เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 17 เมษายน 2024, 03:25:48
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  บอร์ดกลุ่มชมรม
| |-+  ชมรมคนรักรถ
| | |-+  ความรู้ :: ขับรถลุยฝน
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ความรู้ :: ขับรถลุยฝน  (อ่าน 1802 ครั้ง)
shiff2007
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,150



« เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 20:22:18 »


ขึ้นชื่อเรื่องว่า "ขับรถลุยฝน" ไม่ใช่ขับรถหน้าฝน เพราะเมืองไทยฝนตกไม่เป็นฤดู ตกนอกฤดูโดยไม่มีเค้าล่วงหน้า และเมื่อถึงฤดูฝนจริงอย่างในตอนนี้ บางวันฝนก็ตกหนักมาก และนาน อ่านเทคนิคการใช้ และขับรถอย่างปลอดภัยเมื่อต้องลุยฝน
เรื่องพื้นฐานของรถที่ต้องทำ

       ดูแลระบบต่างๆ ของรถและเครื่องยนต์ให้มีสภาพสมบูรณ์ เพราะรถเสียกลางฝน ย่อมลำบากและยุ่งยากกว่าตอนฝนไม่ตก

ระบบการปัดน้ำฝน

        น้ำฉีดกระจกควรเติมให้เต็ม ถ้าจะให้ดีควรผสมน้ำยาโดยเฉพาะ หรือแชมพูสระผมลงไปด้วยเล็กน้อย ถ้ารูหัวฉีดน้ำตัน ให้ใช้เข็มขนาดเล็กแหย่สวนทางเข้าไป ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องเปลี่ยนตัวใหม่ หากปรับมุมฉีดน้ำได้ก็ต้องปรับให้เหมาะสม ยางใบปัดน้ำฝน เป็นปัญหามากกว่าน้ำฉีดกระจกที่ดูแลได้ง่ายๆ ไม่แน่นอนว่ายางใบปัดจะหมดสภาพเมื่อผ่านไปนานเท่าไร ต้องขึ้นอยู่กับรถว่า จอดตากแดดแรง และบ่อยหรือไม่ รวมทั้งคุณภาพของตัวเนื้อยางใบปัดเองด้วย บางคันแค่ครึ่งปีก็เสื่อมสภาพลงไปมาก บางคันอยู่ได้ถึง 1 ปีหรือกว่านั้น แต่โดยเฉลี่ยทุก 1 ปีควรเปลี่ยนใหม่

        การทนขับรถกระจกมัวๆ ท่ามกลางสายฝน หากเกิดอุบัติเหตุแล้วความเสียหายแพงกว่า ค่ายางใบปัดน้ำฝนมากนัก ยิ่งปัดได้สะอาดใสเท่าไรยิ่งดี ไม่ควรชะล่าใจหากตนเองชอบยกก้านใบปัดขึ้นจากกระจก เมื่อต้องจอดตากแดด แล้วคิดว่าตัวยาง จะทนทานขึ้น เพราะถึงจะไม่ได้แนบ และรับความร้อนจากกระจกโดยตรง แต่แสงแดดเมืองไทยก็ร้อนมาก จนทำให้เนื้อยาง แข็งขึ้นเร็ว การตัดสินใจว่าควรจะเปลี่ยนยางใบปัดน้ำฝนหรือยัง ดูได้จากความสะอาดของกระจกขณะปัด และการใช้มือจับ หรือเล็บจิกเนื้อยาง ขณะรถจอด การเปลี่ยนยางใบปัดน้ำฝน มีหลายทางเลือกในการเสียเงิน คือ
-เปลี่ยนทั้งตัวก้านใบปัดและยางที่มาพร้อมกัน มีทั้งแท้และทดแทน ของแท้แพง แต่คุณภาพดีแน่นอน ส่วนของทดแทน มีสารพัดระดับราคาและหลากระดับคุณภาพ ตั้งแต่อันละร้อยสองร้อยบาทคุณภาพต่ำๆ หรือหลายร้อยบาทคุณภาพดี บางยี่ห้อคุณภาพดีทัดเทียมกับของแท้แต่ถูกกว่า อย่ารีบดูถูกของทดแทน และให้ระวังของปลอมที่ทำเหมือนยี่ห้อดัง ซึ่งมีขายอยู่เกลื่อนตลาด

