เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 06:31:09
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  คนเล่นของ(แปลก) ต้นมารูล่า ไม้ต่างแดนตระกูลเบอรี่-เมืองไทยมีขายครับ-ไม่ได้ขายของ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์
ผู้เขียน คนเล่นของ(แปลก) ต้นมารูล่า ไม้ต่างแดนตระกูลเบอรี่-เมืองไทยมีขายครับ-ไม่ได้ขายของ  (อ่าน 39850 ครั้ง)
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2012, 17:54:00 »

ใครปลูกต้นไม้แปลกๆได้แล้วอย่าลืมเอามาโชว์เน้อ  ผมเองถ้ามีก็จะโชว์ครับ

--ลืมเล่าเรื่องการปลูกข้าวอีกนิดนึง
---บางคนไม่ยอมซื้อพันธุ์ข้าว แต่สนใจข้าวที่งอกออกมาจากตอซัง  ไม่ยอมใสปุ๋ย ใบข้าวก็เหลือง เหมือนกำลังจะตาย ชาวนาแปลงข้างๆก็วิจารณ์กันว่า "มันท่าจะบ้าไปแล้ว ฟันธง"  แต่พอข้าวออกรวง ก็ยืดตัวเท่าๆกับข้าวทั่วไป และให้ผลผลิตดีเท่าเดิม
--บางคนก็ใช้ยางรถเก่าหุ้มรถไถเล็ก--แล้วย่ำตอซังครับ  วิธีนี้จะทำให้ข้าวที่งอกใหม่แตกยอดได้ดี เพราะตอซังรัดต้นข้าวอยู่ แบบนี้ก็เช่นกัน ไม่ต้องหว่านใหม่แต่อย่างใด ฟางข้าวเก่า และตอซังก้เป็นปุ๋ยอย่างดี
--การเผาฟาง ก็เป็นสาเหตุของโลกร้อนเปล่าๆ นำมาคลุมดินปลูกผักก็ดีครับ บางคนนำมาคลุกกับขัี้โคลน ทำบ้านดินได้อีก
---ส่วนใหญ่ชาวนาก็ปล่อยให้หญ้าขึ้นในนาข้าว พอหน้านาก็ไถกลบปล่อยให้เน่าเป็นปุ๋ยไป
--ทำไมต้นข้าวโดนน้ำท่วมกอ แต่ไม่ตาย เพราะข้าวเป็นพืชที่มหัศจรรย์มาก มีอวัยวะที่ดึงออกซิเจนลงไปเลี้ยงรากและลำต้นได้ ตราบใดที่น้ำไม่ท่วมมิดยอดข้าว ข้าวก็จะไม่ตาย ในขณะที่ต้นหญ้ากลับตายแทน-

--นาข้าวที่ดีๆ ที่ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี จะเลี้ยงปลาในนาก็ได้ครับ ผมเองพยายามจะจับปลาตัวเล็กในนาข้าว มันสวยมากครับ มีสีฟ้าสีแดง แต่มันไวมากครับ  พอมีน้ำ ปลาก็ไม่รู้มาจากไหน  แม้แต่ฝนแรก ปลาก็ออกดิ้นกันโฉงเฉงแล้ว นักวิชาการว่า มันจำศีลอยู่ในโคลนครับ

--ปลาดุก กินได้ทั้งอาหารที่เป็นพืชและสัตว์ แบบเดียวกับปลาช่อน จึงโตเร็วกว่าปลานิลมากครับ
การเลี้ยงในธรรมชาติ ถ้าปล่อยน้อยๆ พวกเศษผักมันก็กินครับ ประหยัดค่าอาหารไปได้บ้าง หาผักตบชวามาเยอะๆ มันจะกินราก- กินใบจนเหี้ยนเลยครับ ส่วนอาหารเม็ดให้เท่าไหร่ก้ไม่พอ ถ้ากินเหลือแล้วทำให้น้ำเสียง่ายครับ

--การเลี้ยงไก่ เราจะปล่อยใต้ต้นลำใยก็ได้ครับ ไก่จะกินแมลง ใบหญ้า อะไรต่างๆ คนนิยมเลี้ยงไก่สามสายเลือดเพราะทนทาน สองอย่างนี่เคยทำมาแล้วครับ ลงแรงขุดบ่อเอง-ไม่เทคาน ปัจจุบันน้ำฝนเยอะมันมีแรงดัน เลยกลายเป็นระเบิดทำลายบ่อไปแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 มิถุนายน 2012, 20:14:00 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2012, 20:56:19 »





อะซาเลีย เป็นทั้งไม้ดัด และไม้ดอก แต่ไม่ใช้ไม้ แ..ก ครับ
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
Auan IE15
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 460



« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2012, 23:31:27 »

--มีพริกผลใหญ่ที่บางท่านอยากได้--- พอดีเจอก็เอามาให้ดูครับ ไม่ได้มีเอี่ยวกับผู้ขายครับ
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?PHPSESSID=mkntq1v05hbbj27bh6j5oujkg3&topic=46602.0

-ข้วโพดกลมๆ เหมือนสตอเบอรี่---โหระพาสีม่วง น่าสนใจครับ--โสมเกาหลี หรือโสมคน ใช้เวลานานกว่าจะลงหัว ต้องเกิดตามป่าเขาที่ดินไม่ดี (หรือว่าใช้ดินดี ก็จะให้หัวเร็ว บางคนก็ว่าอย่างนั้นครับ น่าลองปลูก) โสมเกาหลีหรือโสมคน--บางประเทศหวงห้ามนำเมล็ดออกมา โทษหนักเลยนะครับ
กระทู้มิสเตอร์บีน พืชแปลกๆทั้งนั้น มีรูป มีชื่อวิทยาศาสตร์ จะให้หาก็ยังได้ครับ
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?PHPSESSID=mkntq1v05hbbj27bh6j5oujkg3&topic=39616.0

มะเขือเทศอิตาเลี่ยน(ไม้ยืนต้น) ปลูกประดับรีสอร์ตไว้ ได้ออกทีวีแน่เลยครับท่าน
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?PHPSESSID=mkntq1v05hbbj27bh6j5oujkg3&topic=61676.0

--บางคนก็ทำเรื่องผัก พวกเครื่องปรุงรสของฝรั่ง อย่างเช่น พาร์สลี่ ,เสจ,โรสแมรี่ และไธม์ ตามที่ในเพลง สคาโบโร แฟร์แหละครับ--ตลาดต้องการเรื่อยๆ เพราะโรงแรมระดับห้าดาวต้องใช้ผักพวกนี้ทำอาหารให้ลูกค้า อย่างคนอิตาลี่และฝรั่งเศส พวกนี้จะหัวอนุรักษ์เรื่องสูตรและรสชาติอาหารครับ

--หรือจะมานั่งเพาะไม้ประดับ ไม้สวนครัวสีแปลกๆ ใส่กระถางขายตามตลาดนัดก็เก๋ไม่เบาครับ--เมเปิ้ลแดงครับ
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?PHPSESSID=mkntq1v05hbbj27bh6j5oujkg3&topic=26652.0

-ดอกไม้สวยๆ อย่างกุหลาบพันปี หรือที่ชื่อจริงเรีย อาซาเลีย(มีหลายสี เป็นสุดยอดแรงบันดาลใจของกวีทั้งญี่ปุ่นและจีน) จขกท.ก็ห้ามใจที่จะไม่ซื้อได้สักครั้ง --(ท่านจงเปลี่ยนดิน เปลี่ยนกระถาง เพราะมีดินมานิดเดียว ใส่กาบมะพร้าวมาเยอะ คนขายอ้างว่ามันชอบแบบนี้ ที่ไหนได้ แป๊บเดียวตาย ท่านต้องควักตังซื้อใหม่--ทีเทศบาลปลูกลงดินหน้าตึก ไม่เห็นมันจะตาย ปีสองปีก็ยังอยู่)

--ท่านที่ปลูกตระกูล ส้ม และมะนาว พวกนี้ชอบน้ำ และปุ๋ยแบบไม่อั้นเต็มอัตรา--หากเราไม่สนใจ ก็ให้ผลผลิคแบบเสียไม่ได้ --ไม่เหมือนต้นไผ่ครับ เทวดาเลี้ยง ไผ่ปักกิ่งลำละ300 บาท ไผ่สีดำทั้งกอก็มี--ผมก้ยังไม่เห็นหน้าตามันนะครับ

--เมล็ดที่เค้าขายๆกันตามท้องตลาด จะให้ผลผลิตดีตามที่เขาวางยาไว้ หลังจากนั้นผลผลิตจะลด ถ้าเราเอาเมล็ดลูกมาทำพันธุ์ หรืออาจจะลีบไปเลย   ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจากทั่วโลก จึงรวบรวมผักพื้นบ้านมาช่วยกันเก็บและทดลองปลูก  
--อย่าลืมว่า ความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์(พันธุกรรม) คือความมั่นคงทางอาหาร  ในเมื่อไทยอยากเป็นครัวโลก ก็ต้องมีการรวมกลุ่มเก็บเมล็ดพันธุ์ทุกอย่าง เช่นข้าวเอาไว้ การปลูกข้าว2-3 ชนิดในที่เดียว อาจช่วยผลผลิตในยามแล้ง หรือน้ำท่วมได้
---เช่นคุณ โจน จันได สร้างบ้านดิน และเก็บสะสมเมล็ดพันธุ์ มีทั้งฝรั่ง ญึ่ปุ่น อิสราเอลมาขอเรียนรู้ทุกวัน ทั้งๆที่ต้องเสียค่าเรียนเป็นเงินไม่น้อย แต่ก็ยอม--เด็กหนุ่มสาวหลายๆคนมาตั้งหลักที่บ้านและสะสมเมล็ดพันธุในเมื่อพืชดัดแปลงพันธุกรรมมีตลาดที่สดใส เขาก็ทำตามกระแสทันที  จนประเทศจีนก้าวสู่สังคมอุตสาหกรรมและมั่งคั่งชึ้นในเวลาแค่30 ปี ในขณะที่ยุโรปใช้เวลาสองร้อยปี
--ในเมื่อกระแสสุขภาพมาแรง พืชบำรุงสุขภาพ ต้านมะเร็งอย่างผักพลูคาวตอง และอื่นๆ พืชไร้สารพิษ น่าจะเป็นตลาดที่ดี และโตวันโตคืน ทำมูลค่าใด้มากกว่าพืชตามกระแสหลัก
--อย่างเช่นคนตามบ้านนอกมักพูดกันว่า "ปลูกอะไรก็ได้ แต่ห้ามตามที่ราชการสนับสนุนให้ปลูก"
อย่างเช่น ข้าวโพดอาหารวสัตว์ มันสำะหลังและอ้อย สามอย่างนี้คือศัตรูตัวฉกาจของดิน ลองปลูกครั้งเดียว ดินในสวนของท่านจะจืดไปอีกหลายปี สารตกค้างจากปุ๋ยเคมี จะทำให้จุลินทรีย์ในดินตาย
กล่าจะฟื้นตัวได้ก้อีกสามปี    สวนลำใตใกล้ผมพ่นยา แมลงตายกันข้ามปี จะหากว่างสักตัว-ทั้งหมู้บ้านต้องวิ่งมาที่สวนผมนี่แหละ--(ดงป่าเหมี้ยง-ห้วยสัก)  โห ยาฆ่าแมลงมันร้ายกาจขนาดนี้หรือนี่ ชาวบ้านบอกว่ามันเหม็นมากๆ พ่นครั้งเดียวเหม็นไปสองปี
--ในการทำปุ๋ยให้เป็นเม็ด ส่วนใหญ่เขาก็จะใช้ดินขาว ไม่ใช่ปูนขาวนะครับ ซึ่งนานๆไปมันจะตกค้างมากทำให้ดินแข็ง ไม่ร่วนซุย--คือผมคิดเอาเองนะครับ--ชาวสวนส่วนใหญ่ใช้ปูนขาวบำรุงดิน--ทาง บ.ปุ๋ยไม่ใช้ เพราะทำให้ค่าพีเอชปุ๋ยเปลี่ยนไป

--มีคนบนดอยอย่คนนึง เขามีความคิดต่างออกไป มักจะเถียงกับ จนท.เกษตรอยู่เสมอ จนเขาว่าแก "หัวหมอ" แกจึงหนีไปอยู่ไต้หวัน และแกก็หา แอบเอาเมล็ดชาออกนอกประเทศมาจนได้ แกก็นำมาปลูกบนดอยแม่สลอง พอได้ผลผลิต แกก็ไปหาพวกเซียนชิมชาที่ไต้หวัน ซึ่งพอได้ลิ้มรสชานี้เท่านั้นแหละ พวกก็โทรหาพรรคพวกมากันเต็มบ้าน บอกว่า "มาเร็วๆเลย ไม่เคยชิมชาอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อน"
---บุญคุณของคนๆนี้ยังไม่พอ ด้วยความคิดต่างออกไป แกก็ปลูกต้นชา-สวนชาใหญ่โตแถว อ.แม่ลาว  เพราะคิดว่า "เชียงรายน่าจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 600กว่าเมตรในทุกๆที่"  ซึ่งปรากฏว่า ความคิดนี้ได้ผลครับ ต้นชาในสวนของแกก็เติบโตดี ไม่แตกต่างกับบนดอย
---ไร่..รอด เคยนำองุ่นมาปลูกที่เชียงราย แต่ไม่รอดสมชื่อไร่ จึงนำมะเฟืองมาติดตาแทน ถอดใจยอมแพ้--แต่เพื่อนผมกำลังทำค้าง ปลูกตามสูตรของโครงการหลวง
---- อืม คนในบอร์ดนี้ก็ปลูกได้นี่ แสดงว่าเชียงรายก็ปลูกได้ แต่เสียตรงที่ฝนชุกมากไป และเชื้อราก็ชอบซะด้วย--เดิมทีองุ่น เราคิดว่าเป็นไม้เมืองหนาวของฝรั่ง แต่ต้นเค้ามันอยู่แถวตุรกี ชอบร้อนชื้นครับ งงมั้ยครับ--ดังนั้นจงอย่าเชื่อตำราหรืออะไรทั้งนั้น ทดลองเลยครับ   อย่างเช่นตำราสอนให้ตัดแต่งกิ่งตามหลักวิชา แต่มีคนนึงเขาทำกลับกัน ตัดกิ่งใหญ่ออก เหลือไว้แต่กิ่งต่ำๆ ก็ได้ผลผลิตดี เก็บง่าย (เงาะ ครับ)   บางคนตัดลิ้นจี่ เกือบเหลือแต่ตอ
แต่ได้ผผลิตสูงกว่าเดิมเยอะ แกบอกว่า "ถ้าเฮาฮักมัน มันบ่ฮักเฮา"     บางคนปลูกต้นไม้ผล ในสวนที่มีทั้งหิน และดินดาน แกก็เจาะพอเป็นหลุม  รดน้ำน้อยๆ วันเว้นวัน แถมม้วนกระดาษคอยตีๆมัน  ปรากฏว่าต้นพืชแข็งแรงมาก  บางคนเพาะเมล็ดมะม่วงในน้ำ ต้นไหนทนไม่ได้ก็ตาย และตอนเอามาปลูก มะม่วงของแกจะมีรากอากาศเยอะทนน้ำท่วมขังได้ ไม่ตายแถมยังให้ผลผลิตสูง

