เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 00:28:15
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  เรื่องเล่าบันเทิงธรรม : บันทึกลับภิกษุนิรนาม (จบบริบูรณ์)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน เรื่องเล่าบันเทิงธรรม : บันทึกลับภิกษุนิรนาม (จบบริบูรณ์)  (อ่าน 14479 ครั้ง)
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012, 00:15:54 »

เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทพ บุญแห่งการเจริญศีล เจริญ ภาวนา ก็จะมาเพิ่มเติมให้คงความเป็นเทพต่อไปอีก เมื่อพ้นจากเทพไปแล้ว ก็อาจไปจุติในมนุษย์โลก ในที่ดีมีสุข ได้ปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญารู้แจ้งเป็นพุทธะต่อไป

เมื่อคุณโยมผู้เป็นเทพ ได้ตระหนักชัดว่า ความเป็นเทพนั้น ยังเป็น โลกียสมบัติซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ จงขวนขวายละสมมติ ไปสู่วิมุตติเถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร

อาตมาสามเณรน้อย ได้อาราธนาธรรมคำสอนขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นข้อระลึกของคุณโยมผู้เป็นเทพ พอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้คุณโยมอย่ามีทุกข์เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตราย ใดๆ อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข ตามกุศลกรรม ของตนเถิด"

เมื่อจบลงขณะนั้น เสียงแซ่ซ้องสาธุการของทวยเทพก็ดังสะเทือน เลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขาไพรพนมทิพย์ แต่เสียงนั้นจะดังให้โลกรู้ก็หาไม่ ด้วยเป็นเสียงละเอียด ที่ผู้มีจิตละเอียดได้ทิพยโสตเท่านั้น จึงจะสัมผัสได้

จากนั้นก็ได้เห็นเทพ พากันยกกรขึ้นเหนือลาฏ แล้วก็ทยอยกัน กลับ ด้วยกิริยาอันเรียบร้อย เป็นระเบียบ แล้วเลือนหายไป ท่ามกลาง แสงจันทร์กระจ่าง

อาตมาก็กลับเข้าถ้ำ เข้าไปนมัสการอาจารย์อุปัชฌาย์ ตามแบบ อย่างศิษย์กับอาจารย์ ซึ่งท่านก็ได้ยกมือพนมอนุโมทนากล่าวว่า

"เณรแสดงได้ไพเราะจับใจ เทพทั้งหลายปีติชื่นชม สมใจหลวงพ่อ แล้ว"

ต่อจากนั้นก็เตือนให้เร่งความเพียรยิ่งๆขึ้นไป

หลวงพ่ออาจารย์กับอาตมา ได้เจริญภาวนาอยู่ในความวิเวก ต่อมา เกือบเดือน โดยไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายมาแผ้วพาน จากนั้นจึงอำลา ญาติโยม ผู้มีอุปการะบริจาคทาน ให้มีกำลังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ โดยสะดวก นับว่าญาติโยมเหล่านั้น ได้หว่านพืชแห่งกุศลของตน ลงไป ในนาที่เป็นเนื้อนาบุญ ด้วยเหตุอันดี คงจะได้รับผลเป็นความสุขสืบไป



* pager16.jpg (246.39 KB, 400x560 - ดู 1212 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012, 00:19:26 »

จากนั้นก็เดินทางจากเขตป่าของอำเภอภูเขียว ขึ้นไปยังอำเภอ เกษตรสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโขดเขินเนินเขาสูงขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง

ที่อำเภอนี้แต่โบราณมา ถือเป็นแผ่นดินทองแห่งหนึ่ง เพราะมีการ ร่อนเร่ส่งส่วยเข้าไปสู่เมืองหลวงตั้งแต่สมัย เจ้าพ่อพระยาแล ของชาว จังหวัดชัยภูมิ

อันที่จริง จากตัวจังหวัดชัยภูมิ จะมุ่งหน้าไปทางหนองหญ้าปล้อง ข้ามขึ้นเขาไปยังเพชรบูรณ์เลยก็ได้ แต่หลวงพ่อบอกว่าจะไปแวะเวียน เยี่ยมเยียนชาวบ้านที่เคยมีอุปการคุณ เมื่อครั้งธุดงค์เดี่ยวมาเมื่อปีก่อนๆ เขาจะได้สร้างบุญสร้างกุศลกันบ้าง จึงเดินทางสู่เกษตรสมบูรณ์ แวะ เวียนเรื่อยมาไม่เร่งร้อน ที่ไหนเป็นที่สัปปายะ ปฏิบัติธรรมสมาธิรุดหน้าก็ พักอยู่หลายวัน แล้วจึงธุดงค์ต่อไป

การธุดงค์แสวงหาวิเวกนั้น ครูบาอาจารย์แต่เดิมมา ท่านไม่ให้ ติดที่อันเป็นสัปปายะ ต้องไปกันเรื่อยๆ ลำบากบ้าง สบายบ้าง อดบ้าง กินบ้าง ก็ไม่ให้ยึดถือ ให้เห็นเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ สิ่งใดเกิดขึ้น แล้วย่อมดับไป ทุกข์เปลี่ยนเป็นสุข สุขเปลี่ยนเป็นทุกข์ หิวแล้วอิ่ม อิ่ม แล้วก็หิว สิ่งใดที่เราไปยึดมั่นถือมั่น จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางที ก็ไม่เป็นดังที่หวังไว้

ความผิดหวัง สมหวัง ล้วนขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมที่มนุษย์พากัน กระทำขึ้นทั้งสิ้น กรรมดีก็คลาดเคลื่อนได้ เพราะดียังไม่จริง ยังไม่ สมบูรณ์ กรรมชั่วก็คลาดเคลื่อนได้ ถ้ายังมีกรรมดีมาประคับประคอง ผลมาจากเหตุก็จริง แต่เหตุนั้นต้องสมบูรณ์ก่อน จึงจะได้รับผล

มองไปตามพื้นดินในป่าใหญ่ มองเห็นธรรมหล่นเกลื่อนกลาด ธรรมเหล่านั้นก็คือใบไม้แห้ง ซึ่งแสดงสภาวธรรมให้เห็นถึงความเป็น อนิจจัง มันหลุดร่วงจากต้น กำลังจะถูกเหยียบย่ำ ให้เป็นดินเป็นทรายไป เมื่อเป็นดินแล้ว เมล็ดพันธุ์ของมันหล่นลงมาอีก มันก็กลายเป็นฐาน รองรับ ให้เมล็ดนั้นงอกงาม เป็นต้นเป็นใบขึ้นมาใหม่ แล้วค่อยๆโต ขึ้นสูงขึ้น ผลิดอกออกใบอ่อน…ใบอ่อนก็เปลี่ยนเป็นใบแก่ ใบแก่จาก เขียวเป็นเหลือง แล้วก็หลุดร่วงจากก้าน สู่พื้นดินเป็นใบไม้แห้ง เป็นดิน หมุนเวียนอยู่เช่นนี้

เมื่อเงยหน้าจากพื้นดิน ใบไม้บนต้น ยังมีอยู่มากเป็นแสนล้านเท่า พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปว่า ธรรมที่พระองค์แสดงมาแล้ว เป็นเพียงใบไม้แห้ง ๑ กำมือเท่านั้น ส่วนธรรมที่ยังไม่ได้แสดง ตลอด อายุของพระองค์ ยังมีมากเท่าใบไม้ในป่า

ช่างละเอียดลึกล้ำสุดจะประมาณได้ ท่านจึงห้ามเอาไว้ว่า อย่าไป รู้จักโลกเลย ไม่ว่าใครๆ เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตชั้นไหน ก็ไม่มีวัน จะรู้จักโลกได้ทั้งหมด นอกจากพระบรมศาสดาของเรา แม้กระนั้น ก็ยังไม่อาจแสดงความรู้ของพระองค์ได้หมดสิ้น

ฉะนั้นจงมองโลกให้แคบเข้า…แคบเข้า จนเหลือแต่กายและจิตนี้ เท่านั้น เมื่อรู้จักกายและจิตแล้ว ก็จะรู้จักโลกทั้งหมด ตลอดพิภพจักรวาล

แต่เพียงกายและจิตนี้ ก็ยังมีมนุษย์นับเป็นร้อยๆ ล้าน ไม่เคยมอง ไม่เคยรู้จัก ตามที่มันเป็นจริง เจ้ากายและจิตนี้ นับเป็นกองขยะที่ยิ่งใหญ่ รกไปด้วย กิเลส ตัณหา อุปาทาน กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไป ด้วยละอองแห่ง โลภะ โทสะ โมหะ ที่หนาเตอะเหนียวแน่น ยากจะ กวาดล้างทำลายให้สะอาดได้ แม้จะสิ้นเปลืองภพชาติเกิดตายไปนับ ไม่ถ้วน


* picture_153255118005.jpg (58.67 KB, 307x400 - ดู 1910 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012, 00:22:06 »

แต่สิ่งที่เกิดเป็นรูปธรรม ที่เห็นอยู่ในโลกนี้ ก็มีสภาวธรรมอย่าง เดียวกัน ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ เล็กสัตว์ใหญ่ จะผิดก็แต่รูปร่างที่แตกต่างกันออกไป แม้กระนั้นในสิ่งที่ เราสมมติเรียกอย่างเดียวกัน มันก็ยังแตกต่างกันออกไปอีก คำว่า "ปลา" คำเดียว แต่มีปลากี่พันชนิดในโลกนี้ "นก" คำเดียว ก็ยังมีชื่อต่อท้าย อีกเป็นพันชนิด

แม้แต่ "เต่า" คำเดียว ก็ยังมีเต่าสีสวยเลี้ยงไว้ดูเล่น เต่าตะนุใน ทะเลที่ไข่ของมันราคาแพงมีรสมัน เต่านา เต่าบก เมื่อบุกเข้าไปในป่า กาญจนบุรี อาจได้พบเต่า ๖ ขา ขึ้นไปบนภูกระดึง จะได้พบเต่าขึ้น ต้นไม้เก่ง หางยาวตั้งศอก ที่เขาเรียกว่า "ปูเลย" อ้าวแล้วคำว่าปูเลยใน ภาคเหนือ กลายเป็นไพลหัวที่มาตำพอกแก้เคล็ดบวม

คำว่า "สุนัข" มันมีกี่พันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่เราสมมติ เรียกตัวเองว่า "มนุษย์" ก็มนุษย์ในโลกนี้มีกี่เผ่าพันธุ์ มนุษย์กินมนุษย์ ก็ยังมี แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นสภาวธรรมอันเดียวกันนั่นเอง

พระพุทธองค์คงจะเห็นว่า จะให้มนุษย์รู้จักโลกได้ทั้งโลก ก็จะทำ ให้ฟุ้งซ่าน เวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จักจบ จึงทรงกำหนดให้รู้จักแต่ กาย ในการ จิตในจิต แม้อย่างนั้น การทำความรู้จักกายกับจิต ตามสภาพ ความจริงของมัน ก็ต้องข้ามภพข้ามชาติเหมือนกัน กว่าจะรู้ว่า กายก็ดี จิตก็ดี สุดท้ายนั้น ก็เป็นอนัตตาไปทั้งสิ้น มนุษย์พากันยึดถือผูกพันกับ สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่ของตนเป็นวักเป็นเวร

อันที่จริง ความเจริญทางวัตถุ การพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้า พัฒนาโลกอะไรเหล่านี้ ก็นับว่าเป็นของดี ทำให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้น สะดวกขึ้น ถึงใครจะไปคัดค้านว่าไม่ดี มันก็หยุดไม่ได้ เพราะ มนุษย์มีความรู้ความฉลาด มีปัญญามากขึ้น ก็ต้องพัฒนากันเรื่อยไป

แต่มันก็ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ ไม่มีแนวร่วม ที่จะคิดจะทำ อย่างมีจุดหมายปลายทาง มีขีดจำกัดว่า เราจำเป็นแค่ไหน อะไรจำเป็น หรือไม่ เลยไม่มีคำว่า "พอดี" ความคิดประดิษฐ์ทำจึงเป็นไปอย่าง ฟุ้งซ่าน ไร้ขอบเขต ใครคิดทำอะไรเป็นพิเศษ ก็ว่าดี ยกย่องกัน จึง แข่งกันคิด แข่งกันทำ อย่างจบไม่ได้ หรือหยุดไม่ได้ คิดไกลไปถึงจัดสรร บ้านขายกันที่โลกพระจันทร์ และโลกอื่นๆ พยายามจะทำความฝัน ให้เป็นจริงให้ได้

แต่ความคิดสร้างสรรค์ ก็ยังนับว่าดีอยู่ แต่การคิดทำลายนี้ มากกว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงกดปุ่มปั๊บเดียว โลกก็ถูกทำลายแล้วอย่างนี้ มันมี ความจำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์ไหม ทำเพื่อประโยชน์อะไร สร้างแล้วเตรียม เครื่องทำลายไว้ จะสร้างกันไปทำไม ผลที่สุดก็จะมีแต่ความว่างเปล่า ลมๆ แล้งๆ มนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่ จะอยู่ในสภาพไหน

ความคิดทำลายนี้ แท้จริงก็ มาจากความโลภ อยากเป็นชาติที่มี อำนาจเหนือชาติอื่น เหนือโลก มาจากความโกรธ ที่ไม่สามารถทำให้ ชาติอื่นอยู่ในอำนาจของตน มาจากความหลง ที่ไม่รู้จริงในเรื่องของไตร ลักษณ์ ซึ่งไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป ทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ย่อมสูญสลายไป ปราศจากตัวตน เมื่อสภาพแท้จริงเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงไม่คิดไม่ทำ เท่าที่มี ความจำเป็น และให้เกิดความ "พอดี"



* p1.jpg (13.02 KB, 250x250 - ดู 1526 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012, 00:24:41 »

ชีวิตมนุษย์เรา ที่เกิดมาเป็นสัตว์สังคมนี้ จริงๆแล้วต้องการอะไร เป็นเครื่องดำรงชีวิต?

