จริงทีเดียวครับ ผมคิดมานานแล้วเหมือนกัน อีกอย่างยางพาราเนี่ยตัวทำลายป่าธรรมชาติเลยนะ เพราะชาวบ้านถูกกว้านซื้อที่หมด ก็ไปรุกป่าเพิ่มเพื่อหาที่ทำกิน ป่าธรรมชาติกับสวนยางคนละอย่างนะครับ ป่าธรรมชาติ หนึ่งตารางเมตรอาจมีต้นไม้ได้นับสิบต้น แต่สวนยาง 18-21 ตารางเมตรมีต้นยางแค่ 4 ต้น การซึมซับน้ำเวลาฝนตกจึงต่างกันมาก วันข้างหน้าถ้าฝนตกน้ำจะไหลลงที่ลุ่มอย่างเดียวซึมลงผิวดินได้น้อยมาก โดยเฉพาะที่ลาดเอียงหรือดอยต่างๆ การปลูกพืชต่างๆที่ทางการส่งเสริม ต้องคิดให้มากๆ เพราะนักการเมือง ข้าราชการของไทย ทำงานตามกระแส ไม่มองอนาคตยาวๆเหมือนประเทศอื่นๆ เช่นจีน เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น จ้องแต่จะหาผลประโยชน์ ถ้าทำงานเก่งเหมือนโกงเก่งประเทศเจริญนานแล้วพี่น้อง
ผมว่าทางการ น่าจะส่งเสริม มากกว่า "ห้าม" นะครับ เหตุผลเพราะ
หากจะห้าม มนุษย์ ไม่ให้ทำโน่นทำนี้ มันยากครับ และอีกข้อ ชาวบ้านเอง
ที่ทำไร่สวน ข้าวโพดตลอด ชาวบ้านไม่ได้รวยหรือมีกินมีใช้หรอกครับ มีแต่!!พ่อค้าคนกลางรวยเอาๆ เพราะรับซื้อในราคาที่ต่ำ และกักเก็บเอาไปขายในราคาที่แพง
ทำให้ชาวบ้านติดหนี้สินปีต่อปี เหมือนโดนบีบบังคับ และที่ไร่สวนข้าวโพด
ไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่เอาไว้คอยดูดซับดินเวลาฝนตกก็จะโล่งทำให้น้ำฝนไหลลงห้วยอย่างรวดเร็ว หากจะยึดที่ของชาวบ้านก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะที่ของชาวบ้าน
ทำเขามาก่อนที่กฏหมายป่าไม้จะออกมาบังคับใช้ "จะให้พวกเขาเหล่านี้ทำอย่างไรครับท่าน" ถ้าไม่ส่งเสริม มันก็จะเป็นแบบนี้ทั้งชาติ และเป็นปัญหาระดับชาติ และเป็นปัญหา
เรื้อรังมานาน คู่กับสังคมไทยเลยทีเดียว และไม่มีหน่วยงานไหนมาคอยดูแล
รัฐเอง ควรจะออกมาส่งเสริมทางใดทางหนึ่ง และเปิดตลาดให้ชาวบ้านลืมตาอาปากได้
ให้ทัดเทียมกับประเทศ ใต้หวัน สักที
(ผมหมายถึง ส่งเสริมในที่ไร่ข้าวโพดหรือไร่หมุนเวียนนะครับ ไม่ได้ส่งเสริมให้ล้มป่าครับ)