เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 05:06:47
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  งานบ้านงานครัว คลีนิค ถามหมอ เรื่องสุขภาพ (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  พืชผักใกล้ตัว รักษาโรคได้ทั่วหน้า
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน พืชผักใกล้ตัว รักษาโรคได้ทั่วหน้า  (อ่าน 11743 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 22:49:10 »

โรคตาแดง
โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อยเป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)
ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็น
แบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรังสาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส
Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตาสาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือผ้าเช็ดหน้า
หรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็น
ตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้งการใช้contact lens หรือน้ำยา
ล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง

ยาแก้ตาแดงตาเจ็บ
เรื่องของตาสำคัญมากตาแดงตาเจ็บเป็นการทรมานทีเดียว เพราะเกิดอาการ
ระคายเคืองมากนั่นเองมองอะไรก็ไม่ถนัดนัก

แต่ยาไทยก็แก้ปัญหานี้ได้เสมอดังนี้
เอาใบกะเม็งทั้ง 5 (ชนิดดอกขาว)มาประมาณ 1 กำมือล้างให้สะอาดใส่หม้อ
เอาน้ำใส่พอท่วมต้มทันทีใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปพอออกหวานเล็กน้อยก็พอแล้ว
ต้มยานี้ให้เดือดประมาณ 15 นาทีรินเอาน้ำมาดื่มคราวละ 1 แก้ววันละ 3-4 ครั้ง
อาการของโรคก็ทุเลาลงเรื่อยๆ หายไปได้

อีกอย่างหนึ่งเอากะเม็งทั้ง 5 มาล้างสะอาดโขลกแล้วคั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดแช่ใน
ตู้เย็นไว้เย็นพอสมควรก็เอาสำลีชุบน้ำยาปิดตาเอาไว้เปลี่ยนไปเรื่อยๆทำเช่นนี้สัก
5-10 ครั้งอาการจะทุเลาลงมากและหายไปได้ในที่สุด


ยาแก้ตาแดงตามัวเคืองตา
ตัวยาสำคัญมีดังต่อไปนี้ คือ

เอาน้ำใน เถาตำลึงตัวผู้ มาหยอดลงไปในดวงตาที่เจ็บวันละ 3-4 ครั้งอาการเจ็บตา
เคืองตาหรือตามืดมัวจะหายไปได้วันเดียวเท่านั้นเอง

ข้อสำคัญจะต้องล้างทำความสะอาดเสียก่อนแล้วก็จะต้องเป็นเถาตำลึงตัวผู้เท่านั้นด้วย

ใช้ ฮว่านง็อก (HUAN-NGOC) หรือ ต้นพญาวานร รับประทาน 7 ใบ และบด 3 ใบ
ปิดที่ตา เวลานอน 1 คืน โรคตาแดงจะหาย


* ฮว่านง็อก.jpg (59.96 KB, 300x300 - ดู 7256 ครั้ง.)

* กะเม็ง.jpg (48.77 KB, 300x181 - ดู 6959 ครั้ง.)

* เถาตำลึง.jpg (46.38 KB, 300x300 - ดู 6886 ครั้ง.)

* m019.gif (16.64 KB, 50x50 - ดู 6077 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 22:53:53 »

สมุนไพรแก้อาการแพ้และผื่นคันที่เกิดจากลมพิษ (Herb for Urticaria, Hives)


พลู ใช้ใบสด 3-4 ใบ ตำผสมเหล้าโรง คั้นน้ำทาบริเวณที่มีอาการ

ขมิ้นชัน ใช้รักษาโรคผิวหนังผื่นคัน โดยทำเป็นผงผสมน้ำหรือใช้เหง้าสด
ล้างให้สะอาด ฝนน้ำทา


ไพล ใช้เหมือนกับขมิ้นชัน โดยใช้เหง้าบดทำเป็นผงผสมน้ำ
หรือใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ฝนน้ำทา


ฟ้าทะลายโจร ใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่มีอาการผื่นคันหรือใช้ส่วนต้น
เหนือดิน บดเป็นผงผสมน้ำมันพืชทาหรือใช้ต้นต้มกับน้ำมันมะพร้าว
หรือน้ำมันพืชจนยาเปื่อยกรองเอาเฉพาะน้ำยามาทาบริเวณที่มีอาการ



* 589.gif (23.87 KB, 125x70 - ดู 7902 ครั้ง.)

* ขมิ้นชัน.jpg (56.88 KB, 300x300 - ดู 6583 ครั้ง.)

* พลู.jpg (54.75 KB, 300x226 - ดู 6603 ครั้ง.)

* ฟ้าทะลายโจร.jpg (77.84 KB, 300x300 - ดู 6944 ครั้ง.)

* ไพล.jpg (30.79 KB, 300x178 - ดู 6138 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 22:56:25 »

โรคที่มากับน้ำท่วมและวิธีรักษา
โรคน้ำกัดเท้าและผื่นคัน
เกิด ขึ้นได้ก็เพราะผิวหนังเท้าของเราโดยเฉพาะที่ง่ามเท้าเกิดเปียกชื้น
และสกปรก เวลาที่เท้าสกปรกสิ่งสกปรกจะเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ทำให้
เชื้อราหรือเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี เท้าที่แช่น้ำหรือเปียกชื้นอยู่ตลอด
เวลาจะทำให้ผิวหนังที่เท้าอ่อนส่วนผิว ๆของหนังจะเปื่อยและหลุดออก
เศษผิวหนังที่เปื่อยนี้จะทำให้เชื้อโรคที่ปลิวไปปลิวมาเกาะติดได้ง่ายและ
ผิวที่เปื่อยก็เป็นอาหารของเชื้อราได้ดีเชื้อราจึงไปอาศัยทำให้เกิดแผลเล็กๆ
ขึ้นตามซอกนิ้วเท้าเกิดเป็นโรคน้ำกัดเท้าขึ้น

โรคน้ำกัดเท้า
มักพบว่ามีอาการคันและอักเสบตามซอกนิ้วเท้า (หรือนิ้วมือ)และถ้ามีเชื้อ
แบคทีเรียเข้าแทรกซ้อนด้วยก็จะทำให้อักเสบเป็นหนองและเจ็บปวดจนเดิน
ลำบากได้ ตามตำรายาไทยมีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่นิยมนำมาใช้เพื่อ
รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราสำหรับการรักษาโรคน้ำกัดเท้านั้น
จะใช้ดังต่อไปนี้
1. ใบสดต้นเทียนบ้าน
2. สีเสียดเหนือ
3. เปลือกมังคุด

วิธีการใช้
ใบสดของต้นเทียนบ้านใช้ใบสด 5-10 ใบ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด
นำมาพอกที่เป็นแผลน้ำกัดเท้าวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
สีเสียดเหนือใช้รักษาบาดแผลเรื้อรังหรือโรคผิวหนังบางชนิดและโรคน้ำกัดเท้า
ซึ่งจาการที่สารเทนนินมีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมานทำให้ช่วยสมานแผลและฆ่าเชื้อ
ได้บางตัว ดังนั้นจึงทำให้แผลหายเร็วขึ้น
วิธีการเตรียมยาคือนำก้อนสีเสียดขนาดเท่าหัวแม่มือฝนกับน้ำสะอาดให้ข้นๆนำ
ไปทาแผลหรือทาเท้าบริเวณที่เป็นโรคโดยทาบ่อยๆจนกว่าจะดีขึ้นหรือนำผง
สีเสียดไปผสมกับน้ำสะอาดทำเป็นน้ำยาล้างแผลแล้วนำไปล้างแผลที่เป็นก็ได้
เปลือกมังคุดเป็นยารักษาแผลน้ำกัดเท้า และแผลพุพอง แผลเน่าเปื่อยให้ใช้
เปลือกผลสด หรือแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้น ๆ พอควร ทาแผลน้ำกัดเท้า
วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย ช่วยรักษาแผลพุพอง แผลเปื่อยเน่าได้ดี


* สีเสียดเหนือ.jpg (56.21 KB, 300x226 - ดู 6894 ครั้ง.)

* มังคุด (1).jpg (6.92 KB, 202x135 - ดู 6084 ครั้ง.)

* 48c6536425903.gif (3.89 KB, 50x50 - ดู 5921 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:02:13 »

โรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วงหมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งต่อกัน
หรือมากกว่าหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 วันหรือถ่ายเป็นมูกหรือ
ปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้งสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อแบคทีเรีย
ไวรัส โปรโตซัวปรสิตและหนอนพยาธิ สถานีอนามัยโรงพยาบาลชุมชน
ในประเทศไทยมักจะหาสาเหตุของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการอุจจาระร่วงไม่ได้
ก็จะให้การวินิจฉัยจากอาการอาการแสดงและลักษณะอุจจาระได้แก่
บิด (Dysentery) อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) ไข้ทัยฟอยด์ (Typhoid fever) เป็นต้นในกรณีที่มีอาการของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันไม่ใช่โรคดังกล่าวข้างต้น
และอาการไม่เกิน 14 วัน ก็จะรายงานเป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute diarrhea)
สมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องเสียจะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ สารแทนนิน (Tannin)
ที่มีฤทธิ์ฝาดสมานที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาการ
ท้องเสียเช่น Escherichia Coli.นอกจากกล้วยน้ำว้าทับทิมและฝรั่งแล้วยังมีสมุนไพร
ที่ใช้แก้อาการท้องเสียได้ดีไม่แพ้กันนั่นคือ สมุนไพรฟ้าทะลายโจรและมังคุด
โดยเฉพาะสมุนไพรฟ้าทะลายโจรสามารถทำเป็นยาแก้ท้องเสียได้หลายแบบทั้ง
เป็นยาลูกกลอน ยาดองเหล้าหรือบรรจุแคปซูล

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (Kariyat,Creat)มีคุณสมบัติใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย
โรคอุจจาระร่วงและบิดไม่มีตัววิธีการเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 1
คือการทำเป็นยาลูกกลอนให้นำใบฟ้าทะลายโจร(สด) มาล้างให้สะอาด
ตากแดดทิ้งไว้ให้แห้งจากนั้นนำไปบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำผึ้งลงไปให้พอปั้น
เป็นยาลูกกลอนขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย ใช้กินก่อนอาหารครั้งละ 3-4 เม็ด
วันละ 4 ครั้ง(เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน)

การเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจร แบบที่ 2 คือการดองด้วยเหล้าขาวโดยใช้ใบ
ฟ้าทะลายโจรที่ล้างและตากแดดจนแห้งแล้วใส่ขวดโหลแล้วเติมเหล้าขาวให้พอ
ท่วมยาเล็กน้อย ทิ้งไว้จนครบ 1 อาทิตย์(ให้คนยาวันละครั้ง) แล้วกรองเอาแต่
ส่วนที่เป็นน้ำมากินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหารส่วนสมุนไพรฟ้าทะลายโจร
แบบที่ 3 คือแบบบรรจุเป็นเม็ดแคปซูลโดยนำใบและลำต้นฟ้าทะลายโจรมาล้าง
และตากแดดให้แห้งแล้วบดให้ละเอียดเป็นผงจากนั้นบรรจุในแคปซูล ใช้รักษา
อาการท้องเสียโดยกินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง ชาวจีนใช้ฟ้าทะลายเป็นยา
มาแต่โบราณและมาเป็นที่นิยมใช้ในปะเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้โดยใช้เฉพาะใบ
หรือทั้งต้นบนดินซึ่งเก็บก่อนที่จะมีดอกเป็นยาแก้เจ็บคอแก้ท้องเสีย แก้ไข้
เป็นยาขมเจริญอาหารการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดแอลกอฮอล์
มีแนวโน้มลดไข้ได้รายงานการใช้รักษาโรคอุจจาระร่วงและบิดไม่มีตัวแสดงว่า
ฟ้าทะลายมีประสิทธิภาพในการรักษาเท่ากับเตตราซัยคลิน
ถ้าใช้แก้ท้องเสีย ท้องเดิน เป็นบิดมีไข้
ใช้ทั้งต้นหรือส่วนทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร ผึ่งลมให้แห้ง หั่นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ
1 กำมือ (หนักประมาณ 3-9 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้งสำหรับ
ผงฟ้าทะลายที่บรรจุแคปซูลๆละ 500 มิลลิกรัม ให้กินครั้งละ 2 เม็ดวันละ 2-3 ครั้ง
ก่อนอาหารเช้า กลางวันและเย็น หยุดยาเมื่อหยุดถ่ายอาจใช้ในรูปผงละลายน้ำ
หรือปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้โดยคำนวณจากจำนวนเม็ดให้ได้ปริมาณยาตาม
ที่กำหนด อาการข้างเคียงที่อาจพบ คือคลื่นไส้ อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายในท้อง
ถ้าเป็นมากให้หยุดยา

ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือการมีฤทธิ์ลดความดันเลือดจึง
ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันต่ำยาสมุนไพรแก้ท้องเสียที่เป็นยาลูกกลอนหรือ
ยาดองเหล้าไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 3 เดือนและการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรอาจ
เกิดอาการข้างเคียงได้(แต่น้อยมาก)เช่น อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายท้อง ปวดท้อง
 ปวดหัว ปวดเอวหากเกิดอาการเหล่านี้ควรหยุดใช้ยาสมุนไพรทันที.
การใช้มังคุด (Mangosteen)ที่เป็นเปลือกผลแห้งเป็นสมุนไพรรักษาอาการ
ท้องเสียเปลือกมังคุดจะมีรสฝาด(มีสารแทนนิน)ให้นำเปลือกมังคุดตากแดด
ให้แห้ง(น้ำหนักประมาณ 4 กรัม) แล้วนำมาต้มกับน้ำปูนใสหรือฝนกับน้ำต้มสุก
ก็ได้หากต้องการใช้เปลือกมังคุดบรรเทาอาการบิดคือ ปวดเบ่งและมีมูกบางทีอาจ
มีเลือดปนออกมากับอุจจาระด้วยให้ใช้เปลือกมังคุดแห้งประมาณครึ่งลูกไป
ย่างไฟให้เกรียมแล้วฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว ใช้ดื่มทุก 2 ชั่วโมงแก้อาการ
ปวดบิดได้

กล้วยน้ำว้า (Banana)สมุนไพรที่รักษาอาการท้องเสีย ส่วนที่ใช้คือผลดิบผลกล้วย
น้ำว้าดิบจะมีรสฝาดวิธีการเตรียมกล้วยน้ำว้าเพื่อใช้แก้อาการท้องเสียให้รับประทาน
ผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง 1 ผล หรือใช้กล้วยน้ำว้าที่เป็นผลดิบมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ
แล้วนำไปตากแดดให้แห้งจากนั้นบดให้เป็นผงแป้งเก็บไว้ใช้ชงดื่มแก้อาการท้องเสีย
โดยใช้ผงกล้วยน้ำว้า 1-2 ช้อนโต๊ะชงกับน้ำร้อนในอัตราส่วนที่เท่ากันคือ 1:1 แล้วดื่ม
แก้อาการท้องเสียบางคนอาจเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อช่วยให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น
ทับทิม (Pomegranate)เป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการท้องเสียอีกชนิดหนึ่งส่วน
ของทับทิมที่นำมาใช้คือ เปลือกของผลแห้ง (ผลที่แก่จนแห้ง)จะมีรสชาติฝาดเฝื่อน
วิธีการเตรียมให้ใช้เปลือกของผลทับทิมแห้งประมาณหนึ่งในสี่ผล(1/4 ของผล)
แล้วนำมาฝนกับน้ำปูนใสหรือน้ำฝน กินแก้อาการท้องเสียครั้งละ 1-2 ช้อนแกงหรือ
ใช้ครั้งละ 3-5 กรัม ต้มน้ำดื่ม วันละ 2ครั้ง เช้า-เย็น นอกจากนี้ทับทิมยังเป็นผลไม้
ที่กินสดๆได้จะมีรสเปรี้ยวอมหวาน มีวิตามินซีเกลือแร่ต่างๆ ช่วยป้องกันโรคเลือด
ออกตามไรฟันได้

ฝรั่ง (Guava)เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่รักษาอาการท้องเสียได้ดี ส่วนที่นำมาใช้คือใบ
และผลดิบ โดยเฉพาะในผลดิบจะมีสารแทนนิน (Tannin) วิตามินซี แคลเซียม ฯลฯ
วิธีการเตรียมให้ใช้ใบฝรั่งแก่ 10-15 ใบนำไปย่างไฟให้กรอบแล้วชงกับน้ำร้อนดื่ม
หรือต้มน้ำดื่ม 1 แก้ว เหยาะเกลือเล็กน้อยดื่มต่างน้ำ แก้อาการท้องเสียหรืออีกวิธีหนึ่ง
คือใช้ผลฝรั่งอ่อน 1 ผล ฝนกับน้ำปูนใสใช้ดื่มแก้อาการท้องเสียได้ดีเช่นกัน
หากผู้ป่วยสูญเสียน้ำออกจากร่างกายทางอุจจาระมากควรให้ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อ
ทดแทนน้ำที่สูญเสียไปการเตรียมน้ำเกลือแร่เองทำได้โดย ต้มน้ำสะอาด 1 ลิตร
ให้เดือดแล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะเกลือป่นครึ่งช้อนชาแล้วต้มให้เดือดสักครู่
ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วให้ผู้ป่วยใช้ดื่มแทนน้ำจะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำที่ถูกขับออกไป
จากร่างกายได้.


* ฟ้าทะลายโจร.jpg (77.84 KB, 300x300 - ดู 6088 ครั้ง.)

* มังคุด (1).jpg (6.92 KB, 202x135 - ดู 6030 ครั้ง.)

* กล้วยน้ำว้า.jpg (53.56 KB, 300x226 - ดู 6271 ครั้ง.)

* ทับทิม.jpg (57.03 KB, 300x241 - ดู 6410 ครั้ง.)

* ฝรั่ง.jpg (49.32 KB, 300x226 - ดู 6031 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:06:46 »

อาหารเสริมพลังงาน
อาหารเสริมพลังงานเป็นอาหารมังสวิรัติ มีด้วยกันหลายชนิด
จะเลือกผลิตเฉพาะอาหาร ผักและสมุนไพร
ที่อุดมด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ ที่จำเป็นต่อความต้องการของ
ร่างกายในแต่ละวัน เป็นกลุ่มพืชอาหารหลักที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต

วัตถุดิบที่ได้รับการคัดสรรแล้ว จะถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตด้วยพลังพีระมิด
 นานประมาณ 3-4 ชม. โมเลกุลของพืชอาหารเหล่านั้นจึงอัดแน่นเต็มไปด้วย
พลังมโนธาตุ และพลังกระแสลมปราณ เปลี่ยนสภาพจากอาหารรูปหยาบ
กลายเป็นอาหารละเอียด อุดมไปด้วยพลังงานที่ดี จึงเป็นทางเลือกของสุขภาพ
ที่สะดวก ด้วยวิธีกลืนแคปซูลอาหาร กับน้ำดื่มภายใน 1-2 นาที อาหารเสริมพลังงาน
จะละลาย แตกตัวปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ แทรกซึมเข้าสู่นิวเคลียสศูนย์กลางของ
เซลล์ทันที ทำหน้าที่ซ่อมแซม ฟื้นฟู บำบัด รักษา อย่างรวดเร็วจากส่วนที่อยู่ลึก
ภายในที่สุดออกมายังขอบนอกของเซลล์ เป็นอาหารที่เหมาะกับทุกคน ทุกวัย
แม้กระทั่งเด็กเล็ก หวังผล ได้ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟูและบำบัดรักษา

พืชอาหารที่ถูกเลือกมาใช้ผลิตเป็นอาหารเสริมพลังงานในขณะนี้ มีด้วยกัน 3 ชนิด
คือ สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม

ทำไมจึงต้องเป็น สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม


ถ้าแยกร่างกายออกเป็นส่วนย่อย 3 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดมาจากธาตุดิน ได้แก่ เนื้อ หนัง กระดูก เอ็น ส่วนที่มาจากธาตุน้ำ
ได้แก่ เลือด และน้ำเหลืองส่วนที่เป็นเซลล์ประสาท ทำหน้าที่ เชื่อมการทำงานของแต่ละวงจรอวัยวะ องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้
หากมีส่วนใดส่วนหนึ่ง ทำงาน บกพร่อง จะแยกแต่ละชิ้นส่วนออกมาซ่อมแซมเหมือนอะไหล่รถยนต์ เครื่องจักร ฯลฯ
ย่อมทำ ไม่ได้ เพราะทั้งเลือด น้ำเหลือง เซลล์ประสาท ต่างฝังตัวติดแน่นเป็นเนื้อเดียวกันกับส่วนประกอบ
ของธาตุดิน (เนื้อ หนัง กระดูก เอ็น) ทั่วร่างกาย

ตามกระบวนการผลิตโดยพลังพีระมิด สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม เปลี่ยนเป็น อาหารเสริมพลังงานด้วย
สูตรเสริมพลังมโนธาตุ M1900 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ นิวเคลียสอย่างลุ่มลึก นุ่มนวล ขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ลึก
ในเซลล์ออกมา พร้อมทั้งกระชับ เนื้อเซลล์ให้ นุ่ม เนียน ตึง คืนความสุขสมบูรณ์แก่ร่างกายและจิตใจ
กล่าวได้ว่าเป็น อีก วิธีหนึ่งที่ง่ายและสะดวกในการดูแลกายหยาบและกายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน

สาหร่าย “เจ้าแห่งธาตุดิน จอมพลังฝ่ายบูรณาการ”

สาหร่ายที่นำมาผ่านกระบวนการผลิต โดยใช้พลังพีระมิดเพื่อเปลี่ยนโมเลกุลจากอาหาร ธรรมดาเป็น
อาหารเสริมพลังมโนธาตุ ใช้สาหร่าย สไปรูลินา (Spirulina) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่าง แพร่หลาย ทั่วทุกภาคของ
ประเทศไทยและในทั่วทุกส่วนของโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน ฟิลิปปินส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี

สาเหตุจากความเสื่อมสลายของสภาพสิ่งแวดล้อม ความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลก การสั่งสมของสารอนุมูลอิสระ ฯลฯ
ทำให้เซลล์ในร่างกายมนุษย์ถูกทำลายลง อย่างรวดเร็ว พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ใช้ “จิต” คิดค้นเพื่อหาวิธีที่จะนำมาต่อสู้
แก้ไข เซลล์ที่ถูกทำลาย เซลล์ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจัดเป็นธาตุดิน เมื่อธาตุดินเสื่อม จำเป็นต้อง
หาวิธีบำรุงธาตุดินอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถช่วยชีวิตมนุษย์ไว้ได้ สาหร่าย เป็นอาหารธาตุดินที่มี่ต้นทุน
คุณค่าทางโภชนาการที่ดีเด่นมาก เพียงแต่นำมาอัดพลังมโนธาตุ เสริมให้คุณสมบัติของสาหร่ายเพิ่มมากขึ้นเป็นพันเท่า
เพื่อหวังผลในการซ่อมแซม ฟื้นฟู บำบัดรักษาเข้าลึกถึงนิวเคลียส ศูนย์กลางของเซลล์ที่เสื่อมถอยหรือ
ผิดปกติ (มะเร็ง) ให้คืนกลับเป็นเซลล์ที่ปกติ สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างรวดเร็วทันที เปรียบได้ดั่งเป็นเซลล์ตั้งต้น
ที่มาจากพืช (Stem cell) สมดังฉายาที่ผู้เขียนตั้งให้ว่าเป็น “เจ้าแห่งธาตุดิน จอมพลังฝ่ายบูรณาการ”

สาหร่ายให้คุณค่าทางโภชนาการมากเกินกว่าจะนำมาเขียนไว้ทั้งหมด ( กรุณาค้นคว้า จากแหล่งความรู้อื่นๆเพิ่มเติม )
จึงขอนำมาเป็นข้อมูลเฉพาะสิ่งที่เด่น และจำเป็นต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคที่เกิดมาจากความเสื่อมถอยของเซลล์
ก่อนวัยควร ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ไขข้ออักเสบ ฯลฯ

1. เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ (อาจจะมากกว่าถั่วเหลือง แต่ราคาแพงกว่า) ให้โปรตีน บริสุทธิ์จากพืชในปริมาณที่สูงกว่า
เนื้อ ไข่ ร่างกายต้องใช้โปรตีนเพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟูเซลล์ และ อวัยวะที่กำลังเสื่อมถอยหรือถูกทำลาย

2. ให้วิตามินหลายอย่าง ทั้ง บี 1, บี 2, บี 3, บี 6, บี 12, วิตามินอี โดยเฉพาะวิตามิน บี 6 และ แมกนีเซียม
จากคลอโรฟิลล์ของสาหร่าย จะทำหน้าที่ช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ ตับอ่อน จนสามารถผลิตอินซูลินได้
ทำให้น้ำตาลในเลือดและปัสสาวะลดลง เป็นการแก้ไข อาการเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นคลอโรฟิลล์ของสาหร่าย ยังช่วยให้การทำงาน ของอวัยวะต่างๆดีขึ้น โดยเฉพาะการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
ช่วยลดการอักเสบของกระเพาะ อาหาร-ลำไส้ ช่วยให้บาดแผลแห้งเร็ว และ ฟื้นฟูกระดูกและเซลล์ได้เร็วขึ้น
จึงเป็นการรักษา แผลเป็น ริ้วรอย

3. ให้เบต้า แคโรทีน (Beta carotene) มากที่สุดในกลุ่มพืชอาหารด้วยกัน มากกว่า ในแครอทเกือบ 25 เท่า
และร่างกายจะเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน เป็นวิตามินเอ เพื่อลดความ เป็นพิษหรือสลายอนุมูลอิสระ
ให้ผลดีต่อกระบวนการแอนตี้ออกซิเดชั่น (Anti-oxidation) ได้มากกว่า เบต้า แคโรทีนที่ได้มาจากการสังเคราะห์
จึงสามารถต้านมะเร็งได้

4. สาหร่าย อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และ ภูมิต้านทานร่างกาย
จึงช่วยแก้ไขโรคโลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดอย่างได้ผล

5. ไฟโคไซยานิน ( Phycocyanin ) เป็นโปรตีนสีน้ำเงินที่มีอยู่มากในสาหร่าย เป็นสารช่วยกระตุ้น
ภูมิต้านทานร่างกายให้สูงขึ้น จึงช่วยแก้ไขอาการเสื่อมถอยของเซลล์ได้อย่าง ยิ่งยวด

6. ให้กรดอะมิโนที่สมดุลต่อการกระตุ้นการทำงานของระบบสมอง ระบบประสาท เพื่อให้เกิดทั้งการตื่นตัวและผ่อนคลาย

7. ให้กรดไขมันแกมมาไลโนเลนิค (Gamma Linolenic Acid) ช่วยลดคอเลสเตอ รอล ส่งผลดีต่อหัวใจ และ
ภาวะเส้นเลือดตีบได้อย่างวิเศษ มากกว่ากรดไขมันไลโนเลนิค ที่มีอยู่ ในน้ำมันพืชเป็นหลายเท่า

8. สาหร่ายอุดมไปด้วย เส้นใยอาหาร และ กลัยโคเจน ( Glycogen ) ซึ่งช่วยเพิ่ม พลังงาน ให้กับกล้ามเนื้อ
จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

จะเห็นได้ว่าสาหร่ายเป็นพืชอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน เพื่อหวังผล ในการ บำรุง ป้องกัน ฟื้นฟู และ
บำบัดรักษาร่างกาย ตามแนวทางสุขภาพทางเลือกของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่ส่งเสริมการรับประทานอาหารเป็นยา


* assaw.jpg (57.21 KB, 300x225 - ดู 5965 ครั้ง.)

