ตอนแรงที่สนใจธรรมะเข้าไปอ่านในเว็บต่างๆ แล้วเจอบทความนี้แล้วมีแรงบันดาลอยากบวชเป็นพระแล้วออกธุดงค์(หากมีวาสนาน่ะ) หรือเป็นลูกศิษย์ติดตามพระอาจารย์ออกธุดงค์ ก็เลยเอามาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านกัน ค่อยข้างจะยาวหน่อยแต่ก็ได้ธรรมะและความบันเทิงดีครับ ชื่อเรื่อง บันทึกลับภิกษุนิรนาม
**************************************************
บันทึกลับภิษุนิรนาม
[/b]
ต่อไปนี้…ผู้เขียนขอใช้คำแทนชื่อตัวเอกของเรื่องว่า "อาตมา"โดยสมมติว่าเป็นพระพุทธสาวกในชาติปัจจุบัน ส่วนจะเป็นพระมากน้อยแค่ไหน เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านได้มากน้อยเพียงใด จะไม่ขอพูดถึง เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เมื่อยังต้องปฏิบัติอยู่ ถ้าไม่ถึงวิมุตติหลุดพ้น จะเรียกพระอย่างเต็มภาคภูมิ ก็ยังต้องเรียกอย่างกระดากปาก เอาเป็นว่าเป็นสมมติสงฆ์ก็แล้วกัน
และคำว่าพระนั้น มิใช่จะยึดเอาที่ผ้ากาสาวพัสตร์ครองกาย เราท่านจะนุ่งเหลือง ห่มเหลืองเป็นภิกษุสามเณร หรือนุ่งขาวห่มขาวเป็นอุบาสก-อุบาสิกา จะเรียกว่าพระยังมิได้เต็มปาก เพราะเป็นเพียงเครื่องหมายสมมติขึ้นเท่านั้น
คำว่า พระ ที่เต็มความหมาย ก็คือ ผู้มีจิตสำรวมมั่นคงเป็นสมาธิ มีเมตตาอิ่มเอิบสมบูรณ์อยู่เป็นนิตย์ จึงจะเรียกว่าพระได้ เพราะเมื่อมีจิตตั้งมั่นสำรวมอยู่ในสมาธิ และเมตตาธรรมแล้ว ศีลทั้งหลายตั้งแต่ศีล ๕ ถึง ๒๒๗ ก็จะสมบูรณ์ในผู้นั้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเครื่องหมายอะไร
เมื่อทำความเข้าใจเอาไว้ดังนี้แล้ว ก็จะเล่าถึงความเป็นมาของชีวิตในชาติปัจจุบันนี้ก่อน
อาตมาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ ที่เรียกว่าพอมีอันจะกินโยมพ่อกับโยมแม่มีอาชีพค้าขาย มีร้านค้าที่มีสินค้าสารพัดอยู่ จะเรียกอย่างสมัยนี้ว่าสรรพสินค้าก็ได้
ภายในครอบครัว นอกจากโยมทั้งสอง ก็มีพี่ชายคนโต กับพี่สาวอีก ๒ คน อาตมาเกิดเป็นคนสุดท้อง และเกิดห่างจากพี่ๆหลายปีทีเดียว เพราะเขาโตๆ ช่วยโยมพ่อโยมแม่ค้าขายได้แล้ว และไม่มีใครคิดว่าจะมีอาตมาขึ้นมาอีก
เมื่อเกิดใหม่ๆ ลืมตาดูโลกได้แล้ว ในจิตใจของอาตมาเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมตัวเราจึงกลายเป็นเด็กไป มันช่างแปลกประหลาดสิ้นดี
อาตมามีความรู้ขึ้นมาว่า ตัวเป็นพระอายุตั้ง ๘๐ กว่าแล้ว กำลังนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิที่วัด มันไปมาอย่างไรกันแน่ จึงมากลายเป็นเด็กดิ้นอยู่ในเบาะ ต้องกินนมจากเต้าของโยมแม่ ได้รับการทะนุถนอมจากพี่ชาย พี่สาวทั้งสองคน ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ผู้หญิงจะมาถูกต้องอาตมาไม่ได้ แต่แม้จะรู้ว่าตัวเป็นภิกษุเฒ่า ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกลายเป็นเด็กทารกนอนอยู่ในเบาะ ทำอะไรไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ก็รู้ทุกอย่าง