พระพุทธเจ้าตรัสถึงเครื่องดำรงอยู่ว่า คือปัจจัย ๔ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ถ้าปัจจัย ๔ พอดี หรือ ขาดแคลนบ้าง ก็พอ อยู่ได้

ตามชนบทหรือบ้านป่าบ้านดง เราจะเห็นว่าแต่เดิมมานั้น เขาอยู่ กันด้วยปัจจัย ๔ จริงๆ ที่เดือดร้อนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดก็เพราะ มันไม่พอดี ขาดแคลนมากเกินไป จนทนไม่ไหว ถ้าขาดแคลนเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพออยู่กันได้ นี่สำหรับชาวโลก

ถ้าเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ปัจจัย ๔ ก็ให้มี แต่ย่อส่วนลงไป ให้น้อยกว่าชาวบ้าน เพราะต้องอาศัยชาวบ้านเขากิน ต้องทำตนเป็น คนเลี้ยงง่าย "อาหาร" ชาวบ้านเขากิน ๒-๓ เวลา แต่พระก็ฉันเวลาเดียว "ยารักษาโรค" ก็ให้ฉันได้เท่าที่จำเป็น ไม่เป็นโรคเอายามากินเล่นก็เป็น อาบัติ "เครื่องนุ่งห่ม" ก็ให้มีไตรจีวรชุดเดียว จะมีมากก็เป็นอาบัติ

ในสมัยพุทธกาล เคยห้ามไม่ให้เอาของใหม่มาใช้ ให้ไปเที่ยว เก็บผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะหรือป่าช้า มาเย็บต่อกันเป็นจีวร มาผ่อนผัน ให้รับผ้าใหม่จากทายกในภายหลัง

ส่วน "ที่อยู่อาศัย" ก็ให้อยู่ตามโคนต้นไม้ในป่า หรืออยู่เรือนร้าง ที่เจ้าของเขาทิ้งแล้ว หรืออยู่ในถ้ำเพิงผาก็อนุโลมให้ ในฤดูเข้าพรรษา ไม่มีที่จะหลบฝน ก็อนุญาตให้ทำกระต๊อบมีที่มุงที่บังได้ แต่ก็ให้ไม่เกิน ส้วมของเศรษฐีมีเงินในเมือง และไม่ให้ยึดถือว่าเป็นสมบัติของตน หมด หน้าฝนแล้ว ก็ต้องไปอยู่ตามโคนต้นไม้ ตามถ้ำ ไม่ให้อยู่เป็นที่ ให้ แสวงวิเวกเรื่อยไป แต่ก็ดำรงชีวิตอยู่ได้เพื่อปฏิบัติธรรม ให้ถึงความพ้นทุกข์

แต่การดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคมทุกวันนี้ อยู่กันอย่างแบ่งฐานะ ๓ ระดับคือ

๑. อยู่อย่างขาดแคลน

๒. อยู่อย่างพอดี

๓. อยู่อย่างส่วนเกิน


* 20.jpg (78.96 KB, 400x300 - ดู 1121 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012, 00:28:14 »

มนุษย์ในชนบทหรือป่าดง อยู่ในสองฐานะแรกเป็นส่วนมาก คือ ขาดแคลนกับความพอดี แต่มนุษย์ในเมืองอยู่ใน ๓ ฐานะ อย่างใด อย่างหนึ่ง และ ที่เห็นๆ ในบ้านเมืองนั้น มักเห็นว่าอยู่อย่างส่วนเกิน ไม่น้อยเลย เพราะความเจริญทางวัตถุ ทำให้เกิดส่วนเกินขึ้นมากมาย จนกลายเป็นข้ออ้างว่า "จำเป็น" สำหรับชีวิตประจำวัน

ในสมัยพุทธกาล คนที่ดำรงชีวิตอย่างส่วนเกินก็มี เรียกกันว่า "เศรษฐี" แต่คำว่าเศรษฐีนั้น ท่านแปลว่า "ผู้มีโรงทาน" เศรษฐีเล็กก็มี โรงทานเล็ก หรือมีโรงเดียว เศรษฐีใหญ่ก็มีโรงใหญ่ หรือหลายโรง

มีไว้ทำไม? ก็มีไว้สำหรับแบ่งส่วนเกินของเขา ให้แก่คนที่ไม่มีหรือ ขาดแคลน ไม่ให้เอาเปรียบสังคมมากเกินไป ความนิยมเรื่องโรงทานนี้ พระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านก็เคยทำกันมา

แต่สังคมไทยสมัยนี้ เศรษฐีไม่มีโรงทาน มีแต่บ้านใหญ่เก็บสะสม ส่วนเกินเอาไว้เท่าที่จะมากได้ ไม่ยอมแบ่งให้ใครง่ายๆ เมื่อเกิดเศรษฐี ส่วนเกินมากขึ้น ก็ทำให้ความพอดีของคนส่วนใหญ่ ต้องขาดแคลนลง คำว่า เอารัดเอาเปรียบก็ตามมา ความไม่เป็นธรรมในสังคมก็ตามมา และชักจะมองหน้ากันไม่ได้ ฉันคนรวย แกคนจน คบกันไม่ได้เสียแล้ว นี่คือการเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ได้อยู่กันอย่างชาวพุทธ ไม่มีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ความโลภ โกรธ หลง มันมาพอกหน้าเห็นแต่ แววตาที่เห็นแก่ตัว ความพอดีก็หายไป

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งความ "พอดี" ต้องการให้ ชาวโลกรักษาระดับแห่งความพอดีเอาไว้ให้ได้ ความเจริญทางวัตถุ ก็ให้อยู่ในความพอดี เท่าที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ความเป็นอยู่ก็ให้พอดี

เรื่องความร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีนั้น ท่านไม่ได้จำกัดไว้ เพราะถือความมีความจน เป็นผลของกรรมดีกรรมชั่ว แต่ท่านให้รู้จัก ปรับตัว ให้อยู่ในความพอดี ถ้าชาวไทยหรือชาวโลก ยึดถือเอาความ พอดีเป็นอุดมการณ์ ก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข เป็นสันติภาพแท้จริง

แม้ภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ก็ต้องยึดถืออุดมการณ์ ให้เป็นแบบ อย่างแก่ชาวโลก ให้เขาเห็นว่า ภิกษุท่านดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความพอดี ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าชาวโลกเสียอีก แต่ท่านยังอยู่ได้ ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้

ภิกษุส่วนมากในสมัยนี้ ไม่ได้อยู่ในอุดมการณ์ของความพอดี พากันแสวงหาส่วนเกิน มากกว่าชาวโลกเสียอีก เมื่อไม่รักษาอุดมการณ์ เอาไว้ให้ได้ ก็เท่ากับไม่อยู่ในธรรมวินัย เพราะธรรมวินัยท่านกำหนด เอาไว้ เพื่อให้เกิดความพอดีอยู่แล้ว ภิกษุประเภทนี้ แม้จะมีผ้าเหลืองเป็น เครื่องหมายแสดงความเป็นภิกษุ ก็ไม่ถือว่าเป็นภิกษุ อาศัยเครื่องหมาย หากิน หลอกลวงชาวบ้านไปวันๆ เป็นเนื้อนาบุญไม่ได้ ตายไปก็ลง นรกท่าเดียว

ที่อาตมาพูดมานี้ ก็ได้จากการพิจารณาธรรมะในป่า เข้าไปหา ในเมือง และเพื่อให้เห็นว่า การเผยแพร่พระพุทธศาสนานั้น จำเป็น อย่างยิ่ง ที่จะเผยแพร่อุดมการณ์แห่งความพอดี ให้กว้างขวางออกไป เป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงอยู่ของชาวโลกให้ได้เสียก่อน เพราะการ ที่จะปฏิบัติธรรมขั้นสูงต่อไป ก็จะต้องปฏิบัติตามความพอดีเช่นกัน เรียกว่ามีความพอดีเป็นพื้นฐาน และมีความพอดีเป็น "ญาณ" ก้าวไปสู่ อมตธรรม คือ "พระนิพพาน"


* _n.jpg (83.83 KB, 627x676 - ดู 1235 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 00:57:31 »

หลวงพ่ออาจารย์กับอาตมา ท่องธุดงค์แสวงวิเวกในป่า แถบนี้ จนบรรลุถึงบ้านบึง ๑๔ แผ่นดินที่อุดมชุ่มชื่น เนื่องจากไอเย็น ที่กระจายจากน้ำตก ต้นลำแม่น้ำชี ขาว พืช ผลไม้มักงอกงาม ต้น สมโอของบ้านนี้ ลูกใหญ่ดูเป็นพวงระย้าไปทั้งต้น แต่เพราะห่างไกล ความเจริญ จึงไม่มีค่าเอาไปซื้อขายได้

ชาวบ้านว่าเคยบรรทุกเกียนเข้าไปขายในเมือง ได้เพียง ๔ ลูกบาศก์ ไม่คุ้มกัน จึงเห็นเด็กๆ เอาส้มโอมาเตะเล่นต่างฟุตบอล เป็นที่สนุกสนาน ความใหญ่ของส้มโอเท่าลูกมะพร้าวทีเดียว

ในป่าและท้องนาของหมู่บ้านนี้ มักมีเก้งและกระต่าย วิ่งไปมาชุก ชุมมาก เป็นสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในสายตาของชาวบ้าน ในการนำมา เป็นอาหาร สัตว์ที่เราใช้เป็นอาหารอย่างน้อยก็ต้องเป็นกวาง ขึ้นไปถึง วัวป่าและกระทิง

วัวป่าชนิดหนึ่งมีขนเป็นปุยรอบช่วงคอ เขาเรียกว่า "เมย" มีชุกชุม เป็นฝูง แต่ถ้าชาวบ้านเขาไม่อดจริงๆ ก็จะไม่ล่ามาเป็นอาหาร ที่เขา ชอบมากก็เป็นพวกปลา ที่พอหาได้ในลำห้วยเหนือหรือใต้น้ำตกลงไป

ชาวบ้านที่นี่ เป็นคนใจดี อารมณ์แจ่มใส และใจบุญ เวลาไป บิณฑบาต เขาก็พากันใส่ทั้งข้าวทั้งกับ พอได้ขบฉัน อาตมาและหลวงพ่อ ปักกลดห่างหมู่บ้านประมาณสัก ๑ กิโลเมตร ตอนเย็นๆ หรือตอนบ่าย เขาจะมาขอฟังธรรมด้วย แล้วก็ไม่รบกวนอะไร อย่างการขอเลขเบอร์ หวังร่ำรวยนั้นไม่มี เพราะหมู่บ้านเขาอยู่ไกลเกินกว่าจะเดินไปซื้อหา ที่อำเภอ

การอยู่ไกลความเจริญนั้นก็ดีไปอย่างหนึ่ง ไม่มีเครื่องยั่วยวนให้ใจ ฟุ้งซ่าน เกิดกิเลสตัณหาเท่าใดนัก รู้สึกว่าเขาอยู่กันด้วยความพอดี แม้ ไม่มีใครมาสั่งสอนเรื่องธรรม เขาก็มีธรรมอยู่ตามธรรมชาติของเขาเอง เรียกว่าธรรมก็คือธรรมชาติ หรือธรรมชาติก็คือธรรม ถึงจะมีการผิดศีล บ้าง เช่น การฆ่าสัตว์ก็เป็นไปเพื่อความมีชีวิตรอด ไม่ได้ถือเป็นอาชีพ

จิตใจของคนที่อยู่กับธรรมชาติแห่งนี้ จึงอยู่ในความสงบสุข และ พึ่งตนเองได้ เสื้อผ้าก็ทอใช้เอง ปลูกฝ้ายเอง ปลูกต้นครามไว้ย้อมผ้า เอง สิ่งที่เขาจะต้องซื้อก็คือเกลือ