-เปลี่ยนเฉพาะตัวยางใบปัด คล้ายกับกรณีเปลี่ยนทั้งตัวก้าน คือ มีทั้งยางของแท้และทดแทน รถหลายรุ่นผู้ผลิตแยกขาย ยางใบปัด หรือจะซื้อรวมทั้งตัวก้านเลยก็ได้ แต่บางยี่ห้อไม่แยกขายเฉพาะยาง ลองสอบถามราคาจากร้านอะไหล่ หรือศูนย์บริการดู หากมีแยกขายเฉพาะยางก็ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งก้าน เพราะก้านไม่มีการสึกหรอ แต่การเปลี่ยนเฉพาะยาง จะยุ่งยากกว่า

ดังนั้นก่อนตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนทั้งก้านหรือเฉพาะยาง ควรเปรียบเทียบราคากับความคุ้มค่า และความสะดวกด้วย ส่วนยางใบปัด ของทดแทน มีหลายระดับราคาและหลากระดับคุณภาพตั้งแต่เส้นละไม่กี่สิบบาทคุณภาพต่ำๆ หรือร้อย สองร้อยบาท แต่คุณภาพดี บางยี่ห้อคุณภาพดีทัดเทียมกับของแท้แต่ถูกกว่า อย่ารีบดูถูกของทดแทน การเลือกคุณภาพ นอกจากจะเดาจากราคาขายแล้วก็ใช้วิธีง่ายๆ คือ ตาดูมือหยิกว่า เนื้อยางมีสภาพเป็นอย่างไร น่าไว้ใจได้ไหม
อีกปัญหาสำคัญ ของใบปัดน้ำฝน คือ ความสะอาดของตัวยาง เมืองไทยมีฝุ่นมาก ฝุ่นจะตกอยู่เหนือใบยาง มีบางส่วนค้างอยู่ และลงไปอยู่ตรงหน้าสัมผัสของยางกับกระจก บางครั้งยางยังไม่หมดสภาพแต่ไม่สะอาด ก็จะกวาดน้ำฝนออกจาก กระจกไม่ดี อีกทั้งยังอาจทำให้กระจกเป็นรอยอีกด้วยการทำความสะอาดตัวใบยางไม่ยาก ยกใบปัดใช้ผ้าเปียกลูบแรงๆ ผ่านตัวยาง หรือใช้สก็อตไบร์ตเปียกลูบแบาๆ ผ่านตัวยาง แล้วใช้นิ้วลูบผ่านแถวๆ หน้าสัมผัสปลายยางว่าเรียบ และยังนิ่มหรือไม่