พออายุยังไม่ชนขวบดี อาตมาก็พูดได้แล้ว แต่พูดยังไม่ชัด ทั้งที่จิตรู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่ปากมันไม่ยอมพูดตามนั้น ได้แต่คิดรู้ขึ้นมาว่า ตอนที่เป็นพระภิกษุผู้เฒ่านั่งสมาธิอยู่ จิตได้ดับลงในสมาธิพอจิตดับในสมาธิแล้ว มันก็ออกมายืนดูสังขารร่างกายที่เป็นพระผู้เฒ่ากำลังนั่งสมาธิอยู่นาน เกิดความสังเวชสลดใจในความชราเห็นว่าสังขารอันประกอบด้วยธาตุ ๔ นั้น มันตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว อาศัยมันเป็นเครื่องมือปฏิบัติไม่ได้แล้ว เราจะต้องไปหาสังขารใหม่ปฏิบัติต่อไป
พอคิดอย่างนั้น ก็ก้มลงมองตัวเอง เห็นร่างกายเหมือนกับร่างเดิมที่กำลังทำสมาธิอยู่ แต่ไม่แก่ชราอย่างนั้น มันเหมือนแก้วใสโปร่งแสง ไม่มีน้ำหนัก มองทะลุไปได้ตลอดร่าง สติรู้ในตอนนั้นว่าเป็นกายทิพย์ หรือเป็นกายใน เกิดคำถามว่าเราจะไปไหน ก็นึกตอบขึ้นมาเองว่า ไปหาที่เกิดใหม่ แล้วกายทิพย์ก็ลอยขึ้น…ลอยขึ้น
มันลอยขึ้นไปถึงกลุ่มเมฆใต้แผ่นฟ้า ซึ่งเมื่อเป็นภิกษุชราก็เคยมองขึ้นไป ไม่เห็นมีอะไรนอกจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า นี่มองด้วยตาเนื้อธรรมดานะ แต่ก็เคยมองด้วยตาฌานว่า มันมีสวรรค์วิมานลอยอยู่ในหมู่เมฆมากมาย เต็มไปด้วยแสงสี ได้เห็นเทพเทวานางฟ้าเสวยสุขอยู่ในแต่ละวิมาน ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบแย้มสรวล เมื่อกายทิพย์หรือจิตลอยขึ้นมา ก็เห็นเหมือนกับเห็นด้วยตาฌาน แต่จิตไม่ได้มีความปรารถนาอย่างนั้นเลย
ตอนที่อยู่ในร่างของภิกษุชรา บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมสมาธิอยู่ก็ไม่เคยปรารถนาสวรรค์วิมาน เพราะเห็นว่าเป็นการเสียเวลา สวรรค์วิมาน เทวดา นางฟ้า เมื่อเสวยผลจากกุศลกรรมของตนจนหมดแล้วก็จะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีกตามกรรมของตน
การไปเสวยผลบนสวรรค์วิมานนั้น จะเห็นว่าต้องเสียเวลามากเพราะเทียบหยาบๆ ร้อยปีในเมืองมนุษย์ ก็เท่ากับวันเดียวบนสวรรค์ถ้าเราเสวยสุขอยู่บนนั้นสักพันปี จะอยู่ได้นานสักเท่าไร จึงมุ่งมั่นประการเดียว ขอปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
เมื่อจิตไม่ปรารถนาสวรรค์ วิมานมาแต่เดิม ก็มีสติรู้ว่าไม่ใช่ที่อยู่ของเรา ทันใดกายทิพย์ก็ตกวูบลงมาสู่พื้นโลก เกิดแวบคิดถึงนรกเพราะมีสัญญาเดิม จำได้หมายรู้ว่านรกเป็นอย่างไร กายทิพย์ก็ลงไปถึงนรก แผ่นดินที่เต็มไปด้วยไฟ แล้วมันก็หยุดชะงักเพียงแค่เห็นไฟมีสติรู้ว่าที่นี่ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา เมื่อยังเป็นมนุษย์และเป็นภิกษุอยู่จนชราภาพ เราได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในทางกุศลมาโดยตลอด จึงไม่มีนรกสำหรับเรา
กลับดีกว่า กลับมาสู่โลกมนุษย์ ท่องเที่ยวไปตามจิตปรารถนาสิ่งใดไม่เคยเห็นก็ได้ไปเห็น ส่วนมากก็ไปตามปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนา ไปนมัสการพระพุทธรูปแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประชาชนเขาเลื่อมใส ไปนมัสการพระเจดีย์ธาตุ ที่เรียกว่าวัดมหาธาตุอันมีอยู่ตามเมืองต่างๆ จนจำไม่ได้หมดว่าไปที่ไหนมาบ้าง
อันที่จริงเป็นจิตทิพย์ กายทิพย์นี้ก็ดี มีความสะดวกมาก พอนึกจะไปที่ไหนมันก็ไปถึงทันที ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางขึ้นรถ ลงเรือ แม้ในทางเครื่องบินก็ยังช้ากว่าอยู่นั่นเอง
ปล.ข้อมูลอ้างอิง เครดิตผู้เขียนจะลงไว้ตอนท้ายเมื่อโพสท์จบครับ