jirapraserd
magdafVE
มัธยม
ออฟไลน์
กระทู้: 693
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 28 กรกฎาคม 2012, 16:22:35 » |
|
๑๕๗. เรื่องเครื่องรางของขลัง
เรื่องเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคล ที่พวกเราเสาะแสวงหา มาไว้ครอบครองนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านให้ความเห็นดังนี้ :-
หลวงปู่พูดอยู่เสมอว่า คนเรานี้แปลก เอาของจริงคือธรรมะให้ไม่ชอบ ไปชอบเอาวัตถุภาย นอกกันเสียหมด ที่พึ่งที่ประเสริฐ คือพระรัตนตรัย นั้นประเสริฐอยู่แล้ว แต่กลับไม่สนใจ พากันไป สนใจแต่วัตถุภายนอก
จึงอาจกล่าวได้ว่า เมื่อคนเราไม่สามารถจะเอาคุณพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งของตนได้ เพราะอินทรีย์ยังอ่อนอบรมมา ยังไม่เข้าถึงเหตุผล จะถือเอาวัตถุภายนอก เช่นพระเหรียญ ซึ่งเป็น รูปเหรียญรูปแทนของพระพุทธเจ้า นั้นก็ดีเหมือนกัน ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายของวัตถุนั้นๆ
หลวงปู่ท่านให้ข้อคิดในทางธรรมะว่า วัตถุมงคลเหล่านั้นหากจะนำไปป้องกันตัว ถ้ากรรมมา ตัดตอนแล้ว ป้องกันไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งไหนจะไปต้านทานอำนาจกรรมนั้นไม่มี
แต่ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายในวัตถุนั้นๆ ว่า เขาสร้างขึ้นมาส่วนมาก เขาใช้สัญลักษณ์ของผู้ที่ ทำแต่ความดี
การมีวัตถุมงคลไว้ติดตัว ก็มีไว้เป็นเครื่องเตือนสติปัญญาของตนเองไม่ให้ประมาทในการ กระทำของตน ต้องทำแต่ความดีเสมอ เพราะโลกเขาบูชานับถือแต่คนดี
เรามีของดีอยู่กับตัว ก็ต้องทำแต่ความดีอย่างนี้แล้ว ก็นับว่าผู้นั้นได้ประโยชน์จากวัตถุมงคล นั้นๆ
๑๕๘. คาถาปลุกเสก
เมื่อลูกศิษย์มีความสงสัย และถามหลวงปู่ว่า พระก็ดี เหรียญก็ดี ที่หลวงปู่ทำพิธี แผ่เมตตาไว้ มีคนนิยมกันว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ หลวงปู่ปลุกเสกด้วยคาถาอะไร ?
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ จะตอบข้อสงสัยเช่นนี้ว่า ที่กล่าวว่า แผ่เมตตาวัตถุมงคลนั้น ท่านไม่ เคยปลุกเสกพระอะไรเลย เคยแต่สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยเท่านั้น แล้วตั้งสัจจะอธิษฐาน ให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้ที่นับถือกราบไหว้บูชา
จะอธิษฐานเพียงเท่านั้น ไม่มีคาถาสำหรับเสกให้ขลังอย่างนั้นอย่างนี้แต่อย่างใด
สำหรับบทสวดที่หลวงปู่แหวน ท่านใช้ในพิธีแผ่เมตตา ท่านจะใช้บท ติรตนนมการคาถา อ่านว่า ติระตะนะนะมะการะคาถา หรือ บททำวัตรพระ เพื่อสะดวกต่อท่านผู้อ่าน ผมขออัญเชิญมาไว้ เต็มๆ เลย ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
โย สันนิสินโน วะระโพธิมูเล มารัง สะเสนัง สุขิตัง วิชเชยยะ สัมโพธิมาคัจฉิ อะนันตะญาโณ
โลกุตตะโม ตัง ปะณะมามิ พุทธัง เย จะ พุทธา อะตีตา เย จะ พุทธา อะนาคะตา ปัจจุปันนา จะ เย
พุทธา อะหัง วันทามิ สัพพะทาๆ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณสัมปันโน สุคะโค โลกะวิทู อะนุตตะโร
ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
พุทธัง ชิวิตัง ยะวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง อุตตะมัง เคนะ วันเทหัง ปาทะปังสุง วะรุตตะมัง พุทเธ โย ชะลีโต โทโส พุทโธ ขะมะตุ ตัง มะมัง
“ อัฎฐังคิโก อะริยะปะโถ ชะนานัง โมกขัปปะเวสายะ อุชุ จะ มัคโค ธัมโม อะยัง สันติกะโร ปะณีโต นิยยานิโก ตัง ปะณะมามิ ธัมมัง เย จะ ธัมมา อะตีตา จะ เย จะ ธัมมา อะนาคะตา ปัจจุปันนา จะ เย ธัมเม อะหัง วันทามิ สัพพะทา
