เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 21:46:17
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  งานบ้านงานครัว คลีนิค ถามหมอ เรื่องสุขภาพ (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  การกวนข้าวทิพย์
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน การกวนข้าวทิพย์  (อ่าน 11055 ครั้ง)
maekok_14
คือคนของพระราชา คือข้าของแผ่นดิน
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,253



« เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2012, 12:34:13 »



ประเพณีการกวนข้าวทิพย์
****************
ข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาสนั้น มีตำนานเกิดขึ้นมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาล ได้ถูกบันทึกไว้ในพุทธชาดชาดกมาทุกยุคทุกสมัย อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพระพุทธศาสนามานานนับปัจจุบัน ประเพณีการกวนข้าวทิพย์ได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีการสำคัญๆ ทางพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง อาทิ พิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษก พิธีตั้งธรรมหลวงหรือเทศมหาชาติเป็นต้น
ประวัติของการกวนข้าวทิพย์นั้นเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาลว่า ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแคว้นมคธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนานั้น ได้มีลูกสาวคหบดีผู้มั่งคั่งนางหนึ่งนามว่านางสุชาดา ได้เคยมาบนบานศาลกล่าวกับเทวาอารักษ์ ณ ใต้ต้นไทรต้นหนึ่งไว้ว่าขอให้ตนนั้นได้ถือกำเนิดลูกชาย ไว้เชยชมและเป็นทาญาติในการสืบเชื้อสายตระกูล(ลูกชายของนางสุชาดาคนนี้คือพระยสะ ซึ่งภายหลังย้ายไปอยู่เมืองพาราณสีเกิดเบื่อหน่ายทางกามคุณ ได้พบและฟังธรรมพระพุทธเจ้าจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในกาลต่อมา) เมื่อนางสุชาดาได้บุตรชายสมปรารถนานั้นแล้ว ก็ตั้งใจจะมาแก้บนกับเทวดาที่ได้ไปขอพรไว้ เนื่องจากนางได้ละทิ้งไปนานหลายปีแล้วยังไม่ได้มาแก้บนเสียที นางจึงได้จัดทำข้าวปายาสเพื่อนำไปถวายแก่เทวดา(ข้าวปายาสเป็นข้าวที่กวนกับน้ำนมสด กวนจนเหลวเข้ากันดี) โดยนางได้ใช้ให้บุรุษทาสกรรมการทั้งหลายเอาฝูงแม่โคจำนวน ๑๐๐๐ ตัวไปเลี้ยงในป่าชะเอมเครือ เพื่อให้แม่โคทั้งหมดได้บริโภคเครือชะเอม อันจะทำให้น้ำนมมีรสหวานหอม แล้วแบ่งโคนมออกเป็น ๒ พวก พวกละ ๕๐๐ ตัว เพื่อรีดเอาน้ำนมจากแม่โค ๕๐๐ ตัวในกลุ่มแรกมาให้แม่โคอีก ๕๐๐ ตัวในกลุ่มหลังบริโภค ครั้นแล้วก็แบ่งแม่โคในกลุ่มหลังจำนวน ๕๐๐ตัว ออกเป็น ๒ พวก พวกละ ๒๕๐ ตัว แล้วรีดเอาน้ำนมแม่โค ๒๕๐ ตัวจากกลุ่มแรกมาให้แม่โคอีก ๒๕๐ ตัว ในกลุ่มหลังบริโภค กระทำการแบ่งกึ่งกันเช่นนี้ลงมาทุกชั้นๆ จนเหลือ ๑๖ ตัว แล้วแบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกละ ๘ ตัว นำน้ำนมของแม่โค ๘ ตัวแรกมาให้อีก ๘ ตัวสุดท้ายบริโภค ทำเช่นนี้เพื่อจะให้น้ำนมของแม่โค ๘ ตัวที่เหลือมีรสหวานอันเลิศจนกระทั่งเหลือแม่โคที่จัดไว้ใช้ ๘ ตัว ในคืนก่อนวันเพ็ญเดือน ๖ หนึ่งวัน นางจึงนำภาชนะมารองเพื่อเตรียมจะรีดน้ำนมใส่ลง ขณะนั้นน้ำนมก็ไหลออกมาเองจนเต็มภาชนะเป็นมหัศจรรย์ปรากฏ นางสุชาดาเห็นดังนั้นก็รู้สึกปิติยินดีเข้ารับภาชนะซึ่งรองน้ำนมนั้นด้วยมือตน นำมาเทลงในภาชนะใหม่แล้วใส่ลงในกระทะนำขึ้นตั้งบนเตา ใส่ฟืนเตรียมก่อเพลิงด้วยตนเองเวลานั้นสมเด็จอัมรินทราธิราชก็เสด็จลงจุดไฟให้โชติช่วงขึ้น ท้าวมหาพรหมทรงนำทิพย์เศวตฉัตรมากางกั้นเบื้องบนภาชนะที่หุงมธุปายาสนั้น ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ได้มาประทับยืนรักษาเตาไฟทั้ง ๔ ทิศ
