เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 06:58:56
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  >>>..วันนี้ในอดีต..เก็บเรื่องเก่ามาเล่าขาน อำลาจอ .. <<<
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 พิมพ์
ผู้เขียน >>>..วันนี้ในอดีต..เก็บเรื่องเก่ามาเล่าขาน อำลาจอ .. <<<  (อ่าน 42465 ครั้ง)
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 01 กรกฎาคม 2012, 07:21:53 »

     วันนี้วันพฤหัสบดีที่ ๑ กรกฏาคม 2555
..............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย โดยทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ประเภทของลูกเสือลูกเสือ คือ เยาวชนชายและหญิงอายุระหว่าง 8 – 25 ปี ที่รับการฝึกอบรมตามหลักสูตรวิชาลูกเสือ โดยยึดมั่นในหลักการ (Principle) วิธีการ (Method) และวัตถุประสงค์ (Purpose) ของการลูกเสือ (Scouting) อย่างเคร่งครัดตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 และข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติว่าด้วยการปกครอง หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ พ.ศ. 2509 ได้กำหนดประเภทและเหล่าลูกเสือว่า ลูกเสือมี 4 ประเภท คือ สำรอง สามัญ สามัญรุ่นใหญ่ วิสามัญ และอาจจัดให้มีลูกเสือเหล่าสมุทร และลูกเสือเหล่าอากาศได้ สำหรับลูกเสือที่เป็นหญิง อาจใช้ชื่อเรียกว่า เนตรนารี หรือชื่ออื่นซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติให้หมายถึง ลูกเสือที่เป็นหญิงด้วย

1. ลูกเสือสำรอง (Cub Scout) อายุ 8 – 11 ปี คติพจน์: ทำดีที่สุด (Do Our Best)

2. ลูกเสือสามัญ (Scout) อายุ 11 – 16 ปี คติพจน์: จงเตรียมพร้อม (Be Prepared)

3. ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (Senior Scout) อายุ 14 – 18 ปี คติพจน์: มองไกล (Look Wide)

4. ลูกเสือวิสามัญ (Rover) อายุ 16 - 25 ปี คติพจน์: บริการ (Service)

[แก้] การลูกเสือในประเทศไทย
ลูกเสือสำรอง
ลูกเสือสามัญ
ลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ดูบทความหลักที่ คณะลูกเสือแห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 โดยทรงตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน) และจัดตั้งกองลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กำหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้น รวมทั้งพระราชทาน คำขวัญให้ลูกเสือว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ ”

กิจการลูกเสือในประเทศไทยยังคงได้รับการสืบสานให้เจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับนับจนปัจจุบัน โดยมี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติ และ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์คณะลูกเสือแห่งชาติ

[แก้] คำปฏิญาณของลูกเสือไทยคำปฏิญาณของลูกเสือสำรอง
"ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า"
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อ 2 ข้าจะยึดมั่นในกฎของลูกเสือสำรอง และบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่นทุกวัน

คำปฏิญาณของลูกเสือสามัญ สามัญรุ่นใหญ่และวิสามัญ
“ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า”
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ข้อ 2 ข้าจะช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 3 ข้าจะปฏิบัติตามกฎของลูกเสือ

[แก้] กฎของลูกเสือไทยกฎของลูกเสือสำรอง

ข้อ 1 ลูกเสือสำรองทำตามลูกเสือรุ่นพี่
ข้อ 2 ลูกเสือสำรองไม่ทำตามใจตนเอง

กฎของลูกเสือสามัญ สามัญรุ่นใหญ่และวิสามัญ

ข้อ 1 ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้
ข้อ 2 ลูกเสือมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ข้อ 3 ลูกเสือมีหน้าที่กระทำตนให้เป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ
ข้อ 4 ลูกเสือเป็นมิตรของคนทุกคนและเป็นพี่น้องกับลูกเสือทั่วโลก
ข้อ 5 ลูกเสือเป็นผู้สุภาพเรียบร้อย
ข้อ 6 ลูกเสือมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์
ข้อ 7 ลูกเสือเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาและผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ
ข้อ 8 ลูกเสือมีใจร่าเริงและไม่ย่อท้อต่อความลำบาก
ข้อ 9 ลูกเสือเป็นผู้มัธยัสถ์
ข้อ 10 ลูกเสือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ



* _1_~1 (WinCE).JPG (8.81 KB, 213x320 - ดู 840 ครั้ง.)

* 220PX-~1 (WinCE).JPG (15.14 KB, 220x320 - ดู 1302 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 02 กรกฎาคม 2012, 06:40:42 »

     วันนี้วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2555
..........
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988) - พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
.................
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก
............
โดย นางสาวสมลักษณ์  วงศ์งามขำ
 
             พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทย พระราชพิธีจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๑ เนื่องในโอกาสที่ทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัตินานถึง ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา และเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ นับเป็นมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัยกาธิราชเป็นเวลานานถึง ๔๒ ปี ๒๒ วัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการพระราชพิธีขึ้นเป็นเวลา ๓ วัน  คือวันที่ วันที่ ๒  วันที่ ๓ และวันที่ ๕ กรกฎาคม ดังนี้

             วันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และทรงถวายเครื่องราชสักการะพระพุทธรูปประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ ในอดีตที่หอพระราชกรมานุสรและหอพระราชพงศานุสร ในพระบรมมหาราชวัง

             วันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติรัชมังคลาภิเษก ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ทุกรัชกาลประดิษฐานที่พระแท่นมุก และเครื่องราชกกุธภัณฑ์ พระแสงราชศัตราวุธ พระกรัณฑ์ทองคำลงยาบรรจุดวงพระราชสมภพ พระสุพรรณบัฏพระปรมาภิไธย ประดิษฐานที่พระแท่นราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร และอัญเชิญพระสยามเทวาธิราชออกประดิษฐานที่มุขเด็จ ตั้งเครื่องบวงสรวงสังเวย แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้คณะพราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชสิริราชสมบัติรัชมังคลาภิเษก

             วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ เสด็จฯ โดยรถไฟพระที่นั่งจากสถานีรถไฟจิตรลดาไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกอบการพระราชพิธีบวงสรวงสังเวยพระมหากษัตริย์ในอดีต ณ พลับพลาตรีมุข พระราชวังโบราณ โดยอนุโลมตามแบบเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



* 220px-King_Ananda_Mahidol_portrait_photograph (WinCE).jpg (13.89 KB, 259x320 - ดู 2382 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 02 กรกฎาคม 2012, 19:40:54 »

 :)ขอบคุณบทความดีดีครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2012, 15:47:05 »

     วันนี้วันอังคารที่ 3 กรกฏาคม 2555
...........
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จถึงรัสเซีย และเสด็จเยือนพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถือเป็นวันแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย อย่างเป็นทางการ
จันทร์เจ้าขา:


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่งรัสเซีย
ณ พระราชวังฤดูร้อน (Peterhof) เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศรัสเซีย
วันที่ ๓ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๔๐

จันทร์เจ้าขา:
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทย (รัชกาลที่ 5) ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ นิโคลัสที่ 2 แห่งราชสำนักรัสเซีย พระมหากษัตริย์ของไทยได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติและอบอุ่นจากสมเด็จพระจักรพรรดิ พระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์โรมานอฟและจากประชาชนชาวรัสเซีย อันเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศรัสเซีย

และจากจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เกิดขึ้นนั้น ยังมีสิ่งที่สื่อให้เห็นถึงสายสัมพันธ์และมิตรภาพที่กระชับยิ่งขึ้นดุจญาติพี่น้องระหว่างกษัตริย์สองพระองค์นี้ และยังเป็นรากฐานการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในเวลาต่อมา นั่นคือ หลังจากการเสด็จเยือนประเทศรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น พระองค์ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ เสด็จไปเรียนวิชาทหาร ณ ประเทศรัสเซีย

เหล่านี้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ได้จากการจัดนิทรรศการจดหมายเหตุ “สายสัมพันธ์รัสเซีย-ไทย : มิตรภาพที่ยั่งยืน” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมของไทยได้นำไปจัดที่ประเทศรัสเซียแล้วถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในการเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง 300 ปี ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 26-30 สิงหาคม 2546 และครั้งที่ 2 ในงาน “วันวัฒนธรรมไทยในรัสเซีย ณ กรุงมอสโก” เมื่อวันที่ 9-15 กันยายน 2548 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าชาวรัสเซียที่ได้มีโอกาสเข้าชมนิทรรศการต่างให้ความสนใจเส้นทางแห่งสายสัมพันธ์ที่สืบต่อมายาวนานเป็นอย่างมาก

