เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 00:06:44
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น (ผู้ดูแล: แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-., ©®*)
| | |-+  เรื่องควรรู้ที่ถูกมองว่า...ยี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เรื่องควรรู้ที่ถูกมองว่า...ยี้  (อ่าน 653 ครั้ง)
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 21:32:29 »

คำว่า "โสเภณี" ที่ปัจจุบันแตกลูกแตกหน่อออกเป็นหลายคำเช่นโสเภณีชาย
โสเภณีเด็ก เดิมมาจากคำเต็มๆว่า "นครโสเภณี" แปลว่า "หญิงงามแห่งนคร"
ค่ะ คนรุ่นคุณปู่คุณตาเรียกเป็นไทยๆว่า "หญิงงามเมือง"



คำว่า "นครโสเภณี" มาจากอินเดีย ในสมัยโบราณบางแคว้นของชมพูทวีป มีหญิงเหล่านี้เอาไว้เชิดหน้าชูตา
เป็นแรงดึงดูดการท่องเที่ยว และนำเงินตราเข้าบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี อย่างในเรื่อง
กามนิต ก็ได้กล่าวถึงเอาไว้ว่า นางนครโสเภณีเหล่านี้คือ "มงกุฎดอกไม้หลากสีของกรุงอุชเชนี"

"บรรดาสิ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในกรุงอุชเชนี ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าหมู่นางคณิกา
มีตั้งแต่เป็นนางงามชั้นสูงอยู่ในปราสาท... ในห้องรับแขกจะมีจินตกวี นักละคร แขกเมืองคนสำคัญ
บางทีก็มีเจ้านายไปเยี่ยมเยียน นางเหล่านี้ตลอดจนชั้นเลวลงมาล้วนสวยงามทรวดทรง
มีกิริยาอ่อนช้อยยียวนใจหาที่เปรียบมิได้ ถึงคราวมีงานสมโภชครั้งใหญ่ ในคราวแห่แหนหรือมีการประกวด
นางคณิกาเหล่านี้ จะเป็นอาภรณ์สำคัญประสมอยู่ในวิถีมรรคา... ล้วนพัสตราภรณ์สีแดง
ถือพวงมาลารำเพยกลิ่นหอมตลบอบอวล แพรวพราวด้วยมณีรัตน์เครื่องประดับ...

นางเหล่านี้พระราชาก็ประทานเกียรติยศ ประชาชนก็บูชา จินตกวีก็กล่าวขวัญเป็นบทเพลงเยินยอ
ซึ่งเป็นการสมควรแล้วที่จะขนานนามว่า"มงกุฎดอกไม้หลากสีของกรุงอุชเชนีที่สถิตเหนือฐานศิลา"
กระทำให้แคว้นใกล้เมืองเคียงต่างๆอิจฉากรุงอุชเชนีเป็นกำลัง นางงามเหล่านี้บางคนที่เลือกสรรแล้วเคยรับเชิญเป็นแขกเมืองไปเยี่ยมแดนต่างๆก็บ่อยๆ"



ส่วนทางแผ่นดินแหลมทอง โสเภณีเป็นวัฒนธรรมมาจากอินเดียหรือว่าเกิดขึ้นเอง ตามธรรมดาของชุมชนก็ไม่ทราบ
คิดว่าน่าจะเกิดขึ้นเองได้โดยไม่ต้องไปอาศัยอิทธิพลจากใคร เดิมเราไม่ได้เห็นอาชีพนี้เชิดหน้าชูตาแบบกรุงอุชเชนี
กลับเป็นเรื่องน่ารังเกียจด้วยซ้ำ เทพชู ทับทอง เขียนไว้ในหนังสือ กรุงเทพฯในอดีต
ว่ากฎหมาย "ลักษณะผัวเมีย" ซึ่งบัญญัติขึ้นในสมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ อู่ทอง
ลงโทษเอาไว้ หนักหากนำหญิงเหล่านี้มาเป็นภรรยา แล้วหล่อนเกิดทำชั่วคบชู้ขึ้นมา