--มีคนนึงมองดูต้นมะพร้าวริมทะเล ดินไม่มี มีแต่ทราย  แถมยังมีน้ำทะเลที่เค็มเหมือนเกลือ แต่ไม่ยักกะตาย--แกจึงเอาไหฝังทีโคนต้นมะพร้าว -ใส่เกลือลงในไห ปรากฏว่าต้นมะพร้าวชอบ ใบเชียวเป็นมันเลยครับ

---บางคนทำงานโรงงาน เงินเดือนสองหมื่นห้า ต้องกลับไปดูสวนพ่อที่ปราจีน แกนั่งคิดว่าจะทำไงให้ได้รายด้ายไม่น้อยไปกว่าเดิม แกเจาะลำล้นกล้วยน้ำว้า เอาหัวเชื้อชาไข่มุกใส่เข้าไป พอกล้วยออกลูกมา ก็มีรส โกโก้ สตอเบอรี่ อะไรแบบนี้ ขายดีจนผลิตไม่ทัน หวีละ 70 บาทครับ ประมาณนั้น
----บางคนเอาส่าเหล้า แป้งข้าวหมาก ฝังไว้ที่รากกล้วย แล้วกล้วยจะหวานหรืออกมาเป็นเหล้าหรือเปล่า ผมก็ไม่เคยลองครับ--เคยแต่ปลูกกล้วยน้ำว้าจากเนื้อเยื่อ (ของท่านพระเทพ) กล้วยเครือแรกที่ออกมา ใหญ่กว่าปกติสองเท่าครับ (หลังๆถ้าอยากให้มันโตต้องแยกหน่อออกมาครับ)

---คิดให้แตกต่าง--อย่างมีศิลป์--สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสุขกับต้นไม้ครับ--ถ้ามีข้อมูลใหม่ๆ ก็มาพบกันตามสไคล์ "โม้เพื่อชาติ"ครับ
--- ถ้าไม่เขียนออกมา ใครจะไปรู้ว่าในใจ--ในสมองเรามีอะไรบ้างครับ--เรียกว่าสื่อสารกันดีกว่าไม่มีการสื่่อ-"คนสามขา มีปัญญา หาไว้ทัก ที่ไหนหลักแหลมคำ จงจำเอา"






ผมเข้าไปดูแลหาพริกไม่เจอมันอยู่ตรงไหนครับ
IP : บันทึกการเข้า

พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 18:25:17 »

อ๋อ  ครับ พริกยักษ์ คือ Numex Big Jim  อยู่ที่กระทู้ของ มิสเตอร์บีนครับ  ตะกี้ก็ไปดูมา ช่วงนี้เข้าเว็ปเกษตรทุกวัน แต่ก่อนเฝ้าห้องขายคอมพ์ทุกวันเหมือนกัน คือต้นไม้ต่างกับคอมพ์ที่ใมันงอกได้ แพร่พันธุ์ได้ สนุกว่ากันเยอะครับ ผมก็คิดๆว่าจะเล่นอะไรสักอย่าง เช่นเอาดีทางพริกไปเลย

--มะนาวพันธุ์ใหม่มาแล้วครับ แป้นวิเศษ ดกมาก ลูกโตกว่าพิจิตร1 ขั้วเหนียวกว่า ออกเป็นพวง น่าจะเกิดจากแป้นรำไพ ผสมกับพิจิตร1 งอกอยู่โคนต้น --สนใจติดต่อ คุณไพบูลย์ จ.อ่างทอง เจ้าของสวน มีคนซื้อไปปลูกเยอะแล้ว (086)765-6485  (087)519-1288 ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆครับ ใครโทรไปแล้วกิ่งไม่แพง--จงมาโพสบอกด้วยครับ

--มีคนคิดทำครีมทาหน้าขาวจากผลหม่อนแล้วครับ คนไทยครับ คุณ ดวงดาว จารุจินดา
--มีโฟมทาผิวขาวจากน้ำยางพารา ผลงานวิจัยของไทย
-ขณะนี้พื้นที่ปลูกพืชอาหารลดลง เฉพาะเมืองไทยนี้ การขยายตัวของยางพาราจะกินพื้นที่มากกว่า เพราะน้ำยาง1กก. สามรถทำถุงยางอนามัยขายได้เงินรวม สี่หมื่นบาทครับ ส่งผลให้ราคายางร้อนแรงมากครับ จีนหนุนพม่าปลูกและรับซื้อไม่อั้น
--เปลือกมังคุดรักษาแผลได้ดี และมีผู้ผลิตเป็นครัีมกำจัดสิว สบู่ น้ำมังคุดที่ขายกันก็ปั่นรวมทั้งเปลือก
--เลี้ยงหนอนนกเป็นอาชีพเสริม กก.ละ300 บาท--ตลาดยังต้องการเยอะ เพราะนกบอกว่า "กินไม่รู้เบื่อ"
--ครีมจากเมล็ดลำใย ชื่อ ลองกานอยด์ ผลงานวิจัยจาก ดร.อุษณีย์ คณะแพทยศาสตร์ มช.-- รักษาการปวดหัวเข่า กล้ามเนื้อ ลดการเสื่อมของกระดูกอ่อน และกระดูกหลัก  แก้กระดูกเสื่อม ข้อเสื่อม รูมาตอยด์ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ คอลลาเจน และอีลาสติน (053)944-088, (081)530-3007

-เวียดนามตอนนี้สนับสนุนการปลูกแอปเปิ้ลน้ำนม ส่งออก ที่จริงก็คือ แอปเปิ้ลสตาร์บ้านเรานี่เอง ผมก็ชอบกินครับ สายพันธุ์อาจจะมาจากทางมาเลย์ คงมาตั้งแต่สมัย เส้นทางสายแพรไหม(ซิ้ลค์โร้ด)แล้วหละครับ
--ต้นไม้ที่เป็นยาดีตลอดกาล และสามารถปลูกขายได้ตลอด ใส่แคปซูล ราคาประมาณ 2บาทนะครับ บรรดา ยาขมยี่ห้อต่างๆก็คือตัวนี้ครับ
ยาปราศัตตรูพืชที่ดีที่สุด คือเมล็ดสะเดา หรือสะเลียมของเรา มีสารฆ่าแลงราว270 ชนิด ซึ่งแลงไม่สามรถปรับภูมิต้านทานต่อมันได้ และไม้สะเดาสามรถมาสร้างบ้่านและเครื่องเรือนได้ด้วยครับ

--กระทำโดยการไม่กระทำ เป็นหลักของพุทธนิกายเซน มีคนนึงได้ที่ดินจากพ่อมา ก็ปล่อยไว้เฉยๆ 30-40ปีผ่านไป ตัดต้นไม้ขายได้ต้นละแสนครับ  ฟูกูโอกะก็ยึดหลักนี้ครับ

ที่บ้านผมไม่มีพื้นที่เป็นดิน มีแต่ซีเมนต์ จึงปลูกข้างถนนหน้ารั้ว ไม่ใช้ปุ๋ยแต่ใช้เปลือกผลไม้ทิ้งลงไป
มีพริก หลายชนิด ฟักทอง และเสาวรสที่ขึ้นเอง ผมสังเกตว่ามีพันธุ์พริงแบบหนึ่งงอเป็นตะขอ แต่คงไม่ได้พันธุ์ เพราะต้นกำลังจะตายครับ ที่เด่นชัดก็มีพริกขี้หนูที่กลายพันธุ์ เพราะมันยาวผิดปกติ ใครอยากได้ก็พีเอ็มหลังไมค์มาครับ  มีประมาณ5-6ฝัก  ฟักทองเพิ่งจะติดลูก น่าจะเป็นพันธุ์ไต้หวันผิวเรียบสีส้มๆ  พริกใหญ่ๆคือพริกแห้งธรรมดา อาจจะเป็นของอุบล หรือ จินดา ยอดสน ก็ไม่รู้ได้ เพราะโยนๆไป หรือที่เหลือจากทำอาหาร ไม่ได้แยกเพาะครับ--รูปนี้ถ่ายเมื่อกี้นี้เองครับ


สตาร์แอปเปิ้ล
เลขทะเบียน :    7-53000-001-0194
ชื่อสามัญ :    Star Apple
ชื่อพื้นเมือง :    สตาร์แอปเปิ้ล (กรุงเทพ); หม่าเปิ้ล (แพร่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :    Chrysalidocarpus Cainilo    L.
ชื่อวงศ์ :    SAPOTACEAE
ลักษณะ
ต้น :    เป็นไม้ยืนต้นที่ค่อนข้างสูง มีความสูงประมาณ 4-5 เมตร
ใบ :    ใบจะมีลักษณะโตหรือยาวรีตรงปลายใบจะแหลม ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบจะมีความยาวประมาณ 4.5-10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3-5.5 เซนติเมตร ใบอ่อนจะมีขนอ่อน นุ่มสั้นๆ ปกคลุมอยู่
ดอก :    เป็นดอกช่อ ช่อหนึ่งจะมีอยู่ประมาณ 3-7 ดอก ดอกจะเป็นสีขาวหรือชมพูเข้ม และมีกลีบเลี้ยง เป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ 5 กลีบ กลีบดอกออกอีก 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมียมี 5 อัน
ผล :    เป็นทรงกลมออกจะแบนเล็กน้อยผลโตวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 7 เซนติเมตร
เมล็ด :    มีลักษณะเป็นเม็ดหัวท้ายเรียวแหลมตรงกลางป่อง ผิวมันค่อนข้างแข็งสีน้ำตาลหรือว่าสีดำ
การกระจายพันธุ์
    พบทางภาคเหนือ
การขยายพันธุ์
    ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง
ประโยชน์
ข้อมูลจากเอกสาร :    ใบ ผล เปลือกผล ใช้เป็นยา สำหรับผลนั้นถ้ากินมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการอัดแน่น โดยเฉพาะในคนไข้ที่นอนป่วยอยู่
ข้อมูลจากภูมิปัญญาไทย :    ลำต้น ใช้เป็นเชื้อเพลิง และใช้เป็นส่วนประกอบในงานก่อสร้างต่างๆ
เอกสารอ้างอิง   นันทวัน บุญยะประภัสสร และอรนุช โชคชัยเจริญพร. 2542. สมุนไพรพื้นบ้าน . กรุงเทพ ฯ . ประชาชน จำกัด.
ผู้สำรวจ   นายอนุพล พันธ์มณีสถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์ วันที่ศึกษา29 กรกฎาคม 2542
ผู้ตรวจ   อาจารย์ฟองจันทร์ บุญญานุภาพ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 20:13:35 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 20:13:01 »



แอปเปิ้ลสตาร์พิลาคันท่า จากดอยปุย ตามนี้ครับ  ส่วนลูกสีม่วงแบบของเรา ที่เมืองนอกมีครับ เคยค้นอยู่ครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=463447
----------------------------------------------------
สตาร์แอ๊ปเปิ้ลจากวิกิปีเดียครับ   Star Apple--- Wikipedia  ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Chrysophyllum cainito
--แหล่งกำเนิดอยู่ที่อเมริกากลาง และหมูเกาะเวสต์ อินดี้  มาเมืองไทยได้ไงไม่รู้ อาจจะเป็นชาวอังกฤษนำพันธุ์มา สมัยมาทำไม้สักภาคเหนือ เพราะภาคอื่นไม่ค่อยมีครับ ต้นอาจสูงถึง20 เมตรได้ ในเวียตนามน่าจะชาวฝรั่งเศสเอามา
http://en.wikipedia.org/wiki/Chrysophyllum_cainito
----ใครเคยไปเที่ยวเชียงตุง  ที่แถวๆกลางเมืองมีค้นไม้ยืนต้นดอกสีฟ้าๆ ชาวบ้านเรียกว่า ปอยส่าง(..ชื่อสี) อะไรสักอย่าง นี่แหละครับ นึกไปนึกมา คำว่าปอย เป็นภาษาไทยโบราณ ไม่ใช่ภาษาพม่าหรอกครับ
และคนแถวเชียงตุงจะคิดว่าพวกเราคือคนไทยด้วยกัน คนพม่านั้นแตกต่างไปทั้งหน้าตาและภาษาพูด
--พ่อของ พลเอกชาติชายก็เคยไปปกครองเชียงตุง ยุคนั้นพวกเขาบอกว่มีความสุขมาก--(พูดไปเดี๋ยวจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศปล่าวๆX --ดอกไม้ต้นนั้นชื่อ แจ๊คคาแรนด้าครับ สวยสุดๆ คล้ายดอกชมพูพันทิพย์แต่เป็นสีน้ำเงิน บางต้นทิ้งใบมีแต่ดอก ถิ่นกำเนิดอยู่อเมริกากลาง มี49 สายพันธุ์ บางพันธุ์สีชมพู-- สวยแบบต้นเหลืองเชียงรายประมาณนั้น ดอกฝ้ายคำก็สวยครับ
--แจ็คคาแรนด้า ในเว็ปของ มิสเตอร์บีนมีขายครับ คิดว่าผ่านตาแว็บๆ ผมเองสนใจโสมคน ที่คล้ายๆตัวกับขาาคนแบบนั้นครับ เพราะเมื่อก่อนหาเมล็ดยาก เดี๋ยวนี้บางคนก็เล่นปลูกพวกนี้ครับ กับพวกว่านค้างคาวดำ เขาว่ารักษามะเร็งได้(เขาว่า...ต้องเอา 5 หาร)

http://en.wikipedia.org/wiki/Jacaranda_mimosifolia

http://en.wikipedia.org/wiki/Jacaranda






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:01:10 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:07:13 »

