เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 มีนาคม 2024, 18:11:47
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  บอร์ดกลุ่มชมรม
| |-+  ชมรมนักกลอน
| | |-+  >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน >>> .. วันนี้ในอดีต .. <<<  (อ่าน 10725 ครั้ง)
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2012, 04:56:29 »

วันนี้วันที่ 7 พฤษภาคม 2555
........................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2419 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท***
........................
รายละเอียด :
     พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือหนึ่งในพระที่นั่งที่สำคัญในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ใน พ.ศ. 2418 ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดเกล้าฯ ให้จ้างนายยอน คลูนิช ชาวอังกฤษ สถาปนิกจากสิงคโปร์ เป็นนายช่างหลวงออกแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท นายเฮนรี คลูนิช โรส เป็นนายช่างผู้ช่วยออกแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยมีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กอง พระยาเวียงในนฤบาลเป็นผู้กำกับดูแลการทุกอย่างในการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระประดิษฐการภักดีเป็นผู้ตรวจกำกับบัญชีและของทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2419


* MDAwMDAwMDEw_OTY1MTUwMTIwMTA3NjE3Mzg0MjAwNTUx (WinCE).jpg (6.78 KB, 240x124 - ดู 391 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
>_อนัตตา_<
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,367



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 07 พฤษภาคม 2012, 15:18:17 »

เข้ามานั่งอ่านข้อมูลของคน........ในอดีต....ค่ะ คิกๆๆๆๆๆๆๆ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 08 พฤษภาคม 2012, 04:40:26 »

     วันนี้วันที่ 8 พฤษภาคม 2555
...................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2538 เติ้ง ลี่จวิน เสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจาก โรคหอบหืด ขณะอายุได้เพียง 42 ปี เป็นนักร้องสาวชาวไต้หวันชื่อดัง เพลงของเธอเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทย ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวเวียดนาม และประเทศอื่นทั่วโลก***
...............................
เติ้ง ลี่จวิน (Teresa Teng)

“เติ้ง ลี่จวิน” (เพลงของเธอ เป็นเพลงที่เสียงไพเราะและเสียงเธอใสมาก)
เสียชีวิตอย่างกะทันหันเนื่องจากโรคหอบหืด
ขณะเดินทางมาพักผ่อนที่จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ขณะอายุ 42 ปี
เพลงของเธอยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน
..................

..............................
...ทำไมถึงทำกับฉนได้...
............................................

........................................
...เทียนมีมี...(นึกว่าไม่มี) ยิงฟันยิ้ม
................................................

................................
...รักฉันนั้นเพื่อเธอ...
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 09 พฤษภาคม 2012, 08:32:48 »

