ผมตอบให้ล่ะกัน
แม้ไม่ได้รู้มาก แต่ก็พอได้เรียนได้ทำเองมั่ง
บ่อน้ำใต้ดินก็แบ่งง่ายๆแบบสองอย่าง แบบที่ท่านว่า
บ่อใต้ดิน หรือ ผิวดิน
เป็นธารน้ำในระดับไม่ลึกมากนัก เหมือนคล้ายๆ ลำห้วย เล็ก เพื่อระบายน้ำจากที่สูงลงที่ต่ำ
แบบในรูปข้างบน ก็ที่ระดับ water table หรือ รอยต่อระหว่าง ชั้นดินผิว(สีน้ำตาล) กับดินดาน (สีเทา)
เหมือนกับว่า ดินผิว (สีน้ำตาล)เค้าก็สามารถซึมน้ำ ได้ในระดับนึง เมื่อฝนตก มันก็ซึมแล้วก็ไหลลงที่ต่ำไปเรื่อยๆ แต่มันซึมลงชั้นดินดานได้ช้าเลยไหลมารวมกัน
ส่วนชั้นน้ำที่ลึกกว่า มักจะเกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขา สูงๆ อยู่ลึกกว่า เลยเรียกกันว่า "น้ำบาดาล"
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เป็นที่สังเกตุว่า ทำไมหน้าแล้ง น้ำในบ่อ มันถึงแห้ง แต่น้ำบาดาลทำไมไม่แห้ง คงพอเห็นภาพนะครับ
ส่วนการตอบคำถามของท่าน
ก็ต้องถามว่า 1. ความต้องการน้ำของพืชผลนั้นๆ ว่ามากน้อยแค่ไหน
2. ต้นทุน ถ้าเจาะน้ำตื้นไม่เจอ ก็ต้องเจาะบาดาล เฉลี่ยเมตรละพัน ควรเปลี่ยนวิธีมาทำขุดสระเก็บน้ำ จะถูกกว่า (มั้ย) แล้ว การดูดน้ำจากบาดาลลึกๆ ต้องใช้ ซับเมริต ซึ่งต้องใช้ไฟฟ้า การสูบน้ำ ถ้าใช้น้ำมัน บอกได้คำเดียวว่า ไม่คุ้มในระยะยาว เพราะการดูแลเยอะกว่าไฟฟ้า ถ้าในเขตเกษตรไม่มีไฟฟ้า ก็แนะนำขุดสระดีกว่า นอกจากทำไม่เยอะ หรือพืชที่ได้ผลตอบแทนดี
3. ราคาการเจาะบ่อบาดาล วิธีทีง่ายที่สุดคือ สำรวจรอบๆบ้านท่าน เค้าเจาะระบบไหน
ถ้ามีบ่อผิวดิน แล้วให้น้ำในปริมาณพอเพียง ท่านก็เจาะผิวดิน ในราคาไม่แพง ไม่ใช้เครื่องจักรพิเศษ
ทำแบบบ้านๆ ราคาก็ตามความยากง่าย แต่ไม่เกินหมื่น (ค่าแรง)แน่นอน ราคามันไม่เคยแน่นอนครับ
ถ้าดินแถวนั้นไม่แข็งเค้าเจอง่ายเค้าก็ไม่แพง ถ้าแข็งๆ เค้าก็คิดแพง
4. ถ้าหากท่านขุดสระแล้วเก็บน้ำไม่ได้ ปัจจุบันมีวัสดุกันซึมสำหรับสระน้ำ ในราคาที่รับรองว่าถูกกว่าบ่อบาดาลแน่นอน มีให้ท่านพิจารณาแก้ไข