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฎฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิสตัพโพ วิญญูหีติ
ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง อุตตะมังเคนะ วันเทหัง ธัมมัญจะ ทุวิธัง วะรัง ธัมเม โย ชะลิโต โทโส ธัมโม ขะมะตุ ตัง มะมัง
สังโฆ วิสุทโธ วะระทักขิเณยโย สันตินทริโย สัพพะมะลัปปะหิโน คุเณหิ เนเกหิ สะมิทธิปัตโต อะนาสะโว ตัง ปะณะมามิ สังฆัง เย จะ สังฆา อะตีตา จะ เย จะ สังฆา อะนาคะคา ปัจจุปันนา จะ เย สังฆา อะหัง วันทามิ สัพพะทา
สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฎฐะ ปุริสะ ปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญังเขตตัง โลกัสสาติ
สังฆัง ชีวิตัง ยะวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะ มังคะลัง อุตตะมังเคนะ วันเทหัง สังฆัญจะ ทุวิธุตตะมัง สังเฆ โย ชะลิโต โทโส สังโฆ ขะมะตุ ตัง มะมัง
อิจเจวะมัจจันะนะมัสสะเนยยัง นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยัง ยัง ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง ตัสสานุเภนะ หะตันตะราโย
๑๕๙. คาถาปลุกเสกอีกบทหนึ่ง
ในพิธีแผ่เมตตา หรือปลุกเสกวัตถุมงคล นอกจากจะใช้บท ทำวัตรพระ ดังกล่าวข้างต้น บางครั้ง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ท่านก็ใช้บทสวดนมัสการคุณพระรัตนตรัย อีกบทหนึ่ง ดังนี้ :-
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง,
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ,
สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม, สันทิฎฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ.
สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฎฐะ ปุริสะ ปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ.
๑๖๐. ความเห็นเกี่ยวกับพิธีพุทธาภิเษก
เกี่ยวกับการจัดพิธีปลุกเสกพระ ที่เรียกว่า พุทธาภิเษก ที่จัดกันอยู่ทั่วไป ทั้งเป็นการราษฎร์ ทั้งเป็นการหลวงนั้น
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ให้ความเห็นในพิธีการนี้ว่า ถ้าเราเข้าใจว่าพิธีพุทธาภิเษก เป็นการปลุกเสกวัตถุที่เราสร้างขึ้น ให้เป็นเครื่องหมายแทนองค์พระพุทธเจ้านั้น ถือว่าเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามความเป็นจริง
หลวงปู่ให้เหตุผลว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระตั้งแต่เรายังไม่เกิด พระองค์เป็นพระพุทธะมาก่อนเราเป็นพันๆ ปี ถ้าใครไปปลุกเสกวัตถุให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนับว่าผิด
เราเองเป็นเพียงสาวก จะไปทำวัตถุที่เขาสร้างเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระพุทธเจ้า ให้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร วัตถุที่เขาสร้างขึ้นนั้น สำเร็จเป็นพระแล้วโดยสมบูรณ์ สำเร็จตั้งแต่เขาสร้างแล้ว เพราะเป็นที่รับรู้กันดีแล้วว่า เป็นรูปเปรียบรูปแทนของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น วัตถุนั้นๆ จึงเป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่เขาสร้างเสร็จ จะไปปลุกเสกให้เป็นพระอีกไม่ได้
หลวงปู่ ท่านเรียกพระพุทธรูปว่า "พระบรมรูป"
ท่านกล่าวว่า พระบรมรูปของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะทำสำเร็จขึ้นจากวัตถุใดๆ ท่านก็สำเร็จ เป็นพระพุทธะในความหมายแล้วอย่างสมบูรณ์ เพราะวัตถุนั้นเขาสมมุติ เป็นสัญลักษณ์แทนองค์ของพระพุทธเจ้า
แม้จะเป็นเพียงวัตถุ เราก็กราบไหว้บูชาได้ด้วยความสนิทใจ ไม่มีวิขาคาถาอาคมใดๆ ที่จะมาปลุกเสกพระพุทธเจ้าได้ เพราะวัตถุนั้นสำเร็จเป็นพุทธะตามความหมายที่เราได้สร้างขึ้นแล้ว