* foodman (8).jpg (62.6 KB, 300x200 - ดู 6000 ครั้ง.)

* pk1_0.jpg (51.25 KB, 300x184 - ดู 5969 ครั้ง.)

* 54.gif (9.28 KB, 50x50 - ดู 5850 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:09:29 »

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb.) วงศ์ SAURURACEAE;
ผักคาวตอง ผักก้านตอง ผักแควตอง ผักเข้าตอง พลูแก

“ราชินีแห่งธาตุน้ำ ควบคุมการทำงานของเลือดและน้ำเหลือง
” เป็นผักพื้นบ้านของ ประเทศแถบอินโดจีน ทวีปเอเชีย
เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย เนปาล และไทย ฯลฯ จัดเป็นพืชล้มลุก
มีอายุอยู่ได้หลายปี ให้ประโยชน์ได้ทั้งใบ ลำต้น ราก
มีกลิ่นคล้ายคาวปลา ใบมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ

ผักพลูคาว หรือคาวตอง เป็นผักพื้นบ้านของภาคเหนือ ไม่ค่อยแพร่หลายเป็นที่
รู้จักใน ภาคกลางมากเท่าไรนัก
สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ พันธุ์ที่นำมาใช้ผลิตเป็นอาหาร เสริมพลัง
มโนธาตุจะเป็นพันธุ์ “ก้านแดง”
จึงจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย และ ต้านไวรัสได้ จากการใช้ “จิต”
คิดค้นวิธีของการบำบัดรักษาแบบองค์รวมฯ

ตามแนวทางของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จำเป็นต้องเสริมทั้งธาตุดิน
และธาตุน้ำควบคู่กันไป เพราะการเสื่อมถอยของธาตุดิน หรืออวัยวะทั่วทุกส่วน
ของร่างกาย ย่อมหมายความว่า ความผิดปกติ เหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับธาตุน้ำ
ซึ่งอาศัยอยู่ในธาตุดินด้วยเช่นกัน การฟื้นฟูบำบัดรักษาจะส่งผลได้ อย่างมี
ประสิทธิภาพและยั่งยืน ร่างกายต้องมีพลังงานที่สมดุลสอดคล้องกัน
ดังนั้นองค์ความรู้ฯ จึงได้พลูคาวมาเป็น “ราชินีแห่งธาตุน้ำ ควบคุมการทำงาน
ของเลือดและน้ำเหลือง”
เคียงคู่ไปกับการเสริมธาตุดินด้วยสาหร่าย


ประโยชน์ที่สำคัญ

1. ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้สูงขึ้น ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์
เม็ดเลือดขาว ช่วยต้านเนื้องอก รวมทั้งช่วยขับพิษที่จะเป็นสารก่อมะเร็งออก
จากร่างกาย ซึ่ง หมายถึงสามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ดีมาก

2. ช่วยต้านและทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งปอด รังไข่ สมอง ลำไส้ใหญ่
 ปากมดลูก เต้านม ทางเดินอาหาร
และทางเดินหายใจ
3. ให้สารธรรมชาติที่ช่วยต้านเชื้อไวรัส เช่น เริม งูสวัด เอดส์ ไข้หวัดทุกชนิด
4. ช่วยขับประจำเดือนเพื่อการไหลเวียนของเลือด รักษากามโรคและช่วยทำให้
น้ำเหลืองแห้ง
5. ลดอาการอักเสบของฝี ปอด หลอดลม ไอ บิด ริดสีดวงทวาร ต้านเชื้อรา
และ แบคทีเรียได้หลายชนิด
6. มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
ช่วยขับปัสสาวะ
7. ลดไข้ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง
8. ช่วยในการถนอมรักษาผิวพรรณ แก้ไขฝ้า กระ ช่วยให้ใบหน้าผ่องใส
คืนความ เปล่งปลั่งสมบูรณ์ให้แก่ เนื้อเยื่อ เซลล์


* pk1_0.jpg (51.25 KB, 300x184 - ดู 5955 ครั้ง.)

* 632.gif (6.64 KB, 50x50 - ดู 5837 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:12:26 »

มะรุม “เจ้าชายสิบทิศ”
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง โตเร็ว มีถิ่นกำเนิดในอินเดียใต้ หรือศรีลังกา
ปลูกได้ดีทั่วๆ ไปในเขตอากาศร้อน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ
แม้แต่บนคาบสมุทรอาหรับ ทวีปแอฟริกา สามารถทนต่อความแห้งแล้ง
และดินเลวได้ดีมาก ในประเทศไทยนิยมปลูกทั่ว ทุกภาค สำหรับภาคอีสาน
ปลูกกันแทบทุกครัวเรือน เป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้ง ดอก ฝัก
ใบ ราก เมล็ด น้ำมันจากเมล็ด (เมล็ดแห้งนำมาคั่วสุก กินเหมือนถั่วลิสงคั่ว
น้ำมันจาก เมล็ดนำมาใช้กินเป็นอาหาร สกัดเป็นน้ำมันหอม และใช้ในเครื่องสำอาง)
นับว่าเป็นต้นไม้ สารพัดประโยชน์ คือเป็นผักที่ดีทั้งรสชาด และให้คุณค่าทางอาหาร
และสมุนไพรอย่าง ครบถ้วน ให้สารอาหารที่สามารถช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้อย่างยิ่งยวด ส่วนของมะรุม ที่ชาวไทยคุ้น เคยนำมาปรุงเป็นอาหารมากที่สุดคือ
ผล ที่เรียกว่า “ฝัก”อ่อน ซึ่งนิยมนำมาทำ แกงส้ม ยอดอ่อนและช่อดอกนำมาลวกหรือดองจิ้มน้ำพริก

สำหรับองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ บอกไว้ว่า มะรุมช่วยควบคุมการ ทำงานของเซลล์ประสาททั่วร่างกาย โดยเฉพาะสมอง และนัยน์ตา จึงสัมพันธ์กับ
ความมีอยู่ และการทำงานของธาตุดิน และธาตุน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ใบมะรุม
ก้านอ่อน และดอก คือส่วนที่นำมาทำเป็นอาหารเสริมพลังมโนธาตุ


ประโยชน์ที่สำคัญ
1. มะรุมให้สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่สำคัญคือ รูทิน และ เควอเซทิน
(Rutin และ Quercetin) สารลูทีน และกรดแคฟฟิโอลิลควินิก (Lutein และ Caffeoylquinic acids) ซึ่งมีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ดูแลจอประสาทตา
ตับ หัวใจ และหลอดเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพ ของเซลล์หรือมีฤทธิ์ช่วย
ชะลอความแก่ก่อนวัย นอกจากนั้น มะรุมยังให้สารอีกหลาย ชนิด มี ฤทธิ์
 ต้านจุลชีพ ต้านแบคทีเรีย ต้านการเกิดมะเร็ง

2. ใบ นับว่าเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดอย่างหนึ่งทีเดียว ให้โปรตีนสูงถึง
26% ให้ปริมาณของแคโรทีนสูง ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในภายหลัง
ให้วิตามินซี อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และแคลเซียม

3. ช่วยลดความดันโลหิต แก้ปวดตามไขข้อ อาการชาตามประสาทมือ-เท้า

4. เส้นใย (Fiber) ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ ช่วยในการ
ระบายขับถ่าย

5. มีฤทธิ์ ช่วยลดไขมัน และคอเลสเตอรอล

มะรุม ทำหน้าที่เปรียบเสมือนทหารกล้า ป้องกันระแวดระวังทั่วอาณาเขตของร่างกาย
ไม่ให้เกิดโรคภัยมาเบียดเบียน มีฤทธิ์รอบตัวเหมาะกับฉายา “เจ้าชายสิบทิศ”
เสียเหลือเกิน


* marum01.jpg (46.82 KB, 300x225 - ดู 5903 ครั้ง.)

* 664.gif (29.67 KB, 50x50 - ดู 5809 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:17:16 »

รางจืด...ยอดสมุนไพรไทย สรรพคุณถอนพิษ-ช่วยผู้ป่วยมะเร็ง

รางจืดมักพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นของประเทศ ไทย ทุกภาค รางจืดจะเลื้อยพัน
ต้นไม้อื่น ลำต้นและใบ ไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนตำลึงหรือมะระ อาศัย
ลำต้นพันรัดขึ้นไป ใบแยกออกจากลำต้นเป็นคู่ตรงบริเวณข้อ ซึ่งจะมีกิ่งแขนง
แยกออกไปจากลำต้นเดิมตรงข้อ (โคนใบ) ทั้ง 2 ด้าน

รางจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Thunbergia lauriflolia Linn. โดยมีชื่ออื่นว่า
ยาเขียว, เครือเขาเขียว, กำลังช้างเผือก, หนามแน่, ย้ำแย้, น้ำนอง, คาย,
ดุเหว่า, รางเย็น, ทิดพุด, แอดแอ, ขอบชะนาง

ใบรางจืด มีลักษณะเป็นรูปยาวรีดคล้ายใบหญ้านาง แต่ใบโตกว่าประมาณเท่าตัว
และมีสีเขียวอ่อนกว่าใบหญ้านาง ขอบใบอาจเป็นหยักหรือไม่มีหยักก็ได้ และดอก
มีขนาดเท่าดอกผักบุ้ง มีสีม่วงหรือเข้มดอกมีสีม่วง สีเหลือง สีขาว
ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อธิบายว่า รางจืด
มีการใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนานในหมอยาพื้นบ้านในด้านการแก้พิษ
ไม่ว่าจะเป็นพิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ รวมไปถึงพิษสุราและยาเสพติด
ไม่เว้นแม้แต่พิษงู แมลงป่องหรือตะขาบ สามารถนำไปใช้แก้พิษในสัตว์ที่ได้รับยา
พิษเช่นสุนัขและแมว

"ในตำรายาไทยรวมทั้งตำรายาพื้นบ้านยังพูดถึงการนำ รากและเถา มารับประทาน
แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ใบและราก ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล
น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ผดผื่นคัน เริม สุกใส ทำลายพิษยาฆ่าแมลง หรือยาเบื่อ
พิษจากการดื่มเหล้ามากเกินไป"

ภญ.ดร.อัญชลี กล่าวและว่า ภูมิปัญญาอีสาน มีประสบการณ์สืบต่อกันมาว่า
เมื่อจะปรุงอาหารที่เก็บมาจากป่าทุกครั้ง ให้ใส่ใบและดอกของเถารางจืดเข้าไปด้วย
 เพื่อป้องกันพิษที่อาจเกิดจากพืชหรือสัตว์ป่าที่นำมารับประทาน ซึ่งคล้ายคลึงกับ
หมอยาไทยใหญ่ ที่แนะนำยอดและดอกของรางจืดมาแกงกินเป็นอาหารเพื่อบำรุง
สุขภาพ และหมอยาพื้นบ้าน ยังนิยมให้รางจืดในการลดความดันโลหิต รักษาอาหาร
แพ้และผดพื่นคันทางผิวหนัง