     วันนี้วันที่ 9 พฤษภาคม 2555
...............................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2531 เขาค้อ แกแล็คซี่ สร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์โลกคู่แฝดคู่แรกของโลก ในวันนี้เมื่อชิงแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท WBA ชนะคะแนน วิลเฟรโด วาสเควซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก โดยแฝดน้อง คือ เขาทราย แกแล็คซี่ ครอบแชมป์โลกตั้งแต่ พ.ศ.2527***
..............
     เขาค้อ แกแล็คซี่ อดีตแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท (118 ปอนด์) ของสมาคมมวยโลก WBA เป็นคู่แฝดกับเขาทราย แกแล็คซี่ มีชื่อจริงว่า วิโรจน์ แสนคำ เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2502 ที่หมู่บ้านเฉลียงลับ ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเขาค้อคลอดทีหลังเขาทราย แต่ความเชื่อของคนต่างจังหวัด แฝดที่คลอดทีหลังจะถือเป็นพี่ เพราะเชื่อว่าพี่จะดันให้น้องคลอดออกมาก่อน เขาค้อ จึงถือเป็นพี่ของเขาทรายไปด้วยความเชื่อนี้
     วัยเด็กเขาทราย และเขาค้อ เป็นบุตรของนายขัน และนางคำ แสนคำ มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดยมีเขาค้อเป็นคนโต เขาค้อเรียนหนังสือพร้อมกับเขาทราย และจบการศึกษาที่โรงเรียนเทคนิคเพชรบูรณ์เหมือนกัน
     ทั้งเขาทราย และเขาค้อ ชอบเล่นชกมวยมาตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อของทั้งคู่จึงซื้อนวมอันเล็ก ๆ ให้ลูกชกกันเล่น ๆ ตามประสาเด็ก ต่อมาเมื่อได้พบกับครูมวยและเทรนเนอร์คนแรก คือ ปราการ วรศิริ และมานะ เหล่าประดิษฐ์ จึงได้ฝึกมวยอย่างเป็นจริงจัง
     ชกมวยไทยเขาค้อ ใช้ชื่อในการชกมวยไทยว่า "เด่นจ๋า เมืองศรีเทพ" โดยสอดคล้องกับเขาทราย คือ "ดาวเด่น เมืองศรีเทพ" ทั้งคู่ได้ตระเวนชกไปทั่วจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียง จนกระทั่งมาพอกับ "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ จึงได้รับทั้งคู่มาอุปการะให้ชกที่กรุงเทพ ฯ
     ชกมวยสากลการชกมวยสากลอาชีพของเขาค้อ เกิดขึ้นหลังจากเขาทรายได้เป็นแชมป์โลกแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาค้อทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมลงนวมให้เขาทราย เมื่อเขาทรายประสบความสำเร็จได้เป็นแชมป์โลกแล้ว เขาค้อจึงรับการผลักดันให้ชกมวยสากลอาชีพบ้าง เขาค้อก็ชกได้ดี ชนะนักมวยฝีมือดีหลายต่อหลายราย จนได้แชมป์แบนตั้มเวทของเวทีมวยราชดำเนิน ต่อมาจึงได้ชกกับนักมวยชาวต่างชาติ และมีชื่อเข้าอันดับโลก
     แชมป์โลกคนที่ 12เขาค้อ แกแล็คซี่ ชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ วิลเฟรโด วาสเควซ นักมวยชาวเปอร์โตริโก้ โดยสามารถเอาชนะคะแนนไปได้ ชัยชนะครั้งนี้ของเขาค้อไม่ใช่เพียงทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 12 ของไทยเท่านั้น ยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการมวยไทยด้วย คือ เป็นนักมวยไทยรายแรกที่ได้แชมป์โลกในรุ่นแบนตัมเวท เพราะก่อนหน้านี้ มีนักมวยไทยขึ้นชิงแชมป์ในรุ่นมาแล้วถึง 6 คน แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว และเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการมวยโลกด้วย คือ เป็นคู่แฝดคู่แรกที่ครองแชมป์โลกในระยะเวลาเดียวกัน
     แต่ภายหลังที่ได้แชมป์โลกแล้ว เขาค้อไม่สามารถที่จะป้องกันตำแหน่งไว้ได้เลยแม้สักครั้งเดียว โดยป้องกันตำแหน่งครั้งแรกก็แพ้แตก "ไอ้ผมม้า" มูน ซัง กิล นักมวยเกาหลีใต้ ถึงกรุงโซล ประเทศของผู้ท้าชิง และเมื่อได้โอกาสแก้มือ แม้สามารถเอาชนะไปได้ ได้แชมป์โลกกลับคืน เมื่อต้องป้องกันตำแหน่งครั้งแรก ในสมัยที่ 2 แพ้ทีเคโอ หลุยส์ ซีโต้ เอสปิโนซา นักมวยชาวฟิลิปปินส์ ไปในยกแรก แบบไม่น่าเชื่อ เพราะการชกยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นเท่าไหร่ เขาค้อ จู่ ๆ ก็ล้มลงบนเวทีเสียเฉย ๆ โดยไม่ได้ถูกหมัดของคู่ชก และกรรมการก็ได้โบกมือยุติการชกทันที ด้วยเวลาเพียง 2.13 นาทีของยกแรกเท่านั้น
     การล้มลงโดยไม่ทราบสาเหตุของเขาค้อครั้งนี้ เรียกกันว่า "โรควูบ" ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการล้มลงแบบหมดสติโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว หัวพาดเชือกกั้นเวที ตาค้าง ขากรรไกรแข็ง บ้างก็เชื่อว่า เขาค้อโดนของเล่นงาน
     อนึ่ง หลังจากที่เขาค้อได้ครองแชมป์โลกสมัยแรกแล้ว ทางรายการตามไปดูทางช่อง 9 ได้จัดมวยคู่พิเศษตามคำเรียกร้องของผู้ชมรายการ คือ จัดชกระหว่าง เขาทราย และ เขาค้อ ที่เวทีราชดำเนิน โดยให้ทั้งคู่ชกกันจริง ๆ กำหนด 3 ยก เพื่อที่จะหาว่าใครเก่งกว่ากัน ผลการชกปรากฏว่า เขาทรายเป็นฝ่ายชนะคะแนนไปในที่สุด
     แขวนนวมหลังจากเสียแชมป์โลกในครั้งนี้ไปแล้ว ราว 2 เดือน เขาทราย และเขาค้อได้นั่งรถเบนซ์ด้วยกันเพื่อที่จะกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ เขาค้อเจ็บหนักต้องเข้ารับการรักษาอยู่เป็นเดือน ขณะที่เขาทราย คู่แฝดที่นั่งไปด้วยกัน บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสามารถกลับมาชกมวยได้ในเวลาไม่นาน
     เขาค้อ แกแล็คซี่ จึงต้องแขวนนวมไปโดยปริยายจากเหตุนี้ แต่ก็ยังคงช่วยเขาทรายเป็นคู่ซ้อมอยู่เหมือนเดิม และเมื่อเขาทรายได้แขวนนวมแล้ว เขาค้อก็เป็นผู้ดูแลกิจการต่าง ๆ ที่เขาทรายสร้างไว้ เช่น โต๊ะสนุกเกอร์ เป็นต้น

อีกทั้งยังได้แสดงภาพยนตร์ต้นทุนต่ำเรื่อง ข้าชื่อ..มหิงสา โดยรับบทเป็นตัวเอกด้วย

ปัจจุบัน เขาค้อ ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ให้แก่ แซมซั่น ส.ศิริพร แชมป์โลกหญิงคนแรกของไทย

