รางจืด...ยอดสมุนไพรไทย สรรพคุณถอนพิษ-ช่วยผู้ป่วยมะเร็ง
รางจืดมักพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศ ไทย ทุกภาค รางจืดจะเลื้อยพัน
ต้นไม้อื่น ลำต้นและใบ ไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนตำลึงหรือมะระ อาศัย
ลำต้นพันรัดขึ้นไป ใบแยกออกจากลำต้นเป็นคู่ตรงบริเวณข้อ ซึ่งจะมีกิ่งแขนง
แยกออกไปจากลำต้นเดิมตรงข้อ (โคนใบ) ทั้ง 2 ด้าน
รางจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thunbergia lauriflolia Linn. โดยมีชื่ออื่นว่า
ยาเขียว, เครือเขาเขียว, กำลังช้างเผือก, หนามแน่, ย้ำแย้, น้ำนอง, คาย,
ดุเหว่า, รางเย็น, ทิดพุด, แอดแอ, ขอบชะนาง
ใบรางจืด มีลักษณะเป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญ้านาง แต่ใบโตกว่าประมาณเท่าตัว
และมีสีเขียวอ่อนกว่าใบหญ้านาง ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอก
มีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงหรือเข้มดอกมีสีม่วง สีเหลือง สีขาว
ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อธิบายว่า รางจืด
มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานในหมอยาพื้นบ้านในด้านการแก้พิษ
ไม่ว่าจะเป็นพิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ รวมไปถึงพิษสุราและยาเสพติด
ไม่เว้นแม้แต่พิษงู แมลงป่องหรือตะขาบ สามารถนำไปใช้แก้พิษในสัตว์ที่ได้รับยา
พิษเช่นสุนัขและแมว
"ในตำรายาไทยรวมทั้งตำรายาพื้นบ้านยังพูดถึงการนำ รากและเถา มารับประทาน
แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ใบและราก ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล
น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ผดผื่นคัน เริม สุกใส ทำลายพิษยาฆ่าแมลง หรือยาเบื่อ
พิษจากการดื่มเหล้ามากเกินไป"
ภญ.ดร.อัญชลี กล่าวและว่า ภูมิปัญญาอีสาน มีประสบการณ์สืบต่อกันมาว่า
เมื่อจะปรุงอาหารที่เก็บมาจากป่าทุกครั้ง ให้ใส่ใบและดอกของเถารางจืดเข้าไปด้วย
เพื่อป้องกันพิษที่อาจเกิดจากพืชหรือสัตว์ป่าที่นำมารับประทาน ซึ่งคล้ายคลึงกับ
หมอยาไทยใหญ่ ที่แนะนำยอดและดอกของรางจืดมาแกงกินเป็นอาหารเพื่อบำรุง
สุขภาพ และหมอยาพื้นบ้าน ยังนิยมให้รางจืดในการลดความดันโลหิต รักษาอาหาร
แพ้และผดพื่นคันทางผิวหนัง
สำหรับพิษที่รุนแรง ให้ใช้ใบรางจืด 10-12 ใบตำคั้นกับน้ำซาวข้าว และให้ใช้รากสด
ที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปเพียง 1 ราก โขลกหรือฝนผสมน้ำซาวข้าวขุ่นข้นประมาณครึ่งแก้ว
ถึงหนึ่งแก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ หรืออาจใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัม
ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว (ดื่มขณะที่อุ่นจะให้ผลดีกว่า) หรือนำใบหรือราก
มาหั่นฝอย ผึ่งลมให้แห้ง บดเป็นผง หรือปั้น เป็นเม็ด รับประทานครั้งละ 5 กรัม
โดยให้รับประทาน ทุก 1.5 - 2 ชั่วโมง หรับแก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ถอนพิษสุรา
หรือบำรุงร่างกาย ให้ใช้ 4-5 ใบ หรือประมาณ 1.5 - 3 กรัม ชงน้ำดื่มหรือทำเป็นเม็ด
รับประทาน
สรรพคุณ : รางจืดที่มีประสิทธิภาพ คือ รางจืดชนิดเถาดอกม่วง
รากและเถา - รับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำใบและราก - ใช้ปรุงเป็นยาถอน
พิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง
พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ
เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ในฝักผลไม้ที่รับประทาน
เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนไข้ถึงแก่
ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก
หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษ
เฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า)
ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น
วิธีใช้ :ใบสด
สำหรับคน 10-12 ใบ
สำหรับวัวควาย 20-30 ใบ
นำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งแก้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มให้หมด
ทันทีที่มีอาการ อาจให้ดื่มซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา
วิธีใช้ : รากสดสำหรับคน 1-2 องคุลี
สำหรับวัวควาย 2-4 องคุลี
นำรากมาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจใช้ซ้ำได้อีก
ใน 1/2 - 1 ชั่วโมง ต่อมา
คำเตือน : การใช้รางจืดสำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง ยาพิษและสตริกนินนั้น
ต้องใช้ยาเร็วที่สุดเท่าที่จำทำได้ จึงจะได้ผลดี ถ้าพิษยาซึมเข้าสู่ ร่างกายมากแล้ว
หรือทิ้งไว้ข้ามคืน รางจืดจะได้ผลน้อยลง
ที่มา :
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_20_4.htmhttp://www.ouayun.com