มาตราหนึ่ง ชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับ คนรำ เที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต แลหญิงนครโสเภณีมาเลี้ยงทำเมีย
ทำชั่วเหนือผัวก็ดี ผัวรู้ด้วยประการใดๆ…ท่านให้ผจานหญิงชายนั้นด้วยไถนา อันหญิงร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า
ทัดดอกฉะบาทั้งสองหู ร้อยดอกฉะบาแดงเป็นมาลัยใส่ศีศะใส่คอ แล้วให้เอาหญิงนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง
ชายชู้เข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง ผจานด้วยไถนาสามวัน



ในกฎหมายนี้ยังบอกด้วยว่าถ้าผัวยังรักเมียอยู่ จับได้ว่าคบชู้แล้วยังรักเมียไม่อยากให้ประจาน
บ้านเมืองจะลงโทษให้เทียมแอกไถนาเสียอีกคน ฟังแล้วหนุ่มๆหลายคนก็คงสยอง ดีไม่ดีตัวเองมีสิทธิ์กลายเป็นเครื่องมือไถนาด้วยได้ง่ายๆ

ไม่ว่าจะรังเกียจอย่างไรก็ตาม อาชีพเก่าแก่นี้ก็ยังมีเรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
แหล่งประจำอยู่ที่สำเพ็ง ใน นิราศเมืองแกลง เมื่อสุนทรภู่ออกเดินทางไประยองในตอนยามสอง
นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ก็ได้ยินเสียงหญิงเหล่านี้ขับร้องเพลงลอยลมมา



ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ   แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน
    ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง 



ลูกค้าของเธอ คงเป็นพวกชาวจีน เพราะสำเพ็งเป็นแหล่งคนจีน มาตั้งแต่สร้างกรุง เป็นอาชีพที่ทางการบ้านเมืองไม่ได้ห้ามปราม
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยเอาไว้เฉยๆ ในเมื่อมีรายได้ ทางการก็เก็บภาษีอากรเข้ารัฐ ด้วยการเก็บภาษีสำนัก
เป็นภาษีโรงเรือน เหมือนการเช่าอาคารร้านรวงทั่วไป



มาถึงรัชกาลที่ ๕ และ ๖ โสเภณีมีชื่อใหม่ว่า "หญิงโคมเขียว" เพราะสำนักของเธอ
แขวนโคมกระจกสีเขียวไว้เป็นเครื่องหมาย พอค่ำก็เปิดไฟหรือจุดตะเกียงในโคมให้ลูกค้ารู้กัน
แหล่งที่ขึ้นชื่อมากเรียกว่า "ตรอกเต๊า" มีสำนักตั้งกันเรียงรายตลอดตรอก

สำนักโสเภณี มีแม่เล้าหรือมาม่าซังเหมือนเดี๋ยวนี้ สมัยนั้นบรรดาลูกสาวเรียกว่า "คุณแม่"
แต่ชาวบ้านเรียก "ยาย"



คนที่ดังที่สุดมีชื่อเสียงติดอยู่ในประวัติโสเภณีไทยก็คือคุณแม่แฟง เพราะทำมาค้าขึ้น
จนมีเงินมากมายพอสร้างวัดขึ้นมาได้ ที่ตรอกวัดโคก ชื่อ"วัดคณิกาผล" ชื่อก็บอกว่าเป็นผลมาจากโสเภณีนั่นเอง
แต่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดใหม่ยายแฟง"



มาม่าซังแฟง มีลูกสาวสืบทอดธุรกิจชื่อกลีบ บริหารงานได้เก่งไม่แพ้แม่ ขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักเกรดเอ
ตกแต่งห้องอย่างดี มีเครื่องใช้ประจำอย่างเครื่องแป้ง ขันน้ำ กระโถน เป็นพวกเครื่องถมมีราคา
ราวกับบ้านคหบดี ที่นอนหมอนมุ้งขาวสะอาดสะอ้าน เป็นที่นิยมของลูกค้าระดับสูงกระเป๋าหนัก
จนคุณแม่กลีบร่ำรวยสามารถสร้างวัดได้เหมือนกันชื่อ "วัดกันมาตุยาราม" บุตรของคุณแม่กลีบไม่ได้เจริญรอยตามแม่
แต่ได้เข้ารับราชการเป็นขุนนางจนได้เป็นถึงคุณพระ



โสเภณีสมัยนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงหรือคะ? ก็เป็นสาวๆนี่ละค่ะอายุสิบห้าสิบหกขึ้นไป
ทำตัวฉูดฉาดสะดุดตาชาย ผัดหน้าขาว กินหมากปากแดง ใส่น้ำอบไทยหอมฟุ้ง แต่งตัวก็นุ่งผ้าลายหรือโจงกระเบน
ห่มผ้าแถบหรือสไบเฉียง บางคนใส่เสื้อคอ คือเป็นเสื้อมีสายโยงบ่าคล้ายๆเสื้อสายเดี่ยว
ตกค่ำพวกนี้ก็จะมานั่งโชว์ตัว อยู่หน้าห้องริมตรอกอย่างเปิดเผย คอยต้อนรับลูกค้า
ส่วนกลางวันพวกเธอนอนพักไม่ออกมาทำงาน



ส่วนผลกระทบต่อสังคม มีไหม? เรื่องกระทบกระเทือนชื่อเสียงของประเทศชาติ-ไม่มีค่ะ
เรื่องจะต้องรณรงค์เปลี่ยนค่านิยมก็ไม่มีอีกเหมือนกัน เรื่องปราบปรามจับกุมก็ไม่มี
แต่ทางด้านสาธารณสุข-มีแน่นอน ในยุคที่เอดส์ยังไม่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ มีประวัติสถิติของกรมสุขาภิบาลกระทรวงมหาดไทย
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ระบุว่าพวกผู้ชาย(วัยหนุ่ม?) ในพระนครที่ป่วยเป็นกามโรค มีจำนวนถึงร้อยละเจ็ดสิบห้าทีเดียว
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเดินแถวตลาด ในถนนลักษมี เมืองปูเณ่ กับรุ่นพี่และบรรดาคนไทยด้วยกันนี่ล่ะ เพราะตลาดแถบนี้เป็นสถานที่ที่เราสามารถจับจ่ายซื้อของได้สารพัดอย่างได้ในราคาถูก โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆ รุ่นพี่ของผู้เขียน พูดขึ้นมาหลังเดินชมตลาดกันเสร้จเรียบร้อยแล้วว่า “อยากรู้ไหม ว่ามุมมืดของอินเดียเป็นอย่างไร? จะพาไปดู อยู่ข้างๆ ตลาดนี่เอง”


พอไปถึงผู้เขียนก็ถึงบ้างอ้อทันที เพราะทุกซอกซอย จะมีหญิงสาวมานั่งรอตั้งแต่รุ่นเด็กไปจนถึงรุ่นป้า ต้องขอบอกไว้เลยว่า รุ่นป้าจริงๆ และแต่งหน้าทาปากด้วยสีสันฉูดฉาด และพบกลุ่มผู้ชายจำนวนมาก ยืนกินหมากและสูบบุหรี่อยู่ กลุ่มชายเหล่านั้นจ้องมองมาที่กลุ่มพวกเราทันที เพราะกลุ่มของเรามีผู้หญิงไปด้วย

เขารู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว และอาจจะพลัดหลงมาผิดที่ผิดทาง ทุกสายตาจ้องมองมาที่ผู้หญิงในกลุ่มเรา ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง รุ่นพี่บอกว่า “ที่ถนนเส้นนี้ มีผู้หญิงเหล่านี้ อยู่เป็นพันๆ คน ถ้ามาตอนกลางคืน จะมีมากกว่านี้หลายเท่าตัว และค่าบริการเพียง 100-300 รูปี ต่อครั้งเท่านั้น”