     สถิติการชกของเขาค้อ แกแล็คซี่ชนะน็อกยก 3 ขวัญณรงค์ สวัสดิ์วารี ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 ตุลาคม พ.ศ. 2528
ชนะน็อกยก 3 เกียรติชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 30 ตุลาคม พ.ศ. 2528
ชนะคะแนน รักชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528
ชนะน็อกยก 4 มันส์ ส.จิตรพัฒนา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 8 มกราคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 2 พันชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529
ชนะคะแนน นาคราช เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 26 มีนาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 รักชัย เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 11 มิถุนายน พ.ศ. 2529
ชิงแชมป์แบนตั้มเวท เวทีราชดำเนิน ชนะน็อกยก 5 กวางทองน้อย ศิษย์อำนวย ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 นาคราช เกียรติสนธยา ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 3 สิงหาคม พ.ศ. 2529
ชนะน็อกยก 5 สิงห์น้อย สิงห์กรุงธน ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 28 กันยายน พ.ศ. 2529
ชนะคะแนน 10 ยก เคนอิจิ โอซาก้า (ญี่ปุ่น) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 14 มกราคม พ.ศ. 2530
ชนะคะแนน 10 ยก ชอง ยอง มัน (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยพัทยา-ชลบุรี : 5 เมษายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกไม่ทราบยก เบน คาบายัค (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 2 โทนี่ พรูอินท์ (สหรัฐอเมริกา) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 25 มิถุนายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 3 รัสเซลล์ พินน์ (ออสเตรเลีย) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 6 กันยายน พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 4 คอนสแตนติโน ดังกลา (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 12 ตุลาคม พ.ศ. 2530
ชนะน็อกยก 2 ดู บ็อก ชา (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530
ครองแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวท WBA ชนะคะแนน 12 ยก วิลเฟรโด้ วาสเกวซ (เปอร์โตริโก) ที่ อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก : 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
เสียตำแหน่งแชมป์โลก แพ้คะแนน 6 ยก มูน ซัง กิล (เกาหลีใต้) ที่ โรงแรมนิวลามาด้า เรเนซองค์ กรุงโซล : 14 สิงหาคม พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 3 จอห์น แม็คเคนน่า (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 12 กันยายน พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 8 จอห์น โรดิเก้ (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531
ชนะน็อกยก 3 แช ฮวาน ดุ๊ก (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยชั่วคราว ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ : 15 มกราคม พ.ศ. 2532
ชนะน็อกยก 3 คอร์นิชิโอ โอแนน (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532
ชนะน็อกยก 4 สปิคลี่ คูดิชิ (ญี่ปุ่น) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 24 เมษายน พ.ศ. 2532
ครองแชมป์โลกสมัยที่ 2 ชนะคะแนน 12 ยก มูน ซัง กิล (เกาหลีใต้) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2532
เสียแชมป์โลกสมัยที่ 2 แพ้น็อกยกแรก หลุยส์ ซีโต้ เอสปิโนซา (ฟิลิปปินส์) ที่เวทีมวยราชดำเนิน : 18 ตุลาคม พ.ศ. 2532
รวมสถิติการชกทั้งหมด 26 ครั้ง ชนะ 24 ครั้ง แพ้ 2 ครั้ง (ชนะน็อก 18 ครั้ง)


* Kaokor_galaxy (WinCE).jpg (12.39 KB, 223x320 - ดู 378 ครั้ง.)

* 200px-Gse_multipart52435 (WinCE).jpg (7.78 KB, 240x160 - ดู 378 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 10 พฤษภาคม 2012, 05:33:53 »

     วันนี้วันที่ 10 พฤษภาคม 2555
.................
 วันนี้ในอดีต 
   
 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527  : สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทยครั้งแรก

     10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 (Pope John Paul II) ประมุขแห่งวาติกัน เสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม ในระหว่างการเยือนไทยนี้สมเด็จพระสันตะปาปาได้มีพระราชปฏิสันฐานกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นได้เสด็จไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม และทรงรณรงค์เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น อีกทั้งยังทรงบริจาคเงินสดช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอินโดจีนเป็นจำนวน 1 ล้านบาทอีกด้วย หลังจากเยือนประเทศไทยพระองค์ยังได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน 
 
 


* 60210may06 (WinCE).jpg (11.26 KB, 240x200 - ดู 369 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 11 พฤษภาคม 2012, 08:08:36 »

     วันนี้วันที่ 11 พฤษภาคม 2555
.....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2454 พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) กำเนิดที่ ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม ใช้ชีวิตฆราวาสจนอายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอุปนันทนาราม จังหวัดระนอง เมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดนางลาด จังหวัดพัทลุง***
.............................
     พระพรหมมังคลาจารย์ (ปั่น ปัญญานันโท) (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550) หรือที่รู้จักกันดีทั่วไปคือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ท่านเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์ผู้ปฏิรูปแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ไทย ผู้เป็นสหธรรมิกร่วมอุดมการณ์คนสำคัญของพระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) และผู้อุทิศชีวิตให้กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนวาระสุดท้ายของชีวิต

     พระพรหมมังคลาจารย์กำเนิดที่ ตำบลคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 เดิมมีนามว่า ปั่น เสน่ห์เจริญ หลังใช้ชีวิตฆราวาสจนมีอายุได้ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดอุปนันทนาราม จังหวัดระนอง โดยมี พระรณังคมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนางลาด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมี พระจรูญกรณีย์ เป็นอุปัชฌาย์เมื่อปี พ.ศ. 2474