สำหรับพิษที่รุนแรง ให้ใช้ใบรางจืด 10-12 ใบตำคั้นกับน้ำซาวข้าว และให้ใช้รากสด
ที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปเพียง 1 ราก โขลกหรือฝนผสมน้ำซาวข้าวขุ่นข้นประมาณครึ่งแก้ว
ถึงหนึ่งแก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ หรืออาจใช้ใบรางจืดแห้ง 300 กรัม
ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว (ดื่มขณะที่อุ่นจะให้ผลดีกว่า) หรือนำใบหรือราก
มาหั่นฝอย ผึ่งลมให้แห้ง บดเป็นผง หรือปั้น เป็นเม็ด รับประทานครั้งละ 5 กรัม
โดยให้รับประทาน ทุก 1.5 - 2 ชั่วโมง หรับแก้ร้อนใน ถอนพิษไข้ ถอนพิษสุรา
หรือบำรุงร่างกาย ให้ใช้ 4-5 ใบ หรือประมาณ 1.5 - 3 กรัม ชงน้ำดื่มหรือทำเป็นเม็ด
รับประทาน

สรรพคุณ : รางจืดที่มีประสิทธิภาพ คือ รางจืดชนิดเถาดอกม่วง
รากและเถา - รับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำใบและราก - ใช้ปรุงเป็นยาถอน
พิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง
พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ
 เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ในฝักผลไม้ที่รับประทาน
เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนไข้ถึงแก่
ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก
หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษ
เฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า)
ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น

วิธีใช้ :ใบสด
สำหรับคน 10-12 ใบ
สำหรับวัวควาย 20-30 ใบ
นำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งแก้วคั้นเอาแต่น้ำดื่มให้หมด
ทันทีที่มีอาการ อาจให้ดื่มซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา

วิธีใช้ : รากสดสำหรับคน 1-2 องคุลี
สำหรับวัวควาย 2-4 องคุลี
นำรากมาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจใช้ซ้ำได้อีก
ใน 1/2 - 1 ชั่วโมง ต่อมา

คำเตือน : การใช้รางจืดสำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง ยาพิษและสตริกนินนั้น
ต้องใช้ยาเร็วที่สุดเท่าที่จำทำได้ จึงจะได้ผลดี ถ้าพิษยาซึมเข้าสู่ ร่างกายมากแล้ว
หรือทิ้งไว้ข้ามคืน รางจืดจะได้ผลน้อยลง

ที่มา :
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_20_4.htm
http://www.ouayun.com


* bed818419094f9.jpg (43.42 KB, 300x225 - ดู 6107 ครั้ง.)

* m177.gif (15.97 KB, 50x50 - ดู 5717 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:21:14 »

สมุนไพรกับโรคผิวหนัง
พืชสมุนไพรมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดรักษาโรคไม่เหมือนกัน มีทั้งเป็นใช้รับประทาน และใช้เป็นยาทาภายนอก เพราะฉะนั้นผู้ใช้ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่เกิดอันตรายได้

โรคผิวหนังรวมทั้งแผลที่เกิดในช่องปาก ย่อมเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ที่จริงแล้วยาที่ผลิตจากสารเคมีก็มีมากมาย แต่ยาสมุนไพรบางชนิดก็รักษาโรคดังกล่าวนี้ได้เหมือนกัน

จากที่ค้นคว้าได้จะมีสมุนไพรรักษาโรคผิวหนัง ดังนี้

- บัวบก หว้า โทงเทง รักษาแผลในปาก

- ฝรั่ง กานพลู รักษาเรื่องของกลิ่นปาก

- ผักบุ้งทะเล เสลดพังพอน ตำลึง เท้ายายม่อม รักษาอาการแพ้ แก้คัน

- บัวบก ยาสูบ ว่างหางจระเข้ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

- ตำลึง พุดตาน ว่านมหากาฬ เสลดพังพอน รักษางูสวัด เริม

- นางแย้ม รักษา ผื่นคัน เริม

- กุ่มบก ใช้เปลือกรักษาโรคผิวหนัง

- ข่า พิลังกาสา รักษาลมพิษ

- ขมิ้นชัน ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง ชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน

- ทองพันชั่ง เปล้าน้อย รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ผื่นคันเรื้อรัง

- เหงือกปลาหมอ รักษาแผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย เป็นฝีบ่อยๆ

- มะยม รักษาแก้พิษคัน แก้พิษไข้หัว เหือด หัด สุกใส ดำแดง ปรุงในยาเขียว และใช้เป็นอาหารได้

- ว่านมหากาฬ รักษา งูสวัด เริม ทำให้เย็น ถอนพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน

- อัคคีทวาร รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน

- กระเทียม รักษากลากเกลื้อน

วิธีและปริมาณการใช้ บอกได้เป็นบางอย่างเท่านั้น เช่น อัคคีทวาร ใช้ทั้งต้น ช่วยรักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน วิธีการทำใช้ใบและต้น ตำพอกรักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน , ขมิ้นชัน ใช้เหง้าแก่แห้งไม่จำกัดจำนวน ป่นให้เป็นผงละเอียด ใช้เป็นยารักษาภายนอก ทาแก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุและหนังศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน ใช้ทาตามบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กนิยมใช้มาก เป็นต้น สมุนไพร
อื่น ๆ จะนำเสนอวิธีและปริมาณการใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป นะคะ...


เรียบเรียงโดย นางปาลิตา โตศรีสวัสดิ์เกษม . 2/ 2 / 54 . ศว.สระแก้ว.

ข้อมูลอ้างอิง : - เภสัชกรหญิงสุนทรี สิงหบุตรา โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.

- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณะธรรม พจนานุกรมสมุนไพรไทย.


* ต้นหว้า.jpg (49.77 KB, 300x225 - ดู 6695 ครั้ง.)

* นางแย้ม.JPG (34.82 KB, 300x225 - ดู 6359 ครั้ง.)

* บัวบก.JPG (38.4 KB, 300x225 - ดู 5828 ครั้ง.)

* เสลดพังพอนตัวผ้.JPG (42.9 KB, 300x225 - ดู 5921 ครั้ง.)

* 3.gif (13.72 KB, 100x100 - ดู 5707 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:25:15 »

ย่านาง สมุนไพรมหัศจรรย์ 
จากหนังสือ " ย่านาง สมุนไพลมหัศจรรย์ " โดย หมอเขียว ใจพชร
- นักวิชาการสาธารณสุข
- ครูฝึกแพทย์แผนไทย
- นักบำบัดสุขภาพทางเลือก
- อบรมด้านการแพทย์ทางเลือกจากประเทศมาเลเซีย และจีนไต้หวัน



ย่านาง เป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหาร และ เป็นยามาตั้งแต่โบราณ
หมอยาโบราณอีสาน เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า

" หมื่นปี บ่ เฒ่า แปลเป็นภาษาภาคกลางว่า " หมื่นปีไม่แก่ "

วิธีใช้


ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์
ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุล
แบบร้อนเกิน ดังนี้

เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว 200-600 ซีซี
ผู้ใหญ่ ที่รูปร่างผอม บางเล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็กทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วน ตัวตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
โดยใช้ใบย่านางสด มาล้างทำความสะอาดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น( แต่การปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง )แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร หรือตอนท้องว่างหรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำ เพราะถ้าเกิน 4 ชม. มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม แต่ถ้าแช่ในตู้เย็น
ควรใช้ภายใน 3-7 วันโดยให้สังเกตุที่กลิ่นเปรี้ยวเป็นหลัก
นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถใช้น้ำย่านางมาสระผม ช่วยให้ศีรษะเย็น
ผมดกดำ หรือชลอผมหงอก หรือผสมดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมาก
ให้เหลวพอประมาณทาสิว ฟ้า ตุ่ม ผื่นคัน พอกฝีหนอง

หมายเหตุ
ถ้าจะให้ได้รสชาติ คั้นกับใบเตย จะหอมอร่อยมาก หรือจะใส่กับ
น้ำมะพร้าวก็จะหอมชื่นใจมากขึ้น(แต่ถ้าใส่น้ำมะพร้าวจะเสียเร็วน่ะ)
ผักฤทธิ์เย็น นำมาคั้นร่วมกับย่านางก็ได้ เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ใบบัวบก ย่านาง ใบเตย น้ำมะพร้าว แต่ควรเลือกผักที่ไม่มีสารเคมีน่ะ
จะได้ปล่อยภัยจากสารเคมีค่ะ

เทคนิควิธีการปั่น

การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร เทคนิค
อยู่ที่ วิธีการปั่นคือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด

เทคนิคที่แจ๋วกว่า คือให้กดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วกดปิด
รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้งนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว
แล้วกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุนทำซ้ำไปเรื่อยๆจนใบย่านางละเอียด
วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม
เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางครับ


บางครั้งใช้ร่วมกับยาตัวอื่น แต่ส่วนใหญ่ คนที่ดื่มน้ำย่านางทุกวัน
จะเห็นผลได้ภายในเวลา ๓ เดือนโรคที่มีรายงานว่า ดื่มน้ำย่านางหาย
เช่น ลดน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตสูงตกเลือดจากมดลูก โรคเก๊าท์
และโรคเชื้อราทำลายเล็บ หรือเป็นผื่นคัน

เป็นอาการของโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
วิธีใช้ ใบย่านางตั้งแต่ ๓-๑๐ ใบ โดยพิจารณาจากลักษณะของผู้ป่วย
นำมาโขลกให้ละเอียด ผสมน้ำ ๑-๓ แก้ว ดื่ม วันละ ๒-๓ เวลา
ข้อสังเกต ความเข้มข้นพอเหมาะที่จะดื่ม
- ขณะที่ดื่มเข้าไป จะกลืนง่ายไม่ฝืดฝืน ไม่ระคายคอ
- อาการไม่สบายทุเลาลง ปากคอชุ่ม ร่างการยสดชื่นขึ้น
- ถ้่าดื่มน้อยไป อาการก็ไม่ทุเลา ถ้าดื่มมากไป ก็จะเกิดอาการไม่สบายบางอย่าง
หรือในขณะดื่่มจะรู้สึกได้ว่าร่างกายจะมีสภาพต้านบางอย่างเกิดขึ้น



เทคนิคการกินหน่อไม้ ไม่ให้ปวดเข่า
กินแล้วไม่ต้องกลัวปวดเข่า เพราะ ในน้ำย่านางช่วยต้านกรดยูกริกที่มีอยู่ในหน่อไม้ ทำให้กินแล้ว
ไม่ปวดหัวเข่า (แต่ควรจะใส่ผักฤทธิ์เย็นเป็นส่วนผสมเข้าไปด้วย และใส่หน่อไม้น้อยลง จึงจะดีค่ะ)
ผักฤทธิ์เย็น ได้แก่ บวม แตงโมอ่อน ผักหวาน มะละกอดิบ-ห่าม ตำลึง ผักบุ้ง หัวปลี มะรุม...


* yanang6.jpg (37.87 KB, 300x439 - ดู 5993 ครั้ง.)

* yanang1.jpg (34.18 KB, 300x201 - ดู 5764 ครั้ง.)

* yanang-12.jpg (82.16 KB, 300x459 - ดู 6467 ครั้ง.)

* [1.gif (13.95 KB, 50x50 - ดู 5638 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:28:36 »

พฤติกรรมที่ทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน (สาเหตุทำให้เกิดโรค)
1. เครียด
2. อดหลับอดนอน
3. อดอาหาร
4. เร่งร้อน เร่งรีบ
5. มักจะทำงานเกินกำลังบ่อยๆ
6. มักทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะยอมดื่มน้ำ
7. มักกลั้นปัสสาวะ อุจจาระ
8. มักทำงานที่ต้องงอมือ
9. นั่งรถเดินทางบ่อยๆ
10. มักกำมือแน่นตลอด
11. มักมีกิจกรรมหรือการงานที่ตนต้องพูดมาก
12. กลุ่มที่ทำงานใช้สมองมาก
13. หงุดหงิดโมโหบ่อย
14. มักกินของที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ บ่อยๆ
15. คนที่ใช้กำลังกายมากในขณะที่ลมปราณล็อค
16. ภาวะเย็นถึงที่สุดแล้วตีกลับเป็นร้อน
รายละเอียดเพิ่มเติม ...
1. เครียด
ทำให้ร่างกายเร่งผลิตพลังงานเพื่อต่อสู้กับภาวะที่ทำให้เครียดนั้น ถ้าเครียดมาก ๆ เป็นประจำ ภาวะร้อนเกินก็จะเกิดขึ้น

2. อดหลับอดนอน
ถ้าเราไม่พักผ่อนนอนหลับในช่วงที่กำลังง่วงนอน ก็จะทำให้ร่างการต้องเร่งผลิตพลังงานสำรองออกมาใช้ ยิ่งถ้าไม่นอนในช่วง 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 ซึ่งวิทยาการแพทย์แผนไทย ระบุไว้ว่าเป็นช่วงไฟกำเริบ ก็จะเกิด
ภาวะร้อนเกินขึ้น ช่วงเวลาดังกล่าวร่างกายควรจะนิ่งมากที่สุด เพื่อไม่ให้ไฟความร้่อนเผาทำร้ายร่างกาย
จะสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า เวลาที่เรานอนดึก จะรู้สึกเพลีย

3. อดอาหาร
แม้หิวก็ไม่ยอมกินอาหาร ซึ่งอาการหิว คือ อาการที่แสดงถึงไฟย่อยพร้อมที่จะทำงาน ถ้าไำม่มีอาหารให้ย่อย ไฟย่อยไฟเผาผลาญาอาหาร ก็จะเผาตัวเราเอง ซึ่งตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน ได้อธิบยไว้ว่า ปกติพลังงานส่วนใหญ่
ร่างกายจะขาดพลังงาน ร่างกายก็จะสร้างพลังงานด้วยการสันดาปจากไขมันและโปรตีนโนร่างกายแทนซึ่งขบวนการดังกล่าว จะทำให้เซลล์เสื่อมและมีของเสียที่เป็นพิษตกค้างในร่างกาย ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารเมื่อรู้สึกหิว แต่ถ้ายังไม่หิวก็ยังไม่ควรกิน เพราะัระบบย่อยยังไม่พร้อมที่จะทำงาน
โดยทั่วไปช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการกิตอาหาร คือ ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. เพราะเป็นช่วงที่ไฟย่อยกำลังทำงานดี
(ซึ่งตามหลักการแพทย์แผนไทย ช่วงนี้เป็นช่วงไฟกำเริบ) แต่ถ้าร่างกายหิวก่อนเวลาดังกล่าว ก็ควรจะกินในเวลาที่หิวนั้น

4. เร่งร้อน เร่งรีบ
คนใจร้อน ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งแอดดรีนาลีนออกมากระตุ้นให้เซลล์เร่งผลิตพลังงาน ภาวะร้อนเกินก็จะเกิดขึ้น

5. มักจะทำงานเกินกำลังบ่อยๆ
ทำให้พลังงานความร้อนและของเสียคั่งในร่างกายมาก

6. มักทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะยอมดื่มน้ำ
ทั้ง ๆ ที่ขณะทำงาน หรือทำกิจกรรมนั้น จะรู้สึกคอแห้ง กระหายก็ยังไม่ดื่มน้ำ อาการปากแห้ง คอแห้งเป็นอาการที่แสดงว่า
ร่างกายกำลังขาดน้ำ เมื่อไม่มีน้ำคุ้มครอง ความร้อนทั้งที่อยู่ในและนอกร่างกาย ก็จะเผาทำร้ายร่างกาย

7. มักกลั้นปัสสาวะ อุจจาระ
จึงทำให้ของเสียถูกดูดกลับเข้าร่างกาย เกิดภาวะร้อนเกินขึ้น
8. มักทำงานที่ต้องงอมือหรือกำมือนาน ๆ แล้วไม่ได้ดัดคืนหรือไม่ได้กดนวดคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งจากกล้ามเืนื้อที่เกร็งค้างกดล็อคลมปราณ กดทับ
ระบบไหลเวียนของเลือดลม ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ และคนที่อยู่หน้าเตาไฟนาน ๆ ก็มักจะเกิดภาวะร้อนเกินได้ ถ้าไม่ได้ดำเนินการแก้ไข

9. นั่งรถเดินทางบ่อยๆ
ในขณะที่นั่งรถเดินทางเครื่องยนต์ก็จะสั่น ทำให้เซลล์ในร่างกายสั่นสะเทือนไปด้วย จึงทำให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย
จะสังเกตได้ เมื่อเราเดินทางมาก ๆ จะรู้สึกว่าร่างกายล้าเพลีย ซึ่งเป็นภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน

10. มักกำมือแน่นตลอด
การกำมือทำให้ความร้อนระบายออกทางมือไม่ได้

11. มักมีกิจกรรมหรือการงานที่ตนต้องพูดมาก
กล่องเสียงสั่นสะเทือนส่งผลให้ต่อมไทรรอยด์ ที่อยู่บริเวณคอถูกกระตุ้นให้ทำงาน ซึ่งต่อมนี้จะทำหน้าที่เร่งปฎิกิริยา
การสันดาปเผาผลาญอาหาร ให้เป็นพลังงานความร้อน คนที่ต้องพูดมากๆ จึงมักมีภาวะร้อนเกิน

12. กลุ่มที่ทำงานใช้สมองมาก
การใช้พลังสมองนั้นเปลืองพลังงานมากกว่าการใช้พลังแรงกาย

13. หงุดหงิดโมโหบ่อย
จะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารแอดดรีนาลีน ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายเร่งเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานความร้อน
อย่างรวดเร็ว เกิดภาวะไฟกำเริบเผาตัวเราเอง ภาวะปลื้มใจ ดีใจ ถูกใจบ่อย ๆ โดยไม่ควบคุมอารณ์ ภาวะที่มีอิทธิบาท
มากเกินไป (ฉันทะ - ความพอใจ วิริยะ - ความเพียร จิตตะ - จิตใจจดจ่อเอาใจใส่ วิมังสา - ตรวจสอบใคร่ครวญ) คือ
มีอิทธิบาท โดยไม่มีเบรค (ไม่มีอุเบกขา คือ รู้เพียรแต่ไม่รู้พัก) ภาวะอารณ์ดังกล่าวล้วนเป็นสาเหตุของภาวะร้อนเกิน

14. มักกินของที่มีฤทธิ์ร้อนมากๆ บ่อยๆ

1. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มคาร์โบไฮเดรท เช่น ข้าวเหนียว ข้ากล้องสีแดง - ดำ ข้าวอาร์ซี เผือก มัน กล่อย ข้าวบาร์เล่ย์
ข้าวสาลี ขนมปังอาหารที่หวานจัดมีฤทธิ์ร้อน (หวานโดยปกติจะมีฤทธิ์เย็น แต่ถ้าหวานจัดจะตีกลับเป็นร้อน)

2. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ เห็ดโคน เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดละโงก (ภาคเหนือเรียกเห็ดไข่ห่าน)
เห็ดหอม เห็ดหลินจือ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด ซึ่งแม้ว่าปกติจะเป็นถั่วฤทธิ์เย็น ถ้าเอาไปทอดก็จะกลายเป็นร้อน

3. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มไขมัน อาหารที่มีรสมันทุกชนิดจะมีฤทธิ์ร้อน อาหารที่มีไขมันจะออกฤทธิ์ร้อนมากและร้อนนานกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะให้แคลอรี่หรือพลังงานมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เช่น ลูกก่อ งา เนื้อมะพร้าว กะิทิ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดฟักทอง (ร้อนมาก) มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันพืข และน้ำมันสัตว์

4. อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนกลุ่มผัก ได้แก่ ผักที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระชาย กระเพรา ยี่หร่า โหระพา พริก แมงลัก กุ้ยช่าย
(ผักแผ้น) ต้นหอม ผักชี พริกไทย ขิง ข่า ตะไคร้ เครื่องเทศรสเผ็ดร้อนทุกชนิด เป็นต้น ผักบางชนิดรสไม่เผ็ดร้อน
แต่มีฤทธิ์ร้อน เช่นคะน้า แครอท บีทรูท กะหล่ำปลี ชะอม ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง กระเฉด มะเขือพวง ลูกตำลึง
ฟักทองแก่ โสมจีน โสมเกาหลี แปะตำปึง ผักกาดเขียวปลี ใบยอ ผักโขม ใบปอ ผักแขยง ยอดเสาวรส หน่อไม้ เม็ดบัว
ไข่น้ำ (ผำ) สาหร่ายทะเล สาหร่ายน้ำจืด (เทา) ไหลบัว รากบัว แพงพวยแดง เป็นต้น

5. อาหารรที่มีผลไม้ฤทธิ์ร้อนกลุ่มผลไม้ เช่น ฝรั่ง ขนุนสุก ลิ้นจี่ เงาะ ลำไย ทุเรียน น้อยหน่า สละ ส้มเขียวหวาน
กล้วยไข่ กล้วยปิ้ง (สำหรับกล้วยหอมทองและหอมเขียว มีรสหวานจัด มักออกฤทธิ์ตีกลับเป็นร้อน) มะตูม ละมุด
ลูกลำดวน ลูกยางม่วง ลูกยางเขียว ลูกยางเหลือง ลองกอง กะทกรก (เสาวรส) มะเฟือง มะปราง มะขามหวานสุก
สมอพิเภก มะไฟ มะแงว (ลิ้นจี่ป่า) ทับทิมแดง มะม่วงสุก ลูกยอ กระเจี๊ยบแดง เป็นต้น

6. อาหารที่ปรุงเค็มจัด เผ็ดจัด ก็มีฤทฺธิ์ร้อน อาหารที่ผ่านความร้อนนานก็มีฤทธิ์ร้อน

7. สัตว์หรือพืชที่ใช้สารเคมี อาหารที่ใส่สารสังเคราะห์ ใส่ผลชูรส ใส่สารเคมี ก็มีฤทธิ์ร้อน

8. คนที่มักกินสมุนไพรหรือยาบำรุงเลือด ยาเพิ่มการไหลเวียนของเลือดจะทำให้เกิดภาวะร้อนขึ้นได้ เช่น วิตามินซี
วิตามินบีรวม แคลเซียมโซเดียม ธาตุเหล็ก สังกะสี เบต้าแคโรทีน วิตามินอี เป็นต้น ถ้าอาหารที่เขาโฆษณาว่ามีสารเหล่านี้มาก
คนกลุ่มร้อนไม่ควรกิน ส่วนคนกลุ่มเย็นกินก็จะแข็งแรง

9. คนที่กินเหล้า เบียร์ ไวน์ สูบบูหรี่ เสพสิ่งเสพติดหรือกินข้าหมาก น้ำหมักต่าง ๆ และของหมักดองทั่วไป
มักจะมีฤทธิ์ร้อน ยกเว้นกล้วยสุกที่หมัีกแบบพิเศษให้เป็นน้ำส้มสายชู ซึ่งจะดูว่าน้ำหมักเป็นร้อนหรือเย็นให้ดูที่ขวด
ถ้าขวดขยายเป็นน้ำหมักฤทธิ์ร้อน ถ้าขวดแฟบเป็นน้ำหมักฤทธิ์เย็น

10. คนที่กินกาแฟ น้ำอัดลม ขนมอม ขนมกรุบกรอบ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำร้อนจัด น้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด
มันเป็นเย็นจัดจนตีกลับเป็นร้อน บางคนกินน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัดแล้วจะเจ็บคอ

15. คนที่ใช้กำลังกายมากในขณะที่ลมปราณล็อค
(ถ้าลมปราณไม่ล็อค ภายหลังจากที่ใช้แรงกายจนเหงื่อออกจะรู้สึกเย็นสบาย) หรือตากแดด หรือต้องพูดมาก หรือ
ต้องเดินทาง โดยเฉพาะในช่วง ๑๐.๐๐ ถึง ๑๔.๐๐ น. อดนอนหรือทำงานช่วง ๒๒.๐๐ ถึง ๐๒.๐๐ น. ซึ่งช่วงนี้จะเป็น
ช่วงไฟกำเริบ ดังนั้นถ้ามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็มักจะทำให้เกิดความไม่สบายจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเิกิน

16. ภาวะเย็นถึงที่สุดแล้วตีกลับเป็นร้อน
(หยินที่สุดจนตีกลับเป็นหยาง) ถ้ามีภาวะตีกลับเป็นร้อนยังไม่มาก ให้แก้ภาวะเย็นเิกินเป็นหลัก แก้ภาวะร้อนเกินเป็นรงอ
แต่ถ้าตีกลับเป็นร้อนมากกว่าเย็น ก็ให้แก้ภาวะร้อนเป็นหลัก แก้ภาวะเย็นเป็นรองและเมื่อแก้ล็อคนี้ เสร็จแล้วบางทีอาการ
ภาวะเย็นเกินอาจจะแสดงออกมา (เพราะต้นเหตุหลักคือ เย็นเกิน) เราก็แก้ภาวะเย็นเกินอีกทีหนึ่ง

ข้อมูลประกอบ:
สาเหตุที่ทำให้เจ็บป่วย


* 429778le1utwnx4p.gif (6.57 KB, 50x50 - ดู 5632 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:32:22 »

ต้น พญาวานร / สมุนไพร ฮว่านง็อก (Hoan Ngoc)