ชาวบ้านเขาเล่าให้ฟังว่า ในป่าแถบนี้มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก เสือก็ มีมากเช่นกัน แต่ไม่เคยเข้ามารบกวนในหมู่บ้าน เนื่องจากมีสัตว์ที่เป็น อาหารของเสืออยู่ทั่วไป เข้าป่าไปหาฟืนเก็บหน่อไม้ เห็นกันก็ไม่ทำอะไร เขาบอกว่าเสือที่จะทำอันตรายคน ก็ได้แก่เสือที่ถูกเขายิงบาดเจ็บ หรือ ที่เรียกว่าเสือลำบาก กับเสือแก่วิ่งไล่จับสัตว์ไม่ไหว ก็มักมาคอยดักกินคน แต่ที่นี่ไม่เคยมีใครไปยิงเสือให้ลำบาก แม้แต่เสือแก่ นอนอยู่เฉยๆ ก็ มีกระต่ายวิ่งมาเข้าปากเอง เพราะมันชุมมาก ชาวบ้านเขาเล่าอย่าง ติดตลก

หลวงพ่อกับชาวบ้านแถวนั้น คุ้นเคยกันดี เพราะท่านเคยธุดงค์มา ถึงหลายครั้ง บางคนก็ปฏิบัติธรรมสมาธิ ตามที่หลวงพ่อเคยสอนไว้

การแสดงธรรมของหลวงพ่อ ไม่ได้ทำอย่างมีพิธีการอะไร มัก สนทนากันแบบกันเอง เช่น คุยกันเรื่องศีล ท่านก็จะอธิบายว่าศีลมีอะไร บ้าง ทำไมจึงต้องละเว้น หรือให้ถือศีล ๕ เป็นประจำ

กลางคืนมีโยมมานั่งปฏิบัติธรรมด้วยหลายคน เท่ากับมาอยู่เป็น เพื่อนดูแลอุปัฏฐากเรื่องน้ำเรื่องไฟ เวลานอนเขาจะอยู่ห่างจากกลด พูดกันค่อยๆ ไม่ได้ยิน พวกเขาช่างกินง่ายอยู่ง่ายจริงๆ เพราะอยู่กับ ดินกินกับทรายมาเสียจนชิน จะเป็นเพิงหน้าถ้ำ โคนต้นไม้ เขาก็หลับได้ ไม่ต้องระแวงหวาดกลัวอะไร แต่ไฟนั้นขาดไม่ได้ จะเป็นหน้าร้อนหน้า หนาว เข้านอนแล้ว ต้องสุมไฟ เพราะไฟทำให้สัตว์รู้ ไม่เข้ามาใกล้

จากบ้านบึง ๑๔ ก็ลงเขาขึ้นดอย ไปออกทางบ้านนาสวน มุ่ง เข้าสู่จังหวัดเลย ที่เลยนี้จะเรียกว่าเป็นเมืองภูเขาก็ได้ มองไปรอบๆ ทางไหน จะเห็นเขาน้อยใหญ่เรียงกันเป็นพืดไป แม้ตัวจังหวัดเลยเอง ก็ตั้งอยู่บนหลังเขา เรื่องหนาวไม่ต้องพูดถึง บางปีต้องขุดรูกันอยู่ หรือ เข้าไปนอนหมกอยู่กับกองฟาง แม้แต่ต้นกล้วยก็มีน้ำในกาบกล้วยแข็งตัว ทำให้เป็นสีดำเหมือนถูกไฟไหม้ ก็เป็นเหตุให้ต้นกล้วยตาย


* X6.jpg (9.66 KB, 275x183 - ดู 2092 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 00:59:28 »

อาตมาและหลวงพ่อไม่ได้เข้าไปในเมือง ถือธุดงค์ไปตามป่าแถว ภูกระดึง และวังสะพุง มีถ้ำให้อาศัยหาความอบอุ่น แต่ตอนเช้ามืด จะรู้สึกหนาวเหน็บสะท้านไปทั้งตัว ก็ต้องเริ่มออกบิณฑบาต แต่เดิน ไปสักพักหนึ่ง ก็ค่อยยังชั่วแล้ว กลับมีเหงื่อซึมเสียอีก

ทำให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้เดินบิณฑบาต เดิน จงกรม เดินธุดงค์ เป็นการรักษาสุขภาพร่างกายเอาไว้ได้ ไม่เมื่อยขบ ไม่หนาว หรือทนหนาวได้

พระพุทธเจ้านั้น ท่านสมเป็นพระบรมศาสดา เป็นครูของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ท่านสอนให้รู้ละเอียดรอบคอบไปหมด เดินบิณฑบาต มีประโยชน์อย่างไร จะต้องเดินอย่างไร จึงจะเป็นการสำรวม การเดิน สำรวมต้องมีสติ เอาจิตจับอยู่ที่ลมเข้าออก ไม่มีอะไรก็ภาวนาคาถา บทใดบทหนึ่งไป เช่น พุทโธ

เวลาเข้าไปรับบาตร ก็ให้มองลงในบาตร เพื่อไม่ให้ตามันสอดส่าย ไปดูคอเสื้อสีกาเข้า เดี๋ยวมันจะปรุงแต่งไปกันใหญ่

การคิดปรุงแต่งมันเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต ถ้าตาไปเห็นรูป หูได้ยิน เสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส แม้ไม่ได้สัมผัส จิตมันก็ปรุงแต่งจากสัญญา ขึ้นมาได้ เมื่อสัมผัสแล้วทำอย่างไร ท่านก็ให้พิจารณาถึงสิ่งตรงกันข้าม เสีย เห็นสวยก็ให้คิดถึงความสวยให้ถึงที่สุดว่า สวยแล้วมันจะกลาย เป็นไม่สวยได้ หรือพอแก่หนังเหี่ยวมันจะสวยไหม พอเวลาตาย ผิวมัน จะบวมฉุแตกปริ เน่าเฟอะ ส่งกลิ่นเหม็น มันจะสวยไหม ท่านบอกไว้ ทุกทาง แม้กระนั้นเจ้าความอยากในกามคุณ มันก็ยังเล็ดลอดออกไปได้ ท่านก็สอนให้มีสติ คอยระวังรักษาจิต คอยรู้เท่าทันอารมณ์กิเลส

ชาวบ้านชาวโลก มีความอยากมากมาย เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เกิดความอยาก ให้เกิดการปรุงแต่ง ก็ต้องหัดให้รู้จักระวังรักษาจิต คอยรู้เท่าทันความอยากเสียบ้าง ไม่ใช่อยากแล้ว ก็ไม่รู้จักยับยั้ง ปล่อย ตามใจความอยากเรื่อยไป เพราะความอยากบางอย่าง เราทำให้สมอยาก ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาจะอยาก เมื่อไม่สมอยาก ก็เศร้าโศกเสียใจ เสียดาย อาลัยหา ซึ่งทำให้เกิดทุกข์แก่ตนเอง

วัตถุทั้งหลาย เช่น ของใช้ ถ้าเรามีอยู่พอใช้ได้ ก็ใช้ไปก่อน ขืนไป อยากเข้าอีก แสวงหามาอีก มันก็ไม่พอดี เกินความจำเป็นไป

พระพุทธเจ้าละเอียดยิ่งกว่าพ่อแม่ของเราเสียอีก จะตอบแทน คุณท่านได้อย่างไร เพราะท่านไม่ต้องการให้เราตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ท่านมีพระประสงค์จะให้สาวกหรือชาวโลกปฏิบัติเพื่อตัวเอง ทำเพื่อ ตัวเอง ทรงตรัสว่า "อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ" ซึ่งแปลว่า "ตนเป็นที่พึ่ง ของตน"

คำสอนของพระองค์ แม้จะประเสริฐยอดเยี่ยมอย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติ ด้วยตนเองแล้ว ก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้ ถึงเราจะประกอบงานอาชีพ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทำด้วยตนเอง อาศัยจมูกคนอื่นหายใจ คอยให้ เขาทำให้ ก็จะไม่เกิดผลแก่ตน และคงจะไม่มีใครมาทำแทนเราได้

ธรรมปฏิบัติที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ เราต้องรู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตน เอง จึงจะเกิดปัญญารู้แจ้งถึงทางพ้นทุกข์นั้น การตอบแทนคุณท่าน ก็คือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติเพื่อตนเอง จะไป หวังพึ่งพระเจ้าองค์ไหน ไม่ได้ทั้งสิ้น

คำสอนของพระองค์เป็นสัจธรรม ไม่มีธรรมหมวดใด ที่จะทรง กล่าวอย่างเหลวไหล พิสูจน์ไม่ได้ เว้นแต่เราจะไม่รู้จริง หรือไม่ยอมพิสูจน์ เท่านั้น สิ่งที่เราจะเห็นง่ายๆ ด้วยการพิจารณาจากชีวิตประจำวัน ของเราเอง ก็คือ อริยสัจ แต่เราก็ไม่ค่อยสนใจกันว่า อริยสัจ ๔ คืออะไร

เมื่อเรามีทุกข์ บางทีเราก็ไม่สนใจว่ามันเป็นทุกข์ เราพากันเรียก ทุกข์ว่า "ปัญหา" ปัญหาในการงาน ปัญหาในชีวิต

แต่ที่จริงตามความหมายในพุทธศาสนา ก็คือทุกข์นั่นเอง เมื่อ ปัญหาหรือทุกข์เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เราทนนิ่งดูดายไม่ได้ บางปัญหา ถ้าเราไม่หาทางแก้ไข อาจเดือดร้อนมากมาย อาจทำให้บ้านแตกสาแหรก ขาดก็มี ทำให้ล่มจมก็มี ทำให้ติดคุกติดตะรางก็มี ทำให้สุญเสียทรัพย์ สมบัติก็มี ทำให้ถึงตายก็มี


* forest.jpg (492.88 KB, 1280x1024 - ดู 1051 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 01:00:49 »

เรารู้สึกวิตกกังวลหรือไม่ ถ้าเรารู้สึกวิตกกังวลทนนิ่งอยู่ไม่ได้ นี่แหละเป็นตัวทุกข์แล้ว

ชาวโลกทั่วไป เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นเช่นนี้ ก็จะต้องหาทางแก้ไข เราจะ แก้ไขได้อย่างไร ก็ต้องค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ให้ได้เสียก่อน หรือ จะเรียกว่า ให้รู้ตัวปัญหาว่าทุกข์มันเกิดขึ้นจากอะไร ถ้ารู้ตัวปัญหาแล้ว เราก็จะมีทางแก้ได้หลายอย่างตามความเหมาะสม เรียกว่ารู้ทางดับทุกข์ เมื่อรู้ทางดับทุกข์ และดับมันเสีย ทุกข์ก็ย่อมจะหมดไป สัจธรรมของ พระองค์เป็นอย่างนี้ เราท่านจะปฏิเสธได้หรือว่า ไม่เป็นความจริง

เมื่อรู้ว่ามีทุกข์ ท่านให้หาเหตุว่า ทุกข์เกิดจากอะไร เมื่อรู้เหตุแล้ว ก็หาทางแก้ เมื่อแก้ได้ก็สิ้นทุกข์ แต่การที่เราจะรู้เหตุแห่งทุกข์ รู้วิธีแก้ทุกข์นั้น ก็จะต้องมีสติ การที่จะมีสติระลึกรู้ได้ ก็ต้องมีความสงบ

คนที่จิตใจคิดฟุ้งซ่าน กลัดกลุ้มไปร้อยพันเรื่อง ไม่มีทางจะแก้ได้ ถึงแก้ได้ก็ด้วยการตัดสินใจอย่างง่ายๆ บางคนคิดฆ่าตัวตายไปให้สิ้นเรื่อง บางคนเป็นหนี้ ดันไปคิดฆ่าเจ้าหนี้ เพราะเมื่อเจ้าหนี้ตายเสียแล้ว ตน จะได้พ้นจากการเป็นหนี้ แต่ไม่คิดว่า ไปฆ่าเขาตาย เขาจับได้จะเป็น อย่างไร เรียกว่าคิดสั้นๆ อย่างคนโง่เขลาเบาปัญญา ฉะนั้นจึงต้องมี ความสงบ มีสติไตร่ตรองให้รอบคอบ ให้มองเห็นเหตุ จึงเห็นทางแก้

ท่านจึงสอนว่า ให้หมั่นทำใจให้สงบ ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิกันเอาไว้ บ้าง เมื่อมีสมาธิ ความเยือกเย็นสุขุม ก็จะเกิดขึ้นมา พิจารณาถึงทาง แก้ไข เรื่องของชาวโลกเรา มันก็มีอยู่ง่ายๆ แค่นี้ แต่เราไม่คิดทำกัน เมื่อเกิดปัญหาหรือทุกข์เล็กน้อย ก็กลายเป็นปัญหาหรือทุกข์ใหญ่ แก้ ปัญหาด้วยตนเองไม่ได้ ต้องวิ่งให้คนอื่นเขาช่วยแก้ ปัญหาของหนุ่มสาว รักๆ ใคร่ๆ ก็แก้ไม่ได้ เห็นให้ทางหนังสือพิมพ์ช่วยตอบให้มากมาย แทนที่จะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐกับเขาได้ ก็กลายเป็นมนุษย์โง่ๆ ที่ไป ประกาศความโง่ของตนเอง ให้โลกเขารู้ ให้เขาเอาคำถามไปประจาน ในหน้าหนังสือพิมพ์