ใครเห็นแล้วอยากลงไปนอนดิ้นเพราะความสวย ก็แสดงว่าหลงรักต้นไม้ ดอกไม้เข้าให้แล้วครับ








--เกิดมีขึ้นหน้าบ้านท่านใด ต้นย่อมๆ ดอกสวยๆ นักข่าวต้องไปเยือนบ้านท่านแน่ๆครับ  แฮ่ๆ

--เทศบาล จว.ต่างๆไม่สนใจบ้างเหรอ หรือขี้เกียจกวาดถนน  ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้กลางถนนเยอะๆบังสายตาคนก็ไม่ดีนะครับ ชีวิตคนสำคัญที่สุด จริงๆแล้วมีเยอะมากที่เทศบาลทำพลาดแล้วยังแก้ไม่หมด เพราะตอนทำลืมคิดก่อนเช่นฟุตบาทหินขัดมัน และฟุตบาทที่รถสามารถวิ่งขึ้นไปชนคนที่เดินอยู่ได้ง่ายๆ มีประเทศไหนเขาทำกันบ้างครับ  ----อยู่ๆก็๋ขึ้นภาษีบ้านเรือน พอสอบ--ถามก็บอกว่า ขึ้นเหมือนกันทั่วประเทศ แสดงว่าคนจนต้องไปอยู่ตามป่าตามเขา อยู่ใกล้ความ้จริญขัดหูขัดตาเจ้านาย--บ่นๆครับ ใครไม่ชอบอ่านโปรดข้ามไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:14:47 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:18:17 »

---สารสกัดจากใบของต้นแอปเปิ้ลสคาร์ช่วยลดเบาหวานและการช๊อคของกล้ามเนื้อหัวใจได้ครับ
----ว่านค้างคาวดำ ฝรั่งก็เรียกเหมือนคนไทย คือ Bat Flower

http://amazing-seeds.com/cercis-siliquastrum-judas-tree-p-52.html



สมาพันธืไม้ดอกขอโชว์ความสวย



นกยังขอชมดอกไม้ด้วย



อยู่ด้านหน้าหน้าผายังดูเด่น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:27:13 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:28:53 »

แอปเปิ้ลสตาร์ สีเขียว สีแดง ก็มีครับ รวมๆแล้วมีสามสี

http://en.wikipedia.org/wiki/File:Chryso_caini_071010-0476_jtg.jpg

ถ้าสีชมพู จะไม่ต่างกับชมพูพันทิพย์เลยตรงดอก แต่ใบผมว่าต่างกันครับ แจคาแรนด้าจะใบเล็กๆ กิ่งของชมพูพันทิพย์จะเปราะมาก เห็นเขาเรียกว่า ตะเบบูย่า



--อืม ใช่ครับ ศัพท์พฤกษศาสตร์เรียกว่า ตะเบบูย่าจริงๆด้วย  แสดงว่าเป็นสปีซีส์ที่ต่างกัน บังเอิญดอกมันคล้ายกันเท่านั้นเอง
---------------------------------------------------------

ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นต้นไม้ที่อยู่คู่กับโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยมายาวนานมาก ถ้าถึงหน้าที่มันออกดอกจะสวยมากเพราะเป็นสีชมพูทั้งต้น ทุกรุ่นที่อยู่ในโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยตอนม.6 เค้าจะดูกันว่าถ้าดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ออกเยอะก็แสดงว่าเด็กม.6เอ็นติดเยอะ ต้นไม้ต้นนี้ร่มรื่นมาก เพราะสูงใหญ่เป็นระบบนิเวศที่สำคัญ

ชื่อสามัญ            Pink Trumpet, Pink Tecoma, Rosy Trumpet-tree


ชื่ออื่น ๆ             ชมพูอินเดีย, ตาเบบูยา, ธรรมบูชา                            

ชื่อวิทยาศาสตร์   Tabebuia rosea  (Bertol.)  DC.

วงศ์                  Bignoniaceae

ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้ต้น

ขนาด [Size] : สูง 15-25 เมตร

สีดอก [Flower Color] : สีชมพูอ่อน ชมพูสด ขาว

ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Tiem] : ก.พ.-เม.ย.

อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : โตเร็ว

ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป

ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง

แสง [Light] : แดดเต็มวัน

ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-25 เมตร ผลัดใบ เปลือกต้นเรียบ สีเทาหรือสีน้ำตาล ต้นที่มีอายุมากเปลือกจะแตกเป็นร่อง เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลมแผ่กว้างเป็นชั้นๆ ใบ เป็นใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ใบรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ คล้ายรูปแตร มีหลายสี คือ สีขาว ชมพูอ่อน หรือชมพูกลางดอกสีเหลือง ดอกมักบานพร้อมๆกันและร่วงง่าย ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ผล เป็นฝัก เมื่อแก่จะแตกออก ขนาดฝัก (ยาว x กว้าง x หนา) 32.53 x 1.24 x 0.99 ซม. เมล็ด มีลักษณะแบน สีน้ำตาล มีปีกเป็นเยื่อบางทั้ง 2 ด้านของเมล็ด ขนาดเมล็ด (ยาว x กว้าง x หนา) 0.73 x 1.34 x 0.99 ซม.


ชมพูพันธุ์ทิพย์  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Tabebuia  heterophylla  (DC)  Briton.  อยู่ในวงศ์  Bignoniaceae  เช่นเดียวกับทองอุไรและศรีตรัง  เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง  สูงราว ๘-๑๒ เมตร
ใบเป็นแบบผสม  มีใบย่อย ๕ ใบบนต้นเดียวกัน  แผ่ออกคล้ายใบปาล์ม  ผิวไม่เรียบ  ปลายใบแหลม  ยาวประมาณ ๑๒ เซนติเมตร  กิ่งก้านสาขาแผ่ออกเป็นพุ่มค่อนข้างแน่น
ชมพูพันธุ์ทิพย์  ใบแก่และทิ้งใบในฤดูหนาว  ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม  หลังจากนั้นจะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน  ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งก้าน  ช่อละ ๕-๘ ดอก
ดอกย่อยลักษณะคล้ายดอกผักบุ้งหรือปากแตร  คือโคนดอกเป็นหลอดยาวปลายดอกบานออกเป็น ๕ กลีบ  กลีบดอกบาง ย่นเป็นจีบๆ และร่วงหล่นง่าย  จะเห็นดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นกระจายอยู่รอบๆ ต้น  งดงามพอๆ กับที่บานอยู่บนต้น  ดอกย่อยแต่ละดอกกว้างราว ๘ เซนติเมตร  ยาวราว ๑๕ เซนติเมตร  
สีของกลีบดอกปกติเป็นสีชมพูสดใส  แต่มีความเข้มและจางแตกต่างกันไป  โดยเฉพาะต้นที่เกิดจากเมล็ดจะมีความผันแปรมากมาย  ตั้งแต่สีชมพูจางเกือบขาวไปจนถึงสีเข้มเกือบเป็นสีม่วงแดง
เมื่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ร่วงหล่นแล้ว  จะติดฝักรูปร่างคล้ายมวนบุหรี่  ยาวราว  ๑๕ เซนติเมตร  เมื่อฝักแก่ราวเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม  จะแตกออกด้านเดียวตามยาว        แล้วเมล็ดที่มีปีกก็ปลิวไปตามลมได้ไกลๆ
ต้นกำเนิดของชมพูพันธุ์ทิพย์  อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้  ต่อมาได้ถูกนำไปปลูกในเขตร้อนทวีปต่างๆ อย่างแพร่หลายรวมทั้งประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยมีบันทึกเป็นหลักฐานว่า  เป็นผู้นำเข้ามาในประเทศครั้งแรกคือ  กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต  และ ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์  บริพัตร  จึงตั้งชื่อตามสีดอก และเป็นเกียรติแก่ผู้นำเข้าว่า  ชมพูพันธุ์ทิพย์  ชื่อเดิมคือ ตาเบบูย่า  มีชื่ออื่นๆ คือ  แตรชมพู  ธรรมบูชา  ชื่อในภาษาอังกฤษคือ  Pink  Trumpet Tree ตามลักษณ์ของดอกนั่นเอง

ประโยชน์ของชมพูพันธุ์ทิพย์


ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย  ทนทานต่อดินฟ้าอากาศ  และโรคแมลง  โตเร็ว  มีดอกงดงาม  จึงนิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับและร่มเงาในบริเวณสถานที่ราชการ         สวนสาธารณะ และตามถนนหนทาง
เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่เพิ่งเข้ามาเมืองไทยได้ไม่กี่สิบปี  จึงยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรและด้านอาหาร
เท่าที่สังเกตดูดอกของชมพูพันธุ์ทิพย์น่าจะไม่มีพิษภัย  อาจจะนำมาประกอบอาหารได้  เช่น  การชุบแป้งทอด  เป็นต้น  นอกเหนือจากการรวบรวมไปหมักปุ๋ยน้ำ                   หรือน้ำจุลินทรีย์ในระบบเกษตรอินทรีย์
ไม่ว่าบรรยากาศบ้านเมืองร้อนรุ่มอย่างไร  หากคนไทยมองโลกในแง่ดี  มองเห็นความสดใสงดงามจากธรรมชาติและฤดูกาล  ดังเช่นจากดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ในยามนี้  ก็เชื่อแน่ว่าคนไทยจะนำพาชาติบ้านเมืองผ่านพ้นทางตัน  และพบความสงบ  สันติสุขได้ในไม่ช้า

ลักษณะทางชีวะภาพ


ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นได้ในดินทั่วไป


อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : โตเร็ว


ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง  


แสง [Light] : แดดเต็มทั้งวัน

ใบ (Foliage) :  ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร   ปลายใบแหลม
หรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม

ดอก (Flower) : สีชมพูอ่อน ชมพูสดและขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง   มีดอก-
ย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร   ยาว 5-7 เซนติเมตร มักบาน พร้อมกัน ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร

ผล (Fruit) : ผลแห้งแตก เป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบน สีน้ำตาล  มีปีก  

การกระจายพันธุ์        มีถิ่นกำเนิดทางใต้ของเม็กซิโกไปถึงโคลัมเบียและเวเนซุเอลา ตั้งชื่อตาม ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ผู้นำเข้ามาเมื่อปีพ.ศ. 2500

  การขยายพันธุ์          เพาะเมล็ด

สถานที่ท่องเที่ยว

เที่ยว ม.รามคําแหง 2 (วิทยาเขตบางนา) ชมดอกชมพูพันธ์ทิพย์บานสะพรั่ง

ที่ญี่ปุ่นมีดอกซากุระที่จะบานสะพรั่งในช่วงเดือนเมษายน ส่วนไทยเรามีดอกชมพูพันธ์ทิพย์ที่จะผลิดอกสีชมพูสวยงามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เมื่อดอกชมพูพันธ์ทิพย์บานเต็มต้นเป็นบรรยากาศที่โรแมนติก น่าประทับใจมากทีเดียวค่ะ ซึ่งในไทยก็มีอยู่หลายที่เลยที่ปลูกต้นไม้ชนิดนี้ วันนี้มีภาพถ่ายในม.ราม 2 ตอนที่ดอกชมพูพันธ์ทิพย์กำลังบานสวยงามมาให้ชมกันค่ะ
 




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:50:38 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2012, 23:50:03 »

อืม เหมือนว่าชมพูพันทิพย์จะดอกใหญ่กว่า แต่แจ๊คคาแรนด้าทรงเหมือนแจกัน และจะหนาแน่นกว่า
--ต่อไป หาดูเมเปิ้ลดีกว่าครับ ใบเปลี่ยนสีตอนจะร่วง--ใครที่นั่งรถผ่านสายเชียงราย--เชียงใหม่ยุคตัดถนนใหม่(30ปีก่อนมั้ง) ช่วงใกล้ดอยสะเก็ด จะเห็นต้นไม้ผลัดใบ เหลืองๆแดงๆทั้งป่าเลย สวยมาก บางครั้งก็เห็นดอกสีน้ำเงินทั้งต้น ไม่รู้ว่าต้นอะไรครับ
--พอดีอัดรูปใส่แผ่น เปิดดูในทีวี เจอรูปใบเมเปิ้ลสวยๆครับ