กรพินธุ์ ทวีตา หัวหน้ากลุ่มบริการและประสานส่งเสริมกิจการจดหมายเหตุ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ค้นคว้าและดูแลการจัดนิทรรศการจดหมายเหตุ ณ ประเทศรัสเซีย ทั้ง 2 ครั้ง เล่าให้ฟังว่า เท่าที่ค้นเอกสารจดหมายเหตุในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จะพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นการประมวลจากเอกสารที่พบ ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระองค์ท่านเสด็จเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเอกสารที่พบจะเป็นภาพถ่ายและเอกสารลายลักษณ์ที่เป็นตัวเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชสาส์น โต้ตอบระหว่าง 2 ราชวงศ์ คือ หลังจากที่ท่านกลับจากเสด็จประพาสยุโรปและได้ส่งพระราชโอรสไปเรียนวิชาทหาร ก็จะมีเอกสารโต้ตอบโดยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ นิโคลัสที่ 2 หรือที่เราเรียกกันว่า พระเจ้าซาร์ ได้มีพระราชสาส์นมาเล่าถึงการเรียน การพระราชทานตำแหน่งทางการทหารให้แก่พระราชโอรสเป็นทหารม้าฮุสซาร์ ขณะเดียวกันก็มีรายงานเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนของพระราชโอรสจากทูตไทยที่ดูแลภาคพื้นนั้นมาด้วย

อย่างไรก็ตามก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปนั้น เมืองไทยเคยมีโอกาสต้อนรับพระเจ้าซาร์ในขณะดำรงพระยศแกรนด์ดุกซารวิตซ์ มกุฎราชกุมารแห่งรัสเซียมาก่อนแล้ว ครั้งที่เสด็จเยือนกรุงสยาม โดยทรงประทับที่วังสราญรมย์ และพระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา โดยมีภาพถ่ายพิธีการรับเสด็จและกิจกรรมมากมาย แต่ก็ยังไม่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป จากนั้นจึงได้มีกิจกรรมที่สานต่อความสัมพันธ์ ต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งพระราชสาส์นสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมือง การส่งพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายร่วมแสดงความยินดีซึ่งกันและกันในโอกาสต่าง ๆ เรื่อยมา

ที่เล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประมวลได้จากเอกสารในหอจดหมายเหตุเท่านั้น เชื่อว่ายังมีเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนี้อีกมากมายที่อาจจะมีเก็บรักษาเอกสารอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ หรืออยู่ที่ประเทศรัสเซียก็ได้

อย่างไรก็ตาม จากวันนั้นถึงวันนี้เวลาได้ล่วงเลยไปนับร้อยปี แต่มิตรภาพและความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศยังคงยั่งยืนสืบมาจนถึงปัจจุบัน พระราชวงศ์ไทยหลายพระองค์ได้เคยเสด็จเยือนรัสเซียเพื่อสานต่อสัมพันธภาพระหว่างประเทศทั้งสอง อาทิ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รวมถึงผู้นำประเทศไทยหลายยุคหลายสมัยที่ได้เดินทางไปเยือนเพื่อแลกเปลี่ยนความร่วมมือทั้งด้านการค้า และวัฒนธรรม อันนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่กระชับแน่น

หลายคนอาจจะมองว่ารัสเซียเพิ่งเปิดประเทศไม่นานความเป็นเมืองปิดมาก่อนอาจทำให้ความสัมพันธ์ที่กล่าวมาแล้วดูจืดจาง แต่จากประสบการณ์ที่ได้ไปพบมาอยากบอกว่าไม่จริงเสมอไป เพราะคราแรกที่ได้พบกับคนรัสเซียความรู้สึกที่ว่าอาจเกิดขึ้นจริงเพราะความที่เขาต้องถูกบังคับให้อยู่ในกรอบและความยากจนมาก่อน เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตรกับทุกคนเช่นที่คนไทยเป็น แต่เมื่อเราบอกว่าเราเป็นคนไทยไปจากเมืองไทยปฏิกิริยาที่ได้รับจะเปลี่ยนไปในทันที มิตรภาพและรอยยิ้มเกิดขึ้นได้ “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” สายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศยังคงอยู่และเชื่อว่าน่าจะสืบทอดยาวต่อไป หากไม่มีเหตุการณ์ใดมาตัดให้ขาดไปเสียก่อน.

โดย อรนุช วานิชทวีวัฒน์ [พี่สาวของแมว ชัยสิทธิ์ วานิชทวีวัฒน์ OSK110]

จันทร์เจ้าขา:



ความสัมพันธ์ ดุจเครือญาติระหว่างสองราชวงศ์ มิตรภาพที่นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างสยาม-รัสเซีย ได้กลายเป็นที่มาของนิทรรศการ “A Passage to Russia : จากเพนียดคล้องช้าง ถึงรัสเซีย” ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 21-29 ตุลาคม 2548 นี้ ณ อาคารเซ็นทรัล เวิล์ด ชั้น 1 โดยความร่วมมือระหว่างสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)

ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหพันธรัฐรัสเซีย เริ่มต้นจากความสัมพันธ์ฉันมิตรอันแนบแน่นระหว่างพระมหากษัตริยาธิราชของทั้งสองประเทศ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และซาร์นิโคลัสที่ 2 จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิรัสเซีย

โดยผ่านเรื่องเล่าของดินแดนอันลี้ลับจากบันทึกนักเดินทางสยามกับรัสเซียรู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการ ในมุมมองของนักเดินทางและนักผจญภัยนิรนามที่เคยย่างกรายเข้ามา ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับรัสเซียในเวลาต่อมากระชับแนบแน่นมากยิ่งขึ้น เมื่อทางรัสเซียได้ส่งคณะนายทหารเรือเข้ามากระชับสัมพันธ์ไมตรีกับสยามต่อมาอีก 2 วาระ คือครั้งแรกเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2416 และครั้งต่อมาในปี พ.ศ.2425 ซึ่งฝ่ายไทยได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมาเยือนครั้งที่ 2 ผู้แทนจากรัสเซีย คือ พลเรือตรี อัสลันเบกอฟ ได้มีโอกาสเข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองกรุงเทพฯ ครบ 100 ปี และได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พบปะสนทนากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีอำนาจในขณะนั้น และแม้ว่าความพยายามที่จะก่อให้เกิดการเซ็นสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียยังไม่บรรลุผล เพราะนโยบายทางเศรษฐกิจของรัสเซียมุ่งความสนใจไปยังคาบสมุทรบอลข่าน และไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการค้าใดๆ กับประเทศในภูมิภาคแถบนี้ แต่การเริ่มต้นที่ดีและผลพวงของความสัมพันธ์ที่กล่าวกันว่า “มีแต่ความชื่นใจ ไมตรีจิตต่อกันเป็นการปูพื้นฐานที่ดีงาม เพื่อขยายสายสัมพันธ์ครั้งหน้าของประเทศทั้งสอง” ก็ได้แนวทางที่นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างจริงจังในเวลาต่อมา

อีกครั้งหนึ่งกับการเสด็จเยือนสยามของเซอร์เรวิช แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลัส ระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2434 กับ 5 วันแห่งความทรงจำในดินแดนนิยายทางตะวันออก ด้วยการต้อนรับอย่างมโหฬารที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับตั้งแต่วันที่เรือพระที่นั่งผ่านสันดอนปากน้ำเข้ามายังท่าเทียบเรือที่ประดับประดาอย่างงดงาม ด้วยข้อความแสดงการต้อนรับเป็นภาษารัสเซีย ทหารกองเกียรติยศสยามที่บรรเลงเพลงชาติรัสเซียรับเสด็จ จนกระทั่งถึงวันส่งเสด็จกลับ จนถึงกับเกิดคำพูดกล่าวเปรียบเปรยกันติดปาก สัพยอกใครต่อใครที่ทำอะไรใหญ่โตหรูหราว่า “ยังกับรับซาร์จากรัสเซีย”

3 วันในพระนคร ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพอันยืนยง ในพระราชวังสราญรมย์ได้รับการตกแต่งอย่างดีที่สุด เพื่อให้มิตรจากต่างแดนสุขสบายราวบ้านตน พิธีพระราชทาน “สายสะพายจักรี” สีเหลืองสด ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ ชั้นสูงสุดของไทยที่สงวนไว้เฉพาะผู้มีกำเนิดเป็นเจ้านายชั้นสูง แด่ แกรนด์ ดุ๊ก ซาร์เรวิช ถือเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ถึงความยินยอมพร้อมใจ ที่จะรับอาคันตุกะจากอีกซีกโลกเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวจักรี

รวมถึงการ “ปิกนิก” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และการคล้องช้างครั้งสุดท้ายของแผ่นดินสยาม 2 วันสุดท้าย ซาร์เรวิชและคณะเสด็จไปพระราชวังบางปะอิน โดยพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชทานการรับรองในลักษณะของการปิกนิกแบบไทย ที่ไปกันเป็นคณะใหญ่จำนวน 3,000-4,000 กว่าคน และมีเรือเข้าร่วมขบวนเสด็จจำนวนนับร้อย สิ่งสำคัญที่สุดของการต้อนรับครั้งนี้ คือจัดให้มีพระราชพิธีคล้องช้างเกิดขึ้นที่เพนียด เป็นพระราชพิธีคล้องช้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และถือเป็นครั้งสุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์เพราะการคล้องช้างป่าต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างมาก และยังถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ไม่ได้จัดขึ้นอย่างง่ายๆ

การถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่นของรัฐบาลไทยครั้งนั้นได้ผูกพระทัยซาร์เรวิชกับชาวสยามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการโคจรมาพบกันของเจ้าชายรัชทายาท จากดินแดนอันหนาวเย็นและองค์พระประมุขของประเทศที่พระอาทิตย์ทอแสงตลอดปี ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ลงตัวในความแตกต่าง แม้จะมีพระชนมายุที่ห่างกันถึง 15 พรรษา และมีบุคลิกที่ต่างกันไปคนละขั้ว

