่าวว่า เธอเป็นนางแบบที่ดังอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องสร้างข่าวเทียม
เพื่อทำลายชื่อที่มีอยู่แล้วด้วยการโกหก
เธอคิดว่าตลอดระยะเวลาเป็นดารานางแบบนี้ เธอก็ได้สร้างชื่อมามากเกินพอแล้ว
และเธออยากจะละทิ้งมันไปทั้งหมดจริงๆ แล้วสื่อมวลชนเป็นสิ่งที่เธอยอมแพ้
เวลาที่ใครสักคนเกิดมา ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวเองจะโตขึ้นแล้วเป็นอะไร
เราทุกคนซึมซับเรียนรู้สิ่งรอบตัวและก็กลายเป็นเราในอนาคต
และแน่นอน ภิกษุณีไม่ใช่คนของสื่อมวลชน
เธอกล่าวว่าความแตกต่างระหว่างตอนเป็นโคฮีนัวกับตอนนี้ ก็ตลกดี
เจอเหตุการณ์ที่ต่างกัน ตอนเป็นโคฮีนัว ก็มีแฟนคลับผู้ชายโทรมา
ให้ฉันเลิกกับแฟนของตัวเอง (ดาราด้วยกัน)
ในขณะที่แฟนคลับผู้หญิงของแฟนเรา ก็โทรมาบอกให้เขาเลิกกับเรา
พอมาตอนนี้ เป็นภิกษุณีโกนหัวใส่จีวร มีวันหนึ่งเดินไปบิณฑบาต
เจอกลุ่มเด็กผู้ชายกำลังเตะบอล พวกเค้าบังเอิญเตะมาโดนหัวเรา
พวกเค้าคิดว่าเราเป็นเณรผู้ชาย ภิกษุณีสาวกล่าวพลางหัวเราะ
ภิกษุณีสาว กล่าวว่า เธอจะไม่มีทางกลับไปเดินบนเส้นทางเดิม
ของนักแสดงอีกตลอดไป เพราะการเป็นภิกษุณีคือสิ่งที่ฉันอยากเป็นมาตลอด
ทั้งหมดนี้คือหนทางของหญิงสาวที่ก้าวสู่การเป็นภิกษุณีในต่างแดน
แน่นอนว่ามีทั้งเสียงคัดค้านและต้อนรับ
ผู้สื่อข่าวถามคำถามสุดท้ายจากเธอว่า
เธอมีอะไรที่จะบอกเยาวชนรุ่นเด็กบ้าง
ภิกษุณีสวยสวยตอบว่า
คนเรานั้นเกิดมาก็ง่ายต่อการพบเจอสุขและทุกข์
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอันแสนสั้น
สิ่งที่เป็นอมตะคือวิญญาณของเรา
คนที่สามารถอยู่กับทั้งสุขและทุกข์
โดยไม่สะทกสะท้านคือผู้ที่ค้นพบสุขอันแท้จริง
ข้อมูลจาก
http://board.postjung.com/566283.html