หลวงปู่ให้ความเห็นว่า ที่เรียกกันว่า "พุทธาภิเษก" นั้น ควรจะเรียกว่า พิธีสมโภชพระ หรือพิธีนมัสการพระ จึงจะถูกต้องตามความเป็นจริง
ขอสรูปเพื่อความเข้าใจอีกทีว่า หลวงปู่แหวนท่านไม่ได้ค้านในพิธีการ แต่ท่านเสนอแนะคำ พูดที่เราใช้เรียก เพื่อจะได้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง
**-------------- คาถาที่ว่าท่านปลุกเสกนั้น มีความหมายว่า ----------------**
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุดของข้าพเจ้า
อยู่ในบทสวดทำวัตรเย็น ไปหาอ่านคำแปลดูครับ **------------------------------------------------------------------------------**
มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว สังเกตุจากการนั่งการพูด เขานั่งตามสบาย พูดตามถนัด ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่ คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า หลวงปู่ฮะ อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ
หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า
"ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน."
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 กรกฎาคม 2012, 16:50:16 โดย jirapraserd »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2012, 07:58:26 » |
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 02 กันยายน 2012, 11:06:28 » |
|
วันนี้จะมาพูดถึงเครื่องรางของขลังที่มาจากพืชครับ แต่ไม่ใช้เครื่องรางของขลังที่เอาไม้มงคล มาทำเป็นของขลังนะ อ่ะๆ แต่เป็นของขลังที่เหนือกว่านั้นครับ เรียกว่าแสง มีหลายแบบทั้งจาก สัตว์ จากพืช จากสิ่งของ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่เหนือกว่าปกติธรรมดา ว่ากันว่าเป็น จิตวิญญาณชั้นสูงที่ลงมาจุติเพื่อชดใช้เศษกรรม เมื่อชดใช่แล้วก็ทิ้งสิ่งอันเป็นทิพย์ไว้ในเมืองมนุษย์ครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงแสงบ่าหนุนกัน แสงบ่าหนุนหรือเม็ดในขนุนนั้นแหล่ะครับ แต่ไม่ธรรมดาแน่นอน เนื่องจากเม็ดในนั้นจะกลายเป็นหินปนโลหะ หรือเม็ดขนุนทองแดงนั้นเอง โบราณว่าเป็นของดีวิเศษหายาก ผู้ใดมีไว้จะเจริญรุ่งเรื่อง อยากน่าอัศจรรย์ ทำการสิ่งได้ก็ประสบผลสำเร็จ จะมีทรัพย์บริบูรณ์โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ได้มาง่ายๆ แบบว่าอยู่ดีกินดีโดยไม่มีเหตุผลกันเลยทีเดียว แต่ว่าก็ไม่ได้หากันได้ง่ายๆนะ ท่านว่า ร้อยปีดีดัก จึงจะมีมาอันหนึ่ง และการเกิดขึ้นก็ไม่ธรรมดาซะด้วย คือเป็นขนุนที่ออกลูกตรงใต้ดินอีกต่างหาก ท่านว่า จะมีแสงขนุนในลูกนั้น การเอาก็ต้องมีพิธี มีเรื่องว่ามีลุงคนหนึ่งอยู่สันป่าตอง แกไปเจอแสงบ่าหนุนเข้าโดยบังเอิญ เล่ากันว่าลุงคนนั้นเป็นคนที่ข่ามใครทำอะไรไม่ได้ จากชาวบ้านธรรมดา กลายเป็นพ่อค้าใหญ่แกไปค้าขายทาง เมืองพม่าไทยใหญ่ ลวดเอาเมียเป๋นป้อเลียงสืบลูกสืบหลายอยู่เมืองพม่าปู้นล่ะ ครับนี้ก็เป็นเรื่องของ แสงบ่าหนุ่นครับ
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 27 เมษายน 2013, 15:36:57 » |
|
ตกไปตั้งนาน ช่วงนี้เริ่มสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังอีกล่ะ ดันมาให้อ่านกันซะหน่อย
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 4,485
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 30 เมษายน 2013, 21:27:23 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|