สนใจท่อนพันธุ์ตอนนี้สามารถสั่งได้แล้วนะครับ ราคาเริ่มต้นที่ 1 บาท/ท่อน ขอค่าส่งไปรษณีย์เพิ่ม 50 บาท/100 ท่อน เนื่องจากค่าขนส่งแพงมาก เพราะผมตัดยาวเกือบคืบจะได้อาหารสะสมที่ข้อเยอะๆครับ และแถมเยอะทำให้น้ำหนักเพิ่ม และข้อหญ้ามันสมบูรณ์จึงก้านใหญ่กว่าปกติครับ หากอยู่ใกล้ แถวพะเยา ลำปาง เชียงรายสามารถสั่งจำนวนมากแล้วส่งถึงที่ได้ครับ
ฝนเริ่มลงแล้ว ปลูกตอนนี้จะดีที่สุด จะโตเร็วมาก ถ้าส่งภายในภาคเหนือจะได้เร็วกว่าและรับรองไม่เสียหายครับ
กรุณาโอนเงินที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาพะเยา ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 512-0-65137-2 ชื่อ นายนิวัติ อ้วนใหญ่ โอนเงินแล้วโทรแจ้งนะครับที่ 0830171090 (TRUE)
ติดต่อ นิวัติ โทร.0830171090เล่าสู่กันฟัง ได้ทดลองปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1ที่เขาบอกว่าเป็นหญ้าที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด ในปัจจุบันเมื่อเดือน สิงหาคม 2554 ประมาณ 2 งาน ที่ผ่านมา ทดลองในเขตเหนือตอนบนดู เป็นปลายฝนแล้วนึกว่าจะไม่โต แต่สามารถโตได้ดี หญ้าตัวนี้ตามข้อมูลพบว่าโปรตีนสูงมาก ถึง 18% ทนแล้งได้ดี สามารถเก็บเกี่ยวได้ สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี ทนแล้ง ความน่ากินสูง กะว่าจะเก็บไว้ทำพันธุ์ โดย 1 ไร่เลี้ยงวัวได้ 2-3 ตัวได้สบายแทบไม่ต้องปล่อยไปเลี้ยงที่อื่น
หญ้าชนิดนี้ มีอายุหลายปี ลักษณะของลำต้นเป็นกอแบบตั้งตรง สูงประมาณ 3-4 เมตร แตกกอดี มีใบดกหนากว้างและไม่ทิ้งใบ ไม่ติดเมล็ด มีระบบรากที่แข็งแรง
ข้อมูลจากเวบ
http://www.gdhzc.com/tp.htm กล่าวว่ามี โปรตีนหยาบ 18.46 % โปรตีนละเอียด 16.68 % เจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 15 C ขึ้นไป(เหมาะสม 25-35 C) ปริมาณน้ำฝนต้องการ 1,000 มม./ปี อ้อยขึ้นได้หญ้าขึ้นแน่นอน ปลูก 1 ไร่จะได้น้ำหนักสด 40 -50 ตัน/ปี ถ้าดูแลดีจะได้ 60 ตัน/ปี
วิธีการปลูก
ระยะปลูก ใช้ 50 x 100 ซม ขุดหลุมประมาณ 1หน้าจอบ รองขี้วัว1กำมือคลุกเคล้าให้เข้ากัน วางท่อนพันธุ์เฉียง 45 องศา ให้ข้ออยู่จมดินประมาณ 1 นิ้ว (ปลูกให้ตื้นที่สุดดินพอกลบตาเล็กน้อย) ปลูกหลุมละ 1-2 ท่อน และท่อนพันธุ์ควรถูกแช่ด้วยน้ำยาเร่งรากก่อนนำมาปลูกประมาณ 1-2วัน
ช่วงปลูกใหม่ต้องการน้ำมาก ต้องรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำท่วมขัง หลังปลูกประมาณ 3-4 อาทิตย์ สำหรับการเติบโตสู้วัชพืช ควรทำการกำจัดวัชพืชให้ ส่วนใหญ่จะทำเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นหญ้าจักรพรรดิ์ก็จะโตได้เร็วกว่าและสามารถสู้วัชพืชได้แล้ว
พื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