     ท่านมรณภาพวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ด้วยอาการปอดอักเสบและไตวาย ที่โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุรวม 96 ปี
1 ศึกษาหาหลักธรรม
2 เผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ
3 สหายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุ
4 ประกาศธรรมแก่ชาวบ้านที่เชียงใหม่
5 วัดชลประทานรังสฤษฎ์
6 ผลงานและเกียรติคุณ
6.1 งานด้านการปกครอง
6.2 งานด้านการศึกษา
6.3 งานด้านการเผยแผ่
6.4 การปฏิบัติศาสนากิจในต่างประเทศ
6.5 งานด้านสาธารณูปการ
6.6 งานด้านสาธารณประโยชน์
6.7 งานพิเศษ
6.8 งานด้านวิทยานิพนธ์
6.9 เกียรติคุณที่ได้รับ
6.10 สมณศักดิ์ที่ได้รับ
7 มรณภาพ
      ศึกษาหาหลักธรรมหลังจากอุปสมบทได้ไม่นาน ได้เดินทางไปศึกษาหาหลักธรรมในบวรพุทธศาสนาหลายจังหวัดที่มีสำนักเรียนธรรมะ เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา และกรุงเทพมหานคร จนหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นที่ 1 ของสังฆมณฑลภูเก็ต และสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท และเอกในปีถัดมาที่ จ.นครศรีธรรมราช จากนั้นท่านได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาบาลีจนสามารถสอบเปรียญธรรม 4 ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้หลวงพ่อต้องหยุดการศึกษาไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินทางกลับพัทลุงภูมิลำเนาเดิมและได้เริ่มแสดงธรรมในพื้นที่ต่างๆ ของภาคใต้ รวมทั้งเดินทางไปจำพรรษาที่วัดสีตวนารามและวัดปิ่นบังอร รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นี้ก็ได้ศึกษาทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเผยแพร่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

     เผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศพ.ศ. 2475 หลวงพ่อมีโอกาสร่วมเดินทางไปประเทศพม่า กับพระโลกนาถชาวอิตาลีสหายธรรม ร่วมเดินทางแสวงบุญไปประเทศอินเดียและทั่วโลกโดยผ่านทางประเทศพม่าด้วยเท้าเปล่าเพื่อเป็นพุทธบูชา แต่เมื่อเดินทางถึงประเทศพม่าก็ต้องเดินทางกลับ
ระหว่างปี พ.ศ. 2475-2476 หลวงพ่อได้มีโอกาสเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศหลายประเทศ จนหลวงพ่อได้ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์รูปแรกของไทยที่ได้เดินทางไปประกาศธรรมในภาคพื้นยุโรป
[แก้] สหายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุพ.ศ. 2477 หลวงพ่อได้เดินทางไปจำพรรษากับพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ที่สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี และร่วมเป็นสหายธรรมดำเนินการเผยแพร่หลักธรรมที่แท้จริงตามหลักคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

     ประกาศธรรมแก่ชาวบ้านที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2492 หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ได้รับอาราธนานิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ และได้เริ่มแสดงธรรมในทุกวันอาทิตย์และวันพระที่พุทธนิคม จ.เชียงใหม่ พร้อมกันนี้หลวงพ่อได้เขียนบทความต่างๆ ลงในหนังสือพิมพ์และเขียนหนังสือธรรมะขึ้นจำนวนหลายเล่ม นอกจากนี้ หลวงพ่อได้เดินทางไปประกาศธรรมแก่ชาวบ้าน ชาวเขาโดยใช้รถติดเครื่องขยายเสียง จนชื่อเสียงของหลวงพ่อดังกระฉ่อนไปทั่ว จ.เชียงใหม่ ในนาม "ภิกขุปัญญานันทะ"
ในยุคนี้เองที่หลวงพ่อได้ก่อตั้งมูลนิธิ "เมตตาศึกษา" ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ และบำเพ็ญศีล กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกมากมาย
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ในปี พ.ศ. 2502 ม.ล.ชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน ในสมัยนั้น ระหว่างที่ไปเยือนเชียงใหม่มีความประทับใจ ในลีลาการสอนธรรมะแนวใหม่ของหลวงพ่อ จึงเกิดความศรัทธาปสาทะในหลวงพ่อ และในขณะนั้นกรมชลประทานได้สร้างวัดใหม่ขึ้น ชื่อ "วัดชลประทานรังสฤษฎ์" ที่ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงได้อาราธนาหลวงพ่อไปเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน
     พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) ได้ดำเนินการเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยวิธีที่ท่านได้เริ่มปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นเป็นอย่างมาก ซึ่งในช่วงแรกๆ ได้รับการต่อต้านอยู่บ้าง แต่ต่อมาภายหลังการปาฐกถาธรรมแบบนี้กลับเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปจนถึงบัดนี้ เมื่อพุทธศาสนิกชนทราบข่าวว่า หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุจะไปปาฐกถาธรรมที่ใดก็จะติดตามไปฟังกันเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดหลวงพ่อได้รับอาราธนาให้เป็นองค์แสดงปาฐกถาธรรมในสถานที่ต่างๆ และเทศนาออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ จนถึงปัจจุบัน
     นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น และยังได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมและกล่าวคำปราศรัยในการประชุมองค์กรศาสนาของโลกเป็นประจำอีกด้วย
     โดยที่หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้สร้างงานไว้มากมายทั้งด้านศาสนาสังคมสงเคราะห์ตลอดจนงานด้านวิชาการ ดังนั้นหลวงพ่อจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย และเป็นประธานในการดำเนินกิจกรรมทั้งที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและสังคม เช่น สนับสนุนโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกโรงพยาบาล กรมชลประทาน 80 ปี (ปัญญานันทะ) และเป็นประธานในการดำเนินการจัดหาทุนสร้างวัดปัญญานันทาราม ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ แม้ว่าคำสอนของหลวงพ่อจะเป็นคำสอนที่ฟังง่ายต่อการเข้าใจ แต่ลึกซึ้งด้วยหลักธรรมและอุดมการณ์อันหนักแน่นในพระรัตนตรัย หลวงพ่อปัญญานันทภิภขุ เป็นหนึ่งในบรรดาภิกษุผู้มีชื่อเสียง และเปี่ยมด้วยคุณธรรมเมตตาธรรม ผู้นำคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งเหมาะสมสำหรับชนทุกชั้นที่จะเข้าถึง หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่กล้าในการปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนา ของชาวไทยที่ประกอบพิธีกรรมหรูหรา ฟุ่มเฟือย โดยเปลี่ยนเป็นประหยัด มีประโยชน์และเรียบง่าย ดังนั้น หลวงพ่อจึงได้รับการขนานนามว่า "ผู้ปฏิรูปพิธีกรรมของชาวพุทธไทย" ในปัจจุบัน
     ผลงานและเกียรต


