ข่าวคราวการอนุมัติสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ในลุ่มเเม่น้ำสะแกกรัง วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท อาจไม่ใช่ข่าวเด่นน่าสนใจทั่วไปสำหรับคนทั่วไปนัก หากแต่ในแง่มุมของคนผู้ที่เฝ้ามองโครงการนี้มากกว่า 25 ปีนั้น มันเปรียบเหมือนโครงการผีดิบ ที่ถูกหยิบมาปัดฝุ่นอีกครั้ง และนั่นหมายรวมถึงชะตากรรมของผืนป่าแม่วงก์ที่ต้องลดน้อยถอยลงในอีก 8 ปีข้างหน้า ตามกำหนดสร้างแล้วเสร็จ
สำหรับโครงการดังกล่าวกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 แต่เพิ่งได้รับการอนุมัติในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ...ว่ากันว่า การบริหารจัดการน้ำด้วยการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น จะทำให้เขื่อนเจ้าพระยามีศักยภาพรองรับน้ำได้มากขึ้นแทนที่จะปล่อยน้ำลงทางใต้ โดยเขื่อนแม่วงก์สามารถบรรจุน้ำได้ 258 ล้านลูกบาศก์เมตร รองรับระบบชลประทาน 3 แสนไร่ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ อาจช่วยทำให้น้ำไม่ท่วมภาคกลาง
ทว่าในมุมมองของ คุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งนิตยสารสารคดี และนั่งตำแหน่งบรรณาธิการมาเป็นเวลานับสิบปี ก่อนจะเข้ามาทำงานที่ไทยพีบีเอส อีกทั้งยังคลุกคลีกับมูลนิธิทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง มูลนิธิโลกสีเขียว และสืบ นาคะเสถียร ...เขากลับรู้สึกนึกคิดต่อโครงการเขื่อนแม่วงก์ในมุมที่หลายคนอาจไม่ได้คิดถึง นั่นคือ... การทำลายป่า และสัตว์ป่าอีกหลายชีวิตที่จะได้รับผลกระทบนับจากนี้ โดยได้แสดงความคิดเห็นผ่านบทความ "โครงการผีดิบ สร้างเขื่อน ทำลายป่า" มีเนื้อหาดังนี้
วันนี้ดูเหมือนโครงการอะไรก็ตามในประเทศนี้ หากอ้างว่าเป็นหนึ่งในการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่อุตสาหกรรมภาคกลาง จะกลายเป็นโครงการศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเกิดขึ้นให้ได้ทันที หลายโครงการที่ตายไปนานแล้ว กลายเป็นผีดิบขึ้นจากหลุม สามารถปัดฝุ่นกันขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าสามารถโยงว่าเป็นหนึ่งในโครงการป้องกันน้ำท่วมมูลค่า 350,000 ล้านบาทได้ เพราะการป้องกันน้ำท่วม ดูจะสำคัญเรื่องราวใด ๆ ในประเทศนี้ แม้กระทั่งการทำลายป่าเพื่อป้องกันน้ำท่วมก็สามารถทำได้ เขื่อนแม่วงก์ เป็นตัวอย่างล่าสุด
ในปี พ.ศ. 2545 หลังจากได้ศึกษาผลดีผลเสียกันมานานร่วมสิบปี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ได้มีมติไม่เห็นชอบในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์มูลค่าสามพันกว่าล้านบาท และยังเสนอให้กรมชลประทาน กลับไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ มากกว่าที่จะเสนอให้มีการสร้างเขื่อนเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น
สิบปีผ่านไป … รัฐบาลชุดนี้ก็ได้ประกาศว่า จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ คราวนี้มูลค่าสูงพรวดขึ้นมาถึง 13,000 ล้านบาท ตัวเขื่อนจะสร้างปิดกั้นลำน้ำวงก์ ที่เขาสบกก ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำเก็บกักเพียง 258 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเขื่อนภูมิพล ที่มีปริมาณน้ำเก็บกักถึง 13,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
รัฐบาลใช้สูตรเดิม คืออ้างว่าป้องกันไม่ให้น้ำท่วมภาคกลาง แต่ไม่พูดกับประชาชนตรง ๆ ว่า เขื่อนแห่งนี้ต้องมีการทำลายป่าสมบูรณ์ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์พื้นที่กว่าหมื่นไร่