เหล่าเทพยดาทั่วทั้งหมื่นโลกธาติต่างพากันนำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์ มาโปรยใส่ลงในกระทะด้วยเมื่อน้ำนมเดือดก็ปรากฏเป็นฟองใหญ่ไหลเวียนขวาทั้งสิ้น จะกระเซ็นตกลงพื้นแผ่นดินแม้นสักหยดหนึ่งก็ไม่มีครั้นสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ดี นางจึงนำมาบรรจุลงในถาดทองคำข้าวมธุปายาสอันหุงเสร็จเรียบร้อยก็พอดี ไม่มีพร่องไม่มีเกินแล้วปิดฝาด้วยถาดทองอีกใบหนึ่งห่อหุ้มด้วยผ้าขาวบริสุทธิ์ นำไปกราบถวายข้าวปายาสแด่เทวดาที่นางได้ไปอธิษฐานขอพระไว้ ณ ต้นไทรแห่งนั้น พร้อมทั้งถาดทองราคาแสนกหาปณะโดยมิได้มีความเสียดายแม้แต่น้อย พระพุทธองค์รับข้าวปายาสจากนางสุชาดาแล้ว ทรงเดินปทักษิณาวรรตต้นไทรสามรอบและตรงไปยังท่าสุปปติฏฐิตะ สรงน้ำชำระกาย แล้วเสด็จกลับมาที่ต้นไทร ปั้นข้าวปายาสเป็นก้อนใหญ่พอประมาณได้ ๔๙ ก้อน แล้วเสวยจนหมด พระกระยาหารมื้อนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นอาหารที่ทำให้พระองค์อิ่มอยู่ได้ถึง ๔๙ วัน โดยมิต้องกังวลต่อความหิวใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเสวยแล้ว ทรงนำถาดทองไปลอยน้ำ อธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า หากจะได้ตรัสรู้อนุตตรธรรมแล้วไซร้ ก็ขอให้ถาดลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ถ้าจะไม่ได้ตรัสรู้ ก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไปเถิด ปรากฏว่าถาดได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปด้วยแรงอธิษฐานแล้วจมลงสู่นาคพิภพ รวมกับถาดสามใบของอดีตพระพุทธเจ้า คือ พระกกุสันโธ พระโคนาคม และพระกัสสป เมื่อลอยถาดทองแล้ว เวลาใกล้เที่ยง จึงเสด็จกลับมาพักที่ดงต้นสาละเพื่อหลบแดดตอนเที่ยง จวบจนบ่ายตะวันคล้อยจึงเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรามายังอีกฝากหนึ่งคือตรงมายังต้นศรีมหาโพธิ์ (ปัจจุบันคือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย) ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะ
บรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเพื่อที่จะตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรต่อไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วในพิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษก ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมและจัดพิธีดังกล่าวมาหลายครั้ง จะสังเกตเห็นว่าในแต่ละที่แต่ละแห่งนั้นจะมีวิธีการหรือขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป คงมิอาจกล่าวได้ว่าพิธีไหนถูกหรือผิดเพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงแล้วก็คือ การได้ข้าวทิพย์อันบริสุทธิ์และพิเศษสุดเพื่อถวายเป็นพุทธบูชานั่นเอง ในวิถีชีวิตของชาวล้านนาแต่อดีตที่ผู้เขียนจดจำได้ เมื่อมีงานบุญอันเป็นมหากุศลเช่นนี้ ผู้คนแต่ละครัวเรือนต่างจัดเตรียมข้าวเหนียว(ข้าวสุก) ถั่วคั่ว งานคั่ว น้ำตาล น้ำอ้อย นม เนย น้ำผึ้ง กะทิ นำมารวมกันที่วัดที่มีการจัดพิธี ใครมีโภชนาอาหารอะไรที่พอหาได้ก็นำมารวมกัน เพื่อจะกวนเป็นข้าวทิพย์ถวายเป็นพุทธบูชา วิถีชีวิตเช่นนี้บ่งบอกได้ถึงความรักความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน ที่นับวันจะหาได้ยากยิ่งและเหลือให้เห็นน้อยลงไปทุกขณะ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
พิธีกวนข้าวทิพย์นั้นเป็นพิธีที่มีความละเอียดอ่อนและค่อนข้างมีการจัดเตรียมสถานที่ ข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การจัดเตรียมโรงพิธี หรือการตั้งมณฑลพิธีซึ่งต้องขัดราชวัตฉัตรธง ปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อย เช่นเดียวกันกับพิธีบวงสรวง จัดเตรียมเตาถ่านเพื่อใช้ในการกวนข้าว กระทะใบบัวที่สามารถรองรับข้าวและธัญพืชอื่นๆ ได้ทั้งหมด ไม้พายสำหรับกวนข้าว ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต้องเป็นของใหม่หรือต้องสะอาด นอกจานี้ผู้ที่จะทำหน้าที่กวนข้าวทิพย์หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่าเทพีกวนข้าวทิพย์นั้น ต้องเป็นสาวพรมจรรย์เท่านั้น เพราะถือว่าข้าวทิพย์เป็นโภชนะอาหารอันบริสุทธิ์ ทุกอย่างต้องสะอาดและบริสุทธิ์
ด้วยเช่นกัน และเทพีที่ทำหน้าที่กวนข้าวทิพย์นี้ต้องรักษาศีล ชำระกายใจให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะทำพิธีกวนข้าวทิพย์ด้วย ก่อนเริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์ผู้ทำหน้าที่เทพีกวนข้าวทิพย์จะต้องมารับศีลจากประธานสงฆ์ และรับน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย
การจัดเตรียมเครื่องประกอบพิธีในการกวนข้าวทิพย์นั้น ต้องจัดเตรียมให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มพิธีอาทิ กะทิ คั้นเอาแต่น้ำหัวทิ้งไว้ ข้าวต้องนึ่งหรือหุงให้สุก งานคั่วให้หอม หรือถ้าจะให้เมล็ดธัญพืชอื่นลงไปด้วยก็ต้องนึ่งหรือต้มให้สุกก่อนทั้งหมด เพราะขณะที่กวนข้าวทิพย์นั้นหากธัญพืชยังไม่ทำให้สุกก่อนจะใช้ระยะเวลาในการกวนค่อนข้างนาน
เมื่อถึงเวลาในการกวนข้าวทิพย์ซึ่งส่วนมากจะเริ่มประมาณ ๕ ทุ่มหรือสองยามเป็นต้นไป เพราะจะใช้เวลาในการกวนไปถึงราวยามสาม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับพิธีเบิกเนตรพอดี พิธีเริ่มจากประธานสงฆ์จะเจิมกระทะในบัวหรือไม้พายแล้วแต่บางแห่งจะกำหนด จากนั้นจะประพรมน้ำพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล เสร็จแล้วเทพีจะนำกระทะขึ้นตั้งบนเตาที่จุดไฟเตรียมไว้แล้ว ขณะนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา(บทชยันโต) เจ้าหน้าที่ลั่นฆ้องชัยและประโคมมโหรีปี่พาทย์ต่างๆ ที่มีอยู่ เทพีเริ่มนำข้าวของที่เตรียมไว้ใส่ลงกระทะเพื่อกวนข้าวทิพย์ตามลำดับที่เตรียมไว้จนแล้วเสร็จ ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าส่วนประกอบ ในการกวนข้าวทิพย์นั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น บางแห่งจะใช้ข้าวเหนียว บางแห่งจะใช้ข้าวสวย ซึ่งการใช้ข้าวเป็นส่วนประกอบทั้ง ๒ ชนิดจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากเราเลือกใช้ข้าวเหนียวเมื่อกวนเสร็จแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ เช่นน้ำตาล น้ำอ้อย นม เนย จะเกาะเคลือบเมล็ดข้าวอยู่เมื่อข้าวเย็นตัวลงจะทำให้ข้าวนั้นแข็ง แต่หาก
