เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 23:40:53
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 4 5 6 พิมพ์
ผู้เขียน กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)  (อ่าน 23944 ครั้ง)
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 20:03:31 »

   ก่อนอื่นต้องบอกว่ากับดักนี้อาจไม่เป็นอุปสรรคกับใครหลายๆคน แต่จะเป็นอุปสรรคกับคนที่คิดอยากจะรวย หรือ มีอิสรภาพทางการเงินครับ   เมื่อพูดถึงอยากรวย ก็ต้องขอยกตัวอย่างคำพูดของคุณ วิกรม กรมดิษฐ์  เมื่อมีคนถามคุณวิกรมว่าทำอย่างไรถึงจะรวย คุณวิกรม ตอบว่า อย่างแรก ก็ต้องอยากรวยก่อน  เป็นคำตอบง่ายๆแต่แฝงความในให้ได้คิด….. ลองคิดดูนะครับ  ถ้ามีโอกาสจะอธิบายเรื่องนี้ภายหลัง  กลับมาเข้าเรื่องกับดักชีวิต ที่ผมจะพูดถึงก่อนนะครับ
   ผมจะยกตัวอย่างกับดักชีวิตใหญ่ๆ อยู่ 3 อย่างในชีวิตปัจจุบันในสังคมบ้านเรานะครับ
1.เมื่อเรียนจบปริญญา สิ่งที่ได้ยินเพื่อนผมพูดกันมากที่สุดก็คือจะซื้อรถยนต์ หรือ ถ้าได้ทำงานพ่อหรือแม่ก็จะซื้อรถให้ ถ้าคุณเป็นคนที่คิดอยากจะรวยแล้ว การตัดสินใจซื้อรถยนต์ ในช่วงชีวิตนี้เท่ากับว่าคุณจำกัดประสิทธิภาพที่จะทำให้คุณรวย หรือทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้ยากขึ้น  เพราะอะไรนะหรอครับ ก็เพราะว่ารถเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าลดลงเมื่อถือครองอยู่นะสิครับ แล้วมันไม่ใช่ลดลงเฉพาะตัวมันเองแต่ยังทำให้เงินในกระเป๋าคุณลดลงไปอีกด้วย เพราะ  คุณจะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย เช่น ค่าประกัน ภาษี ค่าน้ำมัน ค่าดูแลรักษา  แล้วค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ   ผมจะคำนวณให้ดูนะครับว่า ระหว่างคุณนำเงินไปซื้อรถ กับนำเงินไปลงทุนนะครับ (ลงทุนในที่นี้ของผมหมายถึงหุ้นนะครับ) ผ่านไป 10 ปี คุณจะได้อะไร
สมมุติว่าคุณซื้อรถ น้องมีนา ตัวTOP  ตีเป็นเลขกลมๆ คือ 500,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายต่อปี คิดแบบง่ายๆนะครับที่ 50,000 บาทนะครับ พอผ่านไป 10 ปี เงินในกระเป๋าคุณจะติดลบไป  1,000,000 บาท พอดีนะครับ
กลับกันถ้าคุณนำเงิน 500,000 บาทไปลงทุนในหุ้น และนำเงินที่เป็นค่าใช้จ่าย 50,000 ต่อปีนั้นไปลงทุนเพิ่มทุกปีนะครับ  และกำไรที่ได้จากการลงทุนก็นำมาลงทุนเพิ่มด้วยนะครับ ในที่นี้สมมุติว่าคุณลงทุนในหุ้นได้กำไรเฉลี่ยปีละ 10% นะครับ(การลงทุนไม่ได้มีแต่กำไรนะครับมีขาดทุนด้วยแต่ในที่นี้ให้สมมุติว่าเฉลี่ยแล้วมีกำไรปีละ 10%นะครับ วันหลังถ้ามีโอกาสจะนำเสนอการลงทุนหุ้นที่ถูกวิธีให้นะครับ)  ตัวอย่างวิธีคิดนะครับ
ปีที่ 1 500,000+กำไร10%=50,000+50,000 ผ่านไปหนึ่งปี คุณมีเงิน 600,000 บาทนะครับ
ปีที่2  600,000+60,000+50,000  ผ่านไป 2 ปี คุณมีเงิน 710,000 บาท
ผ่านไป 10 ปี คุณจะมีเงินในกระเป๋า เท่ากับ  2,093,743 บาท
แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนได้ดีกว่านี้ละครับ เช่น ได้กำเฉลี่ยปีละ 20-30 % ลองคิดดูครับว่าเป็นเงินเท่าไหร่และมันจะทำให้คุณได้พบกับมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างไร
2.บ้านก็อาจเป็นกับดักในชีวิตคุณได้ถ้าคุณซื้อมันด้วยเงินผ่อนอย่างที่ผมบอกประสิทธิภาพในการที่จะทำให้คุณเป็นอิสรภาพทางการเงินจะลดลงและนานขึ้น
3.ลูก ถ้าคุณไม่มีอิสรภาพทางการเงินมากพอแล้วคุณมีลูก จะทำให้คุณต้องมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น และคุณต้องทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น แล้วเวลาคุณก็จะน้อยลง ลูกคุณก็จะได้ความรักจากคุณน้อยลง  และคุณก็จะทิ้งให้ลูกคุณอยู่กับคนที่ไม่รูจักสอนลูกคุณเลี้ยงลูกคุณ  และร้ายที่สุดคุณก็ปล่อยให้ลูกคุณติดกับดักชีวิตเหมือนคุณด้วยการบอกว่าเรียนจบแล้วพ่อหรือแม่จะซื้อรถให้
          ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยนะครับว่า บทความที่นำเสนอนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ อยากจะเตือนคนที่ยังไม่มีอิสรภาพทางการเงินมากกว่าว่าเรากำลังติดกับดักชีวิตพวกนี้รึป่าวหรือว่ามีแนวคิดแบบนี้รึป่าวนะครับ  ผมไม่ได้บอกว่า 3 สิ่งที่พูดถึงนี้ไม่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตนะครับ แต่ถ้าเราสามารถเลือกว่าจะมีในช่วงเวลาที่ถูกต้องได้แล้วเราจะไม่ลำบากครับและเราจะมีอิสรภาพทางการเงินและชีวิต ครับ สุดท้ายมาฟังองค์ดาไลลามะเทศให้ฟังหน่อยเน้อ

