เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 22:18:08
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  คนเล่นของ(แปลก) ต้นมารูล่า ไม้ต่างแดนตระกูลเบอรี่-เมืองไทยมีขายครับ-ไม่ได้ขายของ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์
ผู้เขียน คนเล่นของ(แปลก) ต้นมารูล่า ไม้ต่างแดนตระกูลเบอรี่-เมืองไทยมีขายครับ-ไม่ได้ขายของ  (อ่าน 39857 ครั้ง)
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2012, 16:54:48 »

การสกัดด้วยการหมักแบบนี้ เป็นพื้นฐานของการสกัดสมุนไพรที่ไม่ค่อยมีเนื้อผล เช่นลูกยอ หรือ บะต๋าเสือบ้านเฮา  ฝรั่งสกัดเอาน้ำมาขาย บอกว่าเป็นยาสารพัด น้ำโนนิ ขวดละหลายพันบาท บ้านเราหมักขายขวดราวสามร้อยบาท

--การหมัก ยิ่งหมักนาน จะมีเชื้อยีสต์ที่มีประโยชน์ และตัวน้ำหมักนี้ก็เป้นยา สารพัดแบบป้าเช็ง ความจริงแกไม่ได้ขายน้ำหมัก แต่แกพยายามทำในสิ่งที่ดี บังเอิญเป็นการแพทย์ทางเลือก ที่ไปขัดทางของแพทย์ปัจจุบันเข้า  เคยเจอเว็ปสาวผู้ที่ไปเรียนแพทย์พื้นบ้านที่เนปาล ก็ใช้น้ำหมักสมุนไพรเฃ้นกัร โดยถ่ายทอดมาจาก คัมภีร์อายุรเวทของฮินดู

--แค่ได้อ่านหนังสือป้าเช็ง มีคนช้ยากับสัตว์เลี้ยง และตนเองได้ผลเขียนจม.มาเป็นร้อยๆฉบับ จนเพื่อนผมที่ไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ ก็นำสมุนไพรมาหมักแลว สัก4 เดือนจะได้คุณภาพเต็มที่ มะละกอเป็นโรครากเน่าก็เอาไปราดๆดู ตอนนี้หายแล้วครับ

--เชื้อเห็ดชาแดง เรานำน้ำชามาดื่ม ก็จะทำให้แข็งแรงดีครับ ตัวเชื้อที่เป็นแผ่นขาวๆ เขาว่าเป้นแบบเดียวกับวุ้นมะพร้าว
--บัวหิมะ ที่เขามาทำยาแก้ไฟใหม้ น้ำร้อนลวก เป็นจุลินทรีย์ที่เลี้ยงในน้ำนม เอามาให่นมทิ้งไว้ในอุณห๓ูมิปกติ เป็นนมเปรี้ยวนำมากินมีประโยชน์มาก  เขาว่าเจงกิสข่านและพวกทหาร กินแล้วแข็งแรง นำทหารไปโจมตี แทบจะยึดไปครึ่งโลกได้ ก้กินนมม้าที่หมักในถุงหนังนี่แหละครับ  ตัวบัวหิมะนี้เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานๆ นำมาทำครีมทาหน้า บำรุงผิวได้สารพัด  ที่บ้านผมก็ใช้สบูน้ำนมข้าว ผลงานคนไทยครับ มันหอมเหมือนเผือกน้ำกะทิ ใครมีลูกเล็กคงเผลอกินเข้าไปแน่ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 02:02:56 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 14:46:13 »

คือมะละกอเป็นโรคโคนเน่าน่ะครับ
--พระพุทธองค์ท่านบอกตำหรับยาไว้เพียงสูตรเดียวจาก 84,000 เรื่องในพระไตรปิฏก คือยาดองน้ำปัสสาวะเน่าของตนเองกับผลสมอไทยครับ
--บางคนก็ใช้เปลือกกุ้ง กระดองปูหมักกับเศษผลไม้ เชื้อยีสต์กับกรดน้ำส้มที่เกิดจะย่อยเปลือกกุ้งที่มีสาร ไคติน ผลได้ก็คือสารที่มีฤทธฺแบบไคโตซาน ช่วยให้เซลแข็งแรง แมลงไม่ค่อยกิน และเป็นปุ๋ยในตัว
พวกเศษปลา หัวปลาหมักก็ปุ๋ยอย่างดีครับ ดีมากๆ
--ตอนนี้ที่ผมทำก็คือคล้ายปุ๋ยพืชสด เอาผักมาสับๆ คลกในดิน และมีเศษอาหารบ้าง เปลือกสับปะรดก็มีเชื้อยีสต์  เป็นการจำลองสาวะที่ขอเรียกว่า "ขี้หม่าโมเดล" หรือการหมักในธรรมชาติ ต้นไม้มันชอบครับ
ฟักทองก็ติดลูกแล้วครับ หลังจากดอกร่วงไป5วัน ลูกก็โตกว่าส้มแล้วครับ ต้นก็ใหญ่ ใบใหญ่ สบบูรณ์มาก เอามือจับดัดหน่อยหักเป๊าะเลย เป็นพันธุ์ไต้หวันผิวเรียบ ตอนนี้ผมเอาถุงห่อไว้แล้ว ถ่ายรูปไว้แล้วด้วย แต่ตอนนี้อยู่นอกบ้านครับ
--การหมัก ปุ๋ยหมัก อะไรแบบนี้ เป็นเรื่องที่ศึกษาถึงระดับปริญญาเอกเลยนะครับ โดยเฉพาะ เรื่องจุลินทรีย์ หมักสะบปะรด หรืองุ่น จะมีสายพันธุ์ของมันครับ  เพื่อนผมหมักสับปะรดเล่น ยังไปเอาเชื้อที่ คณะเกษตร มช.มา เพราะตอนนั้นมันเรียนอยู่