จนเมื่อถึงคราที่การเสด็จประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสรัสเซีย เมื่อ พ.ศ.2440 ซึ่งอยู่ในแผนการเสด็จประพาสยุโรปเพื่อใช้ “กลยุทธ์ทางการทูต” ผูกสัมพันธ์ไมตรีและสร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ

ซึ่งการเยี่ยมเยียน “คนคุ้นเคย” ที่ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชย์ เป็นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แล้ว ด้วยหมายกำหนดการเสด็จประพาสยุโรปที่กินระยะเวลากว่า 9 เดือน โดยในวันพระฤกษ์ 7 เมษายน 2440 เรือพระที่นั่งมหาจักรีก็ออกเดินทางจากปากน้ำสมุทรปราการ ผ่านมหาสมุทรอินเดีย ก่อนเข้ายุโรป โดยเสด็จขึ้นบกที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี เป็นแห่งแรกราวกลางเดือนพฤษภาคม และเสด็จพระราชดำเนินเข้าเขตประเทศรัสเซียในวันที่ 1 กรกฎาคม ปีเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ผิดหวังแม้แต่น้อย

ทั้งนี้เป็นเพราะตั้งแต่วันแรกที่ทรงประทับอยู่ที่กรุงวอร์ซอ ซึ่งในเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ทั้งเจ้าชายอาโนเลนสกี และนายพลเรืออาร์เซนเมียฟ แห่งรัสเซีย ต่างคอยถวายการต้อนรับตามพระราชบัญชาอย่างสมพระเกียรติ ทุกหนแห่งล้วนแสดงออกถึงความชื่นชมยินดี สถานีที่ขบวนรถไฟพระที่นั่งผ่านต่างก็ “ตกแต่งด้วยใบ (ไม้) ดอกไม้” ถวายเป็นพระเกียรติยศ

ส่วนการเดินทางสู่ราชสำนักรัสเซีย ณ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กก็แสนสะดวกสบาย “รถพระที่นั่งใช้จักร” ที่ซาร์นิโคลัสจัดถวายนั้น ตกแต่งในรถนอกรถอย่างประณีต จนผู้มาในรถไฟ รู้สึกราวกับว่าอยู่ในวังอันงาม มีความผาสุขเป็นอย่างมาก

ซึ่งในการพบกันอีกครั้งที่ต่างพระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเสมอกันในฐานะพระประมุขเป็นครั้งแรกนี้ ต่างก็ถวายพระเกียรติสูงสุดแก่กัน และแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมระหว่าง 2 ราชวงศ์ที่มีต่อกันมาก่อนหน้าการเสด็จประพาสครั้งนี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวสยาม ทรงเครื่องเต็มยศอย่างจอมพล ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เซนต์แอนดรูว์ ส่วนพระประมุขรัสเซียก็ทรงเครื่องเต็มยศประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์

ด้วยระยะเวลา 11 วันในดินแดนปิยมิตร แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียจะเริ่มต้นมานานแล้ว แต่ถือเอาวันที่ 3 กรกฎาคม 2440 เป็นวันแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นวันที่พระเจ้าแผ่นดินสยามได้เหยียบย่างเข่าสู่แผ่นดินรัสเซียอย่างแท้จริง และได้สานมิตรภาพหลังการเสด็จเยือนรัสเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามและพระประมุขรัสเซียที่เป็นไปอย่างอบอุ่นดุจญาติพี่น้อง ยิ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในเวลาต่อมา

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนครในเดือนเมษายน 2441 ในปีต่อมาพระองค์ได้ส่ง “ ทูลกระหม่อมเล็ก “ หรือสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ไปศึกษาวิชาทหาร ณ ประเทศรัสเซียพร้อม “นายพุ่ม” นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงคนแรกจากสวนกุหลาบฯอีกคนหนึ่ง (ต่อมานายพุ่มกลายเป็นทหารในกองทัพรัสเซีย และใช้ชื่อว่า "พุ่มสกี้") การเสด็จไปศึกษาต่อนี้เป็นไปตามคำทูลขอของพระเจ้าซาร์ที่ขอให้รัขกาลที่ 5 ทรงส่งพระราชโอรสพระองค์หนึ่งไปเรียนต่อที่รัสเซีย โดยพระองศ์จะทรงชุบเลี้ยงและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทูลกระหม่อมเล็กอยู่ในพระราชอุปการะ และเป็นที่รักใคร่ในสมเด็จพระจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 และสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นอย่างยิ่ง เป็น “สายสัมพันธ์ที่มีชีวิต” ซึ่งเชื่อมโยงราชสำนักทั้ง 2 ให้สนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

อีกทั้งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเริ่มต้นเมื่อซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงแต่งตั้งอเล็กซานเดอร์ โคลารอฟสกี มาดำรงตำแหน่งอุปทูตรัสเซียประจำสยามเป็นคนแรกในปี 2441 และทางสยามก็ได้แต่งตั้งพระยาสุริยานุวัตรราชทูตไทย ณ กรุงปารีส มีอำนาจรับผิดชอบครอบคลุมถึงรัสเซีย และต่อมาได้แต่งตั้งพระยามหิบาลบริรักษ์ ( สวัสดิ์ ภูมิรัตน์ ) เป็นอัครทูตคนแรก ณ กรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อพุทธศักราช 2442

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในของรัสเซียที่เกิดขึ้นอีก 6 ปีต่อมา ใน พ.ศ. 2460 จะทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยมีหยุดลงชั่วคราว เมื่อรัสเซียเปลี่ยแปลงการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิก แต่เหตุการณ์ทางการเมืองนี้หาได้ลบเลือนความทรงจำอันงดงามที่เคยเกิดขึ้นในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ไม่ ร่องรอยแห่งเกียรติภูมิและความผูกพันที่แน่นแฟ้นระดับราชวงศ์ยังคงเปล่งเสียผ่านรายทางของสถานที่ต่างๆ ของทั้ง 2 ราชอาณาจักรอยู่ไม่เสื่อมคลาย




* 185px-King_and_Tsar (WinCE).jpg (25.67 KB, 260x320 - ดู 812 ครั้ง.)

* 220px-Tsar_Nicholas_II_-1898 (WinCE).jpg (16.96 KB, 226x320 - ดู 1382 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 06:07:11 »

     วันนี้วันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2555
..........
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2387 (ค.ศ. 1844) - บางกอกรีคอเดอ (Bangkok Recorder) หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยออกวางจำหน่าย
บางกอกรีคอเดอ (The Bangkok Recorder ทับศัพท์แบบปัจจุบัน บางกอกรีคอร์เดอร์) หรือชื่อไทย หนังสือจดหมายเหตุ เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยเล่มแรก ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2387-2388 และอีกครั้งระหว่างปี พ.ศ. 2407-2411 เขียนและพิมพ์โดยหมอบรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน ในระยะแรกเริ่มออกฉบับรายเดือน ต่อมาเปลี่ยนเป็นรายปักษ์หรือรายครึ่งเดือน

[แก้] ประวัติหมอบรัดเลย์ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาตกับรัชกาลที่ 3 เมื่อบรรดาอำมาตย์มุขมนตรีให้การสนับสนุนแล้ว จึงได้ออกหนังสือพิมพ์ขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ ยังไม่มีใครรู้จัก จนบางคนคิดว่า มันเป็นเพียงจดหมายเหตุธรรมดา ถึงกับมีคนเรียกว่า จดหมายเหตุอย่างส


* oOP_I_ (WinCE).jpg (19.85 KB, 244x320 - ดู 806 ครั้ง.)

* imagesCATGOR72 (WinCE).jpg (8.67 KB, 223x320 - ดู 765 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 06:09:13 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 05:53:07 »

     วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฏาคม 2555
..............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2401 (ค.ศ. 1858) - ตั้งเมืองสมิงบุรี เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ เมืองท่ากระดาน ขึ้นกับกาญจนบุรี
สมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 แต่งตั้งผู้นาชาวมอญที่อยู่ชายแดนเมือง กาญจนบุรี เป็นเจ้าเมือง 7 เมืองดังนี้
(1)เมืองทองผาภูมิ พระทองผาภูมิ เป็นพระเสละภูมาธิการ
(2)เมืองท่าขนุน พระท่าขนุน เป็นพระบัณณศดิฐบดี
(3)เมืองไทรโยค พระไทรโยค เป็นพระนิโคธาพิโยค
(4)เมืองท่าตะกั่ว พระท่าตะกั่ว เป็นพระชินดิษฐบดี
(5)เมืองลุ่มสุ่ม พระลุ่มสุ่ม เป็นพระนิลนะภูมิบดี
(6)เมืองสมิงสิงหบุรี พระสมิงสิงห์บุรี เป็นพระสมิงสิงหบุรินทร์
(7)เมืองท่ากระดาน พระท่ากระดาน เป็น พระกติธนดี
เมืองรามัญของชาวมอญทั้ง 6 แห่งแรกอยู่ริมแม่น้าแควน้อย ส่วนเมืองท่ากระดานอยู่ริมแม่น้าแควใหญ่ แต่ละเมืองมีกรมการเมือง ล้วนเป็นชาวมอญ คนมอญในเมืองทั้งเจ็ดมีฐานะเป็นไพร่หลวง ทาหน้าที่ร่อนทองที่คลองปีลอก คลองห้วยมูล เขตเมืองทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในฤดูแล้งราวเดือนธันวาคมถึงมกราคม ไพร่ชาวมอญจึงถูกเรียกว่า “ไพร่ส่วยทอง” บางปีมีการเกณฑ์อิฐจากมอญมณฑลราชบุรี เพื่อสร้างพระราชวังที่เพชรบุรี นอกจากนั้นทาหน้าที่สืบข่าวคราวชายแดน ลาดตะเวณรักษาชายแดน ฯลฯ
เจ้าเมืองรามัญทั้ง 7 มีการสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัดหลายวัด เช่นพระท่าขนุนได้ปฏิสังขรณ์วัดคงคาราม ซึ่งเรียกวัดคงคารามเป็นภาษามอญว่า “เภี่ยโต้” แปลว่า วัดกลาง เป็นวัดศูนย์กลางของวัดมอญสองฝั่งน้าแม่กลอง ตั้งแต่บ้านโป่งถึงโพธาราม วัดนี้ต่อมเจ้าอาวาสมีสมณศักดิ์เป็น พระครูรามัญญาธิบดี
ต่อมา ในพศ.2438 รัชกาลที่ 5 ปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล โปรดฯให้ยุบเลิกเมืองรามัญทั้งเจ็ดเป็นอาเภอ กิ่งอาเภอ ตาบล หมู่บ้าน ตามแบบแผนใหม่ เมืองรามัญทั้งเจ็ดจึงถูกเปลี่ยนเป็นดังนี้
(1)เมืองทองผาภูมิ ของพระเสละภูมาธิการ ยุบเป็นหมู่บ้านในกิ่งอาเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ทายาทได้สืบสายตระกูลเสลานนท์ เสลาคุณ
(2)เมืองท่าขนุน ของ พระบัณณศดิฐบดี ยุบเป็นกิ่งอาเภอสังขละบุรี ขึ้นกับอาเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี ทายาทได้สืบสายตระกูลหลักคงคา
(3)เมืองไทรโยค ของพระนิโคธาพิโยค ยุบเป็นกิ่งอาเภอไทรโยค อาเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรีทายาทได้สืบสายตระกูล นิโชยโยค นิโครธา นิไทรโยค พระไทรโยค มะมม
9
(4)เมืองท่าตะกั่ว ของพระชินดิษฐบดี ยุบเป็นหมู่บ้านในกิ่งอาเภอไทรโยค อาเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี ทายาทได้สืบสายตระกูลชินอักษร ชินบดี ชินหงษา มัญญหงษ์ ท่ากั่ว
(5)เมืองลุ่มสุ่ม ของพระนิลนะภูมิบดี ยุบเป็นหมู่บ้านในกิ่งอาเภอไทรโยค อาเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี ทายาทได้สืบสายตระกูลนินบดี นิลบดี นินทบดี จ่าเมือง หลวงบรรเทา หลวงพันเทา พระบรรเทา
(6)เมืองสมิงสิงหบุรี ของพระสมิงสิงหบุรินทร์ ยุบเป็นหมู่บ้านในเขตอาเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรีทายาทได้สืบสายตระกูล สิงคิบุรินทร์ ธารงโชติ
(7)เมืองท่ากระดาน ของพระกติธนดี ยุบเป็นหมู่บ้านในกิ่งอาเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรีทายาทได้สืบสายตระกูล พลบดี ตุลานนท์ (ดู สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “เครือญาติ”มอญ ลุ่มน้าแม่กลอง 2547 หน้า 171-181)


* imagesCA1ZAB8U (WinCE).jpg (9.06 KB, 240x162 - ดู 744 ครั้ง.)

* imagesCA7NTPMA (WinCE).jpg (8.93 KB, 240x320 - ดู 775 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 06 กรกฎาคม 2012, 06:09:08 »

     วันนี้วันศุกร์ที่ 6 กรกฏาคม 2555
............
6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475
- พระเจนดุริยางค์ ได้ประพันธ์ทำนองเพลงชาติขึ้นใหม่ ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะราษฎร

ทำนองเพลงชาตินี้ยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
.
เพลงชาติไทย เป็นชื่อเพลงชาติของประเทศไทย ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คำร้องฉบับแรกสุดโดยขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังในปีเดียวกัน ต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อร้องอีกหลายครั้งและได้เปลี่ยนมาใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2482

ฉบับปัจจุบัน
เพลงชาติไทย

ทำนอง: พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
คำร้อง: พันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ในนามกองทัพบก

ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย



* imagesCA77B5AJ (WinCE).jpg (7.25 KB, 239x320 - ดู 787 ครั้ง.)

* imagesCAB4FSZK (WinCE).jpg (4.31 KB, 240x187 - ดู 754 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2012, 06:19:34 »

     วันนี้วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2555
...............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลงส้มตำ ไปขับร้องโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
 
 เนื้อเพลงส้มตำ ลายพระหัตถ์  

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์เพลงที่ผู้คนรู้จักกกันดีก็คือ "ส้มตำ" จากการขับร้องของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า ผู้ขับร้องเพลงนี้คนแรกก็คือ บุปผา สายชล

เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มตำ บรรเลงครั้งแรกโดยวง อ.ส.วันศุกร์ โดยทรงขับร้องด้วยพระองค์เอง ต่อมามีผู้ขอพระราชทานนำเพลงนี้ไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง ส้มตำ (พ.ศ. 2516) โดยมีบุปผา สายชลเป็นผู้ขับร้อง ส้มตำเป็นภาพยนตร์แนวบู๊ ที่ได้สมบัติ เมทะนี มาแสดงนำ และจึงมีการนำเพลงส้มตำ มาใส่ทำนองเพลงมาร์ช และให้มีการขับร้องหมู่ ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ร่วมขับร้อง ก็รวมถึง สมบัติ เมทะนี ด้วย ต่อมา พุ่มพวง ดวงจันทร์ นำมาร้องในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2534
...............................





* Somtum02.jpg (58.07 KB, 368x500 - ดู 2000 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 กรกฎาคม 2012, 06:22:28 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2012, 08:39:23 »

     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฏาคม 2555
...............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี มรณภาพด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ด้วยวัย 87 ปี
         พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินทปัญโญ) วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสวนโมกขพลารามเพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกจากนี้ผลงานของท่านพุทธทาสภิกขุยังมีปรากฏอยู่มากมายทั้งในรูปพระธรรมเทศนา และในงานเขียน โดยท่านตั้งใจทำการถ่ายทอดพระพุทธศาสนาให้อยู่ในฐานะที่เป็นพุทธะศาสนาอย่างแท้จริง นั่นคือเป็นศาสนาแห่งความรู้ ไม่เจือปนไปด้วยความหลงผิดที่เข้าแทรกจนกลายเป็นเนื้อร้ายที่คอยกัดกิน ได้แก่เรื่อง พุทธพาณิชย์, ไสยศาสตร์ และเรื่องความหลงใหลในลาภยศของพระสงฆ์ ฯลฯ อีกทั้งคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุก็ได้ถูกถ่ายทอดให้อยู่ในรูปแบบที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ โดยที่ยังคงเนื้อหาสำคัญไว้ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งคำสอนของท่านยังรวมไปถึงเรื่องทั่วๆ ไปด้วย เช่น การทำงาน, การเรียน ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน
        ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือฉายาก่อนหน้านี้ว่า อินทปัญโญ แปลว่า ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่ ก่อนบวชท่านมีชื่อว่า เงื่อม นามสกุล พานิช เกิดวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2449 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรชายคนโตของนายเซี้ยง และนางเคลื่อน มีน้องสองคน ผู้ชายชื่อ ยี่เก้ย ผู้หญิงชื่อ กิมซ้อย

        บิดาของท่านประกอบอาชีพค้าขายเฉกเช่นที่ชาวไทยเชื้อสายจีนทั่วไปนิยมทำกัน ส่วนอิทธิพลที่ได้รับมานั่นก็คือ ความสามารถทางด้านกวี และทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงานอดิเรกของบิดา ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดา คือความสนใจในการศึกษาธรรมะ ส่วนทางด้านการเล่าเรียนนั้นท่านต้องออกจากโรงเรียนตอน ม.3 เพื่อมาช่วยมารดาค้าขาย หลังจากที่บิดาของท่านถึงแก่กรรม
        พออายุได้ 20 ปี ก็ได้บวชเป็นพระตามคตินิยมของชายไทย ที่[[วัดโพธาราม[[ โดยได้รับฉายาว่า “อินทปัญโญ” เดิมท่านตั้งใจจะบวชเพียง 3 เดือน แต่ด้วยความชอบที่จะศึกษาและเทศน์แสดงธรรมทำให้ท่านไม่อยากสึก เล่ากันว่าครั้งหนึ่งท่านเจ้าคณะอำเภอเคยถามท่านว่า มีความเห็นอย่างไรในการใช้ชีวิต ท่านตอบว่า “ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ แก่เพื่อนมนุษย์ ให้มากที่สุด” และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่ถ้ายี่เก้ยจะบวช ผมก็ต้องสึกออกไปอยู่บ้านค้าขาย” ท่านเจ้าคณะอำเภอจึงไปคุยกับโยมแม่ของท่านว่าควรให้ท่านบวชเป็นพระต่อไป ส่วนยี่เก้ย น้องชายของท่านนั้นไม่ต้องบวชก็ได้เพราะมีชีวิตเหมือนพระอยู่แล้ว คือเป็นคนมักน้อย สันโดษ การกินอยู่ก็เรียบง่าย ตัดผมสั้นเกรียนตลอดเวลา ยี่เก้ยก็เลยไม่ได้บวชให้พี่ชายบวชแทนมาตลอด ซึ่งต่อมายี่เก้ยก็คือ “ท่านธรรมทาส” ฆราวาสผู้เป็นกำลังหลักของคณะธรรมทานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสวนโมกขพลาราม

        หลังจากนั้นท่านได้เดินทางมาศึกษาธรรมะต่อที่กรุงเทพฯ จนสอบได้นักธรรมเอก ด้วยความที่ท่านเป็นคนรักการศึกษาค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และยังค้นคว้าออกไปจากตำราถึงเรื่องการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา อินเดีย และการเผยแพร่ พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก ทำให้ท่านรู้สึกขัดแย้งกับวิธีการสอนธรรมะที่ยึดถือตามระเบียบแบบแผนมากเกินไป รวมถึงความหย่อนยานในพระวินัยของสงฆ์ตลอดจนความเชื่อที่ผิดๆ ของ พุทธศาสนิกชนในขณะนั้น ซึ่งท่านมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกันในเวลานั้นคลาดเคลื่อนไปจากที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ ท่านจึงตัดสินใจหันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์ เดินทางกลับไชยาเพื่อศึกษาและทดลองปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านเชื่อ โดยร่วมกับยี่เก้ยซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นธรรมทาส และยังมีคณะธรรมทานในการช่วยจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม “สวนโมกขพลาราม” ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 ต่อมาก็ได้ประกาศใช้ชื่อนาม “พุทธทาส” เพื่อแสดงถึงอุดมคติสูงสุดในชีวิตของท่าน

        ท่านได้รับสมณศักดิ์สูงสุดเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมโกศาจารย์ เมื่อปี 2520 ส่วนในระดับนานาชาตินั้น ปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่มีแผนกสอนวิชาศาสนาสากล ในหลายประเทศล้วนศึกษางานของท่าน มีหนังสือได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน อินโดนีเซีย กว่า 20 เล่ม จากต้นฉบับภาษาไทยทั้งหมด 140 เล่ม

        ท่านพุทธทาสได้ละสังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 สิริรวมอายุได้ 87 พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่าน ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธานของท่านจะได้ไม่ตายไปจากพระพุทธศาสนา

[แก้ไข] "ยูเนสโก" ยกย่อง "ท่านพุทธทาส" 1 ใน 63 บุคคลสำคัญของโลก
        การประชุมสมัยสามัญองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2548 พิจารณาการยกย่องเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญ หรือผู้มีผลงานดีเด่นและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประจำปี 2549-2550 รวม 63 คน/สถาบัน รวมถึงท่านพุทธทาสภิกขุ ถือได้ว่าท่านเป็นคนไทยคนที่ 18 ที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
        โดยท่านมีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนก็คือ เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมด และหัวใจของทุกศาสนาก็เหมือนกันหมด คือต้องการให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ ท่านจึงได้ตั้งปณิธานในชีวิตไว้ 3 ข้อ คือ

ให้พุทธศาสนิกชนหรือศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งที่สุดแห่งศาสนาของตน
ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยม
        ซึ่งก็มีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน หาว่าท่านจาบจ้วงพระพุทธศาสนาหรือรับจ้างคนคริสต์มาทำลายล้างพระพุทธศาสนา แต่ผลจากการอุทิศชีวิตถวายแด่พระศาสนาของท่าน ทำให้ท่านได้รับการนับถือจากพุทธศาสนิกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยท่านพุทธทาสภิกขุมรณภาพเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 สิริรวมอายุได้ 87 ปี และเป็นพระทั้งหมด 67 พรรษา คงเหลือไว้แต่ผลงานที่แทนตัวท่านให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาปณิธานของท่านต่อไป



* A6545 (WinCE).jpg (16.19 KB, 203x320 - ดู 749 ครั้ง.)

* Buddhadasa280 (WinCE).jpg (16.41 KB, 320x320 - ดู 924 ครั้ง.)

* A61111 (WinCE).jpg (12.81 KB, 240x173 - ดู 731 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2012, 20:31:13 »

    วันนี้วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2555
...............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลงส้มตำ ไปขับร้องโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
 
 เนื้อเพลงส้มตำ ลายพระหัตถ์  

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์เพลงที่ผู้คนรู้จักกกันดีก็คือ "ส้มตำ" จากการขับร้องของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า ผู้ขับร้องเพลงนี้คนแรกก็คือ บุปผา สายชล

เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มตำ บรรเลงครั้งแรกโดยวง อ.ส.วันศุกร์ โดยทรงขับร้องด้วยพระองค์เอง ต่อมามีผู้ขอพระราชทานนำเพลงนี้ไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง ส้มตำ (พ.ศ. 2516) โดยมีบุปผา สายชลเป็นผู้ขับร้อง ส้มตำเป็นภาพยนตร์แนวบู๊ ที่ได้สมบัติ เมทะนี มาแสดงนำ และจึงมีการนำเพลงส้มตำ มาใส่ทำนองเพลงมาร์ช และให้มีการขับร้องหมู่ ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ร่วมขับร้อง ก็รวมถึง สมบัติ เมทะนี ด้วย ต่อมา พุ่มพวง ดวงจันทร์ นำมาร้องในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2534
...............................




ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของคุณ พุ่มพวงครับ
ถาพความทรงจำในวันนั้นหวนกลับมาอีกครั้งครับ ชอบเสียงและความสามารถของคุณพุ่มพวงครับ(จะมีกี่คนที่รู้ว่า คุณพุ่มพวงเป็น นักร้องที่อ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้)
ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 06:34:19 »

     วันนี้วันจันทร์ที่ 9 กรกฏาคม 2555
.................
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) - สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร พระราชทานพระบรมราชานุญาต สถาปนาเครือรัฐออสเตรเลีย รวมอาณานิคมบนทวีปออสเตรเลียให้อยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน
เหตุการณ์
พ.ศ. 2359 (ค.ศ. 1816) - อาร์เจนตินาประกาศเอกราชจากสเปน
พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) - สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร พระราชทานพระบรมราชานุญาต สถาปนาเครือรัฐออสเตรเลีย รวมอาณานิคมบนทวีปออสเตรเลียให้อยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน
พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) - จอห์นนี ไวส์มัลเลอร์ ทำลายสถิติโลกการแข่งขันว่ายน้ำฟรีสไตล์ 100 เมตร ด้วยเวลา 58.6 วินาที ซึ่งเป็นเวลาต่ำกว่าหนึ่งนาทีเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) - สงครามโลกครั้งที่สอง: กองทัพแห่งสหราชอาณาจักรและแคนาดาเข้ายึดครองเมืองก็องของประเทศฝรั่งเศสในยุทธภูมินอร์มังดี
พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) - เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ประกาศคำประกาศรัสเซลล์-ไอน์สไตน์
พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) - จัดตั้งอุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจาและอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - เกิดระเบิดขึ้นสองครั้งที่นครเมกกะทำให้ผู้แสวงบุญรายหนึ่งเสียชีวิตและบาดเจ็บอีก 16 ราย
พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) - จัดตั้ง รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล
พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - ไมค์ ไทสัน ถูกปรับ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกแบนไม่ให้ขึ้นชก หลังจากกัดใบหูของอีแวนเดอร์ โฮลิฟิลด์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ลาสเวกัส
พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - สหภาพแอฟริกา ก่อตั้ง ณ แอดดิสอาบาบา ประเทศเอธิโอเปีย
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - ทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี โดยดวลจุดโทษชนะฝรั่งเศส 5-3 หลังจากที่เสมอกันในเวลา 1-1 ประตู
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ คว้าแชมป์เทนนิสวิมเบิลดันเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นแกรนด์สแลมรายการที่ 8 ด้วยการเอาชนะราฟาเอล นาดาล 3-1 เซต
พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - เครื่องบินสายการบินซีเบียร์ของรัสเซีย ไถลออกนอกรันเวย์ พุ่งชนทะลุที่กั้นคอนกรีตสูง 2 เมตร ระเบิดสนั่นสนามบินเมืองอีร์คูตส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบคน
วันเกิด
พ.ศ. 2399 (ค.ศ. 1847) - หวง เฟยหง ปรมาจารย์กังฟูและแพทย์ชาวจีน (เสียชีวิต พ.ศ. 2467)
พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932) - โดนัลด์ รัมสเฟลด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) - โอ.เจ. ซิมป์สัน นักฟุตบอลและนักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) - ทอม แฮงส์ นักแสดงชาวอเมริกัน
พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) - เฉาเก๋อ นักร้อง/นักแต่งเพลงชาวมาเลเซีย
พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) - วสันต์ กันทะอู นักแสดงชาวไทย
วันถึงแก่กรรม
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) - สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในรัชกาลที่ 5 (ประสูติ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2404)
พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) - วินิเชียส เดอ มอเรียน นักเขียน กวี และนักแต่งเพลงชาวบราซิล (เกิด 19 ตุลาคม พ.ศ. 2456)
พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - ปราจีน ทรงเผ่า นักดนตรีชาวไทย (เกิด 10 ธันวาคม พ.ศ. 2489)
วันสำคัญ
วันเอกราชในอาร์เจนตินา
วันรัฐธรรมนูญในปาเลา
วันรัฐธรรมนูญในปาเลา
...................................
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 07:07:27 »