* 10_109 (WinCE).jpg (21.42 KB, 244x320 - ดู 392 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 12 พฤษภาคม 2012, 08:07:15 »

     วันนี้วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555
..............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2551 เกิดเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ตัวเลขอย่างเป็นทางการได้ประกาศออกมาแล้วว่า มีผู้เสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน***
......................
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน พ.ศ. 2551 (จีน: 四川大地震; พินอิน: Sìchuān dà dìzhèn; อังกฤษ: Sichuan Earthquake) เกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.28 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 6.28 น. ตามเวลาสากลเชิงพิกัด ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มีศูนย์กลางอยู่ที่เขตเหวินฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน วัดความรุนแรงเบื้องต้นได้ 7.8 ริกเตอร์ ต่อมา USGS ได้ปรับค่าความรุนแรงเป็น 7.9 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมีระยะห่าง 90 กิโลเมตร จาก นครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน และมีความลึก 19 กิโลเมตร [1] แผ่นดินไหวสามารถรู้สึกได้จากระยะทางไกล เช่น ที่กรุงปักกิ่ง (ห่างออกไป 1,500 กม.) และ เซี่ยงไฮ้ (ห่างออกไป 1,700 กม.) ที่ที่อาคารสำนักงานได้รับแรง


* 220px-Map_of_epicenter_of_may_12_2008_earthquake_in_sichuan_province_china (WinCE).gif (12.95 KB, 240x171 - ดู 360 ครั้ง.)

* imagesCA2U18J7 (WinCE).jpg (11.25 KB, 240x168 - ดู 361 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 13 พฤษภาคม 2012, 07:44:11 »

     วันนี้วันที่ 13 พฤษภาคม 2555
.............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2471 เริ่มก่อตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังหลัง ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลศิริราช เป็นโรงเรียนสตรีประจำ และโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย กิจการของโรงเรียนเจริญขึ้นทำให้สถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมไม่สามารถรอบรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นได้ จึงได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่สุขุมวิท19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ในปัจจุบัน***
...................
ประวัติความเป็นมา

         โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย สังกัดสำนักงานพันธกิจการศึกษา มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย เริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2417 (ค.ศ. 1874) โดยมิชชันนารีคณะเพรสไปทีเรียมิชชันจากสหรัฐอเมริกา เดิมมีชื่อเรียกว่า โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังหลัง ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลศิริราช เป็นโรงเรียนสตรีประจำ และโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย โดยมิสซิสแฮเรียต เอ็มเฮาส์ เป็นครูใหญ่คนแรก มีจุดมุ่งหมายจัดการเรียนการสอนด้านการอ่านเขียน การศึกษาคริสตจริยธรรม และวิชาเย็บปักถักร้อย ซึ่งเป็นวิชาสำหรับกุลสตรีสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) กิจการของโรงเรียนเจริญขึ้นทำให้สถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมไม่สามารถรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นได้ มิสเอ็ดน่า เซร่ะ โคล์ ครูใหญ่ในขณะนั้นได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในสถานที่ปัจจุบันและเปลี่ยนชื่อเป็น “วัฒนาวิทยาลัย”
        ในปีการศึกษา 2554 โรงเรียนมีอายุ ครบ 137 ปี กุลสตรีวังหลัง-วัฒนาวิทยาลัย ซึ่งมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยเป็นผู้รับใบอนุญาต โดยมี ศาสนาจารย์ ดร.ศึกษา เทพอารีย์ เป็นผู้ลงนามแทนผู้รับใบอนุญาต และเป็นประธานคณะกรรมการบริหารโรงเรียน 
 
 



* index_08 (WinCE).gif (20.24 KB, 263x320 - ดู 376 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 14 พฤษภาคม 2012, 05:11:44 »

     วันนี้วันที่ 14 พฤษภาคม 2555
.................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2339 เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ เริ่มทดลองใช้ฝีดาษวัว เป็นวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ***
.....................
ชื่อ      เอ็ดเวิร์ด   เจนเนอร์ ( Edward  Jenner )                         
เกิดเมื่อ             ค.ศ.1749                                                                     สถานที่เกิด       ที่คลอนเตอร์เชียร์  ประเทศอังกฤษ                         
ผลงาน              เป็นผู้คิดค้นการรักษาไข้ทรพิษ                         
ถึงแก่กรรมเมื่อ  24 มกราคม 1823  ที่บาคลีย์ 
อายุ 83 ปี                           
ประวัติโดยย่อ    

          เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์มีอาชีพเป็นแพทย์เจนเนอร์มีโอกาศได้ไปรักษาคนเป็นโรคฝีดาษบ่อยๆเขาจึงเริ่มใช้เวลาค้นคว้าเพื่อหาทางรักษาโรคฝีดาษนี้เจนเนอร์สังเกตพบว่าหญิงที่มีแผลฝีวัวซึ่งติดมาจากวัวไม่เป็นโรคฝีดาษเลยวันหนึ่งค.ศ.1796หญิงรีดนมวัวเป็นแผลฝีวัวมาให้เจนเนอร์รักษาเขาจึงคัดเอาหนองฝีวัวออกมาเก็บไว้และลองเอาหนองฝีวัวมาทดลองฉีดให้เด็กชายอายุ8ขวบโดยกรีดผิวหนังที่แขนของเด็กแล้วเอาหนองฝีวัวใส่ลงไปปรากฏว่าได้ผลดีเด็กคนนั้นไม่เป็นฝีดาษเลยเจนเนอร์ค้นคว้าและทดลองให้มีประสิทธิภาพขึ้นจนแน่ใจว่าได้ผลแน่นอนจึงจึงประกาศการค้นพบวิธีปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษในปีค.ศ.1798
................
 


* images (WinCE).jpg (6.77 KB, 240x190 - ดู 350 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 15 พฤษภาคม 2012, 07:37:19 »

     วันนี้วันที่ 15 พฤษภาคม 2555
....................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2394 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์ได้รับการเฉลิม พระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว***
................
     เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระบรมวงศานุวงศ์และคณะเสนาบดีได้ประชุมพร้อมกันมีมติให้อันเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์ วันรุ่งขึ้นเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหกลาโหม และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่     ได้ไปที่วัดบวรนิเวศน์เพื่ออันเชิญพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงรับอาราธนาด้วยดุษณียภาพยินดีจะเป็นพระมหากษัตริย์จึงเสด็จออกจากวัดบวรนิเวศไปประทับอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวังในค่ำวันนั้น และวันที่ 5 พฤษภาคม 2394 พระองค์ทรงลาผนวชต่อหน้าพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญ 30 รูป อันเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย แล้วเสด็จไปประทับ ณ พลับพลา หน้าคลังศุภรัตน์ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พอถึงวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2394 พระองค์เสด็จสรงน้ำมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียรสถาน ตามโบราณขัตติยราชประเพณี มีจารึกพระบรมนามาภิไธยในพระสุพรรณบัตรว่า
            “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธิสมมุติเทพยพงศวงศาดิศรกษัตริย์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ  อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณีจักรีบรมนารถ อดิศวรราชรามวรังกูล สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษณ์ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชนโนตมางคประนต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหาบุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมล ศุภศีลสมาจารย์ เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุคุณวิบูลยสันดาน ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุตพุทธมหากระวีตรี ปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบันฑิต สุนทรวิจิตรปฏิภาณ บริบูรณ์คุณสารัสยามาทิโลกย ดิลกมหาปริวารนายก อนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร มหาชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัตินพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณ์มหาบรมราชาภิเศกาภิษิต สรรพทศทิศวิชัตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทรมเหศวรมหินทรมหาราชาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิ์อัครนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบรมบพิตร พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเถลิงถวัลราชย์ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทรมหินทรายุธยา”




* imagesCA38NFG6.jpg (6.19 KB, 194x259 - ดู 339 ครั้ง.)

* imagesCACCA4F8.jpg (7.9 KB, 144x215 - ดู 487 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 16 พฤษภาคม 2012, 05:53:48 »

วันนี้วันที่ 16 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2481 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เปิดอย่างเป็นทางการ เป็น     โรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกของประเทศไทย อยู่ในความดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย***
          โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเปิดสอนอย่างเป็นทางการครั้งแรก
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดสอนอย่างเป็นทางการ โดยเป็นโรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย มีหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน เปิดการสอนในช่วงชั้นก่อนระดับอุดมศึกษา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา


* 8_.png (52.07 KB, 254x350 - ดู 683 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 17 พฤษภาคม 2012, 07:22:35 »

     วันนี้วันที่ 17 พฤษภาคม 2555
.................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2477 เปิดการเรียนการสอนครั้งแรก ของวิทยาลัยนาฏศิลป เดิมชื่อว่า โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ก่อตั้งโดย พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ***
...................

    วิทยาลัยนาฏศิลป เดิมมีชื่อว่า “ โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์” เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ. ศ.2477 นับเป็นสถาบันของชาติแห่งแรกที่ให้การศึกษา ทั้งวิชาสามัญและวิชาศิลป ขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากร ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2478 ทางการมีความประสงค์ที่จะให้วิชาศิลปทางโขน-ละคร และดนตรี มารวมอยู่ในสังกัดเดียวกัน จึงได้โอนครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ กับศิลปินประจำราชสำนักของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเครื่องดนตรี เครื่องโขน เครื่องละครของหลวงบางส่วนจากกระทรวงวัง ให้มาสังกัดกรมศิลปากร กรมศิลปากรจึงได้แก้ไขปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2478 ได้มีคำสั่งตั้งโรงเรียนศิลปากร สอนวิชาช่างปั้น ช่างเขียน และช่างรักขึ้นอยู่กับกรมศิลปากร และให้โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ไปรวมเป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียน ศิลปากร เรียกชื่อเฉพาะแผนกนี้ว่า “โรงเรียนศิลปากรแผนกนาฏดุริยางค์” ให้การศึกษาวิชาศิลปทางดนตรี ปี่พาทย์ และละครแต่ยังไม่มีโขน ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2485 ได้ยุบกองโรงเรียนและให้ “ แผนกช่าง” ของโรงเรียนศิลปากรไปขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยศิลปากร และโอนกรมศิลปากรไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2485 กรมศิลปากรปรับปรุงกองดุริยางคศิลป์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกองการสังคีต และโอนแผนกนาฏดุริยางค์จากโรงเรียนศิลปากรขึ้นกับกองการสังคีต เปลี่ยนเป็น “โรงเรียนสังคีตศิลป” ขึ้นอยู่กับแผนกนาฏศิลป แต่เนื่องจากอุปสรรคและสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมทั้งราชการได้คืนสถานที่ไปใช้ราชการอย่างอื่น ระหว่าง พ.ศ.2485-2487 การศึกษาของโรงเรียนสังคีตศิลปจึงหยุดชะงักไปชั่วระยะหนึ่ง
พ.ศ.2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีบัญชาให้แก้ไขปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนสังคีตศิลปใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น “ โรงเรียนนาฏศิลป” มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ
•เพื่อเป็นสถานศึกษานาฏศิลปและดุริยางคศิลป์ของทางราชการ
•เพื่อบำรุงรักษาและเผยแพร่นาฏศิลปและดุริยางคศิลป์ประจำชาติไทย
•เพื่อให้ศิลปทางดนตรีและโขน – ละคร ภายในประเทศมีฐานะเป็นที่ยกย่อง
เมื่อเปิดโรงเรียนนาฏศิลป ปี พ.ศ.2488 มีนักเรียนเก่าเหลืออยู่ในโรงเรียนสังคีตศิลป 33 คน เป็นนักเรียนหญิงทั้งสิ้น จึงเปิดรับสมัครนักเรียนชายเข้าฝึกหัดโขน จำนวน 60 คน นับแต่นั้นมา โรงเรียนนาฏศิลปก็ขยายการศึกษาทั้งนาฏดุริยางคศิลป์ไทยและสากล กองการสังคีตมาขึ้นกับกอง ศิลปศึกษา และได้รับการยกฐานะให้เป็น “ วิทยาลัยนาฏศิลป” เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ. ศ.2515

วิทยาลัยนาฏศิลปเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งผลิตครูและบุคลากรสายอาชีพ ในด้านนาฏศิลป์ ดนตรี มีการจัดการเรียนการสอนอันประกอบด้วยการศึกษาวิชาสามัญและศิลปะตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดการศึกษาเป็น 3 ระดับ คือ

1.ระดับนาฏศิลป์ชั้นต้น รับผู้สำเร็จการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นต้น
2.ระดับนาฏศิลป์ชั้นกลาง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ 3 และนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นกลาง
3.ระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นกลางเข้าศึกษาต่อ 2 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นสูง หรือเทียบเท่าอนุปริญญา
ในปีการศึกษา 2519 ได้ขยายการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี โดยสมทบกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ในคณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ รับศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยนาฏศิลปในระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง เข้าศึกษาต่ออีก 2 ปี ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) ต่อมาในปีการศึกษา 2541 กรมศิลปากรได้จัดตั้ง “สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์” ขึ้น โดยจัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านช่างศิลป์ นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทั้งไทยและสากล รับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง เข้าศึกษาต่ออีก 2 ปี ในคณะศิลปนาฏดุริยางค์ และคณะศิลปศึกษา



* vijit (WinCE).jpg (19.42 KB, 247x320 - ดู 392 ครั้ง.)

* imagesCA740ELL (WinCE).jpg (10.81 KB, 240x183 - ดู 327 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 05:26:32 »

     วันนี้วันที่ 18 พฤษภาคม 2555
.............
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2453 โลกเคลื่อนผ่านแนวหางของดาวหางฮัลเลย์ ดาวหางฮัลเลย์มีคาบโคจรรอบละประมาณ 75-76ปี ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้ามายังระบบสุริยะชั้นในครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ.1986 และจะกลับมาอีกครั้งในราวกลางปี ค.ศ.2061***
ดาวหางฮัลเลย์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา 
ดาวหางฮัลเลย์ดาวหางฮัลเลย์ (อังกฤษ: Halley's Comet) มีชื่อตามระบบดาวหางอย่างเป็นทางการว่า 1P/Halley ตั้งชื่อตาม เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ผู้ซึ่งคำนวณคาบโคจรและทำนายการปรากฏตัวของดาวหางได้อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก ดาวหางฮัลเลย์มีคาบโคจรรอบละประมาณ 75-76 ปี นับเป็นดาวหางแบบมีคาบโคจรที่มีชื่อเสียงที่สุด แม้ในทุกศตวรรษจะมีดาวหางคาบยาวอื่นๆ อีกหลายดวงที่สว่างกว่าและสวยงามมากกว่า แต่ดาวหางฮัลเลย์นับเป็นดาวหางคาบสั้นเพียงดวงเดียวที่มีความสว่างมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเป็นดาวหางที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงดวงเดียวที่หวนกลับมาให้เห็นได้อีกในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่


* 250px-Lspn_comet_halley (WinCE).jpg (5.3 KB, 240x167 - ดู 333 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 18 พฤษภาคม 2012, 11:59:48 »

จะรอดูดาวหาง 2061 ...อิอิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:05:24 »

     วันนี้วันที่ 19 พฤษภาคม 2555
................
***วันนี้ในอดีต เมื่อพ.ศ.2466 พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้นพระชนม์ ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ต.หาดทรายรี อ.เมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระโอรสลำดับที่28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 กับเจ้าจอมโหมด มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงสำเร็จการศึกษาด้านการทหารเรือ จากประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาเมืองไทยทรงวางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ก่อตั้งโรงเรียนนายเรือ และฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี***
พระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
              "องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ"

     กำลังรบทางเรือของไทย   มีกำเนิดมาควบคู่กับ การสร้างอาณาจักรไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย  แต่ในอดีตไม่ได้มี การแบ่งแยกเป็น กองทัพบก หรือกองทัพเรือ ดังเช่นปัจจุบัน  เมื่อยาตราทัพไป ทางบก เพื่อทำสงครามก็เรียกว่า " ทัพบก "    หากเมื่อยาตราทัพ ไปทางเรือ ก็เรียกว่า   " ทัพเรือ " ในอดีต และปัจจุบันทหารเรือ ได้ยกย่อง พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็น " องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ " ซึ่งนับเป็น การเทิดทูน พระเกียรติคุณ อย่างสูงสุด เนื่องจากพระองค์ ได้ทรงนำความ เจริญรุ่งเรือง มาสู่กองทัพเรือ และ ประเทศชาติ โดยทรงวางรากฐาน การบริหารงานของกองทัพเรือ  ระเบียบวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ภายในกองทัพเรือ  จนทำให้ทัพเรือไทย มีความทันสมัย มีมาตรฐาน และ เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับ อารยะประเทศ มาจวบจนทุกวันนี้ พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงมี พระนามเดิมว่า " พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ " เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ใน พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (  วร  บุนนาค  ) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง

     พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ เป็นเจ้านายพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษา วิชาการทหารเรือ  จากประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงมีจุดประสงค์ อันแรงกล้าที่จะฝึก ให้ทหารเรือไทย เดินเรือทะเลได้อย่างชาวต่างประเทศ และ สามารถทำการรบ ทางเรือได้เนื่องจากในอดีต ประเทศไทย ได้ว่าจ้างชาวต่างชาติ มาเป็นผู้บังคับการเรือ มาโดยตลอด แม้แต่ในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสฯ ยุโรปครั้งแรก ก็ยังได้ว่าจ้าง " กัปตันคัมมิ่ง" และคณะนายทหาร เรืออังกฤษ เป็นผู้เดินเรือ ภายหลังจากที่พล.ร.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการ ทหารเรือแล้ว พระองค์ได้แก้ไข ปรับปรุงระเบียบการ  ในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และริเริ่มการใช้ ระบบการปกครองบังคับบัญชา ตามระเบียบ การปกครองในเรือรบ คือการแบ่งให้นักเรียนชั้นสูง บังคับบัญชารองลงมา นอกจากนี้ยังทรงจัดเพิ่ม วิชาสำคัญสำหรับชาวเรือขึ้นเพื่อให้สำเร็จการศึกษา สามารถเดินเรือ ทางไกลในทะเลน้ำลึกได้คือ วิชา ดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต พีชคณิต ฯลฯ

     ในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญ
ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่  20  พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น
และกองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ" จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ เพื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ
เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าว ที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อม ยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่ ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอกเมื่อแล่นผ่าน
พื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์
ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ  และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ
ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"

     พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น. ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือยิ่งนัก


บันทึกของเสด็จใน
กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"
ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้
ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม
จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
ก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
อันเป็นที่รักของกู
ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"
ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู
ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข
มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

จากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์
ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น  ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ
ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน
ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น
จะเห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมาย
ทั่วประเทศกว่า  120  แห่ง




* Image-01_3 (WinCE).jpg (23.83 KB, 250x320 - ดู 412 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:08:59 »

ความรู้ทั้งนั้นเลยนะคะ
มิน่าลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เก่งกันทุกคน
สมแล้วกับที่เรียน รร.เป่าปี่วิทยาคม

ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
เอิ๊กกกกกกกกกกกกกกกก ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:23:47 »

กระนั้น..ก็สู้ ดอยฮางวิทยาคม
ของป้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย..
ท่าน ผอ. ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:43:25 »

รร.ดอยฮางวิทยาคม มีจริงหรือเปล่าคะ

แล้วดอยฮางแปลว่าหยังนิ  ดอยร้างเหรอ
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:46:53 »

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก...
กรั๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...
อุย! ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Ironmaiden
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,531



« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 19 พฤษภาคม 2012, 10:47:08 »

โหว...ท่านสมาชิก สว แซวกัน...ตามมิทันเลย
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!