ครั้งหนึ่งเมื่อมีคนถามองค์ดาไลลามะว่า อะไรเป็นเรื่องที่ท่านรู้สึกแปลกใจมากที่สุด... เกี่ยวกับมนุษยชาติ ท่านตอบว่า “มนุษย์เรานี้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง“

ถ้ามีโอกาสจะเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนอย่างไรให้มีความสุขและมีโอกาสทำกำไรได้ดีนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 พฤษภาคม 2014, 22:31:58 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
jukgree
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 492


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 21:39:14 »

-ขอบคุณสำหรับข้อความดีๆครับ

ว่างๆอย่าลืมมาแนะนำเรื่องลงทุนต่อนะครับ  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 21:51:52 »

เป็นบทความที่ดีและให้แง่คิดมากครับ

ถ้าว่างๆเอาความรู้ดีๆมาลงในกระทู้นี้นะครับ

แล้วจะติดตามอ่านอยู่เสมอๆครับ

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 22:58:22 »

ขอบคุณครับที่ชอบนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมอย่างดีเลยครับ พรุ่งนี้ผมจะเขียนบทความ เรื่อง รวยศาสตร์ วิชานี้ไม่มีในโรงเรียน แล้วจะพยายามลงให้ทันได้อ่านพรุ่งนี้นะครับ  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 23:49:04 »

 มีแนวร่วมอีกหนึ่งแล้ว... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม

ผมก็คิดเช่นกันว่ารถยนต์คือสินทรัพย์ที่เสื่อมราคาสำหรับผมในตอนนี้ ไปไหนถ้าอยากสะดวก

ผมก็นั่ง Taxi ลดลงมาก็รถตู้ แต่ถ้าจะพาครอบครัวไปเที่ยวผมก็เลือกเช่ารถ...ในตอนนี้... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 30 ธันวาคม 2011, 15:23:36 »