       ยางล้อรถ สำคัญมาก

        ความลึกของร่องยางหรือความสูงของดอกยาง มีผลต่อประสิทธิภาพของการรีดน้ำของยาง ยางที่ยังเหลือร่องลึกดอกสูง จะรีดน้ำออกจาก หน้าสัมผัสของยางกับถนนได้ดีกว่า เพราะร่องยางมีหน้าที่หลัก คือ ให้น้ำที่ถูกรีดขึ้นมาจากหน้ายางแทรกตัวอยู่ หรือสะบัดออกด้านข้างทั้งสอง ของแก้มยาง ร่องยางหรือดอกยาง ควรเหลือไม่ต่ำกว่า 1.5-2 มิลลิเมตร หากประมาณด้วยสายตา ไม่เป็น ก็สามารถดูได้ที่เนินเตี้ยๆ ลึกสุดของร่องยาง ที่มีอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ว่าดอกยางสึกลงไปจนเตี้ยเท่ากับเนินนั้นหรือยัง ถ้าเท่าหรือเกือบเท่ากัน ก็แสดงว่าการรีดน้ำออกจากหน้ายางจะไม่ดีแล้ว เพราะมีช่องให้น้ำอยู่และรีดออกไปน้อยมาก ต้องระวังเมื่อขับลุยฝน หรือเปลี่ยนยางใหม่ ยางหัวโล้นแทบไม่มีดอกเหลือ ยิ่งต้องระวังให้มาก ขับย่องๆ เมื่อฝนตก แต่ไม่ใช่ว่าใช้ยางใหม่แล้วจะทะยานลุยฝนได้เร็วมาก เพราะยังไงเมื่อขับลุยฝน การเกาะถนนของยาง ก็ต้องแย่กว่าบนทางแห้ง อยู่แล้ว ยางที่มีดอกยางลายรูปตัววี ถูกออกแบบให้มีการรีดน้ำออกไปด้านข้างได้ดีกว่า แต่ไม่ควรชะล่าใจ เพราะเคยพบว่า ยางบางรุ่น ไม่ได้รีดน้ำดีกว่าดอกยางลายธรรมดาเลย

อาการเหินน้ำของยาง

        ไม่ว่าผู้ผลิตยางจะเน้นทั้งการออกแบบและโฆษณาว่ายางรุ่นนั้นมีการรีดน้ำดีเพียงไร แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะยังไง ก็หนีอาการเหินน้ำไม่ได้

อาการเหินน้ำ คือ อาการของหน้ายางลอยอยู่เหนือน้ำไม่แตะถนน เมื่อยางต้องหมุนผ่านน้ำที่อยู่บนถนนทั้งเป็นฟิล์มบางๆ หรือหนา ขนาดท่วมขัง แม้น้ำหนักของรถเป็นพัน สองพันกิโลกรัม จะคอยกดหน้ายางแต่ละเส้น ลงสู่พื้นด้วยน้ำหนัก หลายร้อยกิโลกรัม แต่น้ำก็คอยต้านแรงกดนั้นอยู่เสมอ กลายเป็นตัวแทรกระหว่างหน้ายางกับพื้น ยางจะเกาะที่สุดเมื่อไม่มีอะไรคั่น แต่ถ้ามีฝุ่น หรือน้ำคั่นยิ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งลดประสิทธิภาพการยึดเกาะลงไป น้ำเป็นของเหลวไหลไปมาได้ง่ายก็จริง แต่การรีดน้ำ ออกจากหน้ายาง เพื่อให้หน้ายางแนบลงกับถนนกับถนนในขณะที่ยางหมุนผ่านเร็วมาก ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ความเร็ว 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ยางหมุนกว่า 10 รอบต่อวินาที

ลองคิดดูว่าการรีดน้ำจนหมดจากหน้ายางให้สนิทจริงๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ อาการของยางที่หมุนผ่านน้ำบนพื้น แล้วกดตัวไม่แนบสนิท เหมือนตอนพื้นแห้ง จนทำให้ยางและรถมีการยกตัวไม่มากก็น้อย เรียกว่าอาการเหินน้ำหรือ HYDRO PLANING ทำให้การยึดเกาะ ของยางลดลง และการขับคับควบคุมทิศทางรถแย่ลง หรือถึงขั้นควบคุมไม่ได้ จนลื่นไถลไปเลยก็มี

ดังนั้นจำให้ขึ้นใจว่า อาการเหินน้ำของยางนั้นอันตรายมาก และมีหลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่เซนิดๆ จนถึงพวงมาลัยดึงออกข้าง หรือถึงขั้นแซมาก จนบังคับทิศทางด้วยพวงมาลัยแทบไม่อยู่

สภาพถนนไทยไม่น่าไว้ใจ

        เกี่ยวข้องโดยตรงกับอาการเหินน้ำของยางแม้ขับบนถนนเรียบ มีชั้นของน้ำอยู่บนถนนค่อนข้างสม่ำเสมอ จนไม่มีการ การดึงของพวงมาลัย แต่ด้วยความแย่ของการสร้าง การทรุดตัว รวมถึงการระบายน้ำของถนนไทยที่ไม่แน่นอน ทำให้บางช่วง ของถนนมีน้ำขังโดยผู้ขับเดาไม่ออกไม่ทราบล่วงหน้า

ดังนั้นการขับรถลุยเมื่อขับมาเพลินๆ ไม่มีอาการผิดปกติ ดูเหมือนจะใช้ความเร็วเหมาะสม กับสภาพถนน และฝนแล้ว ก็มักจะลด ความหวาดระแวง แต่ถ้ามีน้ำขังโดยไม่คาดฝัน ก็ต้องเจอกับอาการยางเหินน้ำทันที หากใครไม่เตรียมตัว หรือจับพวงมาลัย ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ก็อาจให้รถเสียการบังคับควบคุมอย่างฉับพลัน (ตำแหน่งที่ดีที่สุดของการจับพวงมาลัยคือ 9 และ 3 นาฬิกาหรือ 10 และ 2 นาฬิกา) จึงควรจับพวงมาลัย 2 มือในตำแหน่งนี้ และใช้ความเร็วต่ำกว่าที่ตนเองมั่นใจอยู่เล็กน้อย เผื่อว่าจะต้องเจอน้ำขังโดยไม่รู้ตัว เพราะถนนเมืองไทยมีทั้งแอ่งน้ำ และการระบายน้ำที่ไม่ดีคละกันอยู่บ่อยๆ

นอกจาก อาการเหินน้ำแล้ว ก็ต้องทราบไว้ว่าช่วงที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ จะลื่นที่สุด เพราะไทยมีฝุ่นมาก น้ำฝนผสมกับฝุ่นแล้วยิ่งลื่นมาก แล้วจะลื่นน้อยลงเมื่อฝุ่นถูกชะออก กลายเป็นปัญหาของอาการเหินน้ำเมื่อฝนตกต่อเนื่อง ตามแต่ความหนาของน้ำที่ค้างอยู่ ถ้าฝนตกหนักแล้วค้างอยู่บนถนนมาก ก็จะลื่นมากตามไปด้วย ไม่ใช่ฝนตกนานจนล้างฝุ่นหมดแล้วจะไม่ลื่น

ในภาพการณ์จริง พบว่าคนไทยหลายคน ขับรถลุยฝนเร็วกว่าที่น่าจะปลอดภัย เพราะชะล่าใจกับอาการของรถบนทางเรียบ มั่นใจหรือไม่รู้จักอาการการเหินน้ำของยาง นึกเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า การเอามือตบลงบนโต๊ะแห้งๆ ย่อมทำให้มือแนบกับโต๊ะได้ง่าย และดีกว่าโต๊ะเปียกๆ ที่ต้องตบมือลงไป เพื่อให้น้ำเล็ดออกไปก่อน

ไฟฉุกเฉิน ไม่จำเป็นและไร้สาระ

        มีการปฎิบัติกันเพราะความเข้าใจผิดๆ ทั้งคิดเอง มองเห็นผู้อื่นทำ คนใกล้ตัวแนะนำ รวมถึงคนไกลตัวแบบสื่อมวลชน เช่น บางรายการวิทยุส่งเสริม หลายคนเข้าใจผิดว่า เปิดไฟฉุกเฉินขับรถกลางฝน แล้วจะทำให้คนอื่นมองเห็นได้ดีขึ้น แม้มองเห็นชัดขึ้นก็จริง แต่ผลเสียที่ตามมามีมากมาย เช่น

-เกิดความชะล่าใจ ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะเมื่อชะล่าใจก็จะเกิดความมั่นใจในการขับรถมากขึ้น คิดไปเองว่า เมื่อเปิดไฟฉุกเฉินแล้ว คนอื่นเห็นชัด ตนเองก็จะขับรถใช้ความเร็วได้สูงขึ้น เพราะคนอื่นกลัวจะเข้ามาชน น่าแปลกที่มักเห็นว่า เมื่อฝนตกหนัก หากรถคันใดที่เปิดไฟฉุกเฉินแล้ว ก็จะขับในเลนกลาง หรือขวา ใช้ความเร็วสูงกว่า ที่เหมาะสม อีกทั้งยังเปลี่ยนเลนไปมา ในขณะที่คันที่ไม่เปิดไฟฉุกเฉิน จะขับสงบเสงี่ยมในเลนซ้าย หรือกลาง ด้วยความเร็วต่ำๆ

-แสบตาผู้อื่นจากแสงไฟกระพริบ เพราะมักไม่ได้มีคันเดียวที่เปิดไฟฉุกเฉิน ยิ่งหลายคันเปิดเต็มถนน ก็ยิ่งลายตา

-ไม่มีไฟเลี้ยวใช้ วิธีขับรถที่ถูกต้อง คือ ต้องเปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้า (แม้บางคนบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม) บางคนมือไวปิดไฟฉุกเฉินก่อนเปิดไฟเลี้ยว แต่ก็เสียสมาธิในการขับรถลงไป และผู้ขับรถคนอื่นก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องจ้องว่า รถคันใดที่เปิดไฟฉุกเฉินแล้วปิดก่อนจะเปิดไฟเลี้ยว

-ผู้อื่นอาจเห็นเป็นไฟเลี้ยว เพราะมีรถคันอื่นบังหรือมองผ่านๆ ยิ่งถ้ามีรถเปิดไฟฉุกเฉินขับติดๆ กัน แล้วมีบางคันเปิดไฟเลี้ยว ก็ยิ่งยากต่อการแยกแยะ ความสับสนย่อมลดความปลอดภัยลง

-สับสนรถแล่นกับรถจอดค้างบนถนน เป็นมาตรฐานเมื่อรถจอดเสีย หรือเกิดอุบัติเหตุบนนถนนว่า ต้องเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเตือนผู้อื่น แต่พอมีรถที่แล่นอยู่ เปิดไฟฉุกเฉินติดๆ กันหลายคันก็คุ้นเคย พอเจอรถจอด และเปิดไฟฉุกเฉิน กว่าจะแยกออกว่าเป็นรถจอด หรือแล่น ก็ต้องใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาทีทำความเข้าใจ และอาจชนเข้ากับรถที่จอดอยู่ ไม่ยุติธรรมเลย สำหรับผู้ที่ทำถูกต้อง จอดค้างบนถนนแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน ผู้ที่เปิดไฟนี้แล้วขับรถ อย่ามาอ้างว่าทุกคน สามารถตัดสินใจได้เร็วว่า รถคันใดจอด หรือแล่นในขณะที่เปิดไฟฉุกเฉิน เพราะลึกๆ แล้วคนส่วนใหญ่จะนึกว่า ไฟฉุกเฉิน จะถูกเปิดใช้เมื่อฉุกเฉินตามชื่อ หรือรถจำเป็นต้องจอดค้างอยู่บนถนน