นี่เป็นอริยสัจ ๔ ของชาวโลก ที่มีอยู่เป็นอยู่ในชีวิตคนเรา เป็น ประจำวันทีเดียว แต่ยังมีอีกขั้นหนึ่งในทางธรรม ลึกซึ้งขึ้นไปอีก มันเป็น อริยสัจของชีวิต ที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ชีวิตทั้งหลาย ต่างก็ต้อง เวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตายอยู่เช่นนี้ หลายร้อยภพหลาย ร้อยชาติ ด้วยกรรมต่างๆกัน เป็นที่น่าเบื่อหน่ายนัก การเกิดมาก็ต้อง เผชิญกับทุกขเวทนา ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งที่แท้จริง ชีวิตไม่ว่าคนหรือสัตว์ ก็เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตนของเราหรือของใครทั้งสิ้น จะยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ ทรงเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทรงเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ประสงค์ที่จะเวียนเกิดเวียนตายต่อไปอีก จึงทรงออกบวช เพื่อแสวงหา ความไม่เกิดไม่ตาย อันจะเป็นทางพ้นทุกข์

การออกบวช เพื่อแสวงหาการไม่เกิดไม่ตาย อันเป็นทางพ้นทุกข์ นั้น เพียงหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เราท่านที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ก็คง จะมึนงงแทบไม่รู้เรื่องเอาทีเดียว มันสลับซับซ้อนเกี่ยวพันกัน เป็น รายละเอียดมากมาย จะทำให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ ก็ด้วยการทำจิตพิจารณา ให้เห็นด้วยปัญญาของตนเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงลำบากยากเข็ญมาแล้ว กว่าจะค้นหาเหตุอันนี้พบ

แต่เมื่อพบแล้ว ก็ยากที่จะอธิบายให้ชาวโลกเข้าใจได้ถึงความเป็น จริง เพราะระดับจิตใจระหว่างผู้พบความจริงด้วยจิต ที่เกิดปัญญาขึ้นเอง กับปัญญาอย่างโลกๆ นั้นแตกต่างกัน ยากที่จะเข้าถึงกันได้

ถ้าจะนำมากล่าวกันย่อๆ ประการแรก ท่านก็บอกว่า วิญญาณ มีขึ้น เพราะนามรูปเป็นปัจจัย และนามรูปมีขึ้น เพราะวิญญาณเป็น ปัจจัย ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้ ก็ไม่มีวิญญาณและนามรูป ไม่มีมนุษย์สัตว์ เกิดขึ้น

แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเท่านั้น ยังมีสิ่งอื่นประกอบด้วย เช่น ท่านว่า อายตนะ ๖ ประการมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย และอายตนะ ๖ ประการ เป็นปัจจัยของผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยแห่งเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยแห่ง ตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยแห่งภพ เครื่องเกิดภพเป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา มรณะอันเป็นนิตยทุกข์ ความ โศกร่ำไรทุกข์โทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น เพราะชาติ ความเกิดเป็นปัจจัย กองทุกข์ทั้งสิ้นจึงมาเกิดขึ้น ทรงมีพระปรีชารู้แจ้งว่า มันเกิดขึ้นพร้อมกัน

เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว ก็ทรงแสวงหาทางดับทุกข์ให้สนิทลง ทรง ตั้งปัญหาถามพระองค์เองว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ชรา มรณะจึง จะไม่มี เพราะความดับไม่เหลือแห่งอะไร ชรา มรณะ จึงจะดับไปโดย ไม่เหลือ จึงเกิดความรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติความเกิดไม่มี ชรา มรณะ ก็ไม่มี อาศัยชาติดับสนิท ชรา มรณะ ก็จะดับไปโดยไม่เหลือ อาศัยชาติ ดับสนิท ชรา มรณะ จึงจะดับสนิทได้ เพราะภพดับสนิท ชาติจึงจะ ดับสนิทได้ เพราะอุปาทานดับสนิท ภพจึงจะดับสนิท เพราะตัณหาดับ สนิทลง อุปาทานจึงจะดับสนิทไป เพราะเวทนาดับสนิท ตัณหาจึงจะ ดับสนิทได้ เพราะผัสสะดับสนิท เวทนาจึงจะดับสนิทได้ เพราะอายตนะ ๖ ประการดับสนิทลง ผัสสะจึงจะดับสนิท เพราะนามรูปดับสนิทลง อายตนะ ๖ ประการ จึงจะดับสนิทได้ เพราะวิญญาณดับสนิท นามรูป จึงดับสนิท


* vvv.jpg (12.13 KB, 259x194 - ดู 918 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 01:01:46 »

อันนี้ เป็นการรู้ทางที่จะดับทุกข์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงทบทวน เป็น อนุโลมปฏิโลม จนเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นในพระทัย ไม่มีข้อสงสัย พระองค์ ทรงตรัสรู้แล้ว และการตรัสรู้นี้ก็เพราะพระองค์ได้ทรงดำเนินตามมรรค ๘ เป็นลำดับไป ด้วยทรงมีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ ซึ่งล้วนแต่ดำเนินไป ตามกุศลธรรมทั้งสิ้น

มนุษย์เราก็เช่นกัน เมื่อประพฤติปฏิบัติตน อยู่ในมรรค ๘ นี้แล้ว ก็ย่อมจะนำตนให้พ้นทุกข์อย่างโลกๆได้ ไม่มีเวรภัยต่อผู้ใด ที่เป็น พระสงฆ์สาวก ถ้าปฏิบัติตามที่พระองค์สอน ไม่ว่าจะเป็นสมัยพุทธกาล ที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่ หรือแม้ปรินิพพานไปแล้ว นานกว่า ๒,๕๐๐ ปีเศษ ก็จะได้บรรลุมรรคผลเช่นเดียวกับพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระ องค์ยังทรงพระชนม์ เพราะธรรมะของพระองค์คือตัวแทนของพระตถาคต

ยังมีอีก ที่เราชาวพุทธควรจะตริตรอง พิจารณาธรรมที่พระองค์ ตรัสไว้ดีแล้ว งามแล้ว ชอบแล้ว เพื่อตนเองจะได้มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอด ด้วยตนเอง ไม่มีสิ่งใดที่ทรงปิดบังไว้ ทรงสั่งสอนให้เป็นที่แจ่มแจ้ง และ หลากหลายด้วยอุบายวิธี ที่จะนำมาปฏิบัติให้ถึงสัจธรรมและความ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เพียงแต่เราท่าน ยังมัวเมาตกอยู่ในอำนาจ ของ โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ ๕ ก็ค่อยๆ พิจารณา ความเป็นมาแห่งชีวิตของตน เราเกิดมาได้ทำดีทำชั่ว หรือสร้างกรรมดี กรรมชั่วอะไรมาบ้าง สิ่งใดที่ควรทำให้มากขึ้น ก็ทำต่อไป สิ่งใดที่ไม่ดี ควรทำให้น้อยลง หรือไม่ทำต่อไปอีก ก็คงจะทำให้ชีวิตนี้ราบรื่น ปลอด โปร่ง สบายขึ้น

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า ทำไมท่านจึง ตรัสอย่างนั้น ก็เพราะทรงเห็นด้วยญาณอันบริสุทธิ์ว่า กรรมนั้น ไม่ว่า จะดีหรือชั่ว ย่อมมีผลสนองตอบเสมอ การทำกรรมดีนั้น ไม่จำเป็น ต้องพูดถึง แต่กรรมชั่วนั้นซิ มีผลอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

เพียงละเมิดศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลประจำชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็น เครื่องแสดงถึงความประเสริฐ ของความเป็นมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ผู้ใด ละเมิดซึ่งศีล ๕ ก็แสดงว่า ยังเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ตามความหมาย นี่เป็นสิ่งที่เราพอมองเห็นกันได้

อย่าพูดถึงนรกเลย อาตมาไปเห็นมาแล้ว ถึงไม่ต้องไปก็มีดวงตา เห็นได้ ว่าในแผ่นดินนรกนั้น เป็นแผ่นดินไฟ มีแต่ไฟลุกอยู่อย่างร้อนแรง พร้อมที่จะเผาผลาญความชั่วร้าย ให้พินาศเป็นจุณไป ผู้ละเมิดศีล ๕ มักต้องไปให้ไฟนรกเผาไหม้ทรมาน ไม่มีวันได้หยุดพักหายใจ ถ้าจะ บรรยายให้ละเอียด ก็คงจะยืดยาว จงคิดพิจารณาเอาเองเถิด

พูดอย่างที่เราท่านพอมองเห็นได้ โลกนี้ก็มีนรกสวรรค์ คือ ความดี ความชั่ว ให้มองเห็นได้ คนที่ทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิให้ใจ ตั้งมั่นสงบ เมื่อนึกถึงความดีที่ตนได้กระทำ ก็ย่อมจะรู้สึกอิ่มเอิบเป็นสุข ผู้ที่รู้สึกอิ่มเอิบเป็นสุข ก็จะมองเห็นทุกสิ่งดีงามไปหมด มักมองโลกใน แง่ที่ดี และเห็นคนอื่นดีเหมือนตน ย่อมดำรงตนอยู่ได้ด้วยความเป็นผู้ มีมิตรที่ดี ครอบครัวก็สงบราบรื่น มีกำลังใจที่จะทำการงาน เพื่อความ สุขของครอบครัว ทำให้มีฐานะดีขึ้น


* bb.jpg (4.31 KB, 180x280 - ดู 910 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 01:02:53 »

ส่วนผู้ที่ทำแต่กรรมชั่ว เมื่อคิดถึงกรรมที่ตนกระทำมา เช่น ไปฆ่า เขา ใจก็ไม่อิ่มเอิบเป็นสุข คอยหวาดระแวงว่า พี่น้องมิตรสหายของเขาจะ มาแก้แค้น ทำกับตนบ้าง เมื่อมีความหวาดระแวง ก็จะเห็นคนอื่นเป็นศัตรู ไปหมด คนนั้นก็ไว้ใจไม่ได้ คนนี้ก็ไว้ใจไม่ได้ กลายเป็นคนมองโลกใน ด้านร้าย เป็นคนมีอารมณ์หงุดหงิด ในครอบครัวก็คอยแต่จะมีปากเสียง ทะเลาะวิวาททำร้ายกัน คนที่มีจิตใจอย่างนี้ ก็เหมือนตกอยู่ในนรก ให้ ร้อนรุ่มกระวนกระวายอยู่เป็นนิตย์ เอาเพียงเท่านี้ ก็คงเห็นนรกสวรรค์ใน มนุษย์โลกได้แล้ว ว่าแตกต่างกันอย่างไร

ผู้ที่คิดว่า ตนเป็นคนมีปัญญาความคิด มักพูดกันถึงความยุติธรรม เขาต้องการความยุติธรรม เรียกร้องหาความยุติธรรม แต่ตามที่เป็นจริง แล้ว เขาต้องการความยุติธรรมเพื่อตนเอง มากกว่าที่จะหยิบยื่นความ ยุติธรรมให้แก่ผู้อื่น สิ่งใดที่เขาไม่ได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ให้แก่ผู้ อื่น เขาจะบอกว่าไม่ยุติธรรม แต่ถ้าเขาได้ประโยชน์ โดยทำให้ผู้อื่น เสียประโยชน์ หรือเขาได้ประโยชน์บนความเดือดร้อนทุกข์ยากของผู้อื่น เขาจะบอกว่ามันยุติธรรมดีแล้ว เพราะเขาฉลาดกว่า และมีอำนาจมาก กว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปกติวิสัยของมนุษย์ ที่มัวเมาอยู่ใน ความโลภ ความโกรธ ความหลง มัวเมาอยู่ใน กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งก็ช่างเถอะ เพราะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

แต่เมื่อคิดพิจารณาให้ลึกเข้าไปอีก ในระหว่างรูปธรรมกับนามธรรม หรือกายกับจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นคนละส่วน แต่อยู่ด้วยกัน เราก็ไม่มี ความยุติธรรมจะให้ ทั้งที่รู้ว่ากายยาววาหนาคืบนี้ มีธรรมชาติเกิดขึ้นแล้ว ดับไป ในที่สุดก็เป็นอนัตตาไม่มีตัวตน ยึดถือเป็นเราของเราไม่ได้ แต่เราก็ ยังงมงายทนุถนอมบำรุงบำเรอกายสารพัด

แม้แต่อาหารก็ต้องให้กินดีๆ มีโภชนาการ อาหารที่บ้านไม่อร่อย ต้องออกไปกินตามเหลาตามภัตตาคาร ซึ่งมีอาหารเลิศรสราคาแพง สั่ง เข้ามาเต็มโต๊ะ จนกินไม่เข้า เพราะแท้ที่จริงจะดีหรือเลว ก็กินได้เพียง อิ่มเดียวเท่านั้น