สมุนไพร ฮว่านง็อก (Hoan Ngoc)
จะขอแนะนำสมุนไพรที่ค้นพบล่าสุดและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่านเนื่องจากเป็นสมุนไพรเดียวที่รักษาโรคได้อเนกอนันต์ ต้นไม้ ฮว่านง็อกนี้ เข้ามายังประเทศไทยเราเกือบสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังหวงแหนปกปิดเป็นความลับเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง
ฮวานง๊อก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Pseuderanthemum palatiferum (Nees) Radlk. อยู่ในวงศ์ Acanthacea ชื่อพ้อง คือ Eranthemum palatiferum Nees เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-3 เมตร ลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยม เปลือกต้นผิวเรียบสีเขียว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปใบหอก กว้าง 3-5 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบแหลมเรียว ขอบใบเรียบ มีเส้นแขนงใบ 8-11 คู่ ผิวใบมีขนยาวห่าง (pilose) ดอกช่อแยกแขนงแบบช่อเชิงลด (spicitiform paniculate) ใบประดับรูปแถบหรือไม่มีใบประดับ มีก้านดอกย่อย ยาวประมาณ 0.5 มม. มีขนสั้นนุ่มที่ใบประดับ ก้านดอกย่อยและกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ รูปแถบ วงกลีบดอกสีชมพู น้ำเงิน ม่วง หรือ เกือบดำ หลอดดอกรูปทรงกระบอก ดอกปากแตร รูปห้าแฉก เกสรเพศผู้สมบูรณ์ และเป็นหมัน รังไข่เรียบ
* การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์ด้วยการตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้งตัวได้เร็วย้ายลงปลูกในกระถาง ใส่ปุ๋ย พรวนดิน รดน้ำ ก็จะเจริญงอกงาม
*ลักษณะของต้น
เป็นต้นไม้ชิดใบอ่อน ปลายแหลมส่วนล่างของใบจะหยาบสีเขียวอ่อน ด้านสีเขียวเข้ม เป็นต้นไม้ที่มีใบมาก แตกกิ่งก้านทรงพุ่มดี การขยายพันธุ์เพียงตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้งตัวได้เร็ว ย้ายลงปลูกในกระถางใส่ปุ๋ยพรวนดินก็จะเจริญงอกงาม
*สรรพคุณ
รักษาโรคเส้นโลหิตหัวใจและสมองตีบตัน ลดไขมันในเลือด (คอเลสเตอรอล) ความดันโลหิตสูง-ต่ำ เบาหวาน ไข้หวัด (จามน้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่ค่อยออก) ไอ ปวด เมื่อย โรคภูมิแพ้ โรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้อักเสบ (เลือดออกในลำไส้) โรคทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ไมเกรน ทำให้น้ำเหลืองแห้ง (โดยการตำให้ระเอียด แล้วนำมาพอก) รักษาแผลชนิดต่างๆเช่น แผลเบาหวาน แผลร้อนใน เริม และงูสวัดเป็นต้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น อาการท้องไส้ไม่ปกติ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ปัสสาวะขัด ขุ่นข้นและเป็นเลือด แก้อาการหน้ามืดตาลาย รักษาอาการเคล็ด ขัด ยอกและกระดูกหัก โรคตา เช่น ตาแดง ตาต้อ ตาห้อเลือด เป็นต้น รักษาอาการมดลูกหย่อนในหญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ โรคประสาทอ่อนๆ นิ้วแข็งงอนิ้วไม่ลง นิ้วแข็งบวมและชา ปวดข้อศอก ปวดใต้ฝ่าเท้า คอพอก มะเร็งได้แก่ มะเร็งตับ ไต ปอด กระดูกสันหลัง ช่องปากและลำคอ มดลูก เต้านม ลำไส้ กระเพาะอาหาร และต่อมน้ำเหลืองเป็นต้น สามารถใช้กับสัตว์ได้ เช่นให้ไก่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการชน ไก่กินแล้วจะฟื้นตัวได้เร็ว ใช้รักษาไก่ที่เหงา เป็นอหิวาต์หรือโรคนิวคาสเซิล เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สมุนไพรฮว่านง็อก รักษาโรคได้หลายโรค ช่วยปรับความสมดุลให้แก่ร่างกาย บำรุงปราณและเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย บางท่านเห็นสรรคุณข้างต้นหลากหลาย รู้สึกไม่เชื่อว่าเป็นไปได้ แต่สรรพคุณต่างๆเหล่านั้น หลายรายการผู้รวบรวมและเรียบเรียงตำรานี้ได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายต่อหลายรายแล้วว่า เป็นความจริงที่น่าทึ่งทุกประการ

*สรรพคุณ
1. รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่ายกาย ทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน
2. รักษาอาการไข้หวัด ท้องไส้ไม่ปกติ
3. รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัด ยอก กระดูกหัก
4. รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ
5. รักษาอาการโรคกระเพาะอาหาร โรคเลือดออกในลำไส้เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ
6. รักษาอาการคอพอก ตับอักเสบ
7. รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น
8. รักษาอาการโรคมะเร็งปอด มีอาการปวดต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รับประทาน ต่อไป 100 – 200 ใบ อาการจะหายหมด
9. รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อ ตาห้อเลือด
10. รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ได้ผลดี ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
11. รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคประสาทอ่อนๆ เป็นการสนับสนุนเหตุผลโรคความดันโลหิตสูง ซึ้งผู้เขียนก็เป็น และรับประทานครั้งละ 5 ใบเช้า เย็น 1 วันอาการหน้ามืด มึนหัว หายไป รู้สึกสบายเบาสมอง
12. สามารถใช้กับสัตว์ได้ จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังชนไก่แล้ว ต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ให้ไก่กินใบสมุนไพรฮว่านง็อก จะฟื้นตัวได้เร็ว
13. ใบแห้งชงดื่มแทนน้ำเปล่า จะช่วยให้หายจากโรคได้เร็วขึ้น
14. ช่วยลดไขมันหน้าท้อง ไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดคลอเลสเตอร์ล่อนในเส้นเลือด
ฯลฯ


ผลการรักษา
วัตถุประสงค์สำคัญของการรวบรวม และเรียบเรียงตำรานี้คือการติดตามผลของการรับประทาน สมุนไพรฮว่านง็อก เพื่อรักษาอาการป่วยไข้ต่างๆ จากญาติ เพื่อฝูง ผู้ใกล้ชิด และผู้ที่ผู้รวบรวม ได้แนะนำให้ลองใช้ สมุนไพรฮว่านง็อก รักษาอาการป่วยไข้ ตามความเป็นจริงทุกประการ โดยหวังเพียงให้ผู้ป่วยพ้นจากความทุกข์ และบุญกุศลอันจะเกิดขึ้นเท่านั้น ขอท่านทั้งหลายที่มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข้อมูลของ สมุนไพรฮว่านง็อก ได้โปรดโมทนาบุญกุศลร่วมกัน
วิธีใช้
ส่วนสำคัญคือใบใช้เคี้ยวรับประทานสดๆ จะคั้นและกรองเอาน้ำข้นๆรับประทานหรือต้มเป็นน้ำแกงรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกและรากไม้ สามารถต้มกลั่นเป็นสุราได้ด้วย ใบไม้ไม่มีกลิ่นและรสสามารถต้มเอาน้ำใสๆ ดื่มได้ ส่วนการรับประทานมากหรือน้อยอยู่ที่ธาตุ หนักเบา ของแต่ละคน โดยทั่วไปจะรับประทาน 1-4ใบ คนที่มีอาการหน้ามือตาลาย หลังรับประทาน 15 นาทีก็จะหาย ให้รับประทานติดต่อกัน 7 วัน วันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร (ท้องว่าง)


* Story017.jpg (60.58 KB, 300x400 - ดู 5743 ครั้ง.)

* 774.gif (2.47 KB, 50x50 - ดู 5588 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:35:16 »

เปรียบเทียบแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกกับการแพทย์ยุคปัจจุบัน

การแพทย์ยุคปัจจุบัน หมายถึง การแพทย์ทั้งหมดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันทั้งการแพทย์ตะวันตกหรือที่รู้จัก กันในนามการแพทย์แผนปัจจุบัน และ การแพทย์ทางเลือกต่างๆ ทั้ง 5 กลุ่ม ที่กล่าวไว้ในหัวข้อหลักการการแพทย์เบื้องต้นในบทที่ 2 การเปรียบเทียบนั้นจะเปรียบเทียบใน 3 ประเด็น คือ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกกับการแพทย์แบบองค์รวม เปรียบเทียบการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย และ เปรียบเทียบการดูแลรักษาสุขภาพจิตใจ ดังนี้

แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกกับการแพทย์แบบองค์รวม
กระบวนทัศน์ของการแพทย์แผนปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ทัศนะคือ
วัตถุนิยมเชิงจักรกล (Mechanical Materialism) และ ทัศนะว่าด้วยองค์รวม (Holism)
โดยทัศนะแรกคือ วัตถุนิยมเชิงจักรกล มองมนุษย์เป็นเหมือนเครื่องยนต์กลไก สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิสิกส์และเคมี ชีวิตมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เมื่อส่วนใดชำรุดหรือสึกหรอก็จะถูกแยกส่วนออกมาซ่อมให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ เฉพาะส่วนนั้นๆ ทัศนะนี้แบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร่างกาย และ จิตใจ แต่ไม่ได้มองว่า 2 ส่วนนี้สัมพันธ์กัน และแม้ทัศนะนี้จะกล่าวถึงเรื่องจิตใจแต่ก็เป็นจิตใจแบบหุ่นยนต์ที่ปราศจาก ความรู้สึกนึกคิด เจตนา และจุดประสงค์
ส่วนทัศนะที่สอง คือ ทัศนะว่าด้วยองค์รวม ทัศนะนี้เชื่อว่า ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจเช่นกัน แต่มองว่าทั้งสองส่วนนี้เป็นของเนื่องกัน มิได้แยกเป็นอิสระจากกัน การแยกก็เพื่อสะดวกในทางปฏิบัติ แต่หลังจากแยกแล้วจะมีการโยงส่วนต่างๆ เข้าหากัน และมองว่าชีวิตมิอาจเข้าใจได้ด้วยวิธีการทางฟิสิกส์เคมีเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องจิตใจไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิธีการเหล่านี้ ส่วนการรักษาจะมองเฉพาะส่วนไม่ได้แต่ต้องมองทั้งระบบ
เมื่อนำหลักแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกมาเปรียบเทียบกับกระบวนทัศน์ของการ แพทย์แผนปัจจุบันแล้วพบว่า หลักแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกมีความสอดคล้องกับกระบวนทัศน์ว่าด้วยองค์รวมใน ประเด็นที่ว่า ร่างกายกับจิตใจสัมพันธ์กัน แต่ทั้งนี้หลักการแพทย์ในพระพุทธ-ศาสนามีความลึกซึ้งกว่าเพราะมีความเข้าใจ เรื่องจิตใจอย่างกระจ่างชัด และได้กล่าวถึงเรื่องบาปที่ถูกเก็บไว้ในใจอันเป็นสาเหตุสำคัญ อย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ซึ่งการรักษานั้นจะต้องใช้ธรรม-โอสถคือบุญเป็นเครื่องชำระล้างบาปนั้นออกไป จึงจะทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้

เปรียบเทียบการดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย
ในหัวข้อนี้จะเปรียบเทียบ 4 ประเด็น คือ ดุลยภาพบำบัดในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน เปรียบเทียบยาในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน การผ่าตัดในสมัยพุทธกาลกับการผ่าตัด ในปัจจุบัน และการขับพิษในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน ดังนี้

ดุลยภาพบำบัดในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน
จากที่กล่าวถึงสาเหตุของโรคประการที่ 6 ว่า โรคเกิดแต่การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ เช่น นั่งนานเกินไป เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุในสมัยพุทธกาลจึง ป้องกันโรคด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอ และกิจวัตรของพระภิกษุมีหลากหลาย จึงทำให้การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นไปอย่างสมดุล คือ มีทั้งนั่งสมาธิ บิณฑบาต เดินจงกรม กวาดวัด สำเร็จสีหไสยาสน์ บริหารร่างกายด้วยการ "ดัดกาย" ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการ "บีบนวด" การบิณฑบาต เดินจงกรม และกวาดวัดนั้นถือได้ว่าเป็นการออกกำลังกายแบบบรรพชิต
หากกล่าวในภาษาปัจจุบันก็กล่าวได้ว่าการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอ และกิจวัตรอันหลากหลายนั้นเป็นไปเพื่อสร้าง "ดุลยภาพแห่งอิริยาบถ" หรือ อาจเรียกว่า "ดุลยภาพบำบัด" นั่งเอง เพราะดุลยภาพบำบัด หมายถึง "วิธีการป้องกันบำบัดรักษาโรคและบำรุงสุขภาพด้วยการปรับความสมดุลโครงสร้าง ของร่างกาย" ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติ 4 วิธี คือ การระวังรักษาอิริยาบถต่างๆ ให้สมดุลตลอดเวลา การบริหารจัดโครงสร้างร่างกายให้สมดุล การออกกำลังกายเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษาสมดุล และ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นด้วยการนวด

เปรียบเทียบยาในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน
ยารักษาโรคที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์หลายวงการทั้งการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์ แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยาสมุนไพรนั้นจะเห็นว่าเป็นยาที่การแพทย์แผนไทยนำมาใช้เป็นยาหลักใน การรักษาโรค รายชื่อสมุนไพรต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เมื่อนำมาเทียบกับยาสมุนไพรในตำราแพทย์แผนไทยแล้วพบว่า เหมือนกันมาก และที่สำคัญตามหลักการที่สรุปได้จากพระไตรปิฎกที่ว่า สรรพสิ่งในธรรมชาตินำมาทำยาได้หมดถ้าเรารู้คุณสมบัติส่วนที่เป็นยาของสิ่ง นั้นๆ จึงสรุปได้ว่า ยาสมุนไพรทุกชนิด รวมทั้งยาที่การแพทย์แผนปัจจุบันสกัดออกมาจากธรรมชาติ ทั้งหมดเป็นยาที่อยู่ในหลักการนี้ทั้งสิ้น
และจากที่กล่าวแล้วว่า "น้ำมูตรเน่า" เป็นยาหลักของพระภิกษุในสมัยพุทธกาล ในเรื่องนี้นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของสถานพยาบาลธรรมชาติบำบัด กล่าวว่า น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้หลายโรค เช่น โรคปวดหลัง ปวดข้อ ไมเกรน ปวดเมื่อย ภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน มะเร็ง ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง ฯลฯ การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคนั้นให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองโดยดื่มก่อนนอนและ ดื่มตอนเช้าครั้งละ 100 ซี.ซี. การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดโรคนั้นอธิบายได้ด้วย หลักพิษต้านพิษ เหมือนกับการทำเซรุ่มแก้พิษงู คือ จะฉีดพิษงูทีละน้อยๆ เข้ากระแสเลือดม้าจนได้ซีรั่มหรือน้ำเหลืองม้าออกมาเพื่อทำเป็นเซรุ่มแก้พิษ งู สำหรับน้ำปัสสาวะนั้นจะมีพิษอยู่จำนวนหนึ่งที่ร่างกายขับออกมา เมื่อเราดื่มเข้าไปใหม่พิษนั้นก็จะกลายเป็นเซรุ่ม ช่วยแก้พิษที่ยังมีอยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี

การผ่าตัดในสมัยพุทธกาลกับการผ่าตัดในปัจจุบัน
การที่ในสมัยพุทธกาลมีการผ่าตัดนั้นถือว่า วิชาการแพทย์มีความก้าวหน้ามากเพราะประวัติการผ่าตัดของการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศไทยเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง กล่าวคือ การผ่าตัดครั้งแรกของไทยเกิดขึ้น ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2378 สมัยรัชกาลที่ 3 โดยได้มีการผ่าก้อนเนื้องอกที่หน้าผากของผู้ป่วยรายหนึ่งออก
การผ่าตัดที่มีชื่อเสียงที่สุดซึ่งทำให้คนไทยทั่วไปรู้จักการผ่าตัด คือ การผ่าตัดของหมอบรัดเลย์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2379 ในวันนั้นหมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดโดยการตัดแขนของพระภิกษุรูปหนึ่งทิ้ง เพราะพระรูปนี้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปืนใหญ่ระเบิดทำให้แขนเป็นแผลฉกรรจ์ จึงจำเป็นต้องตัดแขนทิ้งเพื่อรักษาชีวิตไว้
จะเห็นว่าการผ่าตัดในประเทศไทยเกิดขึ้นช้ากว่าถึงสองพันกว่าปี นอกจากนี้การผ่าตัดที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นการผ่าตัดส่วนที่ยากและ ละเอียดอ่อน คือ ผ่าตัดสมองและผ่าตัดลำไส้ ส่วนการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทยนั้นเป็นการผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าผากและ ผ่าตัดมือซึ่งง่ายกว่ามาก กว่าที่การแพทย์ในประเทศไทยจะพัฒนาจนถึงขั้นผ่าตัดสมองและลำไส้ ได้ก็ใช้เวลาอีกหลายปี

การขับพิษในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน
หลักการแพทย์ในปัจจุบันทั้งการแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์ทางเลือกกล่าวถึง การขับพิษของร่างกายไว้อย่างน้อย 4 ช่องทาง คือ การขับพิษทางการหายใจ การขับพิษทางเหงื่อ การขับพิษทางปัสสาวะ และการขับพิษทางอุจจาระ2 แต่ละช่องทางมีรายละเอียดดังนี้
4.1) การขับพิษทางการหายใจ จะอาศัยระบบการทำงานของปอดเป็นตัวขับพิษออก โดยสารพิษที่ระเหยได้ง่ายจะระเหยออกทางลมหายใจ เช่น เมื่อดื่มสุรา ร่างกายจะขจัดแอลกอฮอล์บางส่วนโดยขับออกทางลมหายใจ
4.2) การขับพิษทางเหงื่อ การทำให้เหงื่อออกเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการขับพิษ ซึ่งอาจจะใช้วิธีออกกำลังกาย ทำงาน หรือ อบตัวในห้องอบซาวน่า เป็นต้น เมื่อเหงื่อออกพิษในร่างกายก็จะถูกขับออกมาด้วย
ซาวน่า (Sauna) แปลว่า "การอบไอน้ำ" เป็นวิธีล้างพิษที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิธีชักนำให้ร่างกายขับเหงื่อโดยใช้ความร้อน ตามด้วยการอาบน้ำหรือแช่ร่างกายด้วยน้ำเย็น การทำซาวน่าจะช่วยล้างพิษที่ อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของร่างกายได้อย่างสะอาด
4.3) การขับพิษทางปัสสาวะ จะใช้กระบวนการทำงานของไต ซึ่งไตจะเป็นผู้ทำหน้าที่กลั่นกรองเอาของเสียออกจากกระแสโลหิต และขับออกมาด้วยน้ำปัสสาวะ
4.4) การขับพิษทางอุจจาระ จะใช้กระบวนการทำงานของตับซึ่งตับทำหน้าที่เป็นโรงงานใหญ่ของร่างกายเพื่อ ขจัดสารพิษ กล่าวคือ เมื่อเลือดพาสารพิษเข้าสู่ตับ ตับจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกไปกับน้ำดีไหลไปสู่ลำไส้ใหญ่แล้วจะออกมากับ อุจจาระ
การขับพิษทางอุจจาระที่นิยมทำกันมากในปัจจุบันคือ "การสวนทวาร" ซึ่งจะใช้น้ำกาแฟสวนเข้าไปในทวารด้วยท่อสายยางเล็กๆ เพื่อกระตุ้นให้ขับถ่ายเอาสารพิษออกมา
การสวนทวารเป็นวิธีการหนึ่งของการทำดีท็อกซ์ (Detox) หรือ การขับพิษซึ่งทำได้อีกหลายวิธี เช่น อบซาวน่า การกินอาหารให้น้อยลง การกินอาหารมีกากใย การอดอาหาร หรือการกินอาหารเพียงชนิดเดียวในหนึ่งวัน เช่น กินฝรั่งอย่างเดียว กินผักบุ้งอย่างเดียว เป็นต้น
ดีท็อกซ์ (Detox) มาจากคำเต็มว่า ดีท็อกซิฟิเคชั่น (Detoxification) หมายถึง การกำจัด "ท็อกซิน" หรือพิษออกจากร่างกาย เพราะการที่เรารับประทานอาหารไม่ถูกหลักอนามัยเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้สารพิษสะสมอยู่ในร่างกายจึงจำเป็นต้องขับออก

เปรียบเทียบการขับพิษในสมัยพุทธกาลกับยุคปัจจุบัน
จะเห็นว่า วิธีการขับพิษของการแพทย์ยุคปัจจุบันที่กล่าวมานั้น เป็นวิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เช่น การขับพิษทางเหงื่อด้วยการออกกำลังกาย พระภิกษุสมัยพุทธกาลก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน แต่สมัยนั้นพระภิกษุออกกำลังกายด้วยการเดินจงกรม บิณฑบาต หรือ กวาดวัด เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเพศนักบวช เรือนไฟในสมัยพุทธกาลก็คือ ห้องอบซาวน่าในยุคปัจจุบันนี่เอง เพราะมีวัตถุประสงค์รูปแบบและวิธีการคล้ายคลึงกันมาก จนอาจกล่าวได้ว่าห้องอบซาวน่าในปัจจุบันถอดแบบออกมาจากพระไตรปิฎกเลยก็ว่า ได้
การขับพิษทางอุจจาระก็เช่นกัน พระภิกษุสมัยพุทธกาลขับพิษทางอุจจาระด้วยการฉัน ยาถ่ายบ้าง และด้วยวิธีการสูดดมก้านบัวที่อบด้วยตัวยาแบบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ซึ่งจะเห็นว่าด้วยวิธีการนี้ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถ่ายถึง 30 ครั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อขับพิษ ที่สะสมอยู่ในพระวรกายโดยเฉพาะ
การขับพิษด้วยการกินอาหารให้น้อยลงนั้นสอดคล้องกับการฉันภัตตาหารเพียง มื้อเดียวของพระภิกษุในสมัยพุทธกาล ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การฉันมื้อเดียวเป็นเหตุให้มีอาพาธน้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเมื่อฉันน้อยแต่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย พิษที่เข้าสู่ร่างกายจึงมีน้อยไปด้วย เมื่อพิษมีน้อยร่างกายก็สามารถขับพิษได้เองตามธรรมชาติ

เปรียบเทียบการดูแลรักษาสุขภาพจิตใจ
อาจกล่าวได้เกือบทุกวงการในปัจจุบันเริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับ เรื่องจิตใจมากขึ้น ทางการแพทย์แผนตะวันตกก็เช่นกัน เริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ของร่างกายกับจิตใจว่า ทั้งสองส่วนนี้ไม่อาจแยกจากกันเด็ดขาด ร่างกายกับจิตใจส่งผลถึงกันและกันอย่างใกล้ชิด
มีงานวิจัยจำนวนมากซึ่งสนับสนุนสิ่งที่ได้กล่าวมานี้ ล่าสุดนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ ในอิสราเอล พบว่าความเครียดมีผลต่อการเติบโตของมะเร็ง เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มโรคอ่อนแอลง ศาสตราจารย์ เบนเอลิยาฮู กล่าวว่า งานศึกษาของพวกเรา แสดงให้เห็นว่าความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ อาจจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า ความเสียหายของเนื้อเยื่อในเชิงกายภาพที่เข้าไปกดความสามารถของภูมิคุ้มกัน
และที่สำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้มีการวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันตรงกัน ว่า การสวดมนต์ และการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นการทำจิตใจให้สงบและก่อให้เกิดบุญกุศลตามหลักพระพุทธศาสนานั้น สามารถรักษาโรคได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้

งานวิจัยเรื่องสวดมนต์รักษาโรค
มีงานวิจัยถึง 150 ชิ้นที่ระบุว่า การเปล่งเสียงสวดมนต์ "สามารถบำบัดและรักษาอาการป่วยได้ อย่างน่าอัศจรรย์"แม้แต่โรคหัวใจและโรคเอดส์ก็สามารถรักษาได้ นายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ผู้ดำเนินโครงการหัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ จังหวัดเชียงรายได้ทดลองแบ่งคนไข้โรคหัวใจจำนวน 393 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่รักษาแบบปกติกับกลุ่มที่สอดแทรกวิธีรักษาด้วยการสวดมนต์ สิ่งที่พบคือ กลุ่มที่มีการสวดมนต์อาการของโรคหัวใจดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยประเภทเดียวกัน แต่ได้รับการรักษาแบบปกติ "โรคเอดส์" ก็เช่นกัน ผลการวิจัยพบว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ผ่านการรักษาด้วยการสวดมนต์ มีตัวเลขการเสียชีวิตลดลงกว่าครึ่งของผู้ที่รักษาอาการตามปกติ
บทสวดมนต์ที่นำมาใช้ในการทดลองนั้นมีดังนี้คือ ชัยมงคลคาถาหรือบทพาหุง, มงคลสูตร เมตตปริตร, โพชฌงคปริตร และรัตนสูตร เป็นต้น โดยเฉพาะบทโพชฌงคปริตรนั้นเป็นบทเดียวกันกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักใช้ แสดงธรรมแก่ภิกษุอาพาธ การสวดมนต์นั้นถือเป็นการทำสมาธิวิธีหนึ่ง ทำให้ใจเกิดความสมดุล ซึ่งส่งผลต่อร่างกายให้ปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ง่ายขึ้น และการสวดมนต์ยังก่อให้เกิดบุญมากเพราะขณะสวดใจจะตรึกระลึกถึงพระรัตนตรัย บุญที่เกิดขึ้นนี้ก็จะช่วยชำระล้างบาปในใจอันเป็นเหตุแห่งโรคให้หมดไปจึงทำ ให้หายป่วยในที่สุด

งานวิจัยเรื่องการนั่งสมาธิรักษาโรค
ปัจจุบันมีงานวิจัยและบทความเรื่องการนั่งสมาธิรักษาโรคจำนวนมาก จากการค้นข้อมูลเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วยระบบกูเกิล (google) พบงานวิจัยและบทความที่กล่าวถึงเรื่องนี้ถึง 545,360 รายการ โดยพบคำว่า "Meditation therapy" 409,000 รายการ, "สมาธิบำบัด" 27,100 รายการ , "สมาธิบำบัดโรค" 17,000 รายการ, "สมาธิรักษาโรค" 73,100 รายการ, "บำบัดโรคด้วยสมาธิ" 16,100 รายการ และ "รักษาโรคด้วยสมาธิ" 3,060 รายการ
หากค้นข้อมูลด้วยภาษาอื่นๆ ด้วยคงจะได้ข้อมูลเรื่องสมาธิบำบัดนี้หลายล้านรายการ ข้อมูลจำนวนมากมหาศาลนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดียิ่งว่า โลกยุคปัจจุบันกำลังย้อนกลับมาให้ความ สำคัญกับจิตใจ กล่าวคือ สมาธิบำบัดและหลักธรรมต่างๆ ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกกว่า 2,500 ปี ซึ่งแต่เดิมชาวโลกจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่าเป็นของโบราณล้าสมัย ไม่อาจสู้กับการแพทย์แผน ตะวันตกซึ่งพัฒนามาจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีล้ำยุคได้ แต่วันนี้ชาวโลกจำนวนมากเริ่มนำของที่เคยคิดว่าล้าสมัยนี้เข้ามาเป็นส่วน หนึ่งของการดำเนินชีวิตกันแล้ว ปัจจุบันสมาธิและคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือว่าเป็น "เทรนด์ใหม่" หรือ แนวโน้มใหม่ ที่ใครๆ ก็พูดถึงและศึกษากันอย่างกว้างขวาง ทั้งเพื่อการบำบัดโรค เพื่อความสงบสุขของจิตใจ และเพื่อศึกษาค้นคว้าทางใจด้วยสมถวิปัสสนาขั้นสูง


ที่มา:
{ttxt_mag}--


* 00032_26.gif (31.58 KB, 128x128 - ดู 5650 ครั้ง.)