การใช้ไฟอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก

        ควรเปิดไฟหน้าแบบต่ำ เพราะถ้าเปิดไฟสูง สายฝนจะสะท้อนกลับมายังผู้ขับมากจนมองเส้นทางข้างหน้ายาก ไม่ควรเปิดไฟหรี่ เพราะการเปิดไฟหน้าแบบต่ำ แทบไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย ไดชาร์จ (อัลเตอร์เนเตอร์) แทบไม่ได้ทำงานหนักขึ้น หลอดไฟหน้า จะอายุสั้นลงก็ไม่ใช่ปัญหา หลอดละร้อยสองร้อยบาทเท่านั้น เมื่อจะเปลี่ยนเลน ให้เปิดไฟเลี้ยวเตือนผู้อื่นล่วงหน้าตาม ขับรถลุยฝน ใช้ความเร็วต่ำกว่าความมั่นใจของตนเองเล็กน้อย อย่าชะล่าใจ ควรจับพวงมาลัย 2 มือในตำแหน่งที่แนะนำไว้ข้างต้น พร้อมจะลดความเร็ว ลงได้อย่างรวดเร็ว ระวังอาการเหินน้ำของยางไว้ทุกวินาที

ไม่มีเอบีเอส เบรกอย่างไร

        ถ้าไม่มีเอบีเอส การเบรกแรงๆ บนถนนลื่น ล้อมีโอกาสล็อกได้ง่าย ล้อที่ล็อกจะขาดการบังคับ ควบคุมทิศทางจากพวงมาลัย หรือทำให้รถปัดเป๋ จนถึงขั้นหมุนคว้างได้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากระแทก แป้นเบรกแรงๆ หากจำเป็นและรู้สึกว่าล้อล็อกแล้ว ควรละเบรกเล็กน้อยเพื่อให้ล้อคลายการล็อก ส่วนการขับรถที่มีเอบีเอสก็อย่าชะล่าใจ เพราะถึงเอบีเอสจะป้องกันล้อล็อก แต่นั่นก็แสดงว่า เป็นการเบรกที่รุนแรงเกินไปนั่นเอง
                     ความปลอดภัยในการขับรถลุยฝน สำคัญที่ความพร้อมของทั้งรถและผู้ขับ
           โดย ผู้จัดการออนไลน์
IP : บันทึกการเข้า

โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า
คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา
เท้าสะเอวคลับ Ver.CaZzAmAnIaN
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,306


LuV me LuV My CatZ


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 20:57:43 »

ขอบคุนมากคับ

ขอเตือนเพื่อนๆ พี่ๆ ด้วยนะคับ

เรื่องการใช้ไฟฉุกเฉิน ขอให้ ฉุกเฉิน จิงๆ เท่านั้น ถึงจะเปิด

ไม่ใช่ มองไม่เห็นแล้วก็เปิด แล้ว ก็ ยัง ขับต่อ อันตรายมากคับ



IP : บันทึกการเข้า

Ford Fiesta Chiang Rai Club ทักทายกันได้คับ
https://www.facebook.com/groups/227123194107248/
NEONAZI
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 476


รัก กล้วยไม้ รักษ์ ต้นไม้


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 23:16:41 »

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

อย่าทำดี เพียงเพื่อ ดีกว่าคนอื่น
surasit64
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 219



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2010, 18:41:45 »

เยี่ยม

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,576


canon eos


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2010, 19:28:36 »

 ยิ้มเท่ห์ ยิ้มกว้างๆ...ท่าจะได้เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนละ...เสียงดังโคลกๆ...ขอบคุณสาระดีๆมากครับ
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
My_Boss
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,788


ผู้ที่ปองร้ายต่อมิตร ถือเป็นผู้ที่ทราม


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2010, 19:49:39 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
NeKo
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 67


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2010, 12:20:00 »

ขับลุยน้ำ ลุยฝนมา ล้อเปียก เบรคก็ต้องเปียก
เอาไปจอดไว้เฉยที่บ้านจนล้อแห้ง 2-3-4 วัน เวลาจะใช้รถอีกที ตอนออกตัวถอย หรือเดินหน้า
จะมีเสียงดัง กึ๊ก.. ครั้งเดียวที่ล้อ เป็นเรื่องปกติครับ ผ้าเบรคติดกับจานเบรค จะคลายตัวไปเอง
(ถ้าไม่คายตัว เบรคติด ร้อน เหม็นใหม้ เข้าอู่) พบมากในรถ AUTO
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!