--มีลูกมีหลานให้เค้าเรียนสูงๆได้ก็ดีครับ จากนั้นมันจะไปบวชหรือมีเมียก็เรื่องของมัน คนเรามีสองด้านทั้งทางโลก หรือทางธรรมก็ดีทั้งนั้น  อย่างฟูกูโอกะ ได้ทดลองผสมพันธุ์ข้าว โดยใช้คีมกับแว่นขบาย เพราะท่านไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ท่านเป็นนักวิจัยในสถาบันชั้นสูงของรัฐครับ  และการค้นคว้าเกษตรกรรมธรรมชาติ และการคิดพันธุ์ข้าวใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องที่โลจับตามอง เพราะเป็นผลประโยชน์มหาศาล เหมือนทำสงความแย่งชิงเมล็ดพันธุ์กัน

--และอย่างที่ผมบอก ไทยเป็นผู้เริ่มให้อาเชี่ยนรวมตัวกัน แต่เราต้องมี "หมัดป้องตัว" มีวิสัยทัศน์ที่ดีด้วย เพราะตอนนี้หลายชาติ เช่นสิงคโปร จะออกล่าหากำไรในเรื่องข้ายไทย เช่นตั้งโรงสี อะไรต่างๆ  ตอนนี้ผู้ค้าข้าว จะให้รัฐออกกฏหมายห้ามต่างชาติทำธุรกิจในเรื่องข้าว-กำลังทุนราสู้งเขาไม่ไหว  หลายๆชาติลงทุนปลูกพืชในพม่า  เช่าที่ซื้อที่ ก็เหมือนเมืองขึ้นดีๆนี่เองครับ  ต่อไปลูกหลานเรามทธิ์แค่เป็นลูกจ้าง
--แม้จะมีกฏหมายห้ามต่างชาติถือครองที่ดน แต่ต่างชาติใช้ชื่อคนไทย ยึดไปหนึ่งในสามแล้วครับ ไม่ใช่น้อยเลย เป้นที่ๆสวยๆทั้งนั้น
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
แมงคอลั่น
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,451



« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 20:50:49 »

การทำน้ำสกัดเอนไซม์จากสมอไทย


ความอุดมสมบูรณ์ ของเมืองไทยเรา ผลไม้มากมาย หลากหลายฤดูกาล และด้วยภูมิปัญญาของคนไทย จึงทำให้นอกจากจะรับประทานกันสด ๆ ตามฤดูกาลแล้ว เราก็ยังได้แปรรูปผลไม้ไทย นานาชนิด ให้มีหลากหลายรูปแบบ



ผมอยากได้มากเลย บ้านเฮา เปิ้นว่า "บ่านะเข้าเย็น"ตุ๊เจ้าขบฉันได้ตลอดเวลาไม่ผิดศีลเพราะเป็นยา
ถ้าถึงฤดูที่ออกหน่วยแจ้งให้ทราบตวยเน่อ"ใคร่ได้"ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 21:15:11 »

เป็นต้นไม้ที่หายากแล้ว แต่ผลแห้งๆ น่าจะมีที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ อยู่แถวๆบ้านหม้อ  เพื่อนผมเพิ่งสั่งซื้อยาจากร้านนี้ แสดงว่าร้านนี้ยังมีอยู่ครับ
--หรือไปประกาศหาที่เว็ปเกษตรพอเพียงก็ได้ครับ

--ทุกๆปีจะมีรถปิคอัพ ขนคนงานเข้ามาที่ม.ราชภัฎบ้านเราครับ พวกเขามาเก็บเมล็ดค้นไม้ป่าครับ--(ใครไปนั่งตรงอาคารสิ่งแวดล้อม ตรงนั้นมีต้นมะกล่ำตาหนูสีแดงๆ เม็ดมันสวยดี  หน้าตึกคณะวิทย์เก่า กับหน้าตึกรวม ตรงประตู มีมะขามป้อมมาก ต้นเล็กๆก็มีขึ้นตามโคนต้นครับ
--เอาไปนึ่งแล้วตำเอาเนื้อคลุกนัำผึ้ง กินแก้เจ็บคอ ชนืดที่ดีกว่ายาฝรั่ง และเป็นยาอายุวัฒนะ)

มีคนส่วนหนึ่งเดินทางไปตามป่า หาพันธุ์ไม้หายาก ซึ่งบางทีมีคนสั่ง ก็ไปขุดต้นเล้กๆมา

--ระบบนิเวศ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ที่ใกล้บ้านผมเป็นป่าของเอกชน มีแต่เสียงนก โดยไม่รู้ว่าชนิดไหนบ้าง เยอะมาก แต่มีนกกระปูดด้วย มันสวยมาก แต่เสียงร้องมันหวูดๆ ปูดๆ ต่างกับตัวมัน ที่รูปร่างสวยครับ  ตัวเกือบเท่าแม่ไก่นะครับ

--ผมถาม นศ.ราชภัฎจันทรเกษมว่า ทำไมจึงเลี้ยงผีเสื้อได้ เขาบอกว่า ผีเสื้อชนิดหนึ่ง จะกินใบไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่งเท่านั้น--หากต้นไม้สูญพันธุ์ ผีเสื้อนั้นก็สูญไปด้วย ที่เขาเลี้ยงนั้น
ต้องใช้เถาวัลย์ป่าคือต้นกระเช้าผี --แล้วหาที่ไหนล่ะ เขาบอกว่า "สั่งพ่อค้าที่สวนจตุรจักรให้หาให้ ราคาใบละ100 บาท" มีไบบนต้นกี่ใบ  ก็ราคาตามนั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 01:56:15 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
Auan IE15
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 460



« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 18 มิถุนายน 2012, 22:43:15 »

อยากได้เมล็ดฟักข้าวมีใครแจกไหมครับ
IP : บันทึกการเข้า

พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 15:40:04 »

ทีเวปเกษตรพอเพียงครับ หรือมีขายในเว็ปนั้นครับ เมล็ดมันไม่แพงครับ เห็นว่ามีสารต้านมะเร็งเยอะ มีคุณค่ามาก ใครมีถายรูปมาให้ชื่นชมหน่อย
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
khuanta
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 205


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 22:30:23 »