รวยศาสตร์  วิชานี้ไม่มีในโรงเรียน
   ทุกวันนี้มีสาขาวิชาต่างๆให้เลือกเรียนได้มากมาย แต่คำถามที่อยู่ในใจผมคือศาสตร์ของความรวยทำไมจึงไม่มีหลักสูตรสอนกันในสถานศึกษาอย่างจริงจัง เพราะอะไร (คงเป็นคำถามที่ต้องขอความคิดเห็นจากท่านที่ได้อ่านว่าเพราะอะไรนะครับ แชร์ความคิดกัน)
   จากบทความเรื่องกับดักชีวิต กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ผมเขียนไว้ว่า เมื่อมีคนถามคุณวิกรมว่าทำอย่างไรถึงจะรวย คุณวิกรม ตอบว่า อย่างแรก ก็ต้องอยากรวยก่อน  เป็นคำตอบง่ายๆแต่แฝงความในให้ได้คิด เพราะมันเป็นความจริงแท้แน่นอน ว่าถ้าคุณคิดที่จะรวยแล้วคุณจะต้องศึกษาวิถีที่จะทำให้คุณรวย หรือ หาคำตอบให้ตัวเองอยู่เสมอว่าฉันจะรวยได้อย่างไร การที่จะทำให้เราเข้าใจความรวยได้ก็ต้องศึกษาจากคนที่เขารวย ว่าเขามีวิถีคิดและสร้างฐานะการเงินให้รวยได้อย่างไร ผมแนะนำว่าให้คุณศึกษาหลายๆคน แล้วคุณอาจจะพบว่าคุณก็อาจรวยแบบนั้นได้
   แต่สิ่งที่คนรวยระดับมหาเศรษฐีมีเหมือนๆกันคือความกล้าที่จะลงทุนและทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะทำให้เขารวยได้ 
           ครั้งหน้าผมจะเขียนเรื่อง การลงทุนในหุ้นวิชาที่ต้องเข้าใจอย่างแรกคือ ปรัชญา ไม่ใช่ การเงิน นะครับ และ จะมาเขียนต่อ เรื่องของรวยศาสตร์ ด้วย สูตรสมการสำคัญ ในวิชารวยศาสตร์  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 30 ธันวาคม 2011, 16:00:06 »

     อย่าหาว่าผมก่อกวนเลยนะครับ  เรียกว่าเป็นความเห็นที่แตกต่างดีกว่า  จากการที่ได้อ่านบทความของคุณแล้ว  ผมรู้สึกเห็นต่างกับข้อ  2  ของคุณที่บอกว่า

2.บ้านก็อาจเป็นกับดักในชีวิตคุณได้ถ้าคุณซื้อมันด้วยเงินผ่อนอย่างที่ผมบอกประสิทธิภาพในการที่จะทำให้คุณเป็นอิสรภาพทางการเงินจะลดลงและนานขึ้น

     ผมว่าถ้าเรายังไม่มีบ้าน  เราก็คงจะต้องการมัน  และมันก็ยังเป็นสิ่งสำคัญหนึ่งในปัจจัยสี่ของชีวิตด้วย  ถ้าเราเลือกที่จะผ่อนบ้าน  ผมว่าวิธีการนั้นเหมาะสมและถูกต้องแล้ว  ลองคิดดูนะครับว่า  ถ้าขณะนี้บ้านหลังหนึ่งขายกันที่ราคา  1  ล้านบาท  แล้วถ้าเราต้องเก็บเงินเพื่อที่จะซื้อเงินสด  เราต้องใช้เวลากี่ปี?  และเมื่อถึงเวลานั้นจริง  บ้านหลังนั้นราคาจะขึ้นไปอีกเป็นเท่าไหร่?  ถ้าจะใช้วิธีเก็บเงินเพื่อซื้อสด  ผมว่าชีวิตนี้คงหมดหวังกับการมีบ้าน  เพราะระหว่างทางที่เราเก็บเงินอยู่  มันก็จะมีค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องโดนหักไปเป็นค่าเช่าบ้าน  ผมพูดถูกหรือไม่  แล้วเราไม่คิดที่จะเอาเงินที่จะต้องเช่าบ้าน  นำมาผ่อนบ้านไม่ดีกว่าหรือครับ  และถ้าคุณรู้จักและเชื่อในเงินเฟ้อ  คุณก็จะต้องรู้ว่า  ถ้าคุณกู้ธนาคารมาซื้อบ้านในