เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 02:46:59
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้  (อ่าน 18565 ครั้ง)
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:00:09 »

เอานิทานมาให้อ่านกันครับ


มีอัศวินสองคนสวมเสื้อ เกราะถือทวนควบม้ามาจากทิศตะวันออกคนหนึ่ง มาจากทิศตะวันตกคนหนึ่ง มาพบกัน
โดย บังเอิญที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางต่างก็เข้าไปเอนหลังพักผ่อนคนละด้านของต้นไม้ ขณะนั้นอัศวินที่มาจากทิศตะวันออก
มองขึ้นไปเห็นโล่แขวนอยู่บนคาคบไม้ จึงเปรยขึ้นดังๆ ว่า
"ใครหนอเอาโล่ทองมาแขวนไว้บนต้นไม้"
อัศวินอีกคน หนึ่งจึงแหงนดู แต่เห็นโล่นั้นเป็นสีเงิน มิได้เป็นสีทองอย่างที่อัศวินคนนั้นพูด จึงเปรยดังๆ
เช่นกันว่า
"น่า ขำจัง โล่เงินแท้ๆ ทำไมบางคนจึงเห็นเป็นโล่ทองไปได้"
อัศวินคนแรกจึงลุก ขึ้นแล้วตะโกนใส่หน้าอีกคนหนึ่งว่าโล่ทอง อัศวินคนนั้นเมื่อถูกตะโกนใส่ก็ลุกขึ้นตะโกนใส่
เหมือนกันว่าโล่เงิน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันเพราะถือว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นไม่ผิดจึงไม่ยอม กันง่ายๆ เพื่อให้รู้ผลจึงท้า
ดวลกันที่ลานโล่ง ต่างขี่ม้ารำทวนเข้าต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ฝีมือสูสีกันจึงต่อสู้กันเป็นนานจนเมื่อยล้าด้วยกัน
ทั้งคู่ ได้ตกลงพักรบเพื่อพักผ่อนกันก่อนแล้วค่อยสู้กันใหม่ ตอนเข้าไปพักนั้นอัศวินที่มาจากตะวันออกไปพักด้าน
ตะวันตก ที่มาจากตะวันตกไปพักด้านตะวันออกอัศวินคนแรกที่เห็นเป็นโล่ทองได้มองโล่อีก ครั้งหนึ่งกลับเห็นเป็นโล่เงิน
อีกคนหนึ่งที่เห็นครั้งแรกเป็นโล่เงิน กลับเห็นเป็นโล่ทอง
"เอ๊ะ นี่มันโล่เงินนี่" คนแรกที่เคยเห็นเป็นโล่ทองพูด
"อ้าว นี่มันโล่ทองนี่ ไม่ใช่โล่เงิน" อีกคนที่เห็นครั้งแรกเป็นโล่เงินบอก
ด้วยความสงสัยอัศวินคนแรกจึงปีกขึ้น ไปเอาโล่ลงมา เมื่อมองเห็นโล่ใกล้ๆ ทั้งสองก็แทบจะลมจับ เพราะข้อเท็จ
จริง ปรากฏประจักษ์ โล่อันนั้นเขากะไหล่ด้วยทองด้านหนึ่ง กะไหล่ด้วยเงินด้านหนึ่ง จึงเห็นเป็นสองอย่าง
"โธ่พวกเราแทบจะฆ่ากันตาย เพราะมองคนละมุมแม้ๆ เสียเชิงหมด"
ต่างบ่นกันพึมพำ เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็โบกมืออำลาแยกย้ายกันไป.

เรื่องนี้สื่อความ ให้เห็นว่า
ทิฐิมานะความคิดเห็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าตนถูกนั้นทำให้ คนเราตาบอดก็ได้ ทำให้เห็นผิดก็ได้ ทำให้
ทะเลาะกันก็ได้ ทำให้แตกกันก็ได้ ทั้งนี้เพราะทิฐิมานะทำให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ด้วยมองเห็นได้เพียงด้านเดียว
คือด้านที่ตัวเองเห็นหรือรู้สึกนึกคิด ไม่ได้มองอีกด้านหนึ่งซึ่งอาจตรงกันข้ามกับที่คิดก็ได้ อย่างที่นักปราชญ์ท่านกล่าวไว้
ว่า "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย" ที่ถูกนั้นเมื่อจะมอง
อะไรควรมองด้วยปัญญาอีกชั้นหนึ่ง คือควรใตร่ตรองพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนมองให้ครบทุกด้าน ทั้งด้านดีด้านเสีย
ด้าน บวกด้านลบ จึงจะเห็นของจริง แล้วค่อยตัดสินวินิจฉัยว่าถูกหรือไม่ถูก ควรหรือไม่ควร วิสัยนักปราชญ์เขาปฏิบัติ
กันเช่นนี้ ถ้ามองเพียงด้านเดียวแล้วด่วนตัดสินไปตามที่เห็น ย่อมมีโอกาศสูงที่จะผิดพลาดอันจะทำให้คิดผิด พูดผิด
และทำผิดตามมา.