-----------------
เมื่อคืนเตรียมรูปเมเปิ้ลไว้แล้ว ดันหลับไปก่อนครับ
---ผมจบทางวืทยาศาสตร์ จบที่ มช.นานแล้วครับ แต่ตอนม.ปลายจบที่รร.พระโขนง กทม.ครับ
--เคยทำงานด้านการดูแลระบบไฟสำรองคอมพิวเตอร์ของ ธนาคารใหญ่ๆ คอมพิวเตอร์พวกนี้เป็นขนาดใหญ่ หรือเรียกว่าเมนเฟรม ขนาดครึ่งสนามบอล ราคา400ล้านบาทประมาณนั้นครับ  แล้วก็มาอยู่เป็นหัวหน้าคิวซีโรงงานพับแท่นเหล็กที่บางพลี ต่อมาก็ดูแลเรื่องกำเนิดรังสีเบต้า ที่ใต้ตึกอัญญมณี สีลมครับ เขาเอารังสีมายิงพลอยให้เป็นสีต่าง จากนั้นก็ตัดสินใจกลับบ้านมาดูแลแม่ ได้สะใภ้ชาว
อยุธยามาหนึ่งคน  ที่เล่ามาเพราะบางท่านอยากจะตั้งโฏรงงานเผื่อจะมาปรึกษากันได้
-----------------
ตะกี้ไปตลาดใหญ่มาครับ ได้เมล็ดข้าวโพดข้าวเหนียวมาด้วย ได้องุ่ยนดำหนึ่งแพ็ค45บาท แม่ค้าบอกว่าของเชียงใหม่ รสชาติดีครับ ไม่เปรี้ยว หอมเหมือนเหล้าองุ่น
------------------------
ได้หนังสือฝรั่งมาเล่มหนึ่ง ปลูกพืชไม่ต้องใส่ปุ๋ย ไม่ต้องดูแลมากมาย แต่ใช้วิธีการนั่งสมาธิ ไปติดต่อทพที่ดูแลพืชนั้นโดยตรง เดี๋ยวเขาก็สั่งงานกันมา จนพืชงามเอง อันนี้แปลกมากครับ เล่าสูกันฟัง
-----
บางท่านคงอยากรู้เรื่องเปิดเพลงให้ต้นไม้ฟัง บางคนเป็นช่างซ่อมมาก่อน ก็ชอบเปิดวิทยุตอนทำงานในสวนครับ ปรากฏว่าต้นไม้ชอบ เติบโตดี แกเลย
ติดลำโพวฮอร์นไว้ทั่วสวน เพลงก็มาจากวิทยุครับ
----แต่ที่ทางที่ฝรั่งทดลองมา ต้นไม้ชอบเพลงบรรเลง แบบเพลงคลาสสิก --ส่วนร็อค เฮฟวิ่ ไม่ชอบ --หันใบ หันยอดหนีเลย
เพลงเหล่านี้เปิดให้วัวนมฟังจะได้ผลผลิตเกือบสองเท่า   เท่าทีเขาลองกัน ก็เพลงของ ศิลปิน นิวเอจ ชิลเอ๊าท์ สปา  เช่น คิตาโร่ เอนย่า โอซามุ
บันดาริ ครับ ไว้ว่างๆจะเอามาลงให้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 12 มิถุนายน 2012, 15:27:39 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2012, 18:44:25 »

มีเรื่องตื่นเต้นครับ ตะกี้ไปตลาดขายกับข้าวตรงสันโค้งน้อย มีแม่ค้ามาขายพริกขี้หนูด้วย ไปเจอพันธุ์หนึ่งที่พริกมันยาว
ยาวกว่าที่ผมใส่รูปไว้เป็นเท่าตัวเลยครับ อาจจะเป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงหรือกลายพันธุ์ เป็นพริกขี้หนุที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาครับ
--ทีนี้ถ้าจะแจกไป ก็มีพริกสีแดงๆอยุ่ไม่กีอัน เกรงว่าพวกเขียวๆนี่จะไม่แก่นะครับ หากใครขอไปดปรดทำใจวัดดวงเอาครับ ซื้อมา 10บาทได้เกรื่อบครึ่งโลมังครับ ไม่ใช่น้อยเลย ที่สนใจไม่ใช่พริกแต่เป็นลักษณะพันธุกรรมของมันมากกว่า
---ทดลองชิมแล้วครับ มันไม่ค่อยเผ็ดครับ สู้พันธุ์ของผม (พันธุ์เจษฎา)ที่เผ็ดกว่าครับ เผ็ดเท่าพริกขี้หนูสวน เป็นเพราะภรรยาผมเป็นขาว
อยุธา อยู่แถววิหารแดงสระบุรี จึงกินพริกมากมายครับ พริกขี้หนูนี้ จะไม่มีขาดจากตู้เย็น ใส่น้ำพริกทีก็หลายกำมืออยู่ ซึ่งรู้ๆอยู่ว่าคนบ้านเฮาไม่กินเผ็ดมากนัก  ไอ้ที่ปลูกไว้เต็มหน้าบ้านก็เพื่อความสวยงามเท่านั้น ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาเป็นกับข้าวเพราะมันไม่พอ


ว่าแต่...ใครจะอาสา รวมความดีของพริกสองพันธุ์นี้ได้บ้าง ต้องมีพื้นที่ เวลา และความอดทนนะครับ
----ใครจะปลูกอะไรดูพื้นที่ก่อนนะครับ ทางที่ดีอย่าเอาพันธุ์ไปปนกับพันธุ์พื้นเมืองนะครับ เดี๋ยวคนรุ่นใหม่จะไม่รู้จักของเก่า
อย่างมะเขือเทศเมืองลูกเล็กๆ เปรี้ยวๆ เอามาผัดกับข้าว เรียกข้าวส้ม หรือแกงเมืองเหนือ ซึ่ง คนรุ่นใหม่อาจนึกไม่ถึงว่า มีพันะุ์นี้อยู่
--และโปรดสังเกตุมะเขือเทศรุ่นใหม่ จะมีผิวที่เหนียว ทนทานต่อการเน่าเสีย เชื้อรา และแมลง พี่สาวบอกว่า เขาผสมยีนส์ของปลาที่มีหนังเหนียวๆ แบบฉลาม หรือปลาสวายเข้าไป --พืชกับสัตว์เหรอ --แต่เป็นไปได้--ถ้าเราตัดต่อยีนส์กันครับ  ทีคนเรายังมียีนส์ที่อ่านไม่ออกก็เยอะเรียกว่ายีนส์ขยะ แต่จริงๆมันเอาไว้เก็บสิ่งพิเศษเช่นการมีพลังจิต อะไรต่างๆ ซึ่งกว่าคนเราจะรู้ก็อีกนานครับ

---ไผ่จากจีน หรือญี่ปุ่นอยู่ในเขตหนาว การเติบโตเป็นแบบไม่สร้างกอ แต่จะเลื้อยไปใต้ดิน แบบที่เห็นในหนัง สู้กันตามป่าไผ่ ไม่มีกอไผ่
บ้านสมัยก่อนมักมีพื้นเป็นดิน ปูฟาง-ปูเสื่อทับ มีบ่อยครั้ง ที่หน่อไม้อันสวยงามโผล่ทะลุขึ้นกลางบ้านแทงต่อทะลุหลังคาไปครับ โปรดระวังครับ การเพาะไผ่โมโสะอาจจะดูง่าย แต่กว่าจะลงดินได้ต้องอยู่ในกระถางสักสองปีครับ พวกเมล็ดสนต่างๆก็โตช้าครับ  มันอยู่เมืองหนาวจนชิน

--ไม้ดอกเมืองหนาวอย่างแม็กโนเลียก็ไม่ใช่ง่ายที่จะได้เห็นดอก  แม้บนดอยอ่างขาง ตรงข้างบ้านรับรองต้นเบ้อเร่อสูงสัก5 เมตรยังออกมาแค่ไม่กี่ดอก ใครปลูกได้เห็นดอกเรียกว่าใมือเซียนครับ  ใครใจร้อนขอแนะนำไม้ล้มลุก เช่นทานตะวันดอกดก โฮลี่ฮ๊อกยังทันได้เห็นแน่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 12 มิถุนายน 2012, 19:08:43 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2012, 20:41:52 »

--มีเด็กหนุ่มชาวเขา ต้องการให้ชาวบ้านและครอบครัวมีรายได้ ได้ส่งกาแฟดอยวาวีที่ผลิตเองไปประกวดที่อังกฤษ ได้รางวัลมาครับ จนปัจจุบัน ชาวบ้านแถวนั้นออกรถกระบะกันเป็นว่าเล่น จำยี่ห้อไม่ได้ รู้สึกจะออกรายการสุริวิพา วันพุธครับ
--คนที่ทำกาแฟดอยช้างก็เป็นคนที่มาอยู่เชียงรายนานแล้วครับ ปัจจุบันกาแฟนี้ก็ดังพอสมควรครับ

http://www.4shared.com/mp3/RhNVqSGa/22_Kitaro_-_Silk_Road.htm
--คิตาโร่ "ซิ้ลค์ โร้ด" เป็นเพลงประกอบสารคดี ของ เอ็น เอช เค "เส้นทางสายแพรไหม"
http://www.4shared.com/mp3/D-Of8EuU/Kitaro_-_Caravan.htm
คิตาโร่--คาราวาน -ของเดิมเป็นเพลงบรรเลง--  สามารถลองฟังได้ และโหลดได้ครับ--เหมือนสูตรฮอร์โมนไข่ครับ ใช้ได้ทั้งคน  สัตว์ พืช

http://www.4shared.com/mp3/HWEERkUP/Kitaro_-_Fata_Morgana.htm
--ฟาต้า มอร์กาน่า--เพลงเหล่านี้ กล่อมเด็กได้ดีครับ

http://www.4shared.com/mp3/3ZpxS1nz/Kitaro-Koi.htm

โคอิ หรือผมเรียกว่า ก๋อย ครับ(ชาวชวาเวลาออกมาแสดงรามเกียร์ติ จะร้องว่า ก๋อยๆ)  ทำนองเพลงงดงาม เศร้าๆ เหงาๆ บางคนฟัแล้วร้องไห้ครับ ไม่เหมาะกับคนโสด -คนขี้เหงา มันจะเปลืองเหล้า-เปลืองเบียร์ครับ เพลงนี้ดังมาก และนำมาแสดงสดบ่อยๆ คิตาโร่ยังทำเพลงประกอบหนัง เฮฟเว่น แอนด์ เอิร์ท ที่เกี่ยวกับชีวิตสาวเวียดนามยุคสงครามและหลังนั้น
--ผมเคยไปดูเขาแสดงสดที่สวนหลวง ร.9 นักดนตรีเป็นฝรั่งหมดครับ มีนักไวโอลินสาว2 คนเท่านั้นที่เป็นคนญี่ปุ่น งานนี้บริษัทญี่ปุ่น ร้อยกว่าบริษัทลงขันจ้างมา ระบบเสียงและไฟ -เลเซ่อร์มาจากญี่ปุ่นทั้งหมด ลำโพงยักษ์มันดังมาก ทีแรกเขาจะไม่ให้คนเข้าใกล้กลัวแก้วหูจะแตก แม้ว่าจะไม่ใช้ขลุ่ย หรือเครื่องดนตรีธรรมชาติเลย ใช้แต่พวกซินธีไซเซอร์ที่เลียนเสียงเครื่องดนตรีได้เยอะมาก แต่การแต่ง เรียบเรียงเสียงประสานดีมากครับ
--ต่อไปศิลปินหญิง ชาวไอริช "เอ็นย่า" ก็ใช้ซินธิ์บ้างครับ แต่เธอเก่งมาก เพลงของเธอกวานรางวัลมากมาย เรียกว่าดีทุกชุด และเธอแต่างเพลงเองด้วยครับ ทางฝรั่งยอมรับว่าดนตรีจากสองท่านนี้ช่วยปลอบประโลมจิตใจผู้ป่วยได้ดี "ดนตรีบำบัด"นะครับ--ใช้กับต้นไม้ได้ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะออกนอกทาง
http://www.4shared.com/get/MTa7GlS0/ENYA_-_Only_Time.html

http://www.youtube.com/watch?v=oiFTXckh0zU  จากชุดแรก

--ลืมบอกไป ยังมีดนตรีอินเดีย โดยเฉพาะเพลงบรรเลง "ซีต้าร์" ของศิลปินชื่อดัง "ระวี ชังก้ารื"
ซึ่งท่านมีลูกสาวชื่อ อนุชก้า ชังก้าร์ และอีกคน ชื่อ นอร่า โจนส์ คนหลังนี้โตขึ้นมาที่อเมริกา เป็นนักร้อง นักดนตรีแจ๊ซชื่อดัง
http://www.youtube.com/watch?v=-KXk_8_8oLY

--เพลงบรรเลง กู่เจิงของจีน ก็น่าจะดีครับ สำหรับต้นไม้ เพราะว่าไพเราะมากครับ เช่น "เรือหาปลาในยามเย็น" Fishing Junks at the sunset แต่เป็นเพลงที่ ชอง มิเชล จาร์ ชาวฝรั่งเศส พ่อมดซินธ์ เล่นที่ปักกิ่งปี 1981 ร่วมกับวงใหญ่ของจีนครับ

http://www.youtube.com/watch?v=Nfg4I-n3LAc

http://www.youtube.com/watch?v=8CnhcGpmH9Y&feature=related

---ดีมั้ยครับ กระทู้นี้ มีทั้งภาพ -เสียง วีดิโอคลิป ใครอยากดูดวีดิโอเก็บไว้ก็บอกได้ครับ มีหลายวิธี

 จะค้นก็ใช้คำว่า Gu-zheng กู่แปลว่า โบราณ เจิงแปลว่าพิณ มีเครื่องดนตรีอีกอย่าง คือ กู่ฉิน มีสายน้อยกว่า
ขนาดเล็กกว่า พกพาง่าย-- ที่ญี่ปุ่น เกาหลีก็มีพวกโกโตะ มีสายน้อยกว่ากู่เจิงครับขนาดจะยาวมากเหมือนกัน
http://www.youtube.com/watch?v=xlFCA-1BQr4

http://www.youtube.com/watch?v=2es7oZzwLWM&feature=related--อันนี้กู่ฉินนะครับ ยังมีปี่แป้(ผิผา) กีต้าร์จีน--ซอเอ้อหู อีกครับ คนมันจะเซียน-มีพรสวรรค์-จับเครื่องดนตรีอะไรก้เก่งไปหมด  วง 12 Girls Band  เป็นตัวอย่างที่นำเครื่องดนตรีจีนโบราณมาเล่นเพลงร่วมสมัยจนดังไปทั่วโลกครับ
http://www.youtube.com/watch?v=8-1kUEjwjrg&feature=fvwrel--พิณสายเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 12 มิถุนายน 2012, 21:31:35 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2012, 17:40:32 »