ขวัญอยู่เว็ปเกษตรพอเพียงมานานแล้วก่อนเป็นสมาชิกเชียงรายโฟกัสด้วยซ้ำไป ทางเว็ปไม่ได้มีแต่การขายนะค่ะ การแจกก็มีค่ะ แต่ละคนที่แจก ทำด้วยใจรักและชอบต้นไม้ เช่นเมล็ดฟักข้าวมีแจกอยู่ค่ะ หรือถ้าหมดไปแล้วไปตั้งกระทู้ขอรับไว้ถ้าเพื่อนๆๆมี เค้าจะมาโพสบอกเราอีกครั้ง   ส่วนต้นไม้แปลกๆๆ ตอนนี้ขวัญมี หม่อนหิมาลายันสีขาว สีแดง แตงหูฉลาม ฟักทองสปาเก็ตตี้ และตัวสำคัญคือแบล็คเบอร์รี่ซึ่งตอนรับซื้อมานั้นราคาแพง ตอนนี้เริ่มขยายเพื่อหาเงินมาลงต้นไม้แปลกๆๆชนิดอื่นแล้ว แต่จะถูกกว่าราคาที่ขวัญซื้อมามากกว่าและไม่ต้องเสี่ยงด้วยค่ะ และทางเว็ปยังมีความรู้ดีๆๆที่คนรักต้นไม้สัตว์ ต้องอ่านอีกด้วยค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 22:37:03 »

ขอบคุณ คุณขวัญตาครับ ผมยังใหม่ อ่านไม่ทั่ว
--ช่วงนี้ผมมกับคุณโอ๊คกำลังตามหา หืมาลายันแดงครับ
--มีสูตรจากเว็ปพลังจิต และลานธรรมเรื่องดื่มน้ำปัสสาวะครับ

อยากทราบสูตรยาดองน้ำมูตรครับ
 เนื้อความ :
อยากทราบยาดองน้ำมูตรเน่าตามที่มีในพระไตรปิฎกว่ามีวิธีทำอย่างไร
 จากคุณ : 47 [ 29 ม.ค. 2545 / 15:08:39 น. ]
     [ IP Address : 203.170.186.31 ]


 ความคิดเห็นที่ 1 : (เรวัตตะ)
ดีมากครับ  ผมกำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน
คิดว่าเป็นสูตรยาที่ดีมากครับ  รักษาโรคแบบครอบจักรวาล
แต่ต้องอาศัยบารมีแห่งพระพุทธคุณด้วยนะครับ
ตามที่ผมไตร่ถามผู้รู้มาได้อย่างนี้ครับ...
ใช้สมอหรือมะขามป้อมดองด้วยน้ำปัสสาวะของเราเอง
แค่นี้แหละครับ   แต่ยังไม่รับรองว่าจริงหรือเปล่านะครับ
เรื่องการใช้ปัสสาวะรักษาโรคนี้เคยได้ยินมานานแล้ว  ของต่างประเทศก็เคยครับ
 จากคุณ : เรวัตตะ [ 30 ม.ค. 2545 / 06:09:07 น. ]
     [ IP Address : 202.28.22.4 ]


 ความคิดเห็นที่ 2 : (จิตฐิ)
ใช่ค่ะ..ใช้ปัสสาวะของเราเองค่ะ

1. อย่างสด - ใช้ทานสดๆ รับประทานตอนไม่สบายเท่านั้น   เป็นยาลักษณะแบบใช้พิษถอนพิษค่ะ   ใช้ได้ผลจริงๆค่ะ   จะนำมาใช้ล้างหน้าด้วยก็ได้
2. ยาดองน้ำมูตรเน่า - ต้องสะสมปัสสาวะไว้มากหน่อยค่ะ  นำไปต้มให้เดือด ขณะเดียวกัน    ก็เตรียมขวดโหล - ในขวดโหลจะใส่ สมอ หรือ มะขามป้อม ก็ได้ค่ะ 

แต่พระป่าบางท่านจะใส่เครื่องเทศหลายอย่างเลย เช่น ตะไคร้, ข่า, กระเทียม, ขิง ฯลฯ   ดองไว้จนกลิ่นหอม  ก็เริ่มทานได้เลยค่ะ  วันละครั้ง หรือ สองครั้ง เป็นยาบำรุงสุขภาพทั่วไปค่ะ
 จากคุณ : จิตฐิ [ 30 ม.ค. 2545 / 07:51:41 น. ]
     [ IP Address : 66.169.176.114 ]


 ความคิดเห็นที่ 3 : (ปกรณ์ pingpong2512@hotmail.com)
ผมทราบมาว่าดื่มปัสสาวะตอนเช้า โดยตัดหัวตัดหาง ใส่ภาชนะดื่มสดเลยรักษาโรคทั่วไปได้ ทำให้สุขภาพดี ผมเคยดื่มช่วงระยะเวลาหนึ่งขณะบวชเป็นพระและหลังจากสึกแล้วระยะหนึ่งก็ดีนะครับ แต่ไม่ได้สังเกตอะไรมากมายนัก พยายามวางนะครับ  ยังไงผมอนุโมทนาบุญแก่ท่านที่ให้ความรู้แก่ผู้อยากรู้ด้วยนะครับ
 จากคุณ : ปกรณ์ pingpong2512@hotmail.com [ 30 ม.ค. 2545 / 12:21:22 น. ]
     [ IP Address : 10.0.203.56 ]


 ความคิดเห็นที่ 4 : (จิตฐิ)
เรียน คุณปกรณ์

ความจริงเคยได้ยินมาหลายสูตรมากค่ะ  บางสูตรก็ว่าต้องไปหาปัสสาวะเด็ก  กินสดๆบำรุงดี

ส่วนสูตรที่จิตฐิไปได้มานี่   ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมในป่ากับพระป่าแถวสกลอยู่หลายเดือนค่ะ   ท่านบวชมานานมากตั้งแต่เป็นเณร    ท่านเห็นว่าจิตฐิเป็นคนขี้โรค, ผอม    ท่านเห็นว่าผอมๆ ตัวนิดเดียวมั้งคะ     ท่านจึงเมตตาจดสูตรให้ค่ะ   ท่านว่าถ้ากินอยู่สม่ำเสมอนั้น   เวลาไม่สบายจัดๆ   ก็จะนำมาใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร   เพราะจะเคยยา  หรือ  ดื้อยานี่ละคะ

ท่านยังเคยเล่าเรื่องครูบาอาจารย์ให้ฟัง  เช่นท่านหลวงท่านหนึ่ง    ที่ท่านเคยไปป่วยในป่า  หายาไม่ได้เลย  ขนาดฉี่ออกมาเป็นเลือดลิ่มๆ    ท่านก็ฉันกลับเข้าไป   หลวงปู่ว่า  ถ้าไม่ได้ยาของพระพุทธองค์นี้   ท่านก็คงไม่ได้ออกมาจากป่าเป็นแน่แท้

หลักการพิษ-ถอน-พิษ   ก็ดูมีเหตุ มีผลดีนะคะ    แต่ใครใช้ได้ผลอย่างไร   ก็ทำอย่างนั้น   ดีทั้งนั้นแหละค่ะ 

คุณๆ  มียาอะไรดีๆ  ก็ช่วยมาบอกกันด้วยค่ะ   

แต่ถ้าจะเข้าป่าลึก  ควรฝึกท่องบทวิรูปักเข ไว้ด้วยจะดีมากค่ะ   ครูท่านว่าช่วยป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายได้ดีค่ะ
 จากคุณ : จิตฐิ [ 31 ม.ค. 2545 / 11:29:49 น. ]
     [ IP Address : 66.169.176.114 ]


 ความคิดเห็นที่ 5 : (จิตฐิ)
วันนี้พอดีได้สนทนากับครู  ท่านเป็นพระป่า ธุดงค์แถวทางภาคใต้

ท่านได้ให้สูตรยาดองน้ำมูตรเน่ามาอีกหลายสูตร   ไม่ทราบว่าคุณจะยังสนใจอีกมั้ยคะ
 จากคุณ : จิตฐิ [ 1 ก.พ. 2545 / 05:44:18 น. ]
     [ IP Address : 66.169.176.114 ]


 ความคิดเห็นที่ 6 : (ปกรณ์ pingpong2512@hotmail.com)
เรียน คุณฐิติ
ขอบพระคุณมากครับที่กรุณาบอกกล่าวประเด็นดื้อยาให้ทราบ เนื่องจากผมไม่รู้มาก่อน อย่างไรเสียผมก็ดีใจและขออนุโมทนาบุญกับคุณฐิติที่มุ่งปฎิบัติอย่าง      จริงจัง  คุณฐิติคงเดินจงกรมทุกเช้าใช่หรือเปล่าครับ ยังไงผมก็ขออนุโมทนากับ   จุดหมายที่คุณตั้งไว้นะครับ ยังไงเสียในชาตินี้ก็ขอให้เข้าสู่กระแสเป็นอย่างต่ำนะครับจะได้ไม่เสียเวลากับอบายอีก ขอบพระคุณครับ
 จากคุณ : ปกรณ์ pingpong2512@hotmail.com [ 1 ก.พ. 2545 / 10:14:34 น. ]
     [ IP Address : 10.0.203.56 ]


 ความคิดเห็นที่ 7 : (เรวัตตะ)
สาธุครับคุณจิตฐิ   กรุณาเผยแพร่สูตรหน่อยครับ
สนใจมากครับ  ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
 จากคุณ : เรวัตตะ [ 1 ก.พ. 2545 / 16:17:03 น. ]
     [ IP Address : 203.151.77.247 ]


 ความคิดเห็นที่ 8 : (pang)
ขอแซมด้วยคนนะคะ เพราะได้ประโยชน์จากปัสสาวะตัวเอง
ใช้เป็นยาล้างตาค่ะ ตาเจ็บ ตาแดง ตามีฝุ่นผง ขยะ คันตา แสบตาใช้ได้หมด ใช้ปุ๊บ ชะงัดปั๊บ ไม่ต้องพึ่งยาหยอดยาล้างอื่น ๆ ล้างแล้วจะแสบนิด ๆ ค่ะ คล้ายยาหยอดตา ล้างตาในท้องตลาด แต่น่าจะดีกว่า เพราะไม่ต้องซื้อหา พกพาไปได้ตลอดแม้กลางป่า ล้างหน้าก็ดีค่ะ ประหยัดน้ำ ในช่วงที่เราอยู่กลางป่า (อีกเช่นกัน)
 จากคุณ : pang [ 2 ก.พ. 2545 / 20:59:18 น. ]
     [ IP Address : 203.146.159.37 ]


 ความคิดเห็นที่ 9 : (อติ)
แหะแหะ  ถ้าจะเอาน้ำปัสสาวะ ก็ พยายามเอาช่วงกลาง นะครับ 
ฉี่ ช่วงต้นทิ้ง  ไปหน่อย ค่อย รองน้ำปัสสาวะ 
แต่ อติ ยังไม่กล้า ครับ  แหะแหะ ...

เรียนคุณจิตฐิ ผมสนใจเรื่องวิรูปักเข    ช่วยแนะนำหน่อยสิครับ   รู้สึกจะมีคนเคยนำมาเขียนไว้แล้วแต่ไม่รู้ว่าอยุ่กระทู้ไหน
 จากคุณ : อติ [ 3 ก.พ. 2545 / 17:17:24 น. ]
     [ IP Address : 202.183.152.82 ]


 ความคิดเห็นที่ 10 : (pang)
ขอแทรกคุณจิตฐิ นิดค่ะอยู่ในกระทู้ ตระกูลงูทั้งสี่ค่ะ ของปางเอง
วิรูปะขะ เอราปะฐะ ฉัพพะยาปุตตะ กัณหาโคตะมะ (แบบสั้นค่ะ)
 จากคุณ : pang [ 3 ก.พ. 2545 / 18:06:25 น. ]
     [ IP Address : 203.146.235.82 ]


 ความคิดเห็นที่ 11 : (อติ )
แสดงว่า ท่องแบบสั้นของคุณ ปางก็ได้ใช่ไหม ครับ ขอบพระคุณครับผม
 จากคุณ : อติ [ 3 ก.พ. 2545 / 18:42:32 น. ]
     [ IP Address : 202.183.152.82 ]


 ความคิดเห็นที่ 12 : (ดังตฤณ)
ถ้ารังเกียจกลิ่นปัสสาวะ
ไปซื้อเครื่องต้มยำที่ตลาดสิครับอติ
กำละ 3 บาทเท่านั้น มีครบทุกอย่างที่จะทำให้กลิ่นหายไป
ก่อนดื่มครั้งแรกจะเหมือนกำลังทำอาชญากรรมร้ายแรงสักอย่าง
แต่พอผ่านปาก ผ่านลำคอไปแล้ว อุปาทานจะหายไป
เหลือแต่ความรู้จริงว่าปัสสาวะเราเองจะไม่เป็นพิษกับตัวเอง
ไม่แม้แต่จะทำให้รู้สึกแปลกปลอม ครั้งต่อๆไปจะธรรมดามาก
(ลองดื่มน้ำที่กรองไม่หมดจดจะรู้สึกเหมือนเรากินอะไรแปลกปลอมเข้าไป)
ตรงกันข้าม โรคอันไม่ปกติใดๆที่กำลังอยู่ในกายจะหายไปง่ายๆ

หากคิดจะลองครั้งแรก ควรรองปัสสาวะไว้สามรอบ
(ตัดหัวตัดท้ายแบบทุกท่านที่รู้จริงกล่าวไว้ข้างต้น)
ดื่มให้หมดแล้วจะรู้ว่าไม่ต่างกับดื่มน้ำรสวิตามินซีเท่าไหร่
(ผมเคยแต่ใส่เครื่องต้มยำดองไว้พักหนึ่งก่อน ยังไม่เคยกินสด)
และเราก็เลือกกินเฉพาะตอนไม่สบาย จึงคิดได้ง่ายครับว่ามันคือยาอย่างหนึ่ง

ถ้าอติติดใจ เห็นผลว่าทำให้หายป่วยหายไข้จริง
ต่อไปอาจจะทำวิจัยแล้วบอกพวกเราได้ว่าทำไมปัสสาวะถึงเป็นยาธรรมชาติ :-)
 จากคุณ : ดังตฤณ [ 4 ก.พ. 2545 / 00:13:07 น. ]
     [ IP Address : 202.133.160.152 ]


 ความคิดเห็นที่ 13 : (อติ)
วันนี้ช่วงเช้ายังสบาย ๆ ดี แต่ตอนเย็นรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ และเจ็บคอ 
ตอนเย็นขณะปัสสาวะ ก็คิดถึงกระทู้นี้  ยังคิดว่า เอ  หรือว่าเราจะ
ลองชิมปัสสาวะซักทีดีไหมหนอ ยิ้ม
เห็นหลายๆ ท่านออกมายืนยันผลอย่างนี้ ..
งั้น อาจจะลอง ในคืนนี้ ก่อนจะหายป่วย  เผื่อพรุ่งนี้จะได้มีแรงทำงาน อย่างปกติ

แล้วจะมารายงานผลให้ทราบครับ  ยิ้ม
 จากคุณ : อติ [ 4 ก.พ. 2545 / 21:31:49 น. ]
     [ IP Address : 202.183.152.100 ]


 ความคิดเห็นที่ 14 : (อติ)
ลองมาแล้วครับ เหอเหอ
ตอนแรกที่รองดื่มนั้น ก็รู้สึกว่า มันก็แค่น้ำ ไม่มีอะไร ก็เลยกินแบบไม่กลั้นใจ
พอน้ำกระทบลิ้น ก็รู้สึกขม และ... บอกไม่ถูก 
หลังจากนั้นรู้สึก พะอืดพะอม   ดื่มน้ำเปล่าตามไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่หาย เลยนั่งดู
ความพะอืดพะอม ไปเรื่อย ๆ ประมาณ  15 นาทีแล้วก็นอน ครับ
(มาคิดได้ตอนหลังว่า  ควรจะดื่มตอนเช้าดีกว่าหรือเปล่า น้อ )
ตอนเช้าตื่นมา พิษไข้ก็ไม่หายไป ไหน วันนี้ ก็ ซม ทั้งวันเลย   ครับ ยิ้ม
 จากคุณ : อติ [ 5 ก.พ. 2545 / 18:00:08 น. ]
     [ IP Address : 202.183.152.92 ]


 ความคิดเห็นที่ 15 : (จิตฐิ)
ยาปัสสาวะ  มี  2 ประเภท

1.  รักษาโรค  - ใช้ปัสสาวะ สดๆ ของผู้ป่วยเอง   ควรใช้ยานี้เฉพาะเวลาป่วยเท่านั้น   เพื่อเป็นการใช้หลักของ        “พิษ – ถอน – พิษ”    แต่ถ้าท่านใช้ยานี้เป็นประจำ   ระบบร่างกายจะมีความเคยชิน          และ เมื่อมีอาการป่วยหนักอีก   ยานี้จะใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร   เพราะร่างกายจะดื้อยาขึ้น,   ควรรองช่วงกลางของน้ำปัสสาวะ ( พระบางท่าน ก็รองเลย โดยไม่ได้ตัดหัวท้ายค่ะ )   

2.  บำรุงร่างกาย – ยาดองน้ำมูตรเน่า  ใช้ปัสสาวะใครๆมารวมกันก็ได้  นำไปต้มก่อน  แล้วค่อยเอาไปดอง  เพื่อช่วย     
๑.        เจริญอาหาร, รับประทานอาหารได้
๒.        ช่วยเลือดลมไหลเวียนสะดวก
๓.        ช่วยในการขับถ่าย ( ถ้ายิ่งดื่มน้ำ ยิ่งจะทำให้ถ่ายบ่อย )
................................................................................

ยาดองน้ำมูตรเน่า -  " สูตร ต้มกับเกลือ "

1. นำปัสสาวะทั้งหมด ใส่หม้อเอาตั้งไฟ,  เอาเกลือใส่,   ต้มจนเดือด   เดือดแล้วจะมีฟองลอยฟ่อง  หรี่ไฟให้อ่อนลง  แล้วคอยตักฟองออกทิ้ง     (ยิ่งต้มจะยิ่งส่งกลิ่น)   จากนั้นปิดไฟ  ยกลงจากเตาเลยก็ได้     ทิ้งไว้ให้เย็นlสนิทก่อนนำไปเทลงขวดโหล   

ยาดองน้ำมูตรเน่า -   " สูตร สมอ-เกลือ"
* ถ้าเกลือน้อย..สมอจะเน่า,  ถ้าเกลือมาก..จะเค็มเกิน ทานไม่ได้
   วิธีทำเหมือนข้างบน

ยาดองน้ำมูตรเน่า -   "สมอ-มะข้ามป้อม-เกลือ"
  วิธีทำเหมือนข้างบน

ยาดองน้ำมูตรเน่า - (สูตร..เครื่องเทศ)

เครื่องเทศ :
1. เกลือ        2. กระชาย        3. พริกไทย
4. สมอ - เลือกอย่างเปรี้ยว        5. ข่าแก่ๆ             6. ดีปี (คล้ายๆพริก)       
7. ตะไคร้        8. กระเทียม        9. เหงือกปลาหมอ
10. ช้างงาเอก (เป็นรากไม้ชนิดหนึ่ง)
11.  สะสมปัสสาวะ..จะเอาของใครๆมารวมกันก็ได้  ให้ได้ปริมาณเพียงพอ
ปล..!!.  เครื่องเทศนี้ถ้าหาได้ไม่ครบ   ก็ใช้เฉพาะที่หาได้
       
วิธีทำ :
1. เตรียมเครื่องเทศน์ทั้งหมด   เอาใส่โหลไว้   พักรอไว้ก่อน
2. นำปัสสาวะทั้งหมด ใส่หม้อเอาตั้งไฟ,  เอาเกลือใส่,   ต้มจนเดือด   เดือดแล้วจะมีฟองลอยฟ่อง  หรี่ไฟให้อ่อนลง  แล้วคอยตักฟองออกทิ้ง     (ยิ่งต้มจะยิ่งส่งกลิ่น)   จากนั้นปิดไฟ  ยกลงจากเตาเลยก็ได้     ทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนนำไปเทลงขวดโหล   

ดองประมาณ 4-5  อาทิตย์ก็ใช้ได้    ส่วนเครื่องเทศน์ และ สมอ ฯลฯ รับประทานเป็นปรมัตได้
..............................................

สิ่งนี้นั้น..มันก็คือยาค่ะ  ยาแต่ละตัวก็มีกลิ่นประจำของเขา  และ ยาส่วนมากที่มีคุณสมบัติในการรักษาก็จะมีรสขม   และ   ถ้าชิมได้ทุกวันเราจะรู้จักสุขภาพเราขึ้น  พอวันไหนรสแปลกไปเราก็จะรู้ และ หาเหตุได้ก่อนที่จะมีอาการของกายค่ะ  เพราะร่างกายเรานั้น คือ ธาตุทั้ง 4 มารวมกันชั่วคราว   ถ้าธาตุไม่สมดุลย์กันก็จะมีอาการต่างๆค่ะ   

คุณอติคะ    ขอให้หายไวๆค่ะ   ถ้ายังทานยานี้ไม่ได้  ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  อย่าไปฝืนเลย   จะยิ่งพะอืดพะอมไปอีก      คุณอติหมั่นทานน้ำเยอะๆแทนนะคะ  จะได้ช่วยระบาย ให้ของเหลวไหลเวียนถ่ายเทปรับระบบในร่างกายได้   


คุณปางคะ..

วิธีใช้ล้างตานี่    จิตฐิเพิ่งเคยได้ยินจากคุณปางนี่หล่ะคะ  ขอบคุณค่ะ
เจอกันที่เมืองไทยนะคะ   

ขอลาทุกๆท่าน  แล้วคงได้พบกัน  Bye  Bye
 จากคุณ : จิตฐิ [ 7 ก.พ. 2545 / 05:48:12 น. ]
     [ IP Address : 66.169.176.114 ]


 ความคิดเห็นที่ 16 : (อติ )
เห็นว่าน้ำ เป็นยาที่ดี ที่สุดขนานหนึ่ง  ไม่ควรมองข้าม ยิ้ม

จะว่าพะอืดพะอม ก็ไม่ถึงขั้นนั้นนะครับ เพียงแต่รู้สึกแปล่ง ๆ ในช่วงแรก ๆ
ดื่มไป 1 ครั้ง  หลังจากนั้นไม่มีอาการไข้ แต่ว่า ยังเจ็บคอและมีเสมหะมาก ตอนหลังนี่เลย พยายามดื่มน้ำเยอะ  ๆ ครับ คิดว่าช่วยได้ ...ใช้น้ำที่ดื่มเป็นน้ำมนต์
 จากคุณ : อติ [ 8 ก.พ. 2545 / 13:07:36 น. ]
     [ IP Address : 203.145.30.38 ]


จบกระทู้บริบูรณ์
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
khuanta
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 205


« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 22:40:37 »

จ๊ากกกกก ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะเจ้าหิมาลายันสีแดง 5555 เพิ่งได้มาไม่ทันไรเลยจร้า
IP : บันทึกการเข้า
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 22:48:30 »

เหรอ จ้องจะซื้อซะแล้ว ว้า...โพสบอกนายโอ๊คไว้แล้วด้วย ช่วงนี้ขาดตลาด เลยเกิดอาการลงแดงกันทั่วหน้าครับ

--อจ.มหาลัย โพสบอกไว้ว่า อย่าไปเรียนรู้เลยพุทธศาสนา..โห..พูดได้ไง

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340272179&grpid
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2012, 04:39:19 »

ต้นผักเชียงดา

"เซี่ยงดา หรือ เซ่งดา" ในภาษาเมืองของภาคเหนือ มันคือผัก "เชียงดา" หรือ
"จินดา" ในภาคกลาง ส่วนในภูมิภาคอื่นๆ
จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็น "ผักว้น" ,"ม้วนไก่" หรือ
"ผักเซ็ง" เป็น พืชในวงศ์ ASCLEPIADACEAE มีลักษณะเป็นไม้เถา น้ำยางใส
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ดอกช่อ ออกที่ง่ามใบ สีเหลืองอมส้ม
ผลรูปหอก มีข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือในภาษาฮินดู "Gurmar" คำๆ
นี้แปลตรงตัวว่า "ผู้ฆ่าน้ำตาล"

"เชียงดาจะมีรสขมนิดๆ
ชนิดที่เกิดในป่าจะขมกว่าชนิดที่นำมาปลูกในบ้านเป็นผักเพื่อบริโภค
หากลองเด็ดใบแก่สักหน่อยมาเคี้ยวกินดู
แล้วหลังจากนั้นกินน้ำตาลทรายเข้าไป มันจะไม่หวานเหมือนกินน้ำตาล
แต่มันจะเหมือนกินทราย รสของเชียงดาจะทำให้น้ำตาลไร้รสชาติ
และรสของมันจะติดลิ้นค่อนข้างนาน พาลทำให้คนที่เคี้ยวไม่อยากอาหารไปเลย"
ผักเชียงดาถูกใช้เป็นยารักษาเบาหวานในอินเดียและประเทศในแถบเอเชียมานานกว่า
2000 ปีแล้ว มีสารสำคัญคือ gymnemic acid
ซึ่งสกัดมาจากรากและใบของผักเชียงดา มีรูปร่างเหมือนน้ำตาลกลูโคส
จึงไปจับเซลล์รีเซพเตอร์ในลำไส้ ป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล The U.S.
National Library of Medicine (NLM) and the National Institutes of
Health (NIH) พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่าผักเชียงดา
สามารถที่จะช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานทั้งชนิด
พึ่งอินซูลิน(type 1) และไม่พึ่งอินซูล(type 2)ได้
เมื่อให้ร่วมกันอินซูลิน และยารักษาเบาหวานอื่นๆ
และยังมีรายงานว่ามีบางรายใช้ผักเชียงดาตัวเดียวในการคุมระดับน้ำตาลในเลือด
โดยไม่ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องบอกให้แพทย์ทราบเมื่อกินผัก
เชียงดาช่วยคุมเบาหวานเพื่อที่จะลดอินซูลินและยาลง

ในกลุ่มหมอกลางบ้านไทยใหญ่มีตำราระบุถึง "ผักว้น" หรือเชียงดาว่าเป็น
"ยาแก้หลวง" คือ เป็นยาที่ใช้แก้ได้หลายอาการ รักษาได้หลายโรค
มีสรรพคุณคล้ายฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้แพ้ แก้เบาหวาน
หน้าแล้งจะขุดรากมาทำยา หน้าฝนจะใช้เถาและใบ โดยสับตากแห้งบดชงเป็นชาดื่ม
นอกจากนี้ยังใช้แก้แพ้ กินของผิด ฉีดยาผิด เวียนศรีษะแก้ไข้สันนิบาต
(ชักกระตุก) หรือเมื่อเกิดอาการคิดมาก
มีอาการหย่องคือมีอาการจิตฟั่นเฟือน นอกจากนี้
คนไทยใหญ่ยังใช้ผักเชียงดายังใช้รักษาอาการท้องผูกโดยจะแกงผักเชียงดา
รวมกับผักตำลังและยอดชะอมกิน นิยมกินในหน้าร้อน
เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย
 
 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 29 มิถุนายน 2012, 05:03:55 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2012, 04:53:14 »

ต้นรากสามสิบ(สาวร้อยผัว,ผักชีช้าง)

นำบทความ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับต้นรากสามสิบมาฝาก
 : สาวร้อยผัว ผักชีช้าง สมุนไพรนับพันปีของแม่หญิงที่ถูกลืม

เรื่องราวสมุนไพรสารพัดประโยชน์ เป็นทั้งอาหารและยา...ที่ถูกลืม
สาวร้อยผัว มักจะรู้จักในชื่อที่ต่างกันไปในแต่ละภาค ภาคกลางมักจะเรียกว่า รากสามสิบ หรือ สามร้อยราก ซึ่งในส่วนของภาคกลางมีของหวานที่ชื่อว่า “รากสามสิบแช่อิ่ม” ส่วนในภาคอีสานเรียกว่า ผักชีช้าง ส่วนภาคใต้รับประทานเป็นผักเช่นกันเรียกว่า ผักหนาม เพราะลำต้นมีหนามรับประทานเป็นผัก ใช้ยอดอ่อน ผลอ่อน หน่ออ่อน (ซึ่งพืชชนิดนี้เป็นพืชตระกูลเดียวกับหน่อไม้ฝรั่ง) โดยรับประทานสดๆ ต้ม แกงส้ม แกงกะทิ เป็นต้น และยังมีพืชตระกูลเดียวกันมีลักษณะใกล้เคียงกันมากกับรากสามสิบมีชื่อพฤกษ ศาสตร์ว่า Asparagus filicinus Buch.-Ham. บางท้องที่เรียกรากสามสิบ ต้นนี้ทางเหนือเรียก “ม้าสามต๋อน” ใช้เป็นยาดองเป็นยาบำรุงสำหรับเพศชาย ซึ่งทั้งสองชนิดมีชื่อเป็นภาษาสันสกฤตเหมือนกัน คือ Satavari จึงมีสรรพคุณทางยาคล้ายๆ กัน นอกจากรับประทานเป็นผักแล้วรากของสมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถนำมาทุบหรือขูดกับ น้ำเพื่อใช้ซักเสื้อผ้าได้อีกด้วย

มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร พยายามอย่างยิ่งที่จะนำสมุนไพรรากสามสิบกลับมาสู่สังคม แต่เนื่องจากรากสามสิบในอดีตเป็นสมุนไพรพื้นๆ ที่คนทั่วไปกินเป็นในรูปแบบอาหารเป็นยาจึงไม่ค่อยมีการบันทึก มีเพียงคำบอกเล่าของผู้คนเท่านั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีที่มีตำราทำอาหารของ "ตำรับสายเยาวภา" และ "หนังสือพรรณไม้พระตำหนักสวนปทุมเทิดพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ได้บันทึกไว้ว่า รากสามสิบใช้เป็นอาหารได้ และในหนังสือได้บรรยายว่า รากของรากสามสิบสามารถใช้แช่อิ่มกินเป็นของหวานได้ และปัจจุบันในจังหวัดสกลนครและระยองได้มีการรื้อฟื้นการนำรากสามสิบมาใช้ ประโยชน์ โดยนำมาทำเป็นอาหารและใช้เป็นยาบำรุงทั้งการรับประทานเป็นยาดองเหล้า (ใช้รากแห้งดอง) ยาต้ม ยาชง เป็นต้น

รากสามสิบ…สืบสานตำนานยาวนานนับพันปี
“สาวร้อยผัว” พลังแห่ง “Female Rejuvenation”

หมอยาโบราณส่วนใหญ่จะรู้ว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี จึงมีชื่อว่า สาวร้อยผัว กล่าวคือไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ โดยจะใช้รากมาต้มกิน หรือปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง แต่ชื่อสาวร้อยผัวในปัจจุบันแทบไม่มีใครรู้จักแล้ว ยกเว้นลูกหลานหมอยาบางคนที่เคยได้ยินปู่ที่เป็นหมอยาและพ่อพูดถึงต้นนี้อยู่ บ้าง เช่น หลานหมอยาที่บุรีรัมย์ นายพิทักษ์ ตีเหล็ก ปัจจุบันเป็นเจ้าพนักงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นหลานของหมอยาชื่อ นายอ่ำ ตีเหล็ก และหมอยาที่มีพระคุณต่อการพัฒนาสมุนไพรของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรชื่อ นายส่วน สีมะพริก (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) ได้เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า สาวร้อยผัว เช่นกัน   และเป็นที่น่าแปลกใจว่า ในอินเดียมีการเรียกสมุนไพรชนิดนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ศตาวรี (Shatavaree) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายถึงผู้หญิงที่มีร้อยสามี “Satavari (this is an Indian word meaning 'a woman who has a hundred husbands')” สมุนไพรชนิดนี้ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในอินเดียใช้รากสามสิบทำเป็นของหวานเช่นเดียวกับเมืองไทย

สมุนไพรที่มีอนาคต

รากสามสิบ เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในอินเดียชนิดหนึ่ง ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๐๐ อินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ถึง ๘,๔๖๐ ตัน เป็นอันดับสองรองจากมะขามป้อมที่ใช้อยู่ที่ ๑๕,๑๔๗ ตัน ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำของรากสามสิบจากอินเดีย ไปจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น Dietary supplement กล่าวคือ สามารถขายได้ทั่วไปอย่างอิสระไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ รวมทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังเป็นสมุนไพรที่อยู่ในรายการสินค้าที่จะลดภาษีจริง ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ภายใต้ข้อตกลงไทย-จีนตามพิกัดศุลกากร สมุนไพรชนิดนี้จึงน่าจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งมีรายงานในปี ๒๕๔๘ ประเทศไทยส่งออกรากสามสิบปีละ ๑๖,๖๕๘,๕๖๖ บาท โดยส่งออกไปที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ

ในตำราอายุรเวทใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว (Female rejuvenation) และนอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ของผู้หญิง เช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะหมดอารมณ์ทางเพศ ภาวะหมดประจำเดือน (Menopause) บำรุงน้ำนม บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง (Habitual abortion)

นอกจากจะใช้สมุนไพรชนิดนี้สำหรับผู้หญิงแล้ว ในอินเดียยังใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็คล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สมุนไพร ม้าสามต๋อน เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศ นอกจากนี้รากสามสิบยังถือว่าเป็นสมุนไพรแห่งการฟื้นฟูพลังชีวิต เหมาะกับผู้สูงอายุที่ท้อแท้ ซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต โดยคั้นน้ำสดๆ รับประทานกับน้ำผึ้ง ในปัจจุบันในบางพื้นที่ยังนำรากสามสิบสดเคี้ยวกินเล่นเพื่อบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วย ส่วนในอินเดียมักนิยมรับประทานน้ำคั้นสดกับนม ต้มน้ำคั้นสดกับนมหรือผงแห้งกับเนย และในอินเดียยังใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาอื่นๆ อีกมาก เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ

การศึกษาวิจัยสมัยใหม่

สาวร้อยผัว หรือรากสามสิบเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ ลดการอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ

ในการศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลองพบว่า การใช้ในขนาดสูง ๒ กรัมต่อกิโลกรัมด้วยการกินไม่พบพิษ และการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แล้วให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน ๔ และ ๓๒ สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม

การศึกษาที่กล่าวข้างต้นเป็นการศึกษาในห้องทดลอง ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ดังนั้นการนำมาใช้เป็นยากับคนจึงต้องมีการศึกษาทดลองกันต่อไป ส่วนที่มีการทดลองทางคลินิก (การใช้ในคนจริงๆ) คือการใช้ในการรักษาโรคกระเพาะ โดยการให้รับประทานผงแห้งของราก พบว่าได้ผลดีในการรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้เล็ก และอาการที่มีกรดเกิน (Acid dyspepsia)
ข้อควรระวัง
เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้หายไปจากสังคมมานาน การที่จะนำมาใช้เป็นยาอีกครั้งควรระวัง เพราะเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงห้ามใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น ท่านที่เป็นโรค Uterine fribrosis หรือ Fibrocystic breast
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 13:46:15 »

Bayberry หรือต้นหยางเหมย ไม้ผลจากเมืองจีน รสหวานอมเปรี้ยว ญี่ปุ่นเรียกว่า ยามาโมโม่  จะปลูกต้องซื้อสองต้น มีตัวผู้ตัวเมียครับ ต้นละประมาณ 250 บาท หาทีเว็ปเกษตรพอเพียงครับ
พวกบ๊วย ท้อ  พีช บ๊วยดอก มะคาเดเมีย  นางพญาเสือโคร่ง  ก็มีครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 13:49:55 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 13:55:32 »

เดี๋ยวจะแจกเพลงสำหรับเล่นให้ต้นไม้ฟังครับ
--ต้นบ๊วยดอก-Prunus Mume  แรงบันดาลใจนับพันๆปีให้เกิดภาพวาดที่สวยงามครับ

บอนไซ เล่นสีด้วย ราคาหลายตัง


IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 13:57:42 »

ญี่ปุ่นเรียก มัทสุระบาร่าดอกแดง  ฝรั่งว่า แอปปริคอทญี่ปุ่น






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 14:09:23 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 14:05:47 »

เสียดายบางรูปเล็กไปนะครับ
--ภาษาจีนเขาว่า ผู้หญิงสาว สวยเหมือนดอกบ๊วยดอกท้อ ของญีปุ่นก็ซากุระครับ เทศกาลชมดอกซากุระโดยเฉพาะ
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
หน้า: 1 2 [3] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!