เปลี่ยนมาใช้ข้าวสวยแล้วจะทำให้ข้าวนั้นนุ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผู้เขียนเองจะแนะนำให้ใช้ข้าวสวยเป็นหลักเพราะง่ายต่อการกวน นอกจากนี้ผู้เขียนจะได้นำเอาสูตรการกวนข้าวทิพย์ที่ได้รับการถ่ายทอดและเคยกวนในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองฯ มาแนะนำต่อไป
ส่วนประกอบหรือสูตรในการกวนข้าวทิพย์ในแบบฉบับที่ผู้เขียนได้รับการถ่ายทอดมานั้นมีส่วนประกอบสำคัญดังนี้
๑. ข้าวสวยหุงสุก ๖ ลิตร
๒. เนย ๑ กิโลกรัม
๓. กะทิสด ๒ กิโลกรัม
๔. น้ำตาลทราย ๒ กิโลกรัม
๕. น้ำอ้อย ๑ กิโลกรัม
๖. นมข้นหวาน ๒ กระป๋อง
๗. น้ำผึ้ง ๒ ขวด
๘. งาขาวคั่ว ๑ กิโลกรัม
๙. เม็ดบัวต้มสุก ๑ กิโลกรัม
จะเห็นได้ว่าผู้เขียนจะเลือกใช้ส่วนประกอบต่างๆเพียง ๙ ชนิดเท่านั้น เพราะจำนวน ๙ นี้ถือเป็นเลขมงคลด้วยนั่นเอง สัดส่วนนี้อย่าให้ขาดหรือเกินเพราะจะทำให้ข้าวที่ได้จากการกวนนั้นเละหรือแข็งเกินไป หรือทำให้หวานหรือจืดเกินไปซึ่งจะทำให้รสชาติเสียได้ บางแห่งที่มีผู้นำข้าวของมาร่วมทำบุญจำนวนมากก็ไม่ควรนำมากวนทั้งหมด
วิธีการกวนข้าวทิพย์นั้นมีวิธีดังนี้
๑. เมื่อตั้งกระทะร้อนได้ที่แล้ว ให้ใส่กะทิลงไปเคี่ยวจนแตกมัน
๒. ใส่น้ำอ้อยลงไปเคี่ยวให้น้ำอ้อยละลาย
๓. จากนั้นให้ใส่น้ำตาลทราย นมข้น เนย และน้ำผึ้งลงไป เคี่ยวให้เข้ากัน รอจนส่วนประกอบทั้งหมดเข้ากันดีแล้ว ให้สังเกตว่าจะออกสีเหลืองเป็นเงามันและมีกลิ่นหอม
๔. ใส่ข้าวสวยที่หุงสุกแล้วลงไป กวนให้ส่วนประกอบทั้งหมดเข้ากัน ขณะที่กวนข้าวให้ใช้ไฟอ่อนๆ เพื่อไม่ให้ข้าวไหม้ ขณะที่กวนข้าวนี้จะใช้เวลาพอสมควรรอจนข้าวที่กวนนั้นเหนียว และมีกลิ่นหอม
๕. ใส่งาคั่วและเม็ดบัวลงไปกวนให้ส่วนประกอบทั้งหมดเข้ากันดีแล้ว ให้ตักข้าวที่กวนออกใส่ถาดให้เย็นตัวลง
เมื่อเสร็จสิ้นการกวนแล้วให้ตักข้าวทิพย์ที่ได้จากการกวนใส่ถาด เพื่อให้คลายความร้อนลงสักพักก่อน ก่อนที่จะเริ่มนำข้าทิพย์มาปั้นเป็นก้อนๆ จำนวน ๔๙ ก้อน เพื่อถวายขณะประกอบพิธีเบิกเนตร จำนวนข้าวทิพย์ ๔๙ ก้อนนี้ เป็นจำนวนที่พระพุทธเจ้าทรงปั้นเสวยในวันที่ทรงตรัสรู้นัั้น
เมื่อปั้นข้าวทิพย์ได้ตามจำนวน ๔๙ ก้อนแล้ว ข้าวทิพย์ที่เหลือก็นำมาจัดใส่ถุงเล็กๆ ขนาดพอคำ เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่มาร่วมงานโดยทั่วกัน ซึ่งชาวล้านนาเชื่อว่าข้าวทิพย์จากพิธีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนยาอายุวัฒนะเมื่อทานแล้วจะเกิดความเป็นสิริมงคล มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืน
ในพิธีกวนข้าวทิพย์ตามประเพณีชาวล้านนาแต่เก่าก่อนนั้น ผู้เขียนได้สังเกตเห็นว่าบางแห่งเมื่อพระสงฆ์เริ่มเจริญชัยมงคลคาถาและประโคมมโหรีปี่พาทย์นั้นผู้เฒ่าผู้แก่จะลุกขึ้นเพื่อฟ้อนรำไปรอบๆ มณฑลพิธีราชวัตรนั้นด้วย ทั้งนี้จากคำบอกเล่าเชื่อว่าจะได้บุญและอานิสงส์สูง เนื่องจากพิธีดังกล่าวไม่ได้มีขึ้นหรือจัดขึ้นบ่อยนักนั่นเอง
ในการกวนข้าวทิพย์หากมี่ปริมาณของที่นำมากวนมากอาจแบ่งกวนเป็น ๒ เตาก็ได้
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!