ทุเรียนหมอนทอง มะม่วงน้ำดอกไม้ปลูกกันเป็นหมื่นไร่ที่ออสเตรเลีย ก็ไปจากเมืองไทย
เพราะยุคนี้โลกมันหมุนเร็ว เราอยากได้ต้นทิวลิปหรือลิลลี่ฮอลแลนด์ ไม่ยากครับ นักปั่นตา เลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้บอกว่าขอเนื้อแลยยอดหรือปลายรากนิดนึง ปั่นให้ได้แสนต้นสบายๆ  ก็มีนักวิชาการเขาทำแบบนี้แหละ ไม่ต้องรอซื้อหัวทวลิปจากฮอลแลนด์

--ข่าวดี มี กิ่งองุ่นมาขายแล้วครับ ได้เมล็ด องุ่นดำ เออ ผมจะแย่งทันไหมนี่
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=67415.0

เมเปื้ลสวยๆ-ของไทยก็มีครับ จากภูกระดึงครับ
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=36839.1984

-การคิดจะเลี้ยงหมูนั้นคิดได้ สำคัญที่แหล่งอาหารของมันครับ เลี้ยงกันมากๆ แกลบอ่อนหรือรำ ก็ไม่พอต้องแย่งกันซื้อ เรียกว่าจอง
กันเลยหละครับ
--ที่ประเทศจีน กลุ่มชนเผ่าหนึ่งอยู่บนพื้นที่ภูเขา แต่ก็เลี้ยงหมูได้ดี  เขาใช้ใบมันสำปะหลังครับ----แต่ช้าก่อนครับ อ่านไม่จบอย่าไปทำ เดี๋ยวจะได้กินหมูย่างกันทั้งหมู่บ้านครับ  ใบมันมันสำปะหลังสด มีน้ำอยู่ราว 80เปอร์เซนต์และมีปริมาณไซยาไนด์สูง-ซิ่งเป็นยาพิษที่ร้ายแรงและออกฤทธิ์เร็วมากครับ  ชาวเขาพวกนี้นำใส่ถุงพลาสติก ย่ำๆให้แหลก แล้วหมักเอาไว้จนมีรสเปรี้ยว หมูก็ชอบกินมาก
และให้โปรตีนสูง  จนกระทรวงเกษตรของไทย ต้องพาข้าราชการไปดูครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ใบมันสำปะหลังแห้งป่น (Casava leaves meal)
เป็นส่วนใบมันสำปะหลังที่อยู่บริเวณยอดต้น นำมาตากแห้งแล้วป่น

คุณสมบัติ
         มีโปรตีนประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 6 เปอร์เซ็นต์ เยื่อใยสูงประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์
ข้อจำกัดในการใช้

    มีสารพิษกรดไฮโดรไซนานิค เช่นเดียวกับในหัวมันสำปะหลัง แต่สารพิษนี้จะถูกทำลายลดน้อยลง
    เมื่อถูกความร้อน   ให้พลังงานต่ำ จะต้องใช้ร่วมกับวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง

ข้อแนะนำในการใช้

    ไม่ควรใช้ใบมันสำปะหลังสดเลี้ยงสุกรและสัตว์ปีกเนื่องจากมีสารพิษสูง     ควรใช้ใบมันสำปะหลังตากแห้ง แล้วป่นละเอียด
    ไม่ควรใช้ใบมันสำปะหลังในอาหารลูกสุกร และสัตว์ปีกระยะเล็ก       ควรใช้ร่วมกับวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง
    ในสุกรและสัตว์ปีกระยะรุ่น-ขุนใช้ใบมันสำปะหลังแห้งป่นได้ 15 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหาร

ส่วนประกอบทางเคมี

ส่วนประกอบ (%)

ความชื้น   12

โปรตีน    19

ไขมัน   5.60

เยื่อใย   26

เถ้า   7

 แคลเซียม  1.20

ฟอสฟอรัสใช้ประโยชน์ได้  0.10

พลังงานใช้ประโยชน์ได้(กิโลแคลอรี่/กก.)

ในสุกร     ในสัตว์ปีก
   
กรดอะมิโน (%)(ก็คือส่วนย่อยๆของโปรตีนนั่นเอง)

ไลซีน 1.92

เมทไธโอนีน  0.15

เมทไธโอนีน + ซีสตีน 0.26

ทริปโตเฟน  0.29

ทรีโอนีน  1.64

ไอโซลูซีน 1.74

อาร์จินีน1.83

ลูซีน 1.35

เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน 2.16

ฮิสติดีน 0.15

เวลีน 0.96

ไกลซีน 1.94


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 20:46:26 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 20:10:14 »

ผลการใช้ใบมันเป็นอาหารสัตว์ปีก
http://www.rdi.ku.ac.th/kufair50/animal/11_3_animal/11_3animal.html

ในใบกระถิน  ตลอดจนไมยราบยักษ์ ก็มีโปรตีนมากเช่นเดียวกัน และในใบสด  ก็มีสารพิษ มิโมซีน อยู่ด้วย ถ้าตากแห้งก็จะสลายตัวไปครับ---วัวที่ ม.เกษตร กำแพงแสนยังตายนะครับ อย่าทำเป็นเล่นไป

ใบกระถินยักษ์ มีมิโมซีนต่ำกว่ากระถินพื้นเมืองครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ใบกระถินป่น (Leucaena leaf meal)

            เป็นวัตถุดิบอาหารที่เกษตรกรนิยมใช้มากชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะหาซื้อได้ง่ายแล้วเกษตรกรยังสามารถ ผลิตได้เองอีกด้วย คุณภาพของใบกระถินป่นที่มีขายในท้องตลาด จะมีค่าของโปรตีนแตกต่างกันมากตั้งแต่ 14-30 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีส่วนของก้านใบและกิ่งปะปนมากน้อยแค่ไหน

คุณสมบัติ
    ใบกระถินล้วนๆ แห้งป่นมีโปรตีนสูง ประมาณ 20-24 เปอร์เซ็นต์       มีเยื่อใยสูง
    มีสารพิษที่เรียกว่าไมโมซีน        มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งเป็นแหล่งของไวตามินเอ และสารแซนโทฟิลล์ ซึ่งเป็นสารให้สีสำหรับไข่แดงและเนื้อสัตว์

ข้อจำกัดในการใช้
    เยื่อใยสูง ทำให้ใช้ผสมในสูตรอาหารสัตว์ได้ในระดับต่ำ
    มีสารพิษไมโมซีน ที่เป็นพิษต่อสัตว์ ถ้าใช้ในระดับสูงจะทำให้สัตว์โตช้า ขนร่วงและความสมบูรณ์พันธุ์ต่ำ
    ให้พลังงานต่ำ จะต้องใช้ร่วมกับวัตถุดิบที่ให้พลังงานสูง

ข้อแนะนำในการใช้
    ไม่ควรใช้ใบกระถินสดเลี้ยงสุกร และสัตว์ปีก ควรนำไปผ่านกรรมวิธีลดสารพิษก่อน
    ควรใช้ใบกระถินยักษ์ เพราะมีสารพิษไมโมซีนต่ำกว่าใบกระถินพื้นเมือง ทำให้ใช้ได้ในระดับสูงกว่า ใบกระถินพื้นเมือง
    ใบกระถินแห้งหรือผึ่งแดดจะช่วยลดปริมาณสารพิษลงได้
    ใบกระถินแช่น้ำนาน 24 ชั่วโมง และผึ่งแดดให้แห้งช่วยลดปริมาณสารพิษได้ดีและสามารถ ใช้ในสูตรอาหารได้ในระดับสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในสัตว์ระยะรุ่น-ขุน
    ควรเลือกใช้ใบกระถินแห้งป่นที่มีสีเขียวและมีก้านใบปนน้อยที่สุด ในการประกอบสูตรอาหาร
    โดยทั่วไปไม่ควรใช้ใบกระถินป่นในสูตรอาหารสัตว์เล็ก และไม่ควรใช้ในระดับเกิน 4-5 เปอร์เซ็นต์ ในสูตรอาหารสุกรและสัตว์ปีกและจะต้องระวังในการปรับระดับพลังงานในสูตรอาหาร ให้เพียงพอกับความต้องการของสัตว์ด้วย

ส่วนประกอบทางเคมี
ส่วนประกอบ (%)

ความชื้น   10

โปรตีน   20.2

ไขมัน    3.5

เยื่อใย      18

เถ้า  8.8

 แคลเซียม   0.54

ฟอสฟอรัสใช้ประโยชน์ได้  0.30

พลังงานใช้ประโยชน์ได้(กิโลแคลอรี่/กก.)

ในสุกร   1,300

ในสัตว์ปีก  900

กรดอะมิโน (%)

ไลซีน  1.10

เมทไธโอนีน  0.28

เมทไธโอนีน + ซีสตีน  0.63

ทริปโตเฟน  0.20

ทรีโอนีน   0.80

ไอโซลูซีน  1.73

อาร์จินีน  0.95

ลูซีน  1.50

เฟนิลอะลานีน+ไทโรซีน 1.80

ฮิสติดีน  0.40

เวลีน  1.10

ไกลซีน  0.53

-------------------กำจัดไมยราพยักษ์ โดยนำมาทำเป็นไม้อัด---
http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=643&Itemid=4

--สารสกัดจากไมยราพยักษ์สามรถต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์---- เนื้อไม้และขี้เลีื่อยของมันนำมาเพาะเห็ดได้
ควรมีไว้บ้างเพื่อนีกวิจัยจะได้ไม่ตกงานครับ
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/85014

http://anonbiotec.gratis-foros.com/t204-topic   ลำต้นกิ่งก้าน นำไปปั่นให้เป็นเศษ ตากแห้ง เพาะเห็ดได้ดี เพราะสามารถดึงในโตรเจนมาจากอากาศได้ จึงโตได้ดีในดินทุกชนิด   วิธีกำจัดอีกอย่างคืออาศัยหนอนที่เจาะเกินเมล็ดของมัน.

ศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์จากต้นไมยราบยักษ์
http://www.intouchcamp.com/news050.asp

---มีศัพท์วิชาการคำหนึ่ง ที่แปลออกมาไม่เหมือนกัน คือคำว่า อินเทอร์แอคชั่น -Interation- ทางวิทยาศาสตร์แปลว่า "อันตรกิริยา" ทางสังคมแปลว่า "ปะทะสังสรรค์" ครับ

--ต้นไมยราบยักษ์ เดิมที  มีเกษตรกรในจว.เชียงใหม่ นำมาปลูกเป็นพืชคลุมดิน ปัจจุบันมันเดินทางไปทั่วไทย(พืชเด่นแห่ง จว.เชียงใหม่) ภาคใต้ก็ยังมีครับ ---ที่ออสเตรเลียนำไปปลูกเพื่อวิจัย แต่เมล็ดที่ปลิวออกมาจากมหาวิทยาลัย ก็สร้างความเสียหายไปทั่ว ต้นนี้ขึ้นบนเขาก็ได้ ในแม่น้ำก็งอกได้ครับ รากก็แน่นแถมยังกันน้ำ เอาไฟเผา--ตัดฟันก็แตกใบออกมาอีก แต่จะมาตายเพราะสนองความต้องการใช้ฟืนของชาวบ้านไม่ทัน ปัจจุบันนำมาทำตะกร้าของขวัญ  ทำกรอบรูป เก๋ๆไก๋ๆ เป็นอาชีพได้ครับ-ข้อมูลทางเป็นอาหารสัตว์ยังหาไม่เจอ ก็คงคล้ายกระถินยักษ์ครับ มีผู้นำมาตากแห้งเป็นอาหารไก่ได้ครับ
--พืชหรือสัตว์ต่างถิ่น ที่ทำลายระบบนิเวศของเรา เรียกว่า สายพันธุ์แปลกปลอม  เอเลียนสปีชี่ส์  -- มีความร้ายแรงมากครับ

ใครสนับสนุน เอเลียนสปีชีส์ รุกรานและทำลายนิเวศ-พันธุกรรมท้องถิ่นไทย

Posted by bon09 , ผู้อ่าน : 7486 , 22:17:15 น.  
หมวด : นักข่าวอาสา
พิมพ์หน้านี้ โหวต 0 คน

เอเลียนสปีชีส์ คือสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างถิ่น ( ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) ซึ่งเกิดขึ้นทั้งจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจของมนุษย์  แล้วมาแย่งที่อยู่อาศัย แย่งแหล่งอาหาร นำพาเชื้อโรคมาให้สิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น หรือกินสัตว์ท้องถิ่นบางชนิดเป็นอาหารโดยตรง ซึ่งหากมันเจริญเติบโต และแพร่พันธุ์มากๆ จะทำให้ระบบนิเวศน์ของท้องถิ่นเสียไป

นิศากร  โฆษิตรัตน์  เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  (สผ.)  กล่าวว่า  ขณะนี้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ  ขยายพันธุ์อยู่ในระบบนิเวศของประเทศไทยจำนวนมาก  และมีแนวโน้มการแพร่ระบาดมากขึ้น  เพราะปัจจุบันมีการขนส่ง  การค้า  การท่องเที่ยวที่ทันสมัย  สะดวก  รวดเร็ว  หลายครั้งที่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นติดเข้ามากับเรือ  รถขนส่งสินค้า  สัมภาระของนักท่องเที่ยว  แล้วยังมีชีวิตรอด  สามารถแพร่กระจายในพื้นที่ใหม่ได้

