นศ.สาวราชภัฏเมืองคอนใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ "เฟซบุ๊ก" ตามหาพ่อจนพบหลังจากกันยาวนาน 21 ปี ด้าน ผู้เป็นพ่อเผย ชีวิตเหมือนนิยายน้ำเน่า มาเจอแม่หลงทางที่สนามหลวง ก่อนพาส่งบ้านถึง จ.นครศรีธรรมราช และจากมาโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งท้อง ขณะที่ลูกสาวใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กตามหาจนพบน้องสาวต่างมารดา ก่อนได้พบหน้าในที่สุด...
โดยเรื่อง นศ.ราชภัฏเมืองคอน ใช้เฟซบุ๊กตามหาพ่อ หลังจากไม่เคยพบหน้ากันมานาน 21 ปี ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 20 มี.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พิมพ์สุดา เชยชูศรี อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรนิเทศศาสตร์ แขนงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ได้พานายประดุล เชยชูศรี อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/4 ม.2 ต.ทะนง อ.โพทะเล จ.พิจิตร ซึ่งเป็นพ่อที่จากกันไปยาวนานถึง 21 ปี ตั้งแต่สมัยแม่ตั้งท้องใหม่ๆ เมื่อ 21 ปี ที่ก่อน และพบเจอกันเป็นครั้งแรก เมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) ที่สถานีรถไฟ นครศรีธรรมราช จากนั้น น.ส.พิมพ์สุดา ได้พานายประดุล ขึ้นรถโดยสารสองแถวจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ก่อนมาต่อด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้าง เดินทางมาพบกับ น.ส.ละออ กลิ่นจันทร์ อายุ 60 ปี แม่ของ น.ส.พิมพ์สุดา และเป็นภรรยาของนายประดุล ที่บ้านเลขที่ 40 บ้านดอนโหนด ม.1 ต.เสือหึง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นบ้านไม้ยกสูงชั้นเดียวกลางทุ่งนา
นาทีแรกเมื่อ น.ส.ละออ กับนายประดุล มาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังจากได้จากกันยาวนานถึง 21 ปี ทั้งคู่ได้โผเข้ากอดกันพร้อมร่ำไห้ตลอดเวลาด้วยความดีใจ โดยมี น.ส.พิมพ์สุดา ลูกสาว และ นางล้วน กลิ่นจันทร์ อายุ 82 ปี ยายของ น.ส.พิมพ์สุดา และแม่ของ น.ส.ละออ ยืนน้ำตาคลออยู่ใกล้ๆ โดยหลังจากพบหน้า ทั้งคู่ต่างสอบถามทุกข์สุขต่อกันโดยใช้เวลาพูดคุยกันนานประมาณ 10 นาที ทั้งนี้ น.ส.ละออ สังเกตเห็นผู้สื่อข่าวเดินทางตามไปทำข่าวถ่ายรูปถึงกับแสดงอาการขวยเขิน และยิ้มด้วยความดีใจตลอดเวลา ก่อนขอตัวรีบเดินขึ้นไปบนบ้านเก็บตัวเงียบทันทีโดยไม่ยอมลงมาพูดคุยกับผู้สื่อข่าวอีก ปล่อยให้นายประดุลและน.ส.พิมพ์สุดา นั่งพูดคุยกับผู้สื่อข่าว
น.ส.พิมพ์สุดา เล่าเหตุการณ์ชีวิตของตนยิ่งกว่านิยายชีวิตว่า ตั้งแต่ตนเกิดมาเมื่อ 21 ปีที่แล้วลืมตาดูโลก ก็มีแต่แม่กับยายเท่านั้น ส่วนนายประดุล ผู้เป็นพ่อได้หนีจากไปตั้งแต่แม่ยังท้องได้ไม่กี่เดือน จนแม่คลอดแล้ว แม่ก็ยังใช้นามสกุล "เชยชูศรี" เป็นนามสกุลของตน ซึ่งตลอดชีวิตของตนตั้งแต่เด็กจนโตตนได้พยายามสอบถามแม่และญาติๆ เพื่อตามหาพ่อ ว่านายประดุล พ่อของตนอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่อยู่ เพราะไม่รู้ว่าไปไหน จึงทำให้ความหวังในการตามหาพ่อมืดมิดตลอดมา เพราะไม่รู้จะตามหาที่ไหน จนกระทั่งเมื่อตนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เมื่อ 3 เดือน และเริ่มเล่นเฟซบุ๊กใช้ชื่อ "พิมพ์สุดา เชยชูศรี" ได้สังเกตเห็นชื่อคนในเฟซบุ๊กชื่อ ที่มีนามสกุลเหมือนกับตน ด้วยความสงสัยและอยากรู้จักจึงขอแอดเป็นเพื่อนกันกับ "ปอแป้ง เชยชูศรี"
นศ.มรภ.นครศรีธรรมราช ผู้ที่ตามหาพ่อด้วยเฟซบุ๊ก กล่าวต่อว่า เมื่อได้พูดคุยกันไปมาทางหน้าวอลล์ของเฟซบุ๊กจนรู้ว่า ปอแป้ง เชยชูศรี ชื่อจริงว่า น.ส.กิตติยา เชยชูศรี อายุ 17 ปี เป็นลูกสาวของ นายประดุล เชยชูศรี พ่อจริงๆ ของตนที่ทิ้งตนไปเมื่อ 21 ปี ที่แล้ว แต่เป็นลูกสาวคนละแม่กับตน จากการสอบถามทราบว่านายประดุล พ่อจริงๆ ของตน ปัจจุบันอยู่ที่บ้านเลขที่ 71/4 ม.2 ต.ทะนง อ.โพทะเล จ.พิจิตร จึงมีการติดต่อกันเรื่อยมา โดยมีการบอกเบอร์โทรศัพท์พูดคุย และมีการส่งรูปนายประดุลพ่อมาให้ตนดูทางเฟซบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือของตน ซึ่งตนได้โหลดรูปพ่อมาให้แม่ดู แม่ก็ยืนยันว่าเป็นรูปพ่อจริงๆ ของตน รวมทั้งตนได้ส่งรูปของตนและแม่ไปให้พ่อดูด้วย โดยส่งผ่านทางเฟซบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือของน้องสาวตนที่ จ.พิจิตร ไปให้พ่อได้ดูรูปตนและแม่ตลอดมา