ผู้เขียนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็ต้องรีบเดินออกมา เพราะมีสิ่งสกปรกทิ้งไว้เกลื่อนกราดแถวนั้น รวมทั้งถุงยางอนามัยด้วย และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยมาอย่างรุนแรง ผู้เขียนจึงได้แต่มองดูอยู่ภายนอกตัวอาคารเพียงเท่านั้น

หลังจากที่ผู้เขียน ได้มีโอากสชมภาพยนต์เรื่อง “สลัม ด๊อก” และได้เห็นภาพสถานที่ดังกล่าวในภาพยนต์แล้ว ก็เข้าใจเลยว่า สถานที่ให้บริการนั้นเป็นอย่างไร  เพราะภายในสถานบริการเหล่านั้น จะซอยออกเป็นห้องๆ มีเพียงผ้าปิด และแต่ละห้องเล็กมาก ชนิดที่ว่าขยับตัวแทบไม่ได้

ถัดมาอีกถนนเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน ผู้เขียนพบว่าตามตรอกเล็กๆ มีหญิงสาวรูปร่างดียืนอยู่แทบทุกตรอก และหญิงสาวเหล่านั้นกวักมือเรียกผู้ชายในกลุ่มเราทันที ต้องบอกเลยว่า มองเผินๆ ซอยนี้ สวยกว่าซอยแรกเสียอีก แต่ความจริงแล้ว ที่เห็นในเงามืดนั้น ไม่ใช่หญิงสาว แต่เป็นกลุ่มผู้ชายที่ใจเป็นหญิง ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นเท่าไหร่นักเพราะสังคมอินเดียไม่ยอมรับในส่วนนี้

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่เป็นการประจาน หรือเอาส่วนที่มืดบอดด้านนี้มาเผยแพร่ เพราะแม้แต่บ้านเราก็มีผู้ทำอาชีพนี้อย่างแพร่หลายเช่นกัน แต่นี่คือเรื่องจริงในสังคมปัจจุับันที่ต้องแก้ไข

ในอดีต เชื่อหรือไม่ว่า โสเภณี ก็เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของเราเช่นกัน ที่เมืองไพสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี ก็มีสตรีเลอโฉมผู้หนึ่งนามว่า “อัมพปาลี” นางมีอาชีพเป็นหญิงงามเมือง ความงามของเธอถึงขนาดที่ว่า พระเจ้าพิมพิสารถึงกับหลงใหลในรูปอันเลอโฉมนั้น

และพระเจ้าพิมพิสารนั้นเอง ที่ได้ป่าวประกาศให้หญิงสาวในเมืองราชคฤห์ ให้เข้าร่วมการคัดเลือกเป็นหญิงงามเมืองของนคร ปรากฏว่า หญิงสาวนามว่า “สาลวดี” ได้รับการคัดเลือก จนวันหนึ่งนางรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ จึงเกรงว่าตัวเองจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงได้นำเด็กชายที่ถือกำเนิดขึ้นไปทิ้งไว้ ด้วยเดชะบุญของเด็กชาย พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ได้มาพบเข้า จึงทรงนำเด็กน้อยไปเลี้ยง และเด็กน้อยนั้นเมื่อเติบโตขึ้นได้เรียนรู้ศาสตร์วิชาการแพทย์จนจบ

ซึ่งเด็กชายคนนี้ เรารู้จักกันดีในนามของ บรมครูแห่งการแพทย์ไทย ท่านมีนามว่า “ชีวกโกมารภัทร” ซึ่งเป็นแพทย์ที่ดูแลพระพุทธองค์ยามทรงพระประชวร ด้วยความเชี่ยวชาญในการแพทย์ของท่านต้องถือได้ว่า เข้าขั้นระดับหมอเทวดาเลยทีเดียว การรักษาของท่านเป็นที่อัศจรรย์ว่า เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วนั้นไม่น่าที่จะเป็นไปได้

จากเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า คนเราจะดีได้ก็ด้วยการกระทำ ไม่ใช่ที่ชาติตระกูล หรืออาชีพ และหญิงงามเมืองในสมัยพุทธกาลนั้น ได้อุทิศเงินของนางเองเพื่อบำรุงศาสนาเป็นอันมาก ถึงกับสร้างวัดวาอารมฝากไว้เป็นสมบัติของศาสนากันเลยทีเดียว หญิงงามเมืองอาจจะไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีสองด้าน เพียงแต่ว่าเราจะมองด้านไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 21:34:45 »

http://www.tuneingarden.com/work/b-04sn08.shtml
IP : บันทึกการเข้า
kruFleurs
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:22:51 »

เด่ว...จะขอยืมไปสอนละอ่อนเน้อเจ้า
IP : บันทึกการเข้า

www.facebook.com/Maliwanphulae
สับปะรด"มลิวัลย์ภูแล" OTOP 5 ดาว
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:25:45 »

เด่ว...จะขอยืมไปสอนละอ่อนเน้อเจ้า
แล้วแต่จะกรุณา...เอ๊ย...ดีจ้าดี....
IP : บันทึกการเข้า
kruFleurs
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:31:19 »

เด่ว...จะขอยืมไปสอนละอ่อนเน้อเจ้า
แล้วแต่จะกรุณา...เอ๊ย...ดีจ้าดี....
จ่าว...แล้วแต่วันนี้...หยังมาเป็นก๋านเป็นงานนิ
IP : บันทึกการเข้า

www.facebook.com/Maliwanphulae
สับปะรด"มลิวัลย์ภูแล" OTOP 5 ดาว
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:39:36 »

เด่ว...จะขอยืมไปสอนละอ่อนเน้อเจ้า
แล้วแต่จะกรุณา...เอ๊ย...ดีจ้าดี....
จ่าว...แล้วแต่วันนี้...หยังมาเป็นก๋านเป็นงานนิ
ปกติของผมเลยล่ะที่ชอบพูดคุยเรื่องราว...วิทยาศาสตร์กับประวัติศาสตร์...มันสนุกดีและเพิ่มความรู้ให้ตัวเราเสมอๆ
IP : บันทึกการเข้า
@เชียงแสน
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


..ทุกลมหายใจคือการเปลี่ยนแปลง..


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:39:42 »

...นานแล้วถ้าผมจำไม่ผิดมีละครเรื่องอ้อมอกภูเขา (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) เกี่ยวกับโสเภณีอะไรสักอย่างนี่แหละ ถูกงดให้ออกอากาศ ตอนนั้นยังเด็ก ใครพอจำกันบ้างครับ...

...ผมเห็นอดีตโสเภณี บางคน รู้จักกิน รู้จักใช้ ปัจจุบันมีเงินเก็บและมีฐานะที่ดีมาก ๆ ครับ...
IP : บันทึกการเข้า
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2012, 22:50:15 »

...นานแล้วถ้าผมจำไม่ผิดมีละครเรื่องอ้อมอกภูเขา (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) เกี่ยวกับโสเภณีอะไรสักอย่างนี่แหละ ถูกงดให้ออกอากาศ ตอนนั้นยังเด็ก ใครพอจำกันบ้างครับ...

...ผมเห็นอดีตโสเภณี บางคน รู้จักกิน รู้จักใช้ ปัจจุบันมีเงินเก็บและมีฐานะที่ดีมาก ๆ ครับ...
ทุกอาชีพ...มีคุณค่าในตัวเอง...เหมือนเพลงคาราบาว...ที่ว่า..."...ปากท้องของฉัน...หรือลมจากปากของใคร..".....เพียงแต่เรา"คนไทย"มองว่ายังไง...ในฝรั่งเศสหรือเยอรมัน...เขามีโสเภนีตีตรา...แถมเสียภาษีด้วยนะ(คิดเปรียบเทียบที่คนมั่งมีที่เลี่ยงภาษีแล้ว..จี๊ด)...
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!