หญ้าสกุลเนเปียร์ ที่ขึ้นได้ดีในดินหลายประเภท ไม่ว่าจะ ดินลูกรัง ดินทราย ดินเหนียว ทนแล้งแต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง ตามรายงานกล่าวว่าต้องการน้ำฝน 1000 มม. / ปี เมื่อเปรียบเทียบกับอ้อยเมืองไทยที่ต้องการน้ำฝน 1200-1500 มม. / ปี จึงเห็นได้ว่าหญ้าชนิดนี้ถ้าพื้นที่แห้งแล้งแต่ปลูกอ้อยได้ก็สามารถปลูกหญ้าเนเปียร์ได้เช่นกัน แต่หญ้าชนิดนี้มีความต้องการแสงแดด ถ้าปลูกใกล้ร่มเงาหรือร่มสวนผลไม้จะให้ผลผลิตต่ำลงมาก ดังนั้นควรเลือกปลูกในบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ
สรุปว่า สามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ขอเพียงให้ได้รับแดดจัดและน้ำไม่ท่วมขัง
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
ในการตัดครั้งแรก จะใช้เวลาประมาณ 75-90 วัน คือไม่เกิน 3 เดือน จากนั้นในการตัดครั้งต่อไป ก็จะไม่เกิน 45 วัน แต่ถ้าช่วงฝนชุก เพียงแค่ 30 วันก็ได้ขนาดสำหรับตัดแล้ว วิธีการตัด เหมือนกับหญ้าสกุลเนเปียร์ทั้งหลาย คือควรตัดให้ชิดดินที่สุด ถ้าเหลือข้อไว้จะมีแขนงออกมาจากข้างข้อซึ่งลำเล็กและผลผลิตต่ำ ถ้าตัดชิดดินจะแตกเป็นหน่อใหม่ออกมามีขนาดโตอวบอ้วนงามกว่า
ผลผลิตที่ได้ สามารถนำไปให้วัวกินได้เลยโดยไม่ต้องบดสับ จากการทดลองสังเกตุได้ว่า ถ้าตัดที่ความสูงยังไม่เกินหน้าอก วัวเนื้อจะเคี้ยวลำต้นได้จนหมด แต่ถ้าลำแก่แข็งกว่านั้นควรเข้าเครื่องสับเสียก่อน หรือจะนำไปทำหญ้าหมักถนอมอาหารไว้ใช้ในยามขาดแคลนก็ได้ แต่ควรระวังเรื่องน้ำมาก วิธีแก้ไข ตัดแล้วควรผึ่งแดดไว้ประมาณ1วัน หรือใช้หญ้าที่มีอายุ 60-70วันแทน แต่สำหรับทำท่อนพันธุ์ควรปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือนขึ้นไป
ข้อดีหรือจุดเด่นของหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1
ทนหนาว ทนแล้ง ผลผลิตต่อไร่สูง โปรตีนสูง สามารถเติบโตได้ดีในอุณหภูมิหนาวได้ต่ำถึง 15 องศา นั่นหมายถึงหน้าหนาวในบ้านเราหญ้าชนิดนี้จะไม่พักตัว แค่คิดว่าปลูกแล้ววัวของเราจะมีหญ้าสดกินตลอดปี สำหรับเรื่องผลผลิต ผลการวิจัยยืนยันว่าในพื้นที่ 1 ไร่ ให้ผลผลิต 40-50 ตัน/ปี และถ้าดูแลดีก็จะได้ผลผลิตถึง 60 ตัน / ปี
ลำต้นแก่ไม่แข็งเท่าหญ้าเนเปียร์ชนิดอื่น ข้อดี ตัดให้กินสดไม่สับบด จะเหลือก้านลำต้นน้อยกว่าอาลาฟัล เพราะนิ่มวัวเคี้ยวได้เกือบหมด ถ้าเป็นอาลาฟัลจะต้องมาเก็บลำต้นออกไปทิ้งเกือบทั้งหมด จากจุดนี้ที่ดีเหนือกว่าหญ้าเนเปียร์ชนิดอื่น จึงสามารถช่วยให้เจ้าของฟาร์มประหยัดเงินและเวลาไปได้อีก นั่นคือ
- ตัดง่าย เร็วกว่า และไม่เปลืองใบมีด
- เมื่อลำต้นอ่อนนุ่มกว่าก็ทำให้ตัดง่าย ทำให้ประหยัดเวลาในการตัดมากขึ้น
ข้อดีอีกประเด็น เกี่ยวกับใบที่หนากว้างและดก จึงได้เนื้อใบเยอะ เมื่ออัตราส่วนของใบมากขึ้น โปรตีนก็สูง ทำให้นำไปเลี้ยงสัตว์อื่นๆได้อีกหลายชนิดนอกจากวัว ทั้ง แพะ แกะ ม้า หรือแม้กระทั่ง ไก่งวง หนูตะเภา กระต่าย หรือ สุกร(ในเมืองจีนใช้เลี้ยงสุกรด้วย) ส่วนเรื่องขนและความคันของใบก็มีบ้างแต่ไม่ถึงกับคันมาก และขอบใบก็ไม่คมด้วย
จากที่สังเกตุ ขึ้นงามมาก 1 ข้อแตกประมาณ 10 ลำขึ้นไปขนาดปลูกหน้าหนาว เป็นกอแรกยังไม่ได้ตัดนะครับ
ปลูกที่จังหวัดพะเยาและน่าน แล้วจะ up รูปให้ดูตามมา ติดตามต่อไป