ป่าแม่วงก์ อาจจะไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก แต่คนที่เคยอ่าน "ล่องไพร" อมตะนิยายอันลือลั่นของน้อย อินทนนท์ หรือ มาลัย ชูพินิจ จะทราบว่า ฉากการผจญภัยในป่าดิบผืนใหญ่ปกคลุมพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและนครสวรรค์ในนิยายเรื่องนี้ หากไม่ถูกบุกรุกไปเป็นพื้นที่เกษตร ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็คือป่าแม่วงก์นั่นเอง
สิบปีก่อน ผมเคยล่องไพรเข้าไปสำรวจป่าที่จะถูกน้ำท่วมหากมีการสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งนี้ พื้นที่เหล่านี้อุดมไปด้วยป่าสักธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดรองจากป่าแม่ยม ตอนนั้นดอกสักสีขาวเพิ่งออกดอกบานสะพรั่ง ต้นไม้ใหญ่บางต้นใช้คนโอบเกือบสิบคน เราเดินสำรวจป่าไปตามลำธารน้ำใส ถือเป็นสภาพป่าสมบูรณ์มาก มีต้นประดู่ มะค่า ยาง ชิงชัน พยอม แดง ตะเคียนทอง ขึ้นอย่างหนาแน่น และยังเห็นร่องรอยของสัตว์ป่าหลายชนิดที่มากินน้ำตามริมฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นเก้ง กวาง ช้างป่า กระทิง วัวแดง เสือ ฯลฯ เพราะอยู่ติดกับป่าห้วยขาแข้ง จึงทำให้ป่าแม่วงก์มีสัตว์มากถึง 406 ชนิด
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ป่าต้นน้ำสำคัญของภาคกลาง เป็นป่าผืนเดียวติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกขนาดพื้นที่ 11ล้านไร่ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันตั้งแต่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ครอบคลุมอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งเรื่อยลงมาถึงป่าในจังหวัดกาญจนบุรี ถือเป็นป่าขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
สัมปทานไม้สักหมื่นกว่าไร่ในป่าแม่วงก์ คงทำให้พ่อค้าไม้ตาลุกวาว เพราะนานมาแล้วที่ประเทศไทยไม่เคยมีการตัดไม้ทีเดียวหลายแสนต้น โดยเฉพาะราคาไม้สักที่มูลค่าไม่ต่างจากไม้พะยูง
หากรัฐบาลคิดว่า ปัญหาโลกร้อน คือปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เกิดพายุ น้ำท่วมอย่างรุนแรง การเก็บผืนป่าอุดมสมบูรณ์เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นแหล่งต้นน้ำ และที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ตลอดปี ต้องเป็นมาตรการเร่งด่วนที่สุด ไม่ใช่การทำลายป่าเพื่อสร้างเขื่อน
แต่ขณะที่รัฐบาลไทยเดินหน้าสร้างเขื่อน แต่รัฐบาลพม่ากลับมีความก้าวหน้ามากกว่า โดยประกาศยกเลิกโครงการสร้างเขื่อนไฟฟ้ามิตโสนบนแม่น้ำอิรวดี ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนมูลค่าแสนล้านบาท เพราะสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
วันนี้หากรัฐบาลใช้หลักคิดว่า ส่วนหนึ่งของการป้องกันน้ำท่วมคือ การทำลายป่า เพื่อสร้างเขื่อน เราคงเห็นเขื่อนอีกหลายแห่งถูกขุดขึ้นมา ซึ่งคาดว่า เป้าหมายต่อไปคือ เขื่อนแก่งเสือเต้น ที่จะท่วมป่าสักผืนใหญ่ที่สุดสี่หมื่นกว่าไร่ในอุทยานแห่งชาติแม่ยม
จะเก็บป่าธรรมชาติอันเป็นที่กักเก็บน้ำชั่วชีวิต หรือสร้างเขื่อนอันเป็นที่กักเก็บน้ำชั่วคราวให้ลูกหลานของเรา คนไทยทุกคนควรจะมีสิทธิ
กรุงเทพธุรกิจ ๑๙ เมษ. ๕๕
ขอขอบคุณข้อมูลจาก sarakadee.com
...แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไร ?
หมายเหตุ
กระทู้นี้สร้างขึ้นมาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งใดๆทั้งสิน เพียงต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ของหลายๆท่านหรือท่านที่มีความรู้จริงๆว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าเราต้องเอาธรรมชาติและสัตว์ป่าที่มีในแถบนั้นมาแลกกับเขื่อน 1 เขื่อน มันจะคุ้มกันไหมกับการที่เราได้เขื่อนขึ้นมาเพื่อมิให้เกิดน้ำท่วมภาคกลางเท่านั้น
ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น