     วันนี้วันอังคารที่ 10 กรกฏาคม 2555
................
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) - สหรัฐอเมริกาเข้าครอบครองดินแดนฟลอริดาที่ซื้อมาจากประเทศสเปน
พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) - สหรัฐอเมริกาเข้าครอบครองดินแดนฟลอริดาที่ซื้อมาจากประเทศสเปน
รัฐฟลอริดา (Florida) เป็นรัฐที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่รู้จักกันในนาม ซันไชน์สเตต (Sunshine State) มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นแหลมตั้งอยู่ระหว่าง อ่าวเม็กซิโก, มหาสมุทรแอตแลนติก และช่องแคบฟลอริดา คำว่า "ฟลอริดา" เป็นภาษาสเปนซึ่งหมายถึง "ที่ซึ่งอุดมไปด้วยดอกไม้" ชื่อของแหลมฟลอริดาตั้งชื่อโดยควน ปอนเซ เด เลออง (Juan Ponce de León) ซึ่งมาเทียบที่ชายฝั่งเมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2056 (ค.ศ. 1513) ในช่วงเทศกาล "ปัสกวาโฟลรีดา" (Pascua Florida) หรือช่วงเทศกาลอีสเตอร์ของชาวสเปน วันปัสกวาโฟลรีดาจัดขึ้นในวันที่ 2 เมษายนของทุกปี และยังเป็นวันหยุดราชการด้ว


* DdateData1007TOM02.jpg (9.31 KB, 216x300 - ดู 720 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 07:11:26 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 07:13:53 »

     หลายข้อความที่ขาดหาย
...................
วันนี้วันเกิดของนักเขียนชื่อดัง ทมยันตี
........
ชื่อ  นางวิมล  ศิริไพบูลย์
เจ้าของนามปากกา  ทมยันตี,  ลักษณวดี,  กนกเรขา,  โรสลาเรน   
เกิด  วันที่ 10  กรกฎาคม  พ.ศ.2480  ที่บ้านตรอกวัดสะพานสูง  บางซื่อ  กรุงเทพฯ 
การศึกษา  เรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 8 ที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์และศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนไปเรียนที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี  จนได้วุฒิอนุปริญญา

ประวัติชีวิตและผลงาน  วิมล  ศิริไพบูลย์  "ทมยันตี"
ประวัติการทำงาน
   ในขณะที่เรียนชั้นปีที่ 3  ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ไปสมัครเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์
และเมื่อโรงเรียนรับสมัครเข้าเป็นอาจารย์  จึงลาออกจากการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพครู และขณะเดียวกันนั้นก็ทำงานเขียน
หนังสือไปพร้อมๆกันด้วย  ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นนักเขียนที่มีชื่อในปัจจุบันทมยันตีได้ผ่านการฝึกหัดการเขียนมาตั้งแต่วัยเด็กโดยไม่
รู้ตัว  เมื่อครั้งเป็นเด็ก  มารดาให้อ่านหนังสือทุกวันหลังจากที่อ่านหนังสือจบก็ต้องทำการย่อความมาส่งซึ่งการฝึกหัดเช่นนี้ทำให้
กลายมาเป็นคนรักการอ่าน  และในขณะเดียวกันก็ทำให้มีความสามารถในการเขียนอีกด้วยเมื่อขณะอายุได้  14 ปี ซึ่งตอนนั้นเป็น
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4  ได้เขียนเรื่องสั้นเป็นครั้งแรก  ชื่อเรื่อง  "ตุ๊กตายอดรัก" จากนั้นเพื่อนๆเห็นว่าแต่งได้ดีจึงช่วยกันส่ง
ไปลงนิตยสาร  "ศรีสัปดาห์"  นับจากนั้นก็เขียนเรื่องสั้นเรื่อยมาและได้ลงตีพิมพ์ทุกครั้ง  เป็นระยะเวลากว่า 11 ปี จนกระทั่งเมื่อ
อายุได้ประมาณ  19 ปี  ได้เขียนนวนิยายเรื่องแรก  คือ  เรื่อง "ในฝัน"  โดยใช้นามปากกาว่า"โรสลาเรน"ซึ่งได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร
"ศรีสัปดาห์"ผลปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางและนับตั้งแต่นั้นมาจึงได้หันมาเขียนนวนิยายอย่างจริงจังและได้ลา
ออกจากการสอนหนังสือ  และมาเป็นนักประพันธ์อาชีพในที่สุดโดยนามปากกาที่ใช้มีทั้งหมด  4  นามปากกา  คือ  ทมยันตี,
 ลักษณวดี,  กนกเรขา  และโรสลาเรน  ซึ่งจะมีการใช้นามปากกาแตกต่างกันออกไป  คือ "โรสลาเรน" ใช้สำหรับ
เรื่องรักพาฝัน  เรื่องจินตนิยาย  เช่นเรื่อง  ในฝัน,  โสมส่องแสง,  รอยอินทร์,ตราบแผ่นดินกลบหน้า  ล่าสุดคือ  เมฆขาว
"ลักษณวดี" ใช้สำหรับนิยายรัก ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาของเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายที่เจ้าของนามปากกาเรียกว่า  "ลิเกฝรั่ง"
 อย่างเช่น  ดั่งดวงหฤทัย,  มหารานี,  เลือดขัตติยา,  ธุวตารา  และล่าสุด เจ้าแห่งรัตติกาล"กนกเรขา" ใช้สำหรับแต่งเรื่อง
 ที่ตลก เบาสมอง  เพื่อผ่อนคลายความเครียดของตัวเอง  เช่น เรื่องอุบัติเหตุ,  แรงรัก,  พ่อปลาไหล  ฯลฯและที่สร้างชื่อเสียงมาก
ที่สุด  คือ  นามปากกา  "ทมยันตี" ซึ่งใช้แต่งเรื่องราวที่สะท้อน ชีวิต  และสังคม  โดยเริ่มจากเรื่อง รอยมลทิน เป็นเรื่องแรก
และมีผลงานที่โด่งดังตามมาอีกมาก  เช่น  คู่กรรม  คำมั่นสัญญา  พิศวาส  ทวิภพ  รวมทั้งเรื่องแนวจิตวิญญาณ  อย่าง  ฌาน  จิตา
มายา  และแนวประวัติศาสตร์  อาทิ  ร่มฉัตร,  สุริยวรรมัน,  อธิราชา,  กษัตริยา
   นวนิยายจากทุกนามปากกาของ  วิมล  ศิริไพบูลย์  นั้น  มีผู้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์  และละครโทรทัศน์ และหลายเรื่องถูก
นำสร้างซ้ำกันหลายครั้งในหลายยุคหลายสมัย  เช่นเรื่อง  ในฝัน  ค่าของคน  ทวิภพ  คู่กรรม  พ่อปลาไหล  คำมั่นสัญญา  ฯลฯ
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ปรากฏว่ามีผลงานเรื่องใดของคุณวิมล  ศิริไพบูลย์  ที่ได้รับรางวัลใดๆเลยซึ่งก็เป็นเพราะผู้ประพันธ์ไม่
ประสงค์ที่จะให้ใครนำผลงานของเธอไปประกวดหรือแข่งขัน  เหตุอีกประการที่เธอปฏิเสธการรับรางวัลทั้งปวงนั้น เราได้รับ
การยืนยันจากปากของทมยันตีเองว่า  "ฉันเคยได้รับรางวัลจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  มาแล้ว นั่นคือรางวัล
สูงสุดในชีวิต  จากนั้นไม่เคยอยากได้รางวัลใดๆอีก"
   นอกจากจะมีความสามารถในการเขียนแล้ว  ทมยันตียังมีชื่อเสียงโด่งดัง  เป็นที่นิยมอย่างสูงในฐานะนักพูดแนวการพูดของ
ทมยันตีคือแนวโน้มให้ประชาชนรักชาติเสียสละเพื่อชาติ และมีความยึดมั่นในชาติ  ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชื่อเสียงของทมยันตี
จึงแพร่สะพัดยิ่งขึ้นจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง  ไม่เฉพาะในการเขียนนวนิยายภายหลังปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่  6
ตุลาคม  2519  "ทมยันตี"  หรือ  วิมล  ศิริไพบูลย์  จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม  แต่งตั้ง  ให้เป็น
"สมาชิกสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน"  นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่วงการนักเขียนได้รับเกียรติยศนี้ ล่าสุดกับตำแหน่งทางการเมือง
เธอได้รับการไว้วางใจให้เป็นผู้อำนวยการขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(ขสกม.)ซึ่งเป็นสตรีคนแรกและเป็นคนเดียวที่ดำรงตำ
แหน่งนี้เครื่องราชอิสริยภรณ์ที่ได้รับคือ  ตริตาภรณ์มงกุฎไทย  ตริตาภรณ์ช้างเผือก  และทุติยาภรณ์มงกุฎไทย