พระ ธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี)
IP : บันทึกการเข้า

..............
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,371

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:02:40 »

สงสัย Mr.R  ยังคงคาใจ กับกระทู้นี้อยู่ ว่าเหตุใดพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้า  ซึ่งก็เห็นหยิบยก ตัวอย่างมาหลายเหตุผล ยกความศรัทธา มาแยงกับความงมงายพยามโยงเรื่องราว ประติดต่อกัน ซึ่งผมมองไม่เข้ากัน ผมอาจเป็นหัวโบราณ ที่ยึดคติที่คนโบราณได้สอนไว้ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นต่อสภาพแวดล้อมปัจุบัน พยามแยกแยะหน่อยครับ เพราะมนุษย์เรามีสองด้าน
IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:20:22 »

กฎหมายสิทธิสตรี 
 
  ใน ประเทศไทยตั้งแต่สมัยอดีตเรื่อยมาสถานภาพของสตรีไทย ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม สตรีมักถูกมองเป็นสิ่งที่ด้อยคุณค่า ไร้ความสามารถ ถูกกดขี่ ข่มเหง และกีดกัน ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง ไม่มีสิทธิ บทบาท ฐานะใดในทางสังคม ไม่ได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมผู้ชาย ทั้งที่สตรีเองก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับผู้ชาย และซึ่งสถานภาพความเป็นมนุษย์นั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึง เพศ วัย สัญชาติ ศาสนา ทั้งยังเป็นสาระสำคัญตามธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ที่ไม่อาจพราก หรือ ทำให้สูญเสียไปด้วยวิธีการใดๆ การไม่เคารพในสิทธิสตรี ตลอดจนการเลือกปฏิบัติต่อผู้เป็นสตรีนั้นแต่เดิมอาจเป็นเพราะสภาพสังคมสมัย โบราณที่มีการถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ชายจะมีความรับผิดชอบในฐานะที่ เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บทบาทของสตรีลดลง ในปัจจุบันนั้นสตรีเองก็ได้รับการศึกษาขั้นสูง มีความสามารถ และ มีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองทำให้สิทธิสตรีได้รับการพัฒนา ยอมรับ และคุ้มครองในด้านต่างๆมากมายหลายด้านตามมา


ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อันเป็นบทกฎหมายหลักสูงสุดของประเทศ ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิสตรีไว้กล่าวคือ


ความเสมอภาคกันในกฎหมาย และ การห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชาย และ หญิง มีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพ ทางกาย หรือ สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือ ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้…
 
ที่มา...http://www.classifiedthai.com/content.php?article=14544
IP : บันทึกการเข้า
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:22:05 »

 รูดซิบปาก รูดซิบปาก รูดซิบปาก
IP : บันทึกการเข้า

..............
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:48:42 »

กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ
IP : บันทึกการเข้า

ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 05:53:50 »

กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ

IP : บันทึกการเข้า

..............
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 12:02:22 »

ผมคิดว่าในอนาคตจะต้องมีกรณีฟ้องร้องดำเนินคดี
ผู้กีดกันทางเพศ ที่ติดป้ายห้ามต่าง ๆ นานา โดยไม่ดูข้อกฏหมาย

ตามบทบัญญัติ
การห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมาตรา 30
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

ถึงแม้เป็นความเชื่อ แต่หากละเมิดกฏหมาย ก็สุดแท้แต่ละคนครับ

ส่วนผมระหว่างจารีตกับกฏหมาย ผมจะปฏิบัติตามกฏหมายดีกว่า
เป็นวิทยาศาสตร์ และสากล กว่ากันเยอะ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม





 
IP : บันทึกการเข้า
ttyy
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,953


ซ่อม/ซื้อ/ขาย มือถือทุกรุ่น


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 12:54:33 »

กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ

พระวินัย ว่าด้วยข้อห้ามการบวช*

ทรงห้ามบวชคน ๓๒ จำพวก

[๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน.....................
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
๑.) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงบรรพชา คนมือด้วน. .
๒.) ไม่พึงบรรพชา คนเท้าด้วน...
๓.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งมือทั้งเท้าด้วน...
๔.) ไม่พึงบรรพชา คนหูขาด...
๕.) ไม่พึงบรรพชา คนจมูกแหว่ง...
๖.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง...
๗.) ไม่พึงบรรพชา คนนิ้วขาดและเท้าขาด...
๘.) ไม่พึงบรรพชา คนง่ามมือง่ามเท้าขาด...
๙.) ไม่พึงบรรพชา คนเอ็นขาด...
๑๐.) ไม่พึงบรรพชา คนมือเป็นแผ่น...
๑๑.) ไม่พึงบรรพชา คนค่อม. .
๑๒.) ไม่พึงบรรพชา คนเตี้ย...
๑๓.) ไม่พึงบรรพชา คนคอพอก...
๑๔.) ไม่พึงบรรพชา คนถูกสักหมายโทษ...
๑๕.) ไม่พึงบรรพชา คนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย...
๑๖.) ไม่พึงบรรพชา คนถูกออกหมายสั่งจับ...
๑๗.)ไม่พึงบรรพชา คนเท้าปุก (เท้าผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีลักษณะผิดรูป ข้อเท้าจิกลงล่าง บิดเข้าใน และฝ่าเท้าหงายขึ้น ทำให้มีรูปร่างเหมือนไม้กอล์ฟ)...
๑๘.) ไม่พึงบรรพชา คนมีโรคเรื้อรัง...
๑๙.) ไม่พึงบรรพชา คนมีรูปร่างไม่สมประกอบ...
๒๐.) ไม่พึงบรรพชา คนตาบอดข้างเดียว...
๒๑.) ไม่พึงบรรพชา คนง่อย...
๒๒.) ไม่พึงบรรพชา คนกระจอก (ท่าทางผิดปกติ เช่น เดินเขยก ฯลฯ)...
๒๓.) ไม่พึงบรรพชา คนเป็นโรคอัมพาต...
๒๔.) ไม่พึงบรรพชา คนมีอิริยาบถขาด (เปลี้ย เคลื่อนไหวเองไม่ได้)...
๒๕.) ไม่พึงบรรพชา คนชราทุพพลภาพ...
๒๖.) ไม่พึงบรรพชา คนตาบอดสองข้าง...
๒๗.) ไม่พึงบรรพชา คนใบ้...
๒๘.) ไม่พึงบรรพชา คนหูหนวก...
๒๙.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอดและใบ้...
๓๐.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอดและหนวก...
๓๑.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งใบ้และหนวก...
๓๒.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอด ใบ้ และหนวก
รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้ถูกโรค ๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ(ไอเรื้อรัง) โรคลมบ้าหมู กระทบเข้าแล้ว ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าราชการ(ที่ไม่ลาบวช) ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจรผู้หนีเรือนจำ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ

ประเภทที่บวชแล้วต้องให้สึก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ อุภโตพยัญชนก (คนมี ๒ เพศ) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุปสัมบัน คือ คนลักเพศ(คนปลอมบวช) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ลัทธิที่เป็นมิจฉาทิฐิ) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุปสัมบันคือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนฆ่าบิดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

(ที่มา : พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม 6 หน้า 338)

รบกวนช่วยตรวจสอบนิดนะครับ ผู้หญิงสามารถ บวชได้นะครับ เราเรียกผู้หญิงที่บวชว่าภิกษุณีครับผม  เวปเชียงรายโฟกัส เด็กๆๆเข้ามาอ่านกันเยอะ ไม่อยากให้ได้ข้อมูลผิดๆๆ น่ะครับ
IP : บันทึกการเข้า

รับซื้อ-ขาย-ฝาก-ขายฝากคอมพิวเตอร์ PC Notebook โทรศัพท์มือถือ nokia iPhone samsung ทีวี LCD เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดราคาสูง รุ่นเก่า รุ่นใหม่ โทรมาคุยกันได้ครับ
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 13:34:59 »

ก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

เห็นเดินกันเต็มเมือง  ที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในวัดก็มากมาย
IP : บันทึกการเข้า

..............
ChitChat
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 475



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 14:52:02 »

สาธุ  ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ความทุกข์ที่ทานทน    จะทำคนให้ทนทาน
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 15:10:06 »

ผู้หญิงบวชได้ครับ แต่ต้องปฎิบัติตามครุธรรม ๘ ประการ และพระวินัย ๓๑๑ สิกขาบท ซึ่งมากกว่า พระภิกษุถึง ๙๐ ข้อ พระภิกษุณีองค์แรกคือ พระนางประชาบดี พระน้านางของพระพุทธเจ้า มีเรื่องราวดังนี้ครับ...

.........ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงโปรดพระพุทธบิดาจนสำเร็จพระอรหันต์และพระพุทธบิดาได้ปรินิพพานแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตมี (น้าของพระพุทธเจ้า,แม่เลี้ยง) พระนางมีพระทัยน้อมใปในการบรรพชา จึงเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดายัง นิโครธาราม กราบทูลว่าขอประทานวโรกาสให้สตรีพึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นพรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานอนุญาต แม้พระนางจะทูลอ้อนวอนขอถึง3ครั้ง ทรงน้อยพระทัย เป็นทุกข์ มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ถวายบังคมลา กระทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
จากนั้นพระบรมศาสดาก็เสด็จไปยังกรุงเวสาลี เนื่องจากเป็นเวลาใกล้เข้าพรรษาทรงประทับที่กูฏาคารศาลา เป็นครั้งแรก
พระนางมหาปชาบดีโคตมี น้อยพระทัยที่พระพุทธองค์ปฏิเสธ จึงปลงพระเกสา ทรงครองผ้ากาสาวะ ถือเพศพรรพชิตอุทิศพระทศพล ภายในพระราชนิเวศน์นั้นเอง ทรงให้สากิยานี 500 ที่เคยเป็นบาทบริจาริกาของภิกษุศากยกุมาร ถือเพศบรรพชาเหมือนกัน
พระนางได้พาเหล่าสากิยานีทั้งหลายเสด็จตามพระศาสดาไปยังกรุงเวสาลี พระนางมีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี ทรงเป็นทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารข้างนอก
พระอานนท์ออกมาเห็นพระนางกันแสงอยู่ได้เข้าไปไต่ถามความ ทราบว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้สตรีได้บวช จึงทูลให้พระนางรออยู่ก่อน
จากนั้นพระอานนท์ได้เข้าไปกราบทูลพระศาสดา ขอให้ทรงอนุญาตสตรีได้บวชเป็นบรรพชิต พระอานนท์ได้ทูลขอถึง 3 ครั้ง พระศาสดาก็มิทรงอนุญาต พระอานน์จึงทูลถามว่าการที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สามารถที่จะทำให้แจ้งมรรคผลนิพพานได้หรือไม่พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อน อานนท์ สตรีก็สามารถที่จะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้
พระอานนท์จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้มีอุปการะมาก ทรงประคับประคองเลี้ยงดู ทรงถวายขีราธารเมื่อพระชนนีสวรรคต ขอประทานพระวโรกาส ทรงอนญาตให้พระนางได้บวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเถิดพระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาตรัสว่า อานนท์ เหตุที่เราไม่อนุญาตก็เพราะเห็นว่าหากอนุญาตให้สตรีบวช พระธรรมวินัยจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน แต่เราจักบัญญัติครุธรรม8ประการ เสมือนหนึ่งกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อมิไห้น้ำไหลออกฉะนั้น แล้วตรัสว่าหากพระนางยอมรับครุธรรมนี้ได้ข้อนั้นจักเป็นอุปสัมปทาของนาง
พระอานนท์เรียนครุธรรม8ประการแล้วออกมาชี้แจงแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีว่า หากพระนางยอมรับครุธรรม8ประการที่พระองค์บัญญัติไว้ได้ ข้อนั้นจักเป็นอุปสัปทาของพระนาง โทมนัสของพระนางมหาปชาบดีสงบลงทันที มีใจชื่นชมยินดีเมื่อได้สดับว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาต แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับครุธรรม8ประการ พระอานนท์จึงกล่าวครุธรรมที่พระพุทธองค์ทรงยัญญัตแล้วดังนี้

             ๑.ภิกษุณีแม้จะมีพรรษาตั้ง ๑oo ก็ต้องกราบไหว้ภิกษุผู้แม้อุปสมบทในวันนั้น
            ๒.ภิกษุณีไม่พึงจำพรรษาอยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
            ๓.ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟังคำสั่งสอนจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ๑
            ๔.เมื่อออกพรรษา ภิกษุณีต้องปวารณาในสงฆ์สองผ่าย คือภิกษุและภิกษุณี
            ๕.ภิกษุณีต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์สองผ่าย
            ๖.ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสมบทให้แก่สิกขมานา ผู้ศึกษาในธรรม ๖ สิ้น๒ปีแล้วในสงฆ์สองผ่าย
            ๗.ภิกษุณีไม่พึงบริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง
            ๘.ภิกษุณีไม่พึงสั่งสอนภิกษุ แต่ให้ภิกษุสั่งสอนภิกษุณี

พระนางมหาปชาบดีโคตมี กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับครุธรรม๘ทุกประการและจักไม่ละเมิดตลอดชีวิต พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้อุปสมบทแล้ว ด้วยการรับครุธรรม๘ประการ เป็นภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา
จากนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีเข้าไปเผ้าพระศาสดา ทูลถามถึงสิกขาบทของภิกษุณี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พวกเธอจึงศึกษาในสิกขาบทดุจเดียวกับที่ภิกษุทั้งหลายศึกษาอยู่ ตามที่เราบัญญัติไว้แล้ว
พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณี ได้ทูลขอพระวโรกาสว่า ขอพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้วจะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด
พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่านี้คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ เพื่อไม่สั่งสมกิเลส เพื่อความมักน้อย เพื่อความสันโดษและความไม่คลุกคลี เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ดูก่อนโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้ว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
พระมหาปชาบดีภิกษุณี ทรงน้อมรับโอวาส ทรงเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระบรมศาสดา เพียรภาวนาอยู่ไม่นานได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ดังนี้

นี่คือภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศษสนาครับ  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

..............
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 07:43:18 »

กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ
เสียงจากผู้หญิงอายู 23 +1
คนรุ่นใหมใต้องแสดงออกทางความคิด
อย่างนี้ดีครับ
+1ครับ
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
DB Supply CR
รับติดตั้งระบบ Network,Wifi,ระบบเสียง,ระบบไฟฟ้า กล้องวงจรปิด โทรศัพท์ภายใน *********
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 795


VB Supply


« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 08:42:36 »

 ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

วีบี ซัพพลาย
323/105 หมู่ 8 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 
053-747171 , 091-0797929
https://www.facebook.com/VB.Supply.CR
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=52567.0
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 09:19:01 »

เหมือนแมวเชื่อง
คอยรับใช้คลอเคลีย รอรับคำสั่ง
หากปล่อยเป็นอิสระ ก็จะไม่หนีไปไหน
คอยหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
เสมือนทาสที่ปล่อยไม่ไป

เธอเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่
สังคมล้างสมองให้อยากได้คนเป็นแบบเธอ

ชอบตรงที่การแสดงออกทางความคิด
หากจะทันกระแสโลก
วิธีคิดควรจะต้องปรับเปลี่ยน.
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 10:09:18 »

คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ยิงฟันยิ้ม

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  ยิ้มกว้างๆ
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 15:22:42 โดย ~หมูllว่ีีullดง~ » IP : บันทึกการเข้า

SAWBWA
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 18:39:44 »

ชอบจัง ยิ้มกว้างๆ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 18:45:24 »

คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ยิงฟันยิ้ม

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  ยิ้มกว้างๆ
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)


ยกนิ้วหื้อแฮ๋มรอบ
IP : บันทึกการเข้า

..............
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 22:59:16 »

คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ยิงฟันยิ้ม

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  ยิ้มกว้างๆ
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)


สุดยอดมะก้วยเต๊ด ขนาดหล่ะอ่อน วัยรุ่น ยังฮู้จักกึ๊ด

IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 07:23:40 »

ประเด็นของเจ้าของกระทู้คือ
" การห้ามผู้หญิงเข้าใกล้ "
ผมจึงให้ความคิดเห็นและสรุปไปว่าการห้ามเข้าข่ายผิดกฏหมาย

แต่คุณหนูแว่น เฉประเด็นออกไปว่า
" ห้ามไม่ให้เคารพ "

คนละเรื่องเลยอ่ะ !

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 07:30:26 โดย Mr.R » IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 08:36:36 »

คงเป็นเพราะว่าคุณ Mr.  นำเรื่องความเชื่อ และ ความงมงาย

ขึ้นมาเป็นประเด็นก่อนกระมังคะ จึงทำให้ดิฉันคิดแบบนั้น  ยิ้มกว้างๆ

แต่ก็ถูกอย่างคุณว่านะคะ ประเด็นของ  จขกท. คือ

"ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้"

ถามว่าทำไม ?  ตามหลักเราก็ต้องตอบ   เพราะว่า..........

คนละเรื่องกับกฎหมายเลย  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

เราก็พากันพูดไปซะไกล เลยเนาะ ถามหา" ต้นเพลิง " แต่ตอบว่า"ใช้น้ำดับ "  พากันงงเลยทีเดียว   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เอวัง... ก็เป็นประการละฉะนี้......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2010, 02:16:21 โดย ~หมูllว่ีีullดง~ » IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!