นอกจากนี้ยังมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาจากความต้องการด้านเศรษฐกิจ  โดยผู้นำเข้าไม่คิดถึงผลเสียระยะยาว  เช่น  ลักลอบนำปลาซักเกอร์เข้าเพื่อเลี้ยงเป็นปลาตู้  เมื่อหมดความนิยมผู้เลี้ยงนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ  ทำให้เกิดปัญหาอย่างมากเพราะ เป็นตัวการทำลายไข่ปลาท้องถิ่นของไทยตลอดจนพืชพันธุ์ชนิดอื่นในแหล่งน้ำเดียว กัน เพราะดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป ล่าสุดกรมประมงห้ามนำเข้าแล้ว แต่ยังมีพ่อค้าแอบเพาะพันธุ์อยู่ วอนอย่าซื้อมาเลี้ยงเพราะอันตรายพอๆ กับหอยเชอรี่


Sucker catfish หรือปลากดเกราะ หรือที่ประชาชนรู้จักในชื่อปลาเทศบาล

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งได้แก่กุ้งน้ำจืดเครฟิช (Crayfish) ซึ่งเป็นกุ้งพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา  ได้มีภาคเอกชนขออนุญาตนำพ่อแม่พันธุ์เข้ามาเพาะเลี้ยงในแถบ ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา และขณะนี้เริ่มขยายพื้นที่เพาะเลี้ยงไปให้เกษตรกรใน จ.ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และสมุทรปราการ แบบระบบลูกโซ่


กุ้งน้ำจืดเครฟิช

กุ้งเครฟิช เป็นกุ้งน้ำจืดที่มีสีสันสวยงาม ลำตัวสีฟ้าสดใส ตัวใหญ่ขนาดครึ่งฟุต มีก้ามใหญ่เป็นคู่เหมือนกับก้ามปู สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการนำพ่อแม่พันธุ์มาเลี้ยงรวมกันในบ่อ ก็จะได้ลูกกุ้งออกมาจำนวนมาก เฉลี่ยขายกินเนื้อกิโลกรัมละ 400 บาท และตัวละ 100-300 บาทสำหรับการนำไปเลี้ยงดูเล่น

นายจรัลธาดา กรรณสูต รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า

"น่าเป็นห่วงต่อสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะนาข้าวที่อยู่รอบพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้ง เนื่องจากผลวิจัยค่อนข้างชัดเจนแล้วว่ากุ้งชนิดนี้จะกัดกินต้นข้าว พืชน้ำ กุ้งฝอย และหอยขมของไทย เมื่อนำทดลองไปเลี้ยงรวมกัน โดยเฉพาะกุ้งที่มีขนาดความยาวเฉลี่ย 30.42 ซม.น้ำหนักเฉลี่ย 11.3 กรัมเพียง 2 ตัวในบ่อซีเมนต์กลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตรสามารถกัดกินทำลายต้นข้าวที่มีอายุ 20 วันสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกุ้งฝอยและหอยขมจะถูกกัดกินจนเหลือแต่ส่วนหัว ดังนั้นจึงพิจารณาว่าหากปล่อยให้มีผลการขยายพื้นที่เพาะเลี้ยงเพิ่มขึ้น ในอนาคตกุ้งที่หลุดลอดไปในแปลงนาจะมีอานุภาพทำลายข้าวสูงมาก ทั้งนี้จะดูว่าจะใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือกฎหมายของกรมประมง มาใช้กับกรณีนี้"

สำหรับแนวทางในการควบคุมและดูแลพืช-สัตว์ต่างถิ่นนั้น  เลขาธิการ  สผ.ระบุว่า  ขณะนี้มีมติคณะรัฐมนตรี  (ครม.)  เรื่องมาตรการป้องกัน  ควบคุม  และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น  ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น  กรมวิชาการเกษตร  กรมปศุสัตว์  กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช  องค์การสวนพฤกษศาสตร์  กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี  ฯลฯ  เฝ้าระวังชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน  ทั้งที่เข้ามาแล้วและยังไม่ได้เข้ามาในไทยอย่างเป็นระบบ  ซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องจัดทำแผนและมาตรการป้องกันที่เข้มข้นในการจัดการชนิด พันธุ์ต่างถิ่นโดยเร่งด่วน

     นอกจากนี้  สผ.  ได้จัดทำทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกัน  ควบคุม  และกำจัดของไทย  แบ่งออกเป็น  4  รายการ  คือ
รายการ  1  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว  (82  ชนิด)  เช่น  สาบหมา  ปืนนกไส้  หงอนไก่ฝรั่ง  สาบเสือ  ผักตบชวา  หญ้ายาง  สาหร่ายหางกระรอก  แว่นแก้ว  หญ้าคา  ผกากรอง  กระถินยักษ์  ไมยราบเลื้อย  ไมยราบยักษ์  จอก  บัวตอง  ไส้เดือนฝอยรากปม  มดน้ำผึ้ง  เพลี้ยจักจั่นฝ้าย  ผีเสื้อหนอนเจาะสมอฝ้าย  หอยแมลงภู่เทียม  หอยเชอรี่  ปลาช่อนอเมซอน  ปลาดุกรัสเซีย  ปลาซักเกอร์  ปลานิล  เต่มแก้มแดง  เป็นต้น

ผักตบชวา

ดอกบัวตอง

ทุ่งบัวตอง

หอยเชอรี่

ไข่หอยเชอรี่

ปลาช่อนอเมซอน

    รายการ  2  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน  (52  ชนิด)  เช่น  ปลาพาคู  กบบุลฟร้อก  หญ้าเนเปียร์   กุ้งขาว  ปลาหางนกยูง  ปลาหมอสียักษ์
กบบุลฟร้อก

รายการ  3  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประวัติว่ารุกรานแล้วในประเทศอื่น  แต่ยังไม่รุกรานในไทย

เช่น  บุหงาส่าหรี  ปูขนจีน  มดคันทุ่ง  หอยนักล่าสีชมพู  อีกัวน่า  นกหงษ์หยก
รายการ  4  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ยังไม่เข้ามาในไทย  (91  ชนิด)  เช่น  กระถินดำ  น้ำนมราชสีห์  ผักไผ่ญี่ปุ่น  ธูปฤาษี  หญ้าเจ้าชู้ทะเล  ปูเขียวยุโรป  ยุงก้นปล่อง  หอยหวานจีน  นกปรอดก้นแดง  กระรอกสีเทา

 ต้นธูปฤาษี

ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาสัตว์แปลกๆมาเลี้ยงไว้ในครอบครอง  ควรจะต้องตระหนักและมีจิตสำนึกรับผิดชอบที่จะไม่ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆ หลุดรอดสู่ธรรมชาติ จนสามารถขยายพันธุ์และรุกรานสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ และหน่วยงานราชการเองยิ่งต้องตระหนักต่อเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ รองจากการตัดไม้ทำลายป่า

โปรดติดตามอ่าน การใช้ภูมิปัญญาเพื่อแก้ปัญหาเอเลียนสปีชีส์ด้วย พลังและวิธีการของคนในชุมชน

อ้างอิงจาก

http://www.thaipost.net/sunday/240509/5152

http://www.kanchanaburi.com/kannews/01548.html

http://webboard.mthai.com/52/2007-11-29/357929.html

sucker picture

 http://chm-thai.onep.go.th/webalien/species.html#

รูปชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่น

 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 02:02:39 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 15:55:20 »

ช่วงนี้ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วครับ ถ้าผลิตสินค้าเกษตรขาย ไม่ว่าจะมากหรือจะน้อย วิกฤติการเงินในยุโรป หรืออเมริกาพิมพ์ธนบัตรเอง โดยไม่ต้องมีทองคำสำรอง เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ และมีพ่อค้าแถวตะวันออกกลาง อัฟริกากลางสั่งซื้อของ แล้วโกงก็เยอะครับ
ค้นคำว่า แก้จน คนโคราช
หรือ http://www.keajon.com
http://www.thaismefranchise.com/?cat=62

ปิดท้ายด้วยรูปเด็ด กระเทียมจีนที่ตกเป็นผู้ต้องหาทำลายตลาดกระเทียมไทย แต่ไม่แซ่บเท่า และสงสัยว่าจะเป็นการก่อการร้าย เอ๊ย เป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอครับ

IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:05:53 »

ขิงไทยเปี่ยมคุณภาพ จับดองส่งขายญี่ปุ่น 100 เปอร์เซ็นต์ 0
ใครจะคิดว่าขิงของเมืองไทย จะมีศักยภาพส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น เพียงนำมาแปรรูปด้วยการดอง ของ บริษัท ไทยพัฒนาพืชผล (2525) จำกัด เริ่มจากขอพื้นที่เล็กๆ ในโรงสีของครอบครัว สู่โรงงานผลิตขิงดองมาตรฐานสากล สร้างงานในจังหวัดเชียงรายกว่า 500 คน
 
 

 
กว่า 30 ปี ที่ขิงดองไทยโลดแล่นอยู่ในตลาดส่งออกประเทศญี่ปุ่น 100% ผลงานของผู้ประกอบการไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืน กลายเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้ โดยมีหัวเรือใหญ่อย่าง “นายประวิทย์ พฤกษางกูร” กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ไทยพัฒนาพืชผล (2525) จำกัด ผู้ริเริ่มธุรกิจดังกล่าว หลังได้มีโอกาสทำงานในตำแหน่งผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ต ณ นครไทเป ประเทศไต้หวัน จนได้เจอกับเพื่อนชาวไต้หวัน คือ นายเจริญ หลิวพัฒนา ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง จึงชักชวนมาเมืองไทย หวังเห็นโอกาสในการลงทุนธุรกิจได้
 


จนกระทั่งมาเจอขิงคุณภาพดี ของจังหวัดเชียงรายก็สนใจ แนะนำให้แปรรูปด้วยการดอง และส่งไปประเทศญี่ปุ่น ที่จากเดิมไต้หวันเป็นผู้ส่งออกขิงดองอยู่เดิม แต่ตลาดยังมีความต้องการสินค้าประเภทนี้อยู่ (เมื่อ 30 ปีก่อน) ดังนั้นนายประวิทย์ จึงตัดสินใจลองทำธุรกิจนี้ เริ่มจากอาศัยพื้นที่เล็กๆ ในโรงสีของครอบครัว อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม สร้างเป็นที่ผลิตขิงดอง หวังลดความเสี่ยงในการลงทุนทำธุรกิจนี้
 
“ในช่วงแรกเราใช้ขิงที่ปลูกได้จากจังหวัดชุมพร เชียงราย และเพชรบูรณ์ เนื่องจากมีภูมิอากาศที่เหมาะสมทำให้ขิงแก่ช้า โดยพันธุ์ขิงที่ประเทศญี่ปุ่นชอบคือ พันธุ์หยวก เน้นขิงหัวใหญ่และขิงอ่อน จะได้ราคายิ่งขึ้น ซึ่งคุณภาพขิงที่ญี่ปุ่นต้องการนั้นต้องมีระยะเวลาในการปลูกประมาณ 120 วัน แต่ไม่เก็บเกี่ยวเกิน 150 วัน แต่ปัจจุบันใช้ขิง จากเชียงรายเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องย้ายโรงงานผลิตตามมาด้วย เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง หลังจากผลิตที่จ.นครปฐม มานานกว่า 10 ปี”
 


สำหรับกระบวนการดองขิง เริ่มจาก การตรวจรับขิงจากโบรคเกอร์, ตรวจสอบก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต, ล้างครั้งที่ 1, ขนย้ายลงบ่อหมัก, เติมส่วนประกอบแล้วดองด้วยเกลือ, ล้างครั้งที่ 2, ตัดแต่ง คัดเกรด, ตรวจสอบ, บรรจุ, จัดเก็บ และทำการขนส่ง โดยลูกค้าหลักคือประเทศญี่ปุ่น 100% ที่นอกจากชาวญี่ปุ่นจะรับประทานเองแล้ว ทางญี่ปุ่นยังส่งออกไปยังตลาดยุโรปอีกด้วย
 
แม้เจ้าของธุรกิจจะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการผลิตขิงดองมายาวนาน มีลูกค้าประจำเหนียวแน่น โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับลูกค้าต่างประเทศ รวมถึงโรงงานยังตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ทำให้มีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบ แต่ธุรกิจนี้ก็ยังมีจุดอ่อนอีกหลายประการ เช่น โรงงานยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลใดๆ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการขนส่งสินค้าไปบางประเทศ หรือข้อจำกัดทางการค้ากับลูกค้าบางราย ส่วนวัตถุดิบก็เป็นผลผลิตตามฤดูกาล ซึ่งมีระยะเวลาการออกผลผลิตในช่วงสั้นๆ ทำให้ต้องเร่งการดำเนินการผลิตในบางช่วงเวลา และจากการที่เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร คุณภาพสินค้าจึงขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ไม่แน่นอน ทำให้ควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้คงที่ได้ยาก
 


ดังนั้นภาครัฐฯ จึงเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงคัดเลือกให้เป็นสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ OPOAI ในพื้นที่ จ.เชียงราย หรือโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค ภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โดยเลือกแผนงานบริหารจัดการโลจิสติกส์ และการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์/ระบบมาตรฐานสากล
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:07:59 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:13:02 »

“ตาล” พืชมหัศจรรย์ สร้างอาชีพครบวงจร

ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือในปัจจุบัน หากจะเอ่ยถึง “เพชรบุรี” แล้ว ไม้ใหญ่อย่าง “ตาลโตนด” ก็มักจะปรากฏภาพให้เห็นเป็นสัญลักษณ์อยู่เสมอ นั่นเพราะวิถีชีวิตของคนที่นี่พันผูกอยู่กับต้นตาลมาโดยตลอด
ไม่เพียงแต่จะเป็นที่มาของการผลิตน้ำตาลรสเลิศที่กลายเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำขนมหวานเลื่องชื่อของจังหวัด ที่ทำเงินให้ประเทศได้ระดับที่สามารถใช้เงิน “ภาษีน้ำตาลโตนด” สร้าง “พระนครคีรี” เมื่อครั้งอดีตได้
 
ตาลในยุคสมัยนี้ยังถูกแตกแขนงสร้างสรรค์ แยกส่วนไปทำประโยชน์ได้หลายหลาก สร้างเงิน สร้างอาชีพให้กับคนเมืองเพชรได้ไม่น้อย
 
จึงไม่น่าแปลกเลยที่ต้นตาลของที่นี่ ไม่ได้เป็นเพียงแต่ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนค้ำฟ้าอยู่ตามหัวไร่ปลายนาเท่านั้น หากยังเป็น “มรดกเศรษฐกิจ” ที่ส่งมอบจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านทางต้นไม้ที่เรียกว่า “ตาลโตนด” นั่นเอง
  
สวนตาลแห่ง “บ้านถ้ำรงค์”

ภาพประทับใจในสมัยนั่งเกวียนเคียงพ่อเลียบคันดินเลาะแนวตาลโตนด ไม้ใหญ่ปลายนายืนตระหง่านบนคันดินให้เจ้าของเก็บเกี่ยวทำประโยชน์ ทั้งยังเป็นมรดกทำกินติดผืนดินส่งมอบผ่านจากรุ่นปู่ สู่รุ่นพ่อ เผื่อแผ่มารุ่นลูก-หลาน
 

เป็นความสุขในอดีตที่ถูกเก็บอยู่ในความทรงจำของ “คุณลุงถนอม ภู่เงิน” อดีตกำนันแห่งบ้านถ้ำรงค์ มาโดยตลอด
 
แต่เป็นความทรงจำที่ลุงถนอมเก็บไว้เฉยๆ แล้วหันไปใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรพืชสารพัดอย่างที่เปลี่ยนแนวหนีคู่แข่งและหมุนตามกลไกความต้องการของตลาดไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมะนาวเพชร ชมพู่เพชร มะพร้าวน้ำหอม ไปจนถึงไม้กฤษณา ทุกอย่างที่ดำเนินไปยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

 

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คุณลุงเห็นว่า ตาลโตนดไม้ใหญ่สัญลักษณ์ของเมืองเพชรก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะไม่มีคนปลูก ด้วยเห็นว่า กว่าจะใช้ประโยชน์ได้ต้องใช้เวลานานมากกว่า 18-20 ปี เรียกได้ว่า ครึ่งหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว แถมคนรุ่นใหม่ก็ไม่สนใจอาชีพทำน้ำตาลจากต้นตาลอย่างรุ่นบรรพบุรุษแล้ว
 
ความเสียดายต้นตาล บวกเข้ากับความสุขในอดีต จุดประกายให้เกษตรกรเต็มขั้นคนนี้ เกิดความคิดที่อยากจะปลูก “สวนตาลโตนด” ขึ้นอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนที่กำลังละเลยพืชเก่าแก่ชนิดนี้
 
“ผมไม่อยากให้ตาลโตนดเมืองเพชรสูญหาย หรือเหลือเพียงตำนาน ผมอยากปลูก อยากอนุรักษ์ไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้ ให้ตาลโตนดอยู่คู่เมืองเพชรต่อไป”
 
คุณลุงฉีกวิถีการปลูกตาล และฉีกภาพลักษณ์ของต้นตาลโตนดไปเสียสิ้น
 
แบบที่ ถ้าใครนึกว่า ต้นตาลต้องผอม สูง โย่งเย่ง ปลูกกันทิ้งๆ ขว้างๆ ตามคันนาให้เทวดาเลี้ยงไปตามสภาพ ต้องบอกว่า ผิดถนัด เพราะต้นตาลทั้ง 450 ต้น ในพื้นที่ 10 ไร่ ของคุณลุงนั้น ถ้าเป็นคนก็ต้องบอกว่า “หล่อ ล่ำ บึ้ก” เลยทีเดียว
 
ตาลของคุณลุง สูง พอเหมาะ ลำต้นอวบหนาขนาด 2-3 คนโอบ ปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างสวยงามรวมกับสวนผลไม้ ร่มครึ้มไปด้วยกิ่งก้านสาขา แถมยังให้ผลผลิตได้เร็วเพียง 10 ปีก็เลี้ยงครอบครัวได้อย่างยาวนานเป็น 100 ปีเลยทีเดียว
 
วิธีก็คือ ปลูกด้วยเมล็ด-รากจะมั่นคง เลี้ยงในสวน-ต้นจะอุดมสมบูรณ์ และศิลปะการตัดแต่งกาบและกิ่งในเวลาที่เหมาะสม- ช่วยทำให้ตาลมีลำต้นอวบหนา ไม่สูงมากทำให้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ คุณลุงยังมีเทคนิคที่สอดแทรกอยู่ในทุกอณูของการเลี้ยง อาทิ
 
“จะปลูกตาล ให้วางเม็ดหงายเอาสะดือขึ้น เอียง 45 องศา มันจะมีผลตอนแทงต้น ตาลชอบแสงแดด อยู่ในร่มได้ แต่จะไม่ออกผล…ฯลฯ”
 
จากตาลต้นแรกในสวนลงดินเมื่อ 12 สิงหาคม 2534 จนถึงวันนี้ 20 ปีล่วงไป สวนตาลแห่งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “สวนตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก” และปราชญ์เดินดินอย่าง คุณลุงถนอมได้รับการยกย่องให้เป็น “ครูภูมิปัญญา”เกษตรกรรม “ด้านการปลูกตาล”
 
พืชเศรษฐกิจประจำจังหวัดกลับฟื้นคืนชีวิต และยังเป็นแรงกระตุ้นทำให้ชุมชนบ้านถ้ำรงค์ หันมาประกอบอาชีพทำตาล เป็นอาชีพกันจำนวนมาก จนทำให้ชุมชนแห่งนี้ถูกเรียกขานให้เป็น “หมู่บ้านตาลโตนด” เป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องตาล เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อชมวิถีแห่งตาล ชมกิจกรรม การเล่น เกี่ยวกับตาลหลากหลายรูปแบบ
 
หากปะเหมาะโชคดีไปถูกเวลา จะได้เห็นการขึ้นตาล กรีดน้ำตาล และการเคี่ยวตาลทำน้ำตาลปึกหรือน้ำตาลปี๊บกันสดๆ โดยฝีมือของ “คุณอำนาจ ภู่เงิน” ลูกชายผู้สานต่อเจตนารมณ์ของคุณลุง ที่ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็น “ครูภูมิปัญญา” เกษตรกรรม “ด้านการขึ้นตาลและเคี่ยวตาล” อีกด้วย
 
ดีไม่ดีได้กินของอร่อยหน้าเตาอย่าง “ตังเม” หัวน้ำตาลเหนียวหนึบจับขอบกระทะ หวานๆ อุ่นๆ หอมกรุ่น เมื่อน้ำตาลถูกเคี่ยวได้ที่ หรือ “กล้วยไข่ดิบต้ม จิ้มน้ำตาลเคี่ยว” ขอบอกว่า แปลก อร่อยถูกใจเป็นยิ่งนัก
 
ในอนาคตอันใกล้ สองพ่อลูก คุณลุงถนอมและคุณอำนาจมีโครงการจะพัฒนาพื้นที่ สร้างบ้านพักบนต้นตาล สร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนได้สัมผัสวิถีชีวิตแห่งชาวตาลได้อย่างแท้จริง
 
เป็นการต่อลมหายใจให้ “ตาลโตนด” ยังคงเป็นพืชเศรษฐกิจ สัญลักษณ์แห่งเมืองเพชรบุรีสืบไป
 
ผู้สนใจสามารถแวะไปเยี่ยม “หมู่บ้านตาลโตนด” ได้ที่ ชุมชนถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ออกจากตัวเมืองไปจนถึงถนนเพชรเกษม ประมาณ 5 กิโลเมตร ทางเข้ามีศูนย์พักนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณ ก.ม.178 หรือสอบถามได้ที่ อบต.ถ้ำรงค์ โทรศัพท์ (032) 491-467
 
ต่อยอดตาลสารพัดแบบ
 
ถ้าจะบอกว่า กล้วย มะพร้าว เป็นพืชวิเศษสารพัดประโยชน์แล้วล่ะก็
 
อย่าลืม…รวมไม้ใหญ่มากประโยชน์ชนิดนี้เข้าไปด้วย “ตาล” หรือ “ตาลโตนด”
 
เพราะทุกชิ้นส่วนของตาลนั้นสามารถนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่ดอก ผล จนถึงราก ไม่เว้นแม้แต่ เส้น ใย กาบ และใบ ที่ล้วนแต่มีคุณค่าและมากราคาทั้งสิ้น
 
เอาแบบเบาะๆ งวงตาล-น้ำตาล, ลูกตาล-ทำอาหาร ขนม เพาะพันธุ์, ใบแก่-สานปลาตะเพียน หมวก งอบ, ใบอ่อน-พัด สานตะกร้า กุ้ง ตั๊กแตน, ใบแก่สุด-มุงหลังคา, ก้าน ลำต้น-ทำเฟอร์นิเจอร์ รั้วบ้าน, ใย กาบ-สานหมวก แปรงถูพื้น ทอผ้า ไม้กวาดอ่อน, หมวก, กระโปรงตาล เปลือกหุ้มจาวตาล-เครื่องประดับบ้าน ถ่านไม้คุณภาพดี, น้ำตาลต้ม-น้ำส้มสายชู ส่วนผสมปูนปั้น ฯลฯ
 
ที่ว่าทั้งหมดนี้กว่าครึ่งเป็นงานที่ผู้หญิงคนนี้ “คุณสมจิต กองแก้ว” ยึดทำป็นอาชีพหลัก ทั้งรับซื้อ-ผลิต-ส่งผลิตภัณฑ์จากตาลสารพัดชนิด งานหนักที่ดูเหมือนเงินน้อย แต่หารู้ไม่ว่า สามารถทำเงินให้เธอได้เป็นกอบเป็นกำจนตั้งตัวได้
 
ทุกวัน ลูกตาลสุกไม่น้อยกว่า 100-300 กิโลกรัมจะถูกส่งมาถึงที่บ้านคุณสมจิต จากนั้นก็จะถูกนำมาแยกย่อยชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อนำไปต่อยอดสร้างงานสร้างเงินต่อไป เธอเริ่มจาก…
 
แยก “หมวกตาล” หรือ ตัวครอบหัวตาลออกนำไปตากแห้ง ส่งขายเพื่อนำไปเป็นตัวประดับตกแต่งตะกร้า กระเช้า หรือกระเป๋าแสนหรู
 
“เนื้อตาล” ถูกนำไป “ยี” หรือที่เรียกว่า “ยีโตนด” ส่งขายไปทำขนมตาลที่ตลาดบ้านลาดทำเป็นแพ็กละ 1 กิโลกรัมบ้าง 10-20 กิโลกรัมบ้าง บ้างก็มีถึง 50 กิโลกรัมไปเลยก็มี ยีตาลตรงนี้เธอขายกิโลกรัมละ 20-40 บาท จากต้นทุนลูกละ 2 บาท ในเบื้องต้น
 
ส่วนเหลือจากการยีตาล “เปลือก” จะกลายเป็นอาหารหวานแสนโปรดของวัวที่เธอเลี้ยง “ใยตาล” ก็นำแยกส่วนส่งขายนำไปทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่กิโลกรัมละ 50 บาท ซึ่งปัจจุบัน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นำใยดังกล่าวไปวิจัยและสร้างสรรค์ต่อยอดนำไปปั่นทำเป็นด้ายแล้วนำมาทอจนได้ผ้าสวยผืนนุ่ม มาตัดเย็บเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
 
ส่วน “เม็ดตาล” ถ้าอวบทรงดี เธอก็เอาปลูกจาวตาล โดยนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1-2 เดือน รอรากงอกเพื่อสร้างเนื้อจาวข้างในแล้วตัดรากทิ้ง ทิ้งไว้อีก 1 เดือนจึงจะนำไปเฉาะขายจาวตาล ราคาขายอยู่ที่กิโลละ 2 บาท หรือร้อยละ 25 บาท ซึ่งเธอต้องทำจาวตาลส่งแต่ละวันถึง 2,000 ลูก
 
“เม็ดลีบแบน” ส่วนหนึ่งจะนำมารวมกับกระดองตาล หรือ กะลาจาวตาลนำไปเผาเป็นถ่านคุณภาพดี ร้อนมาก ร้อนนาน ไร้ควัน หรือจะนำไปเป็นตัวดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ได้ สนนราคานั้นอยู่ที่ถุงละ 500 บาท ส่วนถ้าเป็นถ่านเม็ดสวยครบลูกแล้วล่ะก็ ขายกันอยู่ที่เม็ดละ 5 บาทเลยทีเดียว
 
และเม็ดลีบแบนอีกส่วนก็จะส่งให้ “คุณลุงผุด นามมั่น” ศิลปินเกษตรกรทำนา ทำไร่ ทำน้ำตาลรุ่นเก่า นำไปตกแต่งดัดแปลงกลายเป็นตุ๊กตาแฮนด์เมดของที่ระลึกประจำถิ่นในรูปแบบต่างๆ
 
แรงบันดาลใจนี้เกิดจากตุ๊กตานกกระยางคู่ ทำจากเมล็ดพืชจากต่างประเทศที่มีคนนำเป็นแบบ ทำให้ลุงเกิดความคิดที่จะสร้างงานเช่นนี้ผ่านลูกตาลโตนดที่ถูกทิ้งขว้างต่อยอด สร้างสรรค์งานกลายเป็นสัตว์สารพัดชนิด
 
ลุงมั่นจะนำเม็ดตาลไปล้างด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอก ทั้งขัดทั้งถูนานนับชั่วโมงเพื่อฆ่าตัวมอด แล้วนำไปตากให้แห้ง ซึ่งกว่าจะแห้งนี้ต้องใช้เวลานานมาก โดยบางเม็ดตากเป็นปีจึงจะใช้ได้ จากนั้นก็นำไปขัด ไปเจาะ อุด กรอ ประกอบเข้ากับสีฝุ่น ดินสอพอง กาว ขี้เลื่อย ผงยิปซั่ม ตกแต่งตามแบบที่จินตนาการ
 
เต่า นก หนู ลิง ชะนี ช้าง ตุ๊กแก จิ้งเหลน จะเป็นแบบเดี่ยวแบบคู่ หรือยกครอบครัว หรือจะทำเป็นกระดิ่ง โมบายสารพัดอย่างคุณลุงก็ทำได้ ส่วนสนนราคานั้นอยู่ที่ตัวละ 30-80-200 บาท โดยประมาณ
 ถามว่า คุณลุงไปเอาวิชาการทำตุ๊กตาเหล่านี้มาจากที่ไหน?
 