* pp07.jpg (39.29 KB, 300x225 - ดู 5678 ครั้ง.)

* 5421.gif (30.07 KB, 50x50 - ดู 5588 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:39:42 »

หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า เล้งจือเช่า หรือหญ้าเทวดา เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสง

“ชาวจีนสมัยโบราณใช้หญ้าปักกิ่งเป็นยารักษาโรคมานับพันปีแล้ว รักษาสารพัดโรคครอบจักรวาล เช่น บำรุงพลังปราณ ปรับสมดุลร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกเป็นยาจีน รักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และทำน้ำคั้นดื่มรักษาโรคมาเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยทำวิจัยคุณสมบัติหญ้าปักกิ่ง พบว่า ไม่มีพิษสะสมต่ออวัยวะอื่น และได้สรรพคุณทางเคมีเภสัชว่า สามารถทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรงระยะอ่อน-ปานกลาง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และลำไส้ใหญ่ ซึ่งสารที่แสดงฤทธิ์ คือกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์”

ถิ่นกำเนิดของหญ้าปักกิ่ง
หญ้าปักกิ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏพืชชนิดสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอและมะเร็ง มีลักษณะคล้ายกับหญ้ามาเลเซียที่นำมาปูพื้นสนาม แต่หญ้าปักกิ่งจะอวบน้ำกว่า ใบนุ่ม หลังใบมีขนอ่อนๆ โคนต้นทรงกระบอก สีออกขาว ดอกออกเป็นช่อที่ยอดรวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกสีฟ้าหรือสีม่วงอ่อน มีสรรพคุณเสริมภูมิต้านทาน ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น

หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูง ประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่ ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่ ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก

ตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้ง ต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)

จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า
- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มี หนองและน้ำเหลือง

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:
- สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ (SW 120) โดยมีค่า ED50?16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
- สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน
- สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความ รุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิด มะเร็งได้
- สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น AFB1
- สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ ก่อให้เกิดมะเร็ง
ความเป็นพิษ
- ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาว มากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่า ค่อนข้างจะปลอดภัย
- ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม
- ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
- ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้
รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน หยุดยา 4-5 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด
วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) กรองผ่านผ้าขาวบาง
ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส
ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด
- หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จาก ดินมาที่ต้นและใบของ หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อ จุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ
- หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์ ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการ ดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง
- หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา

ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่ กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าว ที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค

ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับ ต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ

1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส


ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานของแสลงซึ่งมีผลให้ฤทธิ์ยาอ่อนลงเช่น ฟัก แฟง แตงกวา ผักกาดขาว มะระ หน่อไม้ หัวไชเท้า และผักบุ้ง


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
หญ้าปักกิ่ง (หญ้าเทวดา) | ThaiHerbClinic.com


* Image.jpg (48.28 KB, 300x450 - ดู 6141 ครั้ง.)

* Image (1).jpg (69.34 KB, 300x399 - ดู 7331 ครั้ง.)

* '4.gif (13.31 KB, 50x50 - ดู 5513 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:46:10 »

มาเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ

สาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมและเจ็บป่วย ณ ยุคปัััจจุบัน
สาเหตุหลัก ข้อที่ 1 อารมณ์เป็นพิษ
 ความเครียด ความเร่งรีบ/เร่งรัด/เร่งร้อน ความกลัว ควมวิตกกังวล ความไม่โปร่ง
ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ ความอาฆาต พยาบาท ความโลภ ความโกรธ
ความหลง เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น

 ทุกครั้งที่ผู้คนมีสภาพจิตดังกล่าว จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารแอดดรินารีนออกมา
กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายผลิตพลังงานมากเกินความพอดี จนเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ
ของร่างกาย
อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอก็จะเสื่อมหรือแสดงอาการไม่สบายก่อน เช่น
บางคนอาจมีอาการปวดศรีษะ บางคนปวดคอ บางคนปวดท้อง บางคนเจ็บหัวใจ
บางคนอ่อนเพลียทั้งตัว เป็นต้น


 ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวอยู่ ความเสื่อมก็จะรุกลามขยายผลและแสดงอาการ ไม่สบายไป


สาเหตุหลัก ข้อที่ 2 อาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษและไม่สมดุล ซึ่งพิษจากอาหารประกอบด้วย 6 สาเหตุหลัก ดังนี้
1. พิษจากอาหารที่มีสารพิษสารเคมีทั้งในพืชและัสัตว์ ทั้งจากขบวนการผลิตและการปรุงเป็นอาหาร สารพิษสารเคมี ดังกล่าวจะเผาทำร้ายเซลล์ เนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความเสื่อมและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
2. พิษจากอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์มากเกิน ในเนื้อสัตว์จะมีไขมัน กรดยูริค กรดแลคติก แอดดรินาลีนและสารอื่น ๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย
3. พิษจากอาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป ซึ่งถ้าปรุงมากเกินความต้องการของร่างกาย เมื่อถูกย่อยก็จะเกิดพลังงานส่วนเกิน เผาทำร้ายเซลล์ เม็ดเลือด จะเกิดการอุดตันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
4. พิษจากชนิดของอาหารที่ไม่สมดุลจากโลกร้อนขึ้น และเมืองไทยเป็นเมืองร้อน จุดสมดุล ก็คือ จุดเย็นสบาย ซึ่งควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นเป็นส่วนใหญ่ที่ให้่ความร้อนหรือพลังงานไม่มากเกินไป
5. พิษจากของเสียและความร้อนจากขบวนการย่อย การสันดาปหรือการเผผลาญอาหาร การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารทุกครั้งจะเิกิดของเสียและความร้อนที่เป็นพิษกับร่างกายขึ้นเช่น เกิดคาร์บอนไดออกไซม์ เกิดแอมโมเนีย เกิดสารและพลังงานที่เป็นพิษอื่น ๆ ถ้าไม่รีบสลายหรือขับพิษออก พิษดังกล่าวก็จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย
6. พิษจากการไม่รู้เทคนิคในการรับประทานอาหารเพื่อสุขอย่างผาสุก
ไม่รู้วิธีปฏิบัติในการลดละ ล้างความอยากในจิตต่ออาหารที่เป็นพิษ อย่างถูกต้อง

สาเหตุหลัก ข้อที่ 3 การไม่ออกกำลังกาย
หรือการออกกำลังกายที่เคลื่่อนไหวอริยบทไม่ถูกต้อง
สำหรับการบริหารกายและอริยบทที่ถูกต้องเป็นประโยชน์กับร่างกายนั้น จะต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง คือ ...

1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็น
2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ

เพราะคุณลักษณะทั้ง 3 ประการ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลม และพลังงานในร่างกายเป็นไปโดยปกติอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี
แต่ปัจจุบันการออกกำลังกายและอริยาบทของคนส่วนใหญ่โดยทั่วไป เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือกปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ้ เต้นแอโรบิก หรือเล่นกีฬาต่าง ๆ มักทำแต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยืดหยุ่นเข้าที่เข้าทางจึงมักจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พร้อมกับผลข้างเคียงของการออกกำลังกายคือ ความแข็งตึงเกร็งค้างของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติทางของกระูดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมและพลังงานในร่างกายติดขัดส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดตึง มึนชา พลังชีวิตตก เร่งความเสื่อมในร่างกายและเกิดโรคภัย
ไข้เจ็บต่าง ๆ

สาเหตุหลัก ข้อที่ 4 มลพิษต่าง ๆ
มลพิษต่าง ๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น

สาเหตุหลัก ข้อที่ 5 พิษจากการสัมผัสเครื่องยนต์/เครื่องไฟฟ้า/เครื่องอิเลคทรกนิคมากเกิินไป
 การเิดินทางด้วยรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้มือถือ ใช้เครื่องเสียงต่าง ๆอย่างไม่รู้ความสมดุล และไม่รู้วิธีถอนพิษ เพราะอุปกรณ์ดังกล่าว มีพลังงานความสั่นสะเืืทือนมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าเข้าไปในร่างกายมากเกินไป จะชนกระแทกทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เร่งความเสื่อมของร่างกาย และก่อโรคภัยไข้เจ็บได้
 ตัวอย่างส่วนหนึ่งของการป้องกันแก้ไขปัญหา เช่น ขณะที่โดยสารยานยนต์ เมื่อเครื่องยนต์เขย่าแต่ละเซลล์ของร่างกายก็จะถูกเขย่าเสียดสีกระทบกระแทกัน เกิดความร้่อนขึ้น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการไม่สบายต่าง ๆ วิธีแก้ขณะโดยสารยานยนต์ คือ ถ้าง่วงก็ให้นอนหลับ เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สบายก็ควรดื่มน้ำ เท่าทีู่รู้สึกสบายเพื่อดับพิษร้อน
 ในกรณีที่สามารถจอดรถแวะเข้าห้องน้ำหรือในยานยนต์มีห้องน้าำ ถ้าปวดปัสสาวะก็ควรจะเข้าห้องน้ำเพื่อระบายพิษร้อนออก พร้อมกับยืดเส้นยืดสายให้ร่างกายสบาย
 กรณีที่ไม่สามารถจอดแวะหรือในยานยนต์ไม่มีห้องน้ำ ให้จิบน้ำทีละน้อย โดยอมน้ำไว้ในปากนาน ๆแล้วค่อยกลืน จะทำให้เราไม่ปัสสาวะบ่อย ขณะเดินทางอาจถอนพิษด้วยการพอก ทา หยอดดมสมุนไพร ขูดพิษ กดจุด นวดตัว ดัดตัวตาม ความพอเหมาะ
 ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกไม่สบายจากการใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ เช่น อ่อนเพลีย แสบตา เป็นต้นให้พักการใช้คอมพิวเตอร์พรากห่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วถอนพิษร้อนด้วยวิธีการต่าง ๆ
 การใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้สายหูฟังพิษจะน้อย หรือใช้ลำโพง คลื่อนก็จะไม่ทำร้ายเรามาก
 ยังมีต้นเหตุของความเจ็บป่วยอย่างอื่น ๆ ตามมาอีก จากสาเหตุดังกล่าว เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุดที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทุกโรคทุกอาการ เช่น ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน หน้ามืด วิงเวียน มึนชา อ่อนล้า อ่อนแรง โรคกระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ ภูิมิต้านทานลด ปวดตามข้อ ปวดกระดูกปวดตามเนื้อตัว ปวดมดลูก มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร โรคมะเร็ง เนื้องอก โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ไขมันสูง ภูมิแพ้(หวัด ไซนัส หอบหืด ผื่นคัน)
เก๊าท์ รูมาตอยด์ เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลดีดีจากคุณ MissP  ที่นำมาเผยแพร่
บุญกุศลในครั้งนี้ขอให้ท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคาพยาธิ


* เธซเธกเธฒเธšเธฒเธข.gif (4.22 KB, 50x50 - ดู 5525 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 23:55:33 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
uthit
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2014, 23:57:43 »

สุดยอดกระทู้ ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำสิ่งดีๆมามอบให้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
Kho_dej
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 242


ทําแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทํา


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 21 ตุลาคม 2014, 08:19:14 »

ได้ความรู้ดีๆ เยอะมาก ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ

IP : บันทึกการเข้า
T0yly6969
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,208


Bigman Retrotoy


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2014, 11:42:37 »

ขอบคุณ จขกท. มากค่ะ มีความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ จะติดตามอ่านนะค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

เกมส์&ของเล่นสะสมและเพจฝากด้วยครับ
https://www.facebook.com/groups/158909987854502/
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!