"จนกระทั่งเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) ขณะที่กำลังฝึกงานอยู่ ที่บริษัทจานเหลืองไอพีเอ็ม สาขานครศรีธรรมราช เลขที่ 143 ถนนศรีธรรมโศก ต.ในเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช ช่วงเที่ยงพ่อได้โทรศัพท์มาหาว่าได้เดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ มาถึงที่ สถานีรถไฟนครศรีธรรมราชแล้ว ขอให้ไปรับพ่อด้วย จึงรีบไปรับพ่อที่สถานีรถไฟนครศรีธรรมราช ทันทีที่พบหน้าพ่อที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตลอดชีวิต 21 ปี พบแต่เพียงรูปพ่อที่น้องสาวที่ จ.พิจิตร ส่งมาให้ดูทางเฟซบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือ ถึงกับอึ้งพูดไม่ออกน้ำตาไหล และเห็นพ่อถือรูปถ่ายของตนที่ส่งไปให้น้องสาวที่ จ.พิจิตร พิมพ์ใส่กระดาษ A4 มาถืออยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าเมื่อมั่นใจว่าเป็นพ่อลูกกันถึงกันโผกอดร่ำไห้ด้วยความดีใจ จากนั้นตนได้พาพ่อไปนั่งพูดคุยกินข้าว และหาที่พักให้พ่อในตัวเมืองนครศรีธรรมราช จนสายวันนี้ได้พาพ่อเดินทางมาพบแม่ที่บ้านพัก อ.เชียรใหญ่ หลังจากที่พ่อและแม่ได้จากกันยาวนานถึง 21 ปีดังกล่าว พ่อกับแม่จำกันได้และดีใจที่เจอกันอีกครั้ง รู้สึกภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ตามหาพ่อจนเจอในวันนี้"
ด้าน นายประดุล เชยชูศรี เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ ปี 2534 ขณะตนมีอาชีพขายไอศกรีมในกรุงเทพฯ ได้ไปเจอ น.ส.ละออ นั่งซึมเศร้าบริเวณสนามหลวง จึงเข้าไปชวนพูดคุยสอบถามจนรู้ว่า จะมาหาญาติแต่ไม่เจอไม่มีที่พัก ตนเกรงว่าหากปล่อยไว้อาจจะถูกล่อลวงไปในทางไม่ดีแน่ จึงชักชวนพักกับตนก่อนที่ห้องพักแห่งหนึ่ง จากนั้นได้พากันเดินทางกลับมาที่บ้านของ น.ส.ละออ ที่ ต.เสือหึง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก หลังจากนั่งรถโดยสารมาถึงตัว อ.เชียรใหญ่ แล้ว ต้องนั่งเรือข้ามฟากอีกไกล ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตนเดินทางมาที่บ้านของ น.ส.ละออ และตนได้เสียกับ น.ส.ละออ ที่บ้านดังกล่าว หลังจากอยู่ด้วยกันสักระยะหนึ่งตนก็มีปากเสียงทะเลาะกัน และถูก น.ส.ละออไล่ออกจากบ้าน
บิดาผู้พลัดพรากจากลูกสาวมา 21 ปี กล่าวอีกว่า จากนั้นตนจึงเก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้าน เดินทางกลับไปบ้านเกิดที่ อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยไม่ทราบมาก่อนว่า น.ส.ละออ จะตั้งท้องลูกสาวคนนี้แล้ว และเมื่อตนอยู่ จ.พิจิตร ก็ยึดอาชีพขับรถรับส่งนักเรียนและมีครอบครัวใหม่จนมีลูก 2 คน จนเมื่อ 3 เดือนที่ผ่าน น.ส.กิตติยา ลูกสาวคนเล็กของตน ซึ่งกำลังเรียน ปวช.ปี 1 วิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.พิจิตร ได้มาบอกตนว่าได้เจอลูกสาวของตนอีกคนที่เกิดกับ น.ส.ละออ โดยเจอทางเฟซบุ๊ก จึงมีการติดต่อทางเฟซบุ๊ก และพูดคุยทางโทรศัพท์มือถือตลอดมา รวมทั้งส่งรูปถ่ายของตนไปให้ น.ส.ละออ ดูก็ยืนยันว่าเป็นพ่อของ น.ส.พิมพ์สุดา จริงรวมทั้งส่งรูปของ น.ส.พิมพ์สุดาและแม่มาให้ตนดูด้วย จึงมีการนัดหมายเดินทางมาเจอกันในวันนี้ หลังจากที่ตนต้องจากลูกและเมียมานานถึง 21 ปีเต็ม
"ตั้งใจจะมาพักอาศัยกับลูกเมียทางนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เพื่อชดเชยกับเวลา 21 ปีที่ทิ้งลูกเมียไป โดยจะมาทำงานดูแลไร่สวนของ น.ส.ละออและลูกๆ เพราะที่บ้านเหลือเพียงนางล้วน แม่ยาย น.ส.ละออและลูกสาวเท่านั้น” นายประดุล เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ที่มา.....
http://www.thairath.co.th/content/region/246912