ร่างกายตอนไหนสัดส่วนไม่ดี ก็พากันไปเพิ่มเติมเสริมแต่ง หน้าตา ผิวพรรณโดยธรรมชาติก็งามดีอยู่แล้ว ยังไม่พอใจ ต้องไปเสริมสวย ต้อง หาอะไรมาพอกมาเขียน ให้มันดีขึ้นอีก จนดูเป็นงิ้วหรือตัวตลก ทั้งๆที่ รู้ว่าพอถึงยามแก่เฒ่า หน้าตาผิวพรรณมันต้องเหี่ยวย่นเหนียงยานจนได้ ท่วงท่าเชิดหน้ายังกับนางพญาหงส์ มันจะต้องงองุ้มคุ้มลง ต้องถือ ไม้เท้ายักแย่ยักยัน เราก็ไม่ยอม ขอให้สวยไว้ก่อน

การพักผ่อน แม้การงานไม่หนัก ก็ต้องพักผ่อนให้มาก พามันไป เที่ยวตากอากาศ บางทีก็ไปถึงต่างประเทศ ให้กินอาหารดีๆ แล้วนอน มากๆ เป็นอะไรนิดหน่อยก็ต้องรีบวิ่งไปหาหมอ รวมความว่าเราเอาใจ ทนุถนอมร่างกายนี้ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

แต่จิตวิญญาณของเราล่ะ เราให้อะไรกับจิตวิญญาณของเราบ้าง จิตวิญญาณไม่ต้องการกินดีอยู่ดีอะไรเลย ขอเพียงให้ได้พักผ่อนบ้างเท่า นั้น ก็ยังไม่มีโอกาสได้พัก กายกินแล้วหลับสบาย แต่จิตวิญญาณกลับ ถูกใช้ให้คิด ให้ทำงานไม่ได้ว่างเว้น กระทั่งนอน ก็ยังต้องครุ่นคิดอยู่ทั้ง คืน คิดโครงการ วางนโยบาย คิดถึงความเสียหาย คิดถึงผลประโยชน์ ไม่มีท่าจะให้คิดอะไร ก็ให้นอนฝัน เพื่อเอาความฝันมาตีเป็นตัวเลข แทง หวย เราท่านให้ความยุติธรรมแก่จิตวิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในตนดีแล้วหรือ จะไปคิดถึงสังคม สิ่งภายนอก เรื่องความยุติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อกาย กับจิตของตนเอง เราก็ยังลำเอียง ให้ความยุติธรรมไม่เท่ากัน ไม่รู้ว่า เราบ้าหรือดี ฉลาดหรือโง่กันแน่

เราท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงตระหนักดีว่า นามรูปไม่มี จิต วิญญาณก็ไม่มี โดยตรงกันข้าม ถ้าจิตวิญญาณไม่มี นามรูปก็มีไม่ได้ เช่นกัน นามรูปนี้เกิดจากจิตวิญญาณเป็นผู้ให้ปฏิสนธิ ไม่มีจิต ก็ไม่มี กาย ไม่มีจิต กายถึงมีก็เป็นดุจท่อนไม้ จิตเป็นผู้บันดาลให้กายเป็น ผู้กระทำกรรมทั้งหลาย จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม ล้วนเป็นไปได้ด้วยจิต

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต เมื่อกายถึงกาลแตก ดับไปแล้ว จิตจะยังคงดำรงอยู่ เพื่อไปรับผลที่ตนเป็นผู้บงการ ให้กาย กระทำ จิตคือตัวเวียนว่ายตายเกิด สร้างภพ สร้างชาติ ละจากกายนี้ แล้ว ย่อมไปเกิดขึ้นในกายอื่น ไปเกิดในนรกสวรรค์ ไปปรากฏขึ้นทันที เป็นกายทิพย์ ถอดจากกายเนื้อไป กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เริ่มต้นในท้อง มารดา คลอดออกค่อยๆ เจริญวัยเป็นรูปกายขึ้นมาเป็นเวลาช้านาน น่า เบื่อระอายิ่งนัก

ธรรมชาติของจิตที่มาเกิดกับกายเนื้อนี้ มีความหมายอยู่ ๒ ประการ คือ เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ที่ตนได้กระทำไม่ดีต่อผู้อื่นในอดีตชาติ ไม่ว่า กรรมใหญ่กรรมเล็ก ก็ต้องใช้ไปให้หมด บางทีก็เผลอไผลไปสร้างกรรม ไม่ดีขึ้นมาอีก เพราะถูกกิเลส ตัณหา อุปาทานมารตัวร้ายเข้าครอบงำ

หากทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างสมความดี มีทาน ศีล ภาวนา เพื่อให้ เกิดปัญญารู้แจ้งหลุดพ้น ถ้าไม่มีมารร้ายมาขัดขวาง ก็จะเดินทางสู่นิพพาน ได้ทุกคน แต่ก็มักขัดขวางเสียเป็นช่วงเป็นตอน ต้องทำดีบ้าง ชั่วบ้าง เพราะกรรมเก่ามันยังไม่หมด

ด้วยเหตุนี้ จึงพากันเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารช้านาน เป็น เวลาพันภพแสนชาติ กว่าจะหลุดพ้นบ่วงมารไปได้

ดังได้กล่าวแล้วว่าทุกสิ่งสำเร็จด้วยจิต ถ้าตั้งใจที่จะทำความดี เอา ชนะมารร้ายให้ได้ ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ระวังตัว ให้อยู่ในมรรค ๘ สม่ำเสมอ ทางเดินในวัฏฏะมันก็จะแคบเข้า และสั้นเข้า เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้ นับว่ามีโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง คือมีสิทธิ์ที่จะ เลือกทำดีทำชั่วได้อย่างสมบูรณ์ มันอยู่ที่ตัวเราเองจะเลือกเอาอย่างไหน ถ้าใจอ่อนตามใจ เจ้ามารร้ายมันก็จะบงการให้เราทำแต่ความชั่ว ถ้าใจ แข็งเอาชนะมันให้ได้ เราก็จะทำกรรมดีได้สำเร็จ ความสำเร็จมันอยู่ที่ จิตใจของเราเอง ว่าจะทำตามความหมายเดิม ที่เกิดมาเป็นมนุษย์หรือไม่

การบำรุงบำเรอให้อาหารแก่จิต ก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรนัก ให้จิตได้ ทำบุญทำทานบ้างตามสมควร เช่น ใส่บาตรบ้าง เอื้อเฟื้อคนยากจนบ้าง สงเคราะห์เด็กอนาถาบ้าง ก็จะทำให้จิตมีความสุขอิ่มเอิบ อย่าไปทำ เสียจนหน้างอกออกมารับสายสะพายเครื่องราชก็แล้วกัน ทำด้วยศรัทธา เชื่อมั่นในความดีก็ใช้ได้แล้ว ยิ่งให้จิตได้รักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนา ยิ่งไม่เปลืองอะไร นอกจากเวลา แต่ผลนั้นเกินคาด เจริญภาวนาไป เรื่อยๆ จนจิตตั้งขึ้นอยู่เหนือมารร้าย ก็จะใกล้นิพพานเข้าไป

อาตมากับหลวงพ่ออาจารย์ แสวงวิเวกอยู่ตามป่าเขาเขตจังหวัด เลย ล่วงเข้าเขตเพชรบูรณ์ การเดินก็เดินด้วยกรรมฐาน ภาวนาพุทโธไป การนั่งก็นั่งอยู่กับพุทโธ การคิดพิจารณา ก็อยู่ในขอบเขตของมรรค ๘ จึงจัดเป็นกรรมฐาน เพื่อปัญญารู้แจ้ง ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ มาทำลาย ความวิเวก ที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติได้

จิตที่ปฏิบัติธรรมสมาธิ เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องกันไป ก็เป็นดังสายน้ำไหล อารมณ์แนบเนื่องอยู่กับเอกัคตา จิตใจไม่คลอนแคลน เราจะรู้แจ้งเห็น จริงตามธรรมชาติ อันเป็นสัจธรรมได้ก็ในตอนนี้แหละ ธรรมใดที่ไม่เคย รู้ก็จะรู้ขึ้นมาเอง ส่วนจะรู้มากรู้น้อย ก็แล้วแต่บุญวาสนาบารมียังมีน้อยอยู่ หรือเต็มเปี่ยมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือความเพียร เราเพียรกระทำต่อ เนื่องกันไป ก็ย่อมจะเกิดธาตุรู้ขึ้นจนได้ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ยิ่งก็คือธาตุรู้ เมื่อรู้ขึ้นมาเองได้ วิทยาการทั้งหลายก็จะกว้างขวางออกไปเอง



* n20110317102705_51924.jpg (75.73 KB, 450x300 - ดู 1076 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 01:04:35 »

เมื่ออาตมายังเด็ก ก็มีตาเห็น หูได้ยิน เป็นปกติ คือเวลาเห็นก็ เห็นทั่วไปหมด แม้แต่จิตวิญญาณก็เห็นเราเดินไปมาขวักไขว่ เช่น มนุษย์ เรานี้ หูนั้นใครพูดคุยก็ได้ยินไปหมด จนบางครั้งก็รำคาญว่า คนเรานี่ มันช่างพูดกันไม่รู้จักจบสิ้น จนชินไปเอง ครั้นออกธุดงค์คราวนี้ ก็สามารถ กำหนดได้ คือไม่ต้องการให้เห็นก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ถ้าต้องการจึงจะ เห็น จึงจะได้ยินได้ จึงเป็นการตัดรำคาญไปได้อย่างหนึ่ง คือไม่ต้องเห็น ต้องได้ยินตามบารมีเก่า ที่ติดมาแต่อดีตชาติอย่างพร่ำเพรื่อ

บางครั้งเมื่อจิตเป็นพุทโธ มีพุทโธอยู่ในจิต ถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีอารมณ์สนุกอยากจะเห็นสภาพป่า ที่ไกลจากบริเวณที่นั่งอยู่ มันก็เห็นทะลุปรุโปร่งออกไปอย่างกว้างไกล ไม่มีขอบเขต ได้เห็นเสือ เห็นหมี บ้างเดิน บ้างนั่ง บ้างนอน อยู่กับความสงบเงียบ เห็นฝูงกวาง พากันเลาะเล็มยอดไม้ใบหญ้าที่กำลังแตกใบอ่อนไปตามประสาตน

อาตมาได้เห็นพระภิกษุสงฆ์ แบกกลดเดินธุดงค์บ้าง บางรูปก็ บำเพ็ญภาวนา บางรูปก็เดินจงกรม บางทีก็เห็นชีปะขาว แม่ชี ที่นั่น ที่นี่อยู่ทั่วไป ฤาษีชีไพรผมยาวเครารุงรังก็เห็นมีอยู่เช่นกัน ข้อแตกต่าง ที่สังเกตเห็นได้ ถ้าเป็นภิกษุสงฆ์ ที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ จะเห็นได้ที่ท่านมีกลด อยู่กับตัว ไม่แบกเดินไป ก็นั่งกางกลดอยู่ตามโคนไม้ ส่วนที่ท่านเป็น กายทิพย์ คือละสังขารทิ้งกายเนื้อธาตุขันธ์ไปแล้ว จะไม่มีกลด บางรูป นั่งอยู่ในสมาธิ ช้านานไม่มีกำหนด บางรูปก็นอนเอกเขนกสบายอารมณ์ อยู่ตามแท่นหิน หรือหน้าถ้ำริมธารน้ำไหล หรือบนพื้นหญ้าเรียบๆ ท่ามกลางหมู่ไม้ดอกและใบ บางรูปก็เลื่อนลอยไปเหนือพื้นดิน บางรูป พิสดารขึ้นไปนั่งรับลมอยู่บนยอดไม้ ดูไปช่างมากมายเสียจริงๆ จนทำให้ คิดว่า ป่าในเขตจังหวัดเลยและเพชรบุรีนี้ เปรียบเหมือนป่าหิมพานต์ เป็นแผ่นดินธรรมค้ำจุนโลก เป็นแดนบุญของบ้านเมือง เทพยดาอารักขเทวา ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีอยู่ทั่วไป เห็นได้จากเมื่อพระอริยสงฆ์ที่เป็นกายทิพย์ ท่านไปนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่โคนต้นไม้ เขาจะรีบลงมาอยู่ข้างล่างทันที ด้วยมีความนอบน้อมเคารพ

ในป่าเขาแห่งนี้ มีหมู่บ้านสำหรับพวกกายทิพย์อยู่หลายแห่ง ไม่ เฉพาะแต่ทีบนเขาภูกระดึงเท่านั้น พวกกายทิพย์นี้ก็คือ พวกลับแล หรือ บังบด มีฤทธิ์อยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาจะให้มนุษย์เห็นก็ได้ ไม่ให้เห็นก็ได้ เป็นพวกมีศีล ชอบทำบุญให้ทาน ที่หมู่บ้านเชิงเขาภูกระดึงนั้น เขาเคย มาร่วมตักบาตรทำบุญที่วัดเสมอ คนช่างสังเกตจึงจะรู้ได้ ภิกษุสงฆ์ที่ ท่านเป็นกายทิพย์ ท่านไม่ต้องฉันอาหาร แต่พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นมนุษย์ ยังต้องฉันอยู่ พวกบังบดจึงมักมาใส่บาตรแก่พระที่เขาเห็นว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีจิตเบาละเอียดเสมอเขา พระที่มาถือธุดงค์อยู่ในป่าแถบนี้ ถ้าปฏิบัติจริงๆแล้วไม่อด ธรรมย่อมรักษาแน่นอน


* 805.jpg (43.38 KB, 320x240 - ดู 929 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:11:27 »

13เล่นกสิน
หลวงพ่ออาจารย์กับอาตมา ไม่ได้ออกจากป่าไปบิณฑบาต ตามหมู่บ้านมนุษย์เป็นเดือนๆ เพราะระยะทางห่างไกลมาก ก็ได้อาศัย ญาติโยมชาวบังบดลับแลนี้ เอาอาหารมาใส่บาตรให้

สังเกตอาหารที่เขาใส่ให้ เป็นข้าวสีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอม อาหารก็มีถั่วงาเป็นพื้น ไม่มีเนื้อสัตว์เลย ฉันครั้งหนึ่งก็ชุ่มชื่นอิ่มเอิบ ไปได้หลายวัน

แต่ตามปกติ เมื่อจิตอยู่ในขั้นอุเบกขาแล้ว เรื่องอาหารไม่เคยได้ เอาใจใส่ จะฉันหรือไม่ฉัน มันก็อิ่มและวางเฉยอยู่ เป็นสิ่งประหลาด มากว่า จิตที่ฝึกดีแล้วสามารถดำรงกายอยู่ได้ โดยไม่เดือดร้อนกระวน กระวาย

การออกธุดงค์ครั้งแรกตอนเป็นสามเณรนี้ ทำให้การปฏิบัติธรรม เจริญรุดหน้าไปเป็นอันมาก

ครั้งหนึ่งหลวงพ่ออาจารย์ท่านพูดเปรยๆว่า

"จิตของเณรดีเข้าขั้นแล้ว นึกสนุกก็เอากสิณมาเพ่งดูบ้าง ถือ ว่าเป็นของเล่นของจิต"

อาตมาก็ทำตาม ได้ไปนั่งอยู่บนก้อนหิน ที่ริมลำห้วยใหญ่ อันมี น้ำใสไหลเย็น นั่งเพ่งน้ำในลำห้วยอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมองเห็น พื้นน้ำติดตา ลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น

เมื่อชำนาญคล่องแคล่วแล้ว ก็นึกให้น้ำแห้งจนติดก้นลำห้วย น้ำก็ แห้งอย่างคิด นึกให้น้ำเต็มฝั่ง ก็ขึ้นมาเต็มฝั่ง แล้วนึกให้พื้นน้ำแข็ง เหมือนแผ่นดิน เดินไปมาได้ นึกให้น้ำไหลอย่างเก่าก็เป็น อันนี้เป็นสิ่ง ที่สำเร็จด้วยจิต ซึ่งได้จากการฝึกกสิณน้ำจนชำนาญ เพียงนึกก็เป็นดัง ประสงค์

ต่อไปเมื่อคิดจะเอากสิณอย่างอื่น ในกสิณทั้ง ๑๐ มาเพ่ง ไม่ต้อง เอาวัตถุใดมาเพ่ง เพียงแต่นึกถึงกสิณ ก็เกิดเป็นผลสำเร็จขึ้นมาทันที ทั้ง นี้ก็เพราะระดับจิต เป็นระดับเดียวกัน

เมื่อได้กสิณน้ำแล้ว อย่างอื่นก็ได้ด้วย เพียงแต่ทำให้คล่องแคล่ว ชำนาญเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เมื่อนึกจะขึ้นไปเดินจงกรมในอากาศ กายก็ลอยขึ้นไป นึกจะเดินทะลุภูเขา มันก็ทะลุออกไปได้ นึกจะดำดินไปโผล่อีกแห่งหนึ่ง ก็ทำได้ นึกอยากจะไปถึงที่ไหน ก็ไปถึงได้ทันที นี่เป็นฤทธิ์อภิญญา ที่มีสอนไว้ในพระพุทธศาสนา ถ้าทำได้จริงก็จะไม่แพ้ฤทธิ์ของลัทธิใด เพราะเป็นฤทธิ์อภิญญาบริสุทธิ์ ไม่มีใครทำลายได้ ไสยศาสตร์มนต์ดำ หมดความหมายไปเลย



* 237.jpg (13.42 KB, 259x194 - ดู 877 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:17:10 »

แต่เมื่อสำเร็จทางกสิณแล้ว หลวงพ่ออาจารย์ท่านก็เตือนว่า อย่า ไปติดนะ ไม่จำเป็นก็อย่าไปแสดงให้ใครเห็น ถือว่าเป็นเพียงของเล่นทาง ผ่านเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้นได้ ต้องพากเพียรปฏิบัติต่อไป ซึ่งอาตมา เองก็คิดเช่นนั้น นอกจากทดลองอยู่แต่ในป่าในเขา เพื่อให้รู้ว่า สำเร็จ หรือยัง แล้วก็วางเสีย หันมาปฏิบัติธรรมสมาธิ

ต่อมาอาตมาก็ฝึกฝนอบรมจิตมาตามลำดับขั้นตอน จนกระทั่งจิต เข้าสู่อุเบกขาชำนาญ คือนึกจะวางเฉยเมื่อไรก็วางได้ เมื่อนั้น ไม่ต้อง มานั่งภาวนาพุทโธ หรือลมเข้าลมออกอะไรอีก เห็นว่าสมถะมั่นคงแล้ว มีสติสมบูรณ์แล้ว จึงเห็นว่าควรเข้าวิปัสสนา เพื่อความรู้แจ้งในธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ต่อไป


* 1.jpg (82.16 KB, 550x418 - ดู 1011 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:29:55 »


บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๑๔. อบรมจิตตามแนวสติปัฏฐาน ๔

****************************************************

เมื่อจิตอยู่ในอุเบกขาพักหนึ่ง เป็นที่สบายแล้ว ก็ถอนจิตออกมา เป็นอุปจารสมาธิ ที่ยังมีเชื้อของความสงบเหลืออยู่ เริ่มพิจารณาตาม แนว "สติปัฏฐาน ๔" อันได้แก่ รูป เวทนา จิต ธรรม ไปตาม ลำดับ คำว่าตามลำดับนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียวหนเดียว แต่พิจารณาไปตลอด เลย พิจารณาเป็นอย่างๆ

เริ่มต้นด้วย "รูป" อันรูปคนอื่นที่เป็นสิ่งนอกตัวนอกตนนั้นก็ช่าง เขา เอารูปกายยาววา หนาคืบ ที่ว่าเป็นเราของเรานี้ พิจารณาก่อน… เพราะเพียงคำว่ารูปที่เรียกว่า กายคตาสติ นี้ มีปลีกย่อยออกไปถึง ๓๒ และใน ๓๒ ประการนี้ ก็ยังแยกย่อยออกไปอีก เช่นคำว่า กระดูก ไม่ได้หมายเฉพาะกระดูกร่างกายร่างหนึ่งเท่านั้น แต่มันยังแยกออก ไปอีกถึง ๓๐๐ ท่อน…เส้นเอ็นก็นับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ท่านก็ในแยกพิจารณา เช่น ผม ท่านก็เอามาคำนวณ ออกได้ถึงสามแสนเส้น

เล็บ ก็เอาเล็บมาพิจารณา จนเกิดเห็นขึ้นมาเองว่า เล็บเกิดอย่าง ไร เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ธาตุรู้ก็จะเห็นขึ้นมาเองว่า เล็บแปรปรวน ไป ไม่คงทน เห็นยาวก็ตัดออก ก็ขึ้นมาใหม่ หรือไม่ตัดปล่อยให้ยาว ก็จะหักเอง นี่มันไม่เที่ยง เกิดดับเห็นๆ อยู่

ลึกเข้าไปอีก เมื่อเราตาย คงจะหลุดหายไป การพิจารณาอย่างนี้ ยังเอาสัญญาเข้ามาพิจารณา เราเพียงเพ่งดูเล็บ จนกว่าธาตุรู้จะเห็น ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาเองชัดเจน จึงจะใช้ได้

ต่อไปก็เอา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มาเพ่งพิจารณาไปทีละอย่าง เมื่อธาตุรู้เห็นชัดแล้ว ก็เปลี่ยนใหม่จนครบอาการ ๓๒ นี่เป็นการพิจารณา กายคตาสติ อันประกอบด้วยอาการ ๓๒ หรือจะไปพิจารณาของจริง ทั้งกาย อันเรียกว่าอสุภะหรือศพ ตั้งแต่เพิ่งตาย ให้ติดตาติดใจจน หลับตาเห็นก็ได้

เมื่อเราพิจารณารูปกายผ่านไปแล้ว ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลาย กำหนัด เมื่อเบื่อหนักเข้า ก็จะรู้ขึ้นมาว่า รูปกายนี้ไม่ใช่เราของเรา เป็น อนัตตา ไม่มีตัวตน มาเฝ้าเป็นบ้าเป็นหลัง มายึดถืออะไรอยู่ ก็จะ ปล่อยวางลงไปเอง

ที่นี้ ก็ให้เอา เวทนา มาเพ่งพิจารณา เวทนาที่ท่านเรียกกัน มีทั้งทุกข์ เรียกว่า ทุกขเวทนา มีทั้งสุข เรียกว่า สุขเวทนา แต่ตามความ เป็นจริงล้วนแต่สุข เพื่อจะทุกข์ต่อไปทั้งสิ้น สุขแท้ๆ ที่จีรังยั่งยืนไม่มี


* sa2.gif (43.1 KB, 286x199 - ดู 933 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:42:47 »

ทุกขเวทนานั้น ที่มองเห็นก็เกิดที่กาย ที่จิตนี้เอง ตื่นเช้าขึ้นมาก็ ปวดท้องถ่าย จะกลั้นไว้ไม่ได้ ร่างกายก็สกปรก ต้องชำระร่างกาย ทำความสะอาดให้ เดี๋ยวมันหิวขึ้นมาแล้วต้องหาให้มันกิน ไม่กินก็ แสบท้องแสบไส้ ที่ขวนขวายดิ้นรน ต่อสู้แข่งขันแย่งชิง เอาดีเอาเด่น ได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ ต้องรบราฆ่าฟันกันทุกวันนี้ ก็เพียงเรื่อง กินเท่านั้น

ความเกิด ก็เป็นทุกข์ เพราะผู้ให้กำเนิด พอรู้ว่าตั้งท้องก็เริ่มเดือด ร้อน ต้องเตรียมหาเงินค่ายา ค่าหมอ เตรียมเลี้ยงดูอุปถัมภ์ ตลอดจน เติบโตเล่าเรียน เวลาจะคลอด แม่นั้นทุกข์กว่าเพื่อน เจ็บปวดทรมาน กว่าเพื่อน กว่าจะคลอดออกมาได้

แต่ทุกข์เหล่านี้ เป็นทุกข์ของพ่อแม่ ตัวเรายังไม่ทุกข์หรอกตอนนั้น แต่ก็เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน กับความร้อน ความหนาว ความเจ็บปวด ที่ยังบอกใครไม่ได้ พูดไม่เป็น

เกิดแล้วก็ต้องเจอกับ ความแก่ เจ้าความแก่นี่ก็เป็นทุกขเวทนา ทำให้วิตกกังวลไปต่างๆ กลัวจะหมดสวยหมดงาม ต้องหาวิธีดึงความ แก่เอาไว้ ไม่ให้แก่เร็ว

ความเจ็บ ก็เป็นเรื่องใหญ่ เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ยิ่งเป็นโรค ที่หมอรักษาหายยาก ก็เป็นทุกข์ร้อนกลัวจะตาย ตะลอนๆ เที่ยวหาที่ จะชุบชีวิตได้ เจ้าความกลัวตายนี้ จะว่าไปมันทุกข์ยิ่งกว่า ความตาย จริงๆ เสียอีก

ชีวิตคนเรา พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นทุกข์ เกิดมาไม่เหมือนกัน สุดแต่กรรมจะจำแนกแจกให้เป็นไป บางคนเกิดมาในกองเงินกองทอง พ่อแม่ร่ำรวย เป็นสุขสบายเมื่อยังเล็กอยู่ ครั้นเติบโตขึ้น กลับทำให้ พ่อแม่กลับยากจนลง ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากก็มี ที่เกิดมา ยากจนก็ต้องทนอดมื้อกินมื้อ เหนื่อยยาก ต้องทำงานหนัก แต่ไม่พอกิน ล้วนเกิดทุกขเวทนาทั้งนั้น ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน การพรัดพรากจาก ของรักของชอบใจ ก็มีอยู่ทุกผู้ทุกคน