คุณลุงตอบสั้นๆ ว่า “การทำของเราเป็นครูสอนเรา หากผิดพลาดก็แก้ไข ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่รู้”
 
แม้จะไม่มีหน้าร้าน เพียงแต่วางขายอยู่ในบ้าน และมีไปออกร้านขายตามงานพระนครคีรี หรืองานวัฒนธรรมประจำปี ทำติดต่อกันมานานกว่า 10 ปี ไอเดียบวกฝีมือทำให้มีออร์เดอร์มากมาย ทำให้คุณลุงต้องเร่งมือผลิตกันข้ามวันข้ามคืนไม่มีหยุดพัก ทำให้ล้มป่วยจนไม่สามารถโหมงานหนักได้เช่นเดิม แม้จะมีออร์เดอร์ทางไกลสั่งมาจากเยอรมนีก็ตาม
 
ปัจจุบัน แม้เรี่ยวแรงการทำงานจะลดน้อยสวนกับอายุที่มากขึ้น ตุ๊กตาฝีมือคุณลุงผุดยังคงถูกใจผู้มาพบเห็นไม่น้อย และยังคงมีคนมาซื้อที่บ้าน มาสั่งทำอย่างต่อเนื่อง
 
คุณลุงบอกว่า “เขามาสั่งลุงทำเป็นต้นทาง แล้วเขาก็นำไปตกแต่งต่อยอดเอาไปขายต่อ”
 
นอกจากการทำตุ๊กตาจากเม็ดตาลแล้ว คุณป้าเพื่อนใจคุณลุงก็ยังนำใบตาลมาสานเป็น กระบุงตะกร้าใบน้อย เป็นพัด เป็นสัตว์ต่างๆ ทั้งนก ปลา ปู กุ้ง เต่า วันละ 4-5 ตัว วางขายเป็นเครื่องแก้เหงาที่ทำเงินได้
 
ถึงเวลานี้แม้คุณลุงจะอายุ 75 ปีแล้ว คุณลุงก็ยังยืนยันที่จะสร้างงานตุ๊กตาจากเม็ดตาลต่อไป โดยแอบตั้งใจไว้ลึกๆ ที่อยากจะถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เป็นวิชาติดตัวต่อไป
 
ซึ่งอาจจะเป็นวิชาติดตัวที่สร้างเงินก็เป็นได้ ใครจะรู้!!
 
สนใจสามารถสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตาลในรูปแบบต่างๆ ได้ที่ คุณสมจิต กองแก้ว โทรศัพท์ (089) 240-5876 หรือ อบต.ถ้ำรงค์ โทรศัพท์ (032) 491-467
 
อ้างอิงจาก เส้นทางเศรษฐี







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:38:03 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:39:36 »



ถ้าพูดถึงไร่องุ่น Silverlake นาทีนี้เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักและคุ้นชื่อไม่น้อยไปกว่าไร่องุ่นฝั่งเขาใหญ่ เพราะนอกจากจะบรรยากาศดีแล้ว ที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากองุ่นมากมายให้ผู้ที่แวะเวียนผ่านมาซื้อหาเป็นของฝาก และที่สำคัญอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมง


ไร่องุ่นบรรยากาศดีแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หรือโซนพัทยาใต้ เป็นของอดีตนักแสดงสาวคนสวย คุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ โดยเธอมีแรงบันดาลใจในการทำไร่องุ่นมาจากการที่เคยเข้าไปเยี่ยมชมไร่องุ่น ที่สหรัสอเมริกา และสังเกตว่าที่ดินที่โน่นแห้งแล้งลักษณะคล้ายคลึงกับที่ดินของเธอที่พัทยา เธอจึงคิดอยากจะปลูกไร่องุ่นบ้าง จึงมีการส่งดินไปตรวจสอบว่าสามารถปลูกองุ่นได้หรือไม่ และผลปรากฏว่าที่ไร่แห่งนี้ดินสามารถปลูกองุ่นได้ดี เธอจึงลงทุนปรับพื้นที่ทำไร่องุ่นขึ้นม


กอปรกับเธอและสามีชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี จึงมีการสร้างร้านอาหารและห้องพักให้ออกมาในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน และจัดสร้างบรรยากาศให้สวยงาม โดยอาศัยภูมิทัศน์ของเขาชีจรรย์และแหล่งเก็บน้ำธรรมชาติที่กว้างใหญ่เป็นทะเลสาบ ยามระลอกน้ำกระทบแสงแดดกลายเป็นแสงสีเงินแวววาวสวยงามจับใจจนกลายเป็นที่มาของชื่อว่า Silverlake

นอกจากบรรยากาศอันสวยงามแล้ว ที่นี่คุณยังสามารถเลือกซื้อองุ่นสด ๆ จากไร่ และซื้อผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากองุ่นมากมาย อาทิ น้ำองุ่น 100% แยมองุ่น ลูกเกด ฯลฯ เรียกว่ามีให้คุณเลือกสรรได้ตามต้องการ หากใครที่กำลังมองหาที่พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดนี้ละก็ เราขอแนะนำไร่องุ่น Silverlake รับรองว่าคุณจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กับไร่องุ่นบรรยากาศดีที่อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ อย่างแน่นอนจ้า
 สอบถมข้อมูลเพิ่มเติม 0-3893-8123, 0-2231-6565 เว็บไซต์ www.silverlakethai.com
 
(ตอนไปอยู่พัทยา  ผมก็ไปเที่ยวบ่อยครับอยู่ใกล้เขาชีจรรย์ กับวัดญาณสังวร นะครับ เลยไปอีกก็เป็นสนามบินอู่ตะเภา และฐานทัพเรือสัตหีบ--สวนเสือศรีราชา-สวนนงนุชก็น่าเที่ยว )ปัจจุบันหาดจอมเทียนไม่มีแล้วเพราะโลกร้อน  มีชายหาดและภัตตาคารที่บ้านอำเภอ อยู่ถัดไป ปัจจุบันฝรั่งมาปรับตัวกินอาหารไทย ผัดหอยลาย ผัดเผ็ดหมูป่า ส้มตำ-- บางคนมีเมียไทย รู้จักไหว้พระ ห้อยพระเครื่อง อาราธณาศีลห้าได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:47:42 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2012, 16:53:53 »

 ชาสมุนไพรป่าละอู ปรุงแต่งตำรับฤาษี ลงอาคม
http://www.rcheep.com/%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%ad%e0%b8%b9-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%95/

ป่าละอู มีน้ำตก มีป่าทึบ มีชาวกะเหรี่ยงครับ พอดีบริษัทที่ผมเคยทำงาน เครื่องน้ำร้อนพลังแสงอาทิตย์ เจ้าของเคยไปขุดหาทองคำ และไปสร้างบ้านพักอยู่ตรงนั้นครับ ก็เลยได้ไปหลายครั้งครับ ครั้งนึงไปเมืองกาญจน์ ช้างป่าวิ่งไล่กระทืบรถ ไม่รู้ว่าถ้าพัง จะเคลมประกันได้ไหม หรือประกันให้ไปฟ้องร้องกับคู่กรณีเอาเองครับ 555 พอดีช้างตัวนั้นมันไม่มีบัตรเครดิตนะซี
IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
jesdath
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 836



« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 21:18:51 »

การทำน้ำสกัดเอนไซม์จากสมอไทย


ความอุดมสมบูรณ์ ของเมืองไทยเรา ผลไม้มากมาย หลากหลายฤดูกาล และด้วยภูมิปัญญาของคนไทย จึงทำให้นอกจากจะรับประทานกันสด ๆ ตามฤดูกาลแล้ว เราก็ยังได้แปรรูปผลไม้ไทย นานาชนิด ให้มีหลากหลายรูปแบบ


การทำน้ำสกัดเอนไซม์จากสมอไทย
วัตถุดิบ
-สมอไทย ประมาณ 3กิโลกรัม
-น้ำตาลทรายแดง 1กิโลกรัม
-น้ำเปล่า จำนวน 5ลิตร
วิธีการ
1.ล้างสมอไทยให้สะอาด นำสมอไทยมาสับให้เป็นชิ้นๆรวมเมล็ดด้วย ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายแดง คนให้เข้ากัน หมักใส่ถังปิดฝาสนิท ประมาณ 3เดือน
2.พอครบ 3 เดือน ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ ใช้รับประทานได้ทันที
สรรพคุณ
- สร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤต หรือ อัมพาต
- บำรุงอวัยวะทุกสาวนของร่างกาย ระบายพิษ ช่วยระบายอ่อนๆ

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ สมอไทย
- สมอไทย เป็นสมุนไพรที่แปลกกว่าสมุนไพรอื่นๆ นอกจากช่วยระบายท้องแล้วยังช่วยให้หยุดถ่ายได้เอง เพราะมีรสฝาดในตัวเอง หมอยาไทยจะเรียกว่า รู้เปิดรู้ปิด
- สมอไทย จะมีรสหลายรส รสหลักๆคือ เปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เผ็ด และยังมีรสเค็ม รสเมาแทรกอีกด้วย
- เนื่องจากสมอไทยมีหลายรส การกินสมอไทยอย่างเดียวก็เหมือนกินสมุนไพรหลายๆอย่างเข้าไป เมื่อสมอไทยมี รสเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณกัดเสมหะ แก้ไอ น้ำลายเหนียว แก้กระหายน้ำ ฟอกโลหิต แก้ระดู สตรีพิการ ชำระล้างเสมหะในลำไส้
- สมอไทยมีรสฝาด ทำให้มีสรรพคุณ สมานแผลต่างๆ
- สมอไทยมีรสหวาน ทำให้มีสรรพคุณบำรุงเนื้อให้สดชื่น แก้โรคเนื้อพิการ
- สมอไทยมีรสขม ทำให้แก้ไข้ต่างๆ แก้ดีพิการ บำรุงน้ำดี ทำให้เจริญอาหาร แก้พิษโลหะ ถอนพิษผิดสำแดง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 21:28:06 โดย jesdath » IP : บันทึกการเข้า

รณรงค์ขอให้คนไทยมีสิทธิ์ อ่านเขียนภาษาอังกฤษแบบแท้ๆ
--รับบูรณะโน๊ตบุคและคอมที่เก่ามากๆ- ราคากันเองครับ
--รณรงค์ให้คนไทยใช้ลีนุกซ์ จะได้ไม่นอนผวากลัวลิขสิทธิ้จ้ะ
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,334


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2012, 12:35:14 »

การทำน้ำสกัดเอนไซม์จากสมอไทย


ความอุดมสมบูรณ์ ของเมืองไทยเรา ผลไม้มากมาย หลากหลายฤดูกาล และด้วยภูมิปัญญาของคนไทย จึงทำให้นอกจากจะรับประทานกันสด ๆ ตามฤดูกาลแล้ว เราก็ยังได้แปรรูปผลไม้ไทย นานาชนิด ให้มีหลากหลายรูปแบบ


การทำน้ำสกัดเอนไซม์จากสมอไทย
วัตถุดิบ
-สมอไทย ประมาณ 3กิโลกรัม
-น้ำตาลทรายแดง 1กิโลกรัม
-น้ำเปล่า จำนวน 5ลิตร
วิธีการ
1.ล้างสมอไทยให้สะอาด นำสมอไทยมาสับให้เป็นชิ้นๆรวมเมล็ดด้วย ผสมน้ำเปล่าและน้ำตาลทรายแดง คนให้เข้ากัน หมักใส่ถังปิดฝาสนิท ประมาณ 3เดือน
2.พอครบ 3 เดือน ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ ใช้รับประทานได้ทันที
สรรพคุณ
- สร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤต หรือ อัมพาต
- บำรุงอวัยวะทุกสาวนของร่างกาย ระบายพิษ ช่วยระบายอ่อนๆ

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ สมอไทย
- สมอไทย เป็นสมุนไพรที่แปลกกว่าสมุนไพรอื่นๆ นอกจากช่วยระบายท้องแล้วยังช่วยให้หยุดถ่ายได้เอง เพราะมีรสฝาดในตัวเอง หมอยาไทยจะเรียกว่า รู้เปิดรู้ปิด
- สมอไทย จะมีรสหลายรส รสหลักๆคือ เปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เผ็ด และยังมีรสเค็ม รสเมาแทรกอีกด้วย
- เนื่องจากสมอไทยมีหลายรส การกินสมอไทยอย่างเดียวก็เหมือนกินสมุนไพรหลายๆอย่างเข้าไป เมื่อสมอไทยมี รสเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณกัดเสมหะ แก้ไอ น้ำลายเหนียว แก้กระหายน้ำ ฟอกโลหิต แก้ระดู สตรีพิการ ชำระล้างเสมหะในลำไส้
- สมอไทยมีรสฝาด ทำให้มีสรรพคุณ สมานแผลต่างๆ
- สมอไทยมีรสหวาน ทำให้มีสรรพคุณบำรุงเนื้อให้สดชื่น แก้โรคเนื้อพิการ
- สมอไทยมีรสขม ทำให้แก้ไข้ต่างๆ แก้ดีพิการ บำรุงน้ำดี ทำให้เจริญอาหาร แก้พิษโลหะ ถอนพิษผิดสำแดง




ขอบคุณความรู้ดี ๆ ครับ
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!