* DdateData1007TOM02 (WinCE).jpg (7.63 KB, 230x320 - ดู 718 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 06:17:38 »

     วันนี้วันพุธที่ 11 กรกฏาคม 2555
............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1892) – ผู้ประกอบการและนักคิดค้นชาวญี่ปุ่น โคกิชิ มิกิโมโตะ เป็นบุคคลแรกที่สามารถสร้างไข่มุกเลี้ยงครึ่งซีกได้สำเร็จ
การพัฒนาของไข่มุกไข่มุกเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อเจริญปลายยอดชั้นนอกได้รับความเสียหายจากปรสิต ซึ่งเกิดจากการกัดกินของปลาหรือเหตุการณ์อื่นซึ่งสร้างความเสียหายแก่บริเวณขอบที่อ่อนแอของเปลือกสัตว์พวกหอยชั้น Bivalvia หรือแกสโทรโพดา เนื้อเยื่อเจริญปลายยอดชั้นนอกจึงตอบสนองโดยการหลั่งน้ำมุกเข้าไปเคลือบสิ่งแปลกปลอมนั้น ในทางเคมี สารที่หลั่งออกมานี้เป็นแคลเซียมคาร์บอเนตและเส้นใยโปรตีนที่เรียกว่า คอนชิโอลิน เมื่อน้ำมุกถูกสร้างขึ้นในชั้นของอะราโกไนต์บาง ๆ แล้ว มันจะสะสมถุงไข่มุกจนกระทั่งเติบโตขึ้นเป็นไข่มุก โดยมีการเล่ากันว่าเม็ดทรายสามารถก่อให้เกิดไข่มุกได้ อย่างไรก็ตาม น้ำมุกจะไม่หลักออกมาเคลือบสิ่งไม่มีชีวิตแต่อย่างใด

ไข่มุกตามธรรมชาติหมายถึงไข่มุกซึ่งเกิดขึ้นเองในธรรมชาติ ซึ่งมีโอกาสไม่มากก็น้อย ตรงกันข้ามกับไข่มุกเลี้ยง ซึ่งเป็นการเกิดไข่มุกโดยอาศัยการช่วยเหลือของมนุษย์ คือ การใส่เนื้อเยื่อของหอย จากนั้นถุงมุกจะก่อตัวขึ้น และแคลเซียมคาร์บอเนตจะตกตะกอนในรูปของน้ำมุก

[แก้] อุตสาหกรรมไข่มุกไข่มุกเลี้ยงสมัยใหม่ส่วนมากมักเป็นผลมาจากการค้นพบในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่น มิเซะและนิชิกาวา ถึงแม้ว่าในการเพาะเลี้ยงบางครั้งจะยาวนานจนสามารถกระตุ้นให้สัตว์พวกหอยสามารถผลิตไข่มุกได้โดยมนุษย์ แต่ไข่มุกประเภทนี้มักบวมพองมากกว่าจะกลม วิธีการที่มิเซะและนิชิกากวาค้นพบนั้นเป็นเทคนิกเฉพาะในการชักนำให้เกิดการผลิตไข่มุกกลมภายในอวัยวะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของสัตว์จำพวกหอย ซึ่งเทคนิคนี้ได้รับการจดสิทธิบัตรโดยโคกิชิ มิกิโมโตไม่นานหลังจากนั้น และผลผลิตรอบแรกผลิตเสร็จในปี ค.ศ. 1916

ทุกวันนี้ไข่มุกมากกว่า 99% ที่ขายกันอยู่ทั่วโลกเป็นไข่มุกเลี้ยง

ไข่มุกเลี้ยงสามารถแยกแยะจากไข่มุกธรรมชาติได้โดยการใช้รังสีเอกซ์ โดยการมองนิวเคลียสภายในไข่มุก




* 200px-Cultured_pearl_oyster_jpg (WinCE).jpg (11.63 KB, 240x181 - ดู 741 ครั้ง.)

* mikimoto_02 (WinCE).jpg (11.45 KB, 240x235 - ดู 724 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 01:38:17 »

     วันนี้วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555
รายละเอียดเพิ่มเติมที่...
http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/275107
...........
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) - วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 : เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ รุกเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดการยิงต่อสู้กัน และนำไปสู่การสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
วิกฤตการณ์ปากน้ำ เป็นการรบระหว่างวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2436 ในขณะที่แล่นเรือผ่านเข้าไปในปากแม่น้ำเจ้าพระยา เรือรบฝรั่งเศส 3 ลำถูกโจมตีโดยป้อมปืนของสยามและเรือปืน ผลการรบ ฝรั่งเศสได้รับชัยชนะและดำเนินการปิดล้อมกรุงเทพซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์
ภูมิหลังความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อเรือการข่าว "แองกงสตัง" (Inconstant) และเรือปืน "โกแมต" (Comète)2 ของกองทัพเรือฝรั่งเศสเดินทางมาถึงปากแม่น้ำและขออนุญาตแล่นเรือผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไปสมทบกับเรือ "ลูแตง" (Le Lutin)[1] เพื่อเจรจาต่อรอง เมื่อสยามปฏิเสธ ผู้บังคับบัญชาฝ่ายฝรั่งเศส พลเรือตรี แอดการ์ อูว์มัน (Edgar Humann) เมินเฉยต่อความต้องการของสยามและคำสั่งจากรัฐบาลฝร่งเศส ซึ่งก่อนการต่อสู้ พลเรือตรี อูว์มัน ได้รับคำสั่งห้ามเข้าสู่ปากแม่น้ำเพราะสยามได้เตรียมการอย่างดีสำหรับการรบ กองกำลังฝ่ายสยามประกอบด้วยป้อมพระจุลจอมเกล้าที่พึ่งสร้างเสร็จ มีปืนเสือหมอบขนาด 6 นิ้ว 7 กระบอก3 สยามยังได้จมเรือสำเภาและเรือบรรทุกหินในแม่น้ำเพื่อเป็นแนวป้องกัน บีบให้เส้นทางเดินเรือกลายเป็นทางผ่านแคบๆ เพียงทางเดียว

เรือปืน 5 ลำจอดทอดสมออยู่ด้านหลังแนวสิ่งกีดขวาง ประกอบไปด้วย เรือมกุฎราชกุมาร, เรือทูลกระหม่อม, เรือหาญหักศัตรู, เรือนฤเบนทร์บุตรี และ เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์4 มีเรือ 2 ลำเป็นเรือรบทันสมัย คือ เรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ


* 300px-Art_of_Paknam_incident (WinCE).jpg (16.37 KB, 318x320 - ดู 802 ครั้ง.)

* imagesCAPEVC5N (WinCE).jpg (5.58 KB, 240x172 - ดู 699 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 01:46:47 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2012, 06:15:17 »

     วันนี้วันเสาร์ที่ 14 กรกฏาคม 2555
..............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) - ทหารอาสาของไทย ร่วมสวนสนามฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ผ่านประตูชัยที่ปารีส
๑๔ กรกฎาคม๒๔๑๓
           พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้า ฯ  เจ้าอินทรวิชยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สืบต่อมา
๑๔ กรกฎาคม๒๔๓๔
           เรือปืนรัสเซีย เดินทางมาถึงกรุงเทพ ฯ  กัปตันเรืออัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของรัสเซียชื่อเซนต์ แอนดรูว์  จากพระเจ้านิโคลัสที่ ๑ แห่งรัสเซีย เข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๑๔ กรกฎาคม๒๔๖๘
           อังกฤษกับไทยทำสัญญาค้าขาย ๕ ข้อ ทำให้ไทยเก็บภาษีสูงกว่าเดิม การได้อำนาจศาล แต่ยังยอมให้ฝรั่งเปิดสถานศึกษาและการศาสนาได้อย่างคนพื้นเมือง นอกจากนั้นยังกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ  ด้วยการกำหนดข้อปลีกย่อยต่าง ๆ สัญญานี้เป็นการเลิกภาษี  ร้อยชักสาม ซึ่งทำมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อ ๑๘ เมษายน ๒๓๙๘  ทั้งนี้เนื่องจากการส่งทหารไทยไปรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑  ซึ่งเป็นการตัดสินพระทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร
๑๔ กรกฎาคม๒๔๙๕
           มีการทดลองออกอากาศทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่กรมประชาสัมพันธ์




* imagesCA91YAIK (WinCE).jpg (6.58 KB, 240x156 - ดู 694 ครั้ง.)

* imagesCAX81AJR (WinCE).jpg (6.59 KB, 240x141 - ดู 689 ครั้ง.)