การเพ่งพิจารณาเวทนา ให้เห็นตามความเป็นจริง ตัวเราได้เผชิญ มาอย่างไรบ้าง เคยจากพรากทุกข์โศกมาบ้างหรือไม่ ถ้ายังมีการเกิด การตาย ทุกขเวทนาก็จะตามมาอยู่ด้วย ไม่ปล่อยปละละเว้น มันจะ ตามไปทุกภพทุกชาติ เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลาย กำหนัด

ได้กล่าวถึง กาย เวทนา แล้ว มาพูดถึงจิต บ้าง ถ้าเรา ได้ฝึกฝนทำสมาธิ เราจะมีเครื่องมืออย่างหนึ่ง ที่เรียกสติการระลึกรู้ เราก็จะรู้จักจิตของเราดีขึ้น จิตคิดไปได้ทุกอย่าง ฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งไปได้ สารพัด รวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ

ที่ท่านให้เฝ้าดูจิตด้วยสติ ก็เพื่อจะได้รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร อารมณ์ กิเลสเข้ามาทางไหน มาดีหรือมาร้าย ถ้ามาไม่ดี คิดข้าง กิเลส ตัณหา อุปาทาน คิดไปในทาง โลภ โกรธ หลง เราก็ได้รู้เท่าทัน ยับยั้งมันเสีย ถ้าคิดไปในทางดี ก็อยู่ในขอบเขตของมรรค ๘ เราก็คอยดูว่าเป็นอย่างไร

จิตที่คิดอยู่ในขอบเขตของมรรค ๘ ย่อมเป็นต้นเหตุให้เกิด ธรรม เราท่านผู้ปรารถนาให้พ้นทุกข์ จงเฝ้าดูต่อไป จะเกิดธรรมให้รู้แจ้งแทง ตลอดในภายหลัง

การตาม สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่กล่าว มาอย่างสั้นๆ นี้ ท่านให้ทบทวนกลับไปกลับมา เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ถึง ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าชีวิตไม่ว่าของเรา หรือใคร ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน และความรู้นั้นต้องเป็นความรู้ที่เกิดขึ้น จากจิต อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้มาแล้ว อย่างที่เรียกว่า ธรรม เกิดขึ้นเอง จะเอาสัญญาความจำได้หมายรู้ ที่ได้มาจากปริยัติ ซึ่งเป็น ความรู้อย่างนอกๆ นั้นไม่ได้


* watjeen049.jpg (246.65 KB, 374x490 - ดู 3182 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:46:27 »

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๑๕. เมตตาจิตเต็มเปี่ยม

**************************************
ธุดงค์อยู่ในป่านี้ บางแห่งมีเสือชุกชุมมาก เป็นเสือลายพาด กลอนตัวใหญ่ๆ ขณะที่เดินจงกรมอยู่ บางตัวเขาจะมานั่งดูเราที่ข้าง ทางเดิน บางตัวเมื่อเราอยู่ในกลด เขาจะมานอนหมอบอยู่ใกล้ๆ เวลา เราออกไปบิณฑบาต เขาจะเดินตามกันไปหลายตัว จนพ้นเขตป่า

เราจะต้องพิจารณาให้รู้ว่า เขาเป็นเสือจริงๆ หรืออย่างไร ส่วน มากจะเป็นเสือเจ้าป่า และเสือเทพารักษ์ ท่านเนรมิตเป็นเสือ มาคอย พิทักษ์รักษาคุ้มครอง เมื่อเสือเนรมิตนี้อยู่ เสือจริงๆ จะไม่เข้ามาใกล้

สิ่งที่พระธุดงค์จะขาดไม่ได้ ก็คือเจริญเมตตากรวดน้ำให้แก่สรรพ สัตว์ เรามักจะต้องทำกันเป็นประจำ ตื่นเช้าขึ้นทำจิตให้เป็นสมาธิแล้ว เจริญเมตตากรวดน้ำ ก่อนเริ่มทำสมาธิ และหลังจากสวดมนต์ทุกครั้ง แล้วหลังจากถอนจิตจากสมาธิอีกครั้งหนึ่ง หากทำสมาธิครั้งใดก็ทำเรื่อย ไป ผลแห่งการแผ่เมตตา และการกรวดน้ำนี้ จิตวิญญาณที่ท่องเที่ยวอยู่ เขาก็มีโอกาสจุติในภพภูมิอื่น หรือเกิดเป็นมนุษย์ได้

จิตวิญญาณที่ท่องอยู่ในป่านั้น ส่วนมากแล้วเขาต้องอยู่กันนานๆ ไม่ค่อยได้ไปผุดไปเกิด เพราะกุศลยังหนุนไม่พอ เฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มี ใครคอยแผ่ส่วนกุศลไปให้ เรียกว่าลืมกันเลยทีเดียว วนเวียนอยู่มาเป็น ร้อยเป็นพันปี

ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพระธุดงค์ เมื่อเข้าไปวิเวกอยู่ในป่าแล้ว ต้องหมั่นเจริญเมตตา และกรวดน้ำเพื่อช่วยเขา เมื่อเขาได้รับการแผ่ เมตตา แม้กุศลยังไม่พอไปเกิดใหม่ เขาก็จะมีน้ำใจไมตรี คอยช่วยเท่าที่ เขาจะช่วยได้ ไม่ให้มีอันตรายเกิดขึ้น

อันที่จริงก็เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายพระธุดงค์เอง เมื่อมี จิตเมตตาอยู่เต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ศีลบริสุทธิ์ จิตอยู่ในกุศลธรรม เมื่อจิตอยู่ในกุศลธรรม ก็เป็นศีล เป็นจิตที่พร้อมจะทำสมาธิภาวนา เมื่อ จิตอยู่ในสมาธิภาวนาตั้งมั่นดีแล้ว ก็จะเป็นที่งอกงามของปัญญา เป็น ที่งอกงามของญาณ แม้เวทมนตร์คาถา วิชาความรู้ใดๆ ก็ต้องอาศัย สมาธิภาวนานี้ เป็นที่งอกงามและสำเร็จประโยชน์ ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ถูก โมหะครอบงำ จะไม่มีทางสำเร็จประโยชน์ได้เลย


* DSCN8346.jpg (92.44 KB, 300x225 - ดู 1110 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012, 10:53:40 »

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๑๖. กลับสู่วัด… พบความเปลี่ยนแปลง

***************************************
เมื่อใกล้เข้าพรรษา หลวงพ่ออาจารย์ก็ชวนอาตมาธุดงค์กลับวัด ระหว่างเดินทาง หลวงพ่ออาจารย์ยิ้มแล้วก็ถามว่า

"ดูมหาจำเริญบ้างหรือเปล่า ตอนนี้เป็นอย่างไร"

"มหาจำเริญตอนนี้หรือครับ ท่านเป็นไปตามที่หลวงพ่อตั้งความ หวังไว้ เข้าป่าช้าทุกวันเลยครับ ต่อไปก็คงจะช่วยเป็นกำลังสำคัญ ให้ชาวบ้านมาปฏิบัติกันได้มากๆ"

"หลวงพ่อก็คิดอย่างนั้น เห็นมหาจำเริญปฏิบัติเคร่งครัด สำรวม อินทรีย์ยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะเรื่องบาปบุญคุณโทษนี้ หากไม่ปฏิบัติ ด้วยตัวเอง ก็มองไม่เห็นว่าเป็นนาม ผิดศีลเล็กๆ น้อยๆ แต่มีผลใหญ่ ก็ไม่รู้สึกสนใจอะไรกัน ตอนนี้คงรู้แล้วนะ เพราะมีสติมากขึ้น หลวงพ่อ ก็ต้องอนุโมทนา"

"แต่หลวงพ่อครับ"

"อะไรหรือเณร"

"หลวงพ่อเห็นหรือยังว่า ตอนนี้เรายังจัดตั้งสำนักปฏิบัติไม่ได้ คงจะต้องใช้เวลา ๔-๕ ปีข้างหน้า"

"อือ…เห็น! อะไรมันยังไม่เกิด มันก็ไม่เกิด แต่เราก็ต้องเริ่มสร้าง คนให้รู้ทางเสียก่อน ชาวบ้านข้างวัดที่เห็นว่าพอมีวาสนาบารมีก็มีอยู่ หลายคน ชวนเขาให้มาปฏิบัติ ไม่ช้าเขาก็จะนำเอาคนอื่นมาด้วย"

"งั้นพรรษานี้หลวงพ่อก็ลงมือได้แล้ว"

"เณรก็ต้องช่วยหลวงพ่อเหมือนกันนะ"

"ก็ยังไม่ถึงเวลาอีกนะครับ หลวงพ่อ"

"อือ…ก็จริงของเณร ต้องอุปสมบทเสียก่อน เมื่ออุปสมบทแล้ว เณรก็ต้องออกธุดงค์ไปตามลำพังอีก อย่างน้อย ๕ พรรษา คงพอจะ กลับมาสร้างความเชื่อถือให้ชาวบ้านได้"

"ที่จริงผมควรไปธุดงค์กับหลวงพ่อ จะได้คอยดูแลปฏิบัติหลวงพ่อ ด้วย เพราะหลวงพ่ออายุมากแล้ว"

"หลวงพ่อจะหยุดออกธุดงค์แล้วนะ ตั้งแต่บวชมาก็ ๓๐ กว่าปี ไม่เคยขาดเลย ตอนนี้ออกธุดงค์หรือไม่ จิตก็เป็นอย่างเดียวกัน จึงคิด อยากจะอยู่ช่วยมหาจำเริญต่อไป จนกว่าจะละสังขาร"

"หลวงพ่อยังอยู่อีกนาน ยังไม่ละสังขารง่ายๆ หรอกครับ"

"ละไม่ละ ก็เท่ากันนะเณร เพราะหลวงพ่อไม่ได้ไปยึดถือ อยู่ กับความเกิด ความตาย แตกดับอะไรอีก แต่เณรเองก็เบาใจได้แล้วนี่"

"ครับ! ผมไม่มีความสงสัย ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระ อริยสงฆ์อีกแล้ว แต่ยังไม่จบพรหมจรรย์ คงต้องประคับประคองจิต ไปอีกสักระยะหนึ่ง ถึงจะไม่ย้อนกลับก็ประมาทไม่ได้ ผมไม่อยากเสีย เวลาไปเป็นพรหม"

"ถูกแล้วเณร แต่ดูดีแล้วหรือว่า บุญบารมีจะพอในชาตินี้"

"ตอนนี้ยังไม่พอครับ แต่ก็คงจะสร้างสมได้ทัน อุปสมบทแล้ว พรรษานี้ พอออกพรรษาก็จะต้องไปสร้างบารมีอีกสักพัก คงจะแสวง วิเวกอย่างเดียวไม่ได้"

เมื่อกลับไปถึงวัด ปรากฏว่าที่ป่าช้ามีกุฏิมุงแฝกเพิ่มขึ้นอีก ๓ หลัง เพราะภิกษุในวัดเห็นการปฏิบัติของมหาจำเริญ ก็เกิดความเลื่อมใส ขอเข้าไปปฏิบัติด้วย

ตอนนี้มหาจำเริญมีอาการสำรวมมากกว่าแต่ก่อน ราศีก็ดูผ่องใส กว่าแต่ก่อน


* XN25.jpg (9.27 KB, 259x194 - ดู 883 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012, 18:48:09 »

นี่แหละแสดงว่ากายตามจิต เมื่อจิตละเอียดมากเข้า กายก็ละเอียด ประณีตตาม คือ มีความสำรวมระวังมากขึ้น แม้ปุถุชนคนทั่วไปก็ตาม เราก็จะเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่จิตเป็นกุศล มีคุณธรรม หรือ อย่างน้อยเป็นผู้ที่มองโลกในด้านดี มักจะมีกิริยาทางกาย วาจา อ่อน โยน สุภาพ ราบเรียบ เป็นที่รักนิยมของผู้อื่น ส่วนคนที่มีจิตเป็นอกุศล ไร้คุณธรรม โหดเหี้ยมอำมหิต ซึ่งเป็นจิตหยาบกร้าน ก็มักมีกาย วาจา หยาบกระด้าง ใครเห็นก็ชิงชังไม่อยากเข้าใกล้

แต่ในทุกวันนี้ ชาวโลกเราปล่อยให้จิตตามกาย เป็นเบี้ยล่างของ กาย เป็นทาสของกาย มีความโลภ โกรธ หลง เป็น "พลัง" ส่งเสริม ให้เห็นผิดเป็นชอบ กายต้องการอะไร ต้องหามาปรนเปรอให้จงได้

กิเลส ตัณหา อุปาทาน ก็ประดังกันมา จนเกินความสามารถ ของจิต ที่จะปฏิบัติตามได้ เมื่อเกินความสามารถ ทำอะไรลงไปก็ประสบ ความพ่ายแพ้ ผิดหวัง เศร้าเสียใจ สุดแต่จะเป็นไป ถึงกับทำลาย ตนเอง ทรัพย์สินให้พินาศย่อยยับไปก็มี