* imagesCAIUIT0L.jpg (3.38 KB, 124x93 - ดู 674 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2012, 08:19:56 »

     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฏาคม  2555
..............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริให้กรุงเทพมหานคร ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อบรรเทาการจราจรบนสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นที่มาของการก่อสร้างสะพานพระราม 8
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 06:21:52 »

     วันนี้วันจันทร์ที่ 16 กรกฏาคม 2555
..............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - จอห์น เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ภรรยา และน้องเขย เสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์เครื่องบินตก โดยที่เคนเนดี จูเนียร์เป็นผู้ขับเครื่องบินด้วยตนเอง
ภายหลังการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งของวุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้ ในวันนี้ หลายคนคงหวนไปคิดถึงชีวิตของสมาชิกในครอบครัวเคนเนดี้จำนวนหนึ่งที่มักประสบกับเหตุโศกนาฏกรรมอยู่บ่อยครั้ง ต่อไปนี้คือลำดับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่บังเกิดขึ้นกับตระกูลที่ถูกถือให้เป็นราชวงศ์ทางการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาตระกูลนี้

ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) "โรสแมรี่ เคนเนดี้" ลูกสาวคนโตของโจเซฟและโรส เคนเนดี้ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต ต้องถูกนำตัวไปพักรักษาในโรงพยาบาลตลอดชีวิต หลังจากที่การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการป่วยทางสุขภาพจิตได้ส่งผลให้เธอกลายเป็นบุคคลที่ไร้สมรรถภาพ โรสแมรี่เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ที่ผ่านมา

ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) "โจเซฟ เคนเนดี้ จูเนียร์" ลูกคนโตของครอบครัว เสียชีวิตด้วยวัย 29 ปี ในอุบัติเหตุเครื่องบินตกเหนือช่องแคบอังกฤษ ระหว่างปฏิบัติภารกิจขับเครื่องบินรบของกองทัพสหรัฐฯในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) "แคธลีน เคนเนดี้ คาเวนดิช" ลูกคนที่สี่ของครอบครัว เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในประเทศฝรั่งเศส ขณะมีอายุได้ 28 ปี

ค.ศ.1963 (พ.ศ.2506) "ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้" ถูกลอบสังหารในวันที่ 22 พฤศจิกายน ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ขณะมีอายุได้ 46 ปี

ค.ศ.1964 (พ.ศ.2507) "วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้" ลูกคนเล็กของครอบครัว รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก

ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) "วุฒิสมาชิกโรเบิร์ต เคนเนดี้" ถูกลอบสังหารในวันที่ 5 มิถุนายน ขณะมีอายุได้ 42 ปี ภายหลังจากที่เขาเพิ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้เป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ

ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) "วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้" รอดชีวิตจากอุบัติเหตุขับรถยนต์ตกสะพานในมลรัฐแมสซาชูเซตส์

ค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) "เดวิด เคนเนดี้" ลูกชายของโรเบิร์ต เคนเนดี้ เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในวัย 28 ปี

ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) "ไมเคิล เคนเนดี้" ลูกชายอีกคนหนึ่งของโรเบิร์ต เคนเนดี้ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะเล่นสกีที่มลรัฐโคโลราโด ขณะมีอายุ 39 ปี

ค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) "จอห์น เคนเนดี้ จูเนียร์" บุตรชายของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ รวมทั้งภรรยาและพี่สะใภ้ ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินส่วนตัวตกที่มลรัฐแมสซาชูเซตส์


* 12512758701251275923 (WinCE).jpg (12.92 KB, 320x320 - ดู 2227 ครั้ง.)

* 12512758701251275950 (WinCE).jpg (13.68 KB, 320x320 - ดู 964 ครั้ง.)

* 12512758701251275971 (WinCE).jpg (9.46 KB, 320x320 - ดู 876 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 06:05:18 »

     วันนี้วันอังคารที่ 17 กรกฏาคม 2555
.............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) - บอลเชวิคสั่งให้ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์และผู้รับใช้ที่เมืองเอคาเตลินเบิร์ก ประเทศรัสเซีย
พงศาวดารรัสเซียถูกปลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครอบครัวของพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ลุกขึ้นมาร้องขอความเป็นธรรมเรื่องบรรพชนของตน และยืนยันด้วยเหตุผลทางนิติวิทยาศาสตร์ว่า มกุฎราชกุมารองค์สุดท้ายของรัสเซีย มิได้สิ้นพระชนม์เพราะการสังหารหมู่ในปี ค.ศ. ๑๙๑๘ แต่เพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

ราชวงศ์โรมานอฟที่ยิ่งใหญ่ล้นฟ้าของจักรวรรดิรัสเซีย พบจุดจบอย่างกะทันหันในเช้ามืดวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๑๙๑๘ เมื่อสมาชิกในพระราชวงศ์ถูกสังหารหมู่โดยตำรวจลับเชกา (Cheka) มกุฎราชกุมารอเล็กเซย์ (บางแห่งเรียกอเล็กซิส แต่ในที่นี้จะเรียกตามหนังสือที่ใช้อ้างอิงว่า Tsarevich Alexei-ผู้เขียน) โอรสวัยรุ่น พระชันษาเพียง ๑๔ ปีของพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ และพระนาง (ซารีนา) อเล็กซานดรา ฟีโอโดรอฟนา ผู้เป็นรัชทายาทของราชบัลลังก์รัสเซีย ทรงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดชนิดเฉียดตาย

ก่อนหน้านี้ ดวงพระชาตาของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ส่งเสริมให้พระองค์ได้เสวยราชย์ แต่ก็เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แล้วดวงพระชาตาก็พลิกผันให้ต้องประสบเคราะห์กรรมโดยถูกปลงพระชนม์พร้อมกับพระราชบิดา แต่เพราะดวงยังไม่ถึงฆาต องค์มกุฎราชกุมารจึงยังไม่สิ้นใจในทันที ทว่า ระหว่างการขนย้ายพระศพทั้งหมดไปทำลายทิ้ง ร่างของมกุฎราชกุมารอเล็กเซย์กลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมๆ กับการสิ้นสุดของราชวงศ์โรมานอฟที่สืบทอดติดต่อกันมานาน ๓๐๐ ปี

องค์รัชทายาททรงเติบโตขึ้นภายใต้ชื่อใหม่ว่าวาสิลี ฟิลาตอฟ (Vasily Filatov) และใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาต่อมาในบทช่างทำรองเท้าและครูสอนภูมิศาสตร์ในที่สุด ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวเหลือเชื่อของมกุฎราชกุมารองค์นั้นที่พงศาวดารรัสเซียไม่อยากรับรู้ โปรดอ่านต่อไป
................
เครดิต..
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=705c6df29041688e
.................
เรื่องราวของรัสเซียที่น่าติดตาม..เครดิต..
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2



* 220px-Engagement_official_picture_of_Alexandra_and_Nicholas (WinCE).jpg (18.62 KB, 228x320 - ดู 672 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 18 กรกฎาคม 2012, 05:45:33 »

     วันนี้วันพุธที่ 18 กรกฏาคม 2555
...............
* * * วันนี้ในอดีต พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) - สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต พระชนมายุ 94 พรรษา (พระราชสมภพ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443)
ส่งข้อความหมดไม่ได้..ติดตามที่..
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5

พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง พลตำรวจเอกหญิง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือพระนามที่นิยมเรียกกันว่า สมเด็จย่า (พระราชสมภพ วันอาทิตย์ ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 จังหวัดนนทบุรี - สวรรคตวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 พระชนมายุ 94 พรรษา กรุงเทพมหานคร) พระองค์เป็นพระราชชนนีใน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
ขณะทรงพระเยาว์
ขณะทรงพระเยาว์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ (ไม่มีนามสกุล เนื่องจากพระราชบัญญัติขนานนามสกุลเริ่มมีในปี พ.ศ. 2456) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ในพระชนกชูและพระชนนีคำ ทรงมีพระภคินี และพระเชษฐา 2 คนซึ่งได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย คงเหลือแต่พระอนุชาอ่อนกว่าพระองค์ 2 ปี คือ คุณถมยา

พระชนกชู มีอาชีพเป็นช่างทอง เป็นบุตรชายของคหบดี ชื่อ ชุ่ม มีเชื้อสายสืบมาจากผู้ดีเก่าแถวตึกขาว มีนิวาสสถานอยู่ใกล้ๆวัดอนงคาราม ฝั่งธนบุรี พระชนกชูได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่สมเด็จย่ามีพระชนมายุ 3 พรรษา และพระชนนีคำถึงแก่กรรมเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ เพียง 9 พรรษา หลังจากนั้น พระองค์ทรงอยู่ในความอุปการะของป้าซ้วย พี่สาวของพระชนนีคำ ซึ่งมีอาชีพรับจ้างม้วนบุหรี่ และทำขนมขาย

พระชนนีคำ มีมารดาชื่อผา พระชนนีคำเป็นสตรีที่รู้หนังสือซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น จึงได้นำความรู้นี้มาสอนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้วยพระอุปนิสัยที่ชอบการเรียนรู้ และการอ่านหนังสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่มีไหวพริบ และเฉลียวฉลาด

และเชื่อว่าเหล่าเครือญาติของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีเชื้อสายชาวเวียงจันทน์ เนื่องจากทางครอบครัวนิยมรับประทานข้าวเหน


* 220px-Sangwal_in_childhood (WinCE).jpg (14.1 KB, 240x320 - ดู 1708 ครั้ง.)

* 210px-Doi_Tung_royal_villa (WinCE).jpg (17.9 KB, 212x320 - ดู 657 ครั้ง.)

* 220px-Monument_front_Maefahluang_univ (WinCE).jpg (7.86 KB, 240x180 - ดู 647 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 กรกฎาคม 2012, 05:49:14 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!