ชาวโลกแบกตัวพ้นทุกข์ไว้ด้วย อวิชชา คือ ความรู้ไม่จริงของ ตนเอง แล้วก็ทำหน้าชื่นอกตรมไปตามประสาของคนที่ถูกอวิชชาครอบงำ

ธุรกิจการงานทั้งหลาย ที่มนุษย์ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมนั้น ท่าน ว่าต้องมีหลักการ และดำเนินไปตามหลักการ จึงบรรลุความสำเร็จ ใครที่ละทิ้งหลักการ ทำไปตามอารมณ์ของตน ธุรกิจการงานนั้นก็จะ พังทลายได้โดยง่าย ชีวิตก็เช่นเดียวกัน

ทางพระพุทธศาสนาท่านถือว่า มนุษย์ก็ต้องอยู่ในหลักการเหมือน กัน คือ ต้องขึ้นอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด ขึ้นอยู่กับอสังขธาตุ มี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ วิญญาณธาตุ และต้อง ขึ้นอยู่กับกรรม

ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ว่าชีวิตมนุษย์เรา มีการเวียนว่ายตายเกิด มานับครั้งไม่ถ้วน ต้องเป็นความจริงอยู่เช่นนั้น การเวียนว่ายตายเกิด ก็ขึ้นอยู่กับธาตุที่กล่าวมาแล้ว เมื่อธาตุรวมตัวกันขึ้นก็เกิด เมื่อธาตุแยก ตัวกันออกก็ตาย การจะเกิดหรือตายก็ต้องอาศัยกรรมเป็นเครื่องจำแนก จะไปเกิดเป็นอะไร จะตายเมื่อไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนได้กระทำขึ้นทั้ง สิ้น ทำกุศลไปเกิดเป็นเทวดา พระอินทร์ พระพรหม หากทำอกุศลก็ ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก จำแนกกันอย่างนี้ นี่เป็นหลักการ ดั้งเดิมในชีวิตของมนุษย์และสัตว์

ต่อมาเพราะมีการจำแนกการเกิด ก็มีอวิชชาเกิดขึ้น คือ ทำให้ มีความไม่รู้ เป็นเครื่องปิดบัง ให้ทำผิด คิดผิด ไปตามอารมณ์ชอบ


* ครูบาศรีวิชัย.jpg (4.05 KB, 117x86 - ดู 871 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012, 18:51:50 »

อันที่จริงอวิชชานี้ เป็นต้นเหตุให้เกิดการแสวงหาความรู้ เช่นเดียว กับกิเลส ถ้าเราไม่มีกิเลสก็ไม่ต้องหาทางดับกิเลส ถ้าไม่มีตัณหา ก็ ไม่ต้องหาทางดับตัณหา

ถ้าจะเปรียบอวิชชาเป็นภูเขาลูกใหญ่ ที่ขวางหน้าเราอยู่ ฟากเขา ด้านหลังเป็นวิชา ฟากเขาด้านหน้าเป็นอวิชชา เมื่อเราต้องการข้าม ไปหาวิชา เราก็ต้องข้ามอวิชชา คือ สันเขาขึ้นไป จนถึงด้านหลังเขา พอข้ามอวิชชาไปได้ เราก็ได้วิชา…

พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ดับอวิชชา เมื่อดับอวิชชาได้เด็ดขาด ก็เป็น อันสิ้นทุกข์ ไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป แต่อวิชชาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะดับได้โดย ง่าย เพราะเป็นตัวโลภ โกรธ หลง ต้องพากเพียรพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อชำระล้างตัวไม่รู้ ให้หมดสิ้นไป

อาตมากลับถึงวัดแล้ว ก็ได้ไปเยี่ยมท่านมหาจำเริญที่กุฏิมุงแฝก ในป่าช้า รู้สึกว่าท่านมีความยินดีมาก ที่ได้พบอาตมา คำถามแรกของ ท่านก็คือ

"ลำบากไหมเณร"

"ไม่ลำบากเลยครับ มีแต่ความสงบสบาย"

"ออกพรรษาหน้านี้แล้ว หลวงพี่คงได้ไปบ้าง"

"อย่าเพิ่งเลยครับหลวงพี่ ผมว่าปฏิบัติเอาที่ป่าช้านี่แหละ ให้พอ ตัวเสียก่อน จะดีกว่า อีกอย่างหลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านจะไม่ออกธุดงค์ อีกแล้ว ว่าจะอยู่ช่วยท่านมหาสร้างสำนักปฏิบัติ ตามที่คิดกันไว้"

"เณรว่าปฏิบัติให้พอตัวเสียก่อน หมายความว่าอย่างไร"

"หมายความว่า เมื่อออกธุดงค์อยู่ในป่า พบอันตรายต่างๆ ก็เอา ตัวรอดได้ แต่ตอนนี้การปฏิบัติของหลวงพี่ แม้จะดีขึ้นมาก แต่จิตก็ยัง ไม่ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ หรือฌาน ๔ ได้แต่เพียงความปีติ ความสุข อิ่มเอิบอยู่เท่านั้น"

"เณรรู้ได้อย่างไร"

"ก็จริงไหมล่ะหลวงพี่ เชื่อผมเถอะ หลวงพี่ต้องเร่งความเพียร ทางสมถะอย่างเดียว ให้ได้เสียก่อน ถ้ายังไม่ได้ขั้นอัปปนา หรือได้ แล้วยังไม่ชำนาญพอ อย่าเพิ่งเอาวิปัสสนาเข้ามาแทรก เพราะจะไม่ได้ อะไรเลย จะได้แต่สัญญานอกๆที่จดจำมาจากหนังสือ หรือประสบ การณ์ ยังไม่เป็นธรรมที่เกิดรู้ขึ้นมาเอง

ที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่มาสอนหลวงพี่นะ เพราะผมได้ปฏิบัติมาแล้ว ไม่อยากให้หลวงพี่หลงงมอยู่ อย่างที่ผมเคยหลงมาแล้ว"

"ก็เห็นจะต้องเชื่อเณร เพราะเณรปฏิบัติมาก่อนหลวงพี่ ว่าแต่ ไปธุดงค์คราวนี้ เณรคงได้อะไรเพิ่มเติมมาอีกมาก"

"สิ่งที่ผมได้เพิ่งเติมมานั้น แท้จริงก็ได้ความไม่มีอะไรนั่นเอง หรือ จะว่าความยึดถือตัวเราของเรา มันน้อยลง เบาบางลง

หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านว่า การที่เรามาปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา กันนั้น จุดหมายก็คือความไม่มีอะไร ความเป็นอิสระ ความไม่เกิด ไม่ตาย"


* ครูยาชัยวงศาพัฒนา.jpg (47.89 KB, 472x379 - ดู 4011 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
เมฆพัตร
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,027



« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012, 18:54:17 »

บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม

๑๗. อุปสมบททดแทนคุณ
************************************
ครั้นใกล้จะเข้าพรรษา อายุอาตมาครบบวชแล้ว ก็ไปหาโยมพ่อ โยมแม่ทั้งสอง บอกความประสงค์ จะทำการอุปสมบท ซึ่งโยมพ่อ โยมแม่ก็มีความยินดี ตระเตรียมการให้ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ไม่ ท้วงติงแต่อย่างใด เพราะท่านตัดใจได้มานานแล้วว่า ลูกชายท่านคนนี้ คงจะเอาดีทางพระ ไม่สนใจในทางโลกแน่นอน

เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็ได้ไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ทั้งสอง และพี่ชาย พี่สาว บอกว่า

“จะขอบิณฑบาตโยมทั้งสองอีกสักอย่างจะได้ไหม ต่อไปจะไม่ ขออะไรอีก”

โยมต่างก็ถามว่า “ท่านจะขออะไรก็ขอให้บอกเถอะ โยมยินดี จะถวายทั้งสิ้น ที่สามารถจะถวายได้”

“อาตมาพิจารณาดูแล้ว เห็นโยมพี่ทั้งสอง เรียนสำเร็จแล้ว ก็มี ความรู้ที่จะทำการค้าขายเจริญก้าวหน้าต่อไป ส่วนโยมพ่อและโยมแม่ อายุมากขึ้นแล้วควรจะละความห่วงใยลงเสีย หันมาประพฤติปฏิบัติ ธรรม เพื่อตัวของโยมเองจะดีกว่า โยมพ่อโยมแม่จะทำได้หรือไม่ อาตมาขอเพียงแค่นี้แหละ

และการที่อาตมาบวชมานี้ โยมจะได้บุญกุศลก็เพียงเล็กน้อย ไม่ สามารถจะพาโยมไปสวรรค์นิพพาน เพื่อความพ้นทุกข์ได้ โยมจะต้อง ขวนขวาย พากเพียรพยายามปฏิบัติเอาด้วยตัวของโยมเองทั้งสิ้น

บุญกุศลที่โยมทำมาแล้วในอดีตชาติ ได้ส่งผลให้โยมมีฐานะความ เป็นอยู่ดีกว่าผู้อื่น มีลูกที่ดีอยู่ในโอวาททุกคน แต่บุญในอดีตชาตินั้น ย่อมหมดลงได้ ถ้าไม่สร้างสมทำเพิ่มขึ้นอีก

ทาน โยมก็ได้ทำมาดีแล้ว ศีล โยมก็รักษาดีแล้ว แต่บุญที่ยิ่ง ใหญ่เหนือกว่าทานกว่าศีลก็คือ สมาธิภาวนา ซึ่งจะเป็นทางเอาตัวรอด พ้นจากทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วนชาติอีกต่อไป”

โยมพี่ชายได้ถามว่า “ท่านคิดว่าพี่สองคนจะดำเนินกิจการต่อไป ได้หรือ”

“โยมพี่ทั้งสอง ก็เรียนกันมาทางค้าขาย ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไข ก็จะทำให้กิจการก้าวหน้าไปกว่าเดิมเสียอีก โยมพี่ชายนะไม่ต้องวิตกอะไร อีก ๕ ปีข้างหน้า ก็จะได้แต่งงาน มี ผู้มาช่วยการงานดีขึ้น ขอให้รักษาความดี ความซื่อสัตย์เอกไว้ให้มั่นคง

ส่วนโยมพี่หญิง ขอบอกให้รู้ว่า เกิดมาไม่มีเนื้อคู่กับเขาหรอก เพราะอดีตเป็นนักบวช ถึงเวลาพอสมควรก็จะหันหน้าเข้าวัด”

ที่สุด โยมพ่อโยมแม่ทั้งสองก็รับปากจะขอปฏิบัติธรรม ตามที่ อาตมาขอบิณฑบาต แต่จะไม่เข้าวัดถือบวชระคนด้วยหมู่คณะ จะไป อยู่บ้านสวน ซึ่งมีความสงบดีพอสมควร แล้วค่อยปฏิบัติไป

อาตมาก็บอกว่า “ไม่จำเป็นจะต้องเข้าวัดเพื่อถือบวช เป็นอุบาสก อุบาสิกา อยู่กับบ้านก็ปฏิบัติธรรมสมาธิได้ ความเป็นอยู่ก็ไม่ต้อง ห่วงใยอะไรแล้ว เพียงตั้งใจปฏิบัติก็จะถึงความสุขได้”

ในพรรษานั้น ก็ได้ช่วยท่านมหาจำเริญแบ่งเบาภาระในการสอน นักธรรม ซึ่งตอนนี้ก็มีพระนักธรรมเอก และเปรียญ ๓, ๔ ประโยค อีกสองรูป มีผู้เข้ามาบวชเรียนมากขึ้น ก็พอดีช่วยกันได้

อาตมาได้ชักจูง ภิกษุสามเณรที่บวชเก่า และบวชใหม่ให้หันมา ปฏิบัติธรรมสมาธิ ควบกับการเรียนปริยัติไปด้วย แต่แรกก็มีวอกแวก หละหลวม ไม่เอาจริงกันบ้าง อาศัยที่คอยตรวจสอบวารจิต ใครคิด อะไร ก็คอยทักท้วงให้รู้ว่าที่คิดอย่างนั้น อาตมารู้นะ หรือใครไปทำ อะไรที่ไหน ก็บอกได้หมด

จนภิกษุสามเณรภายในวัดแปลกใจว่า อาตมารู้ได้อย่างไร ก็ได้ แต่บอกว่า ถ้าภิกษุสามเณรตั้งใจปฏิบัติ ก็สามารถจะรู้เห็นเช่นอาตมา ได้ จึงไม่มีใครหลีกเลี่ยง ตั้งใจปฏิบัติกันดี

พรรษาแรก ถึงวันธรรมสวนะ ๑๕ ค่ำ อาตมาก็ได้รับมอบจาก หลวงพ่ออาจารย์ให้สวดปาติโมกข์ตลอดพรรษา


* 70.jpg (56.22 KB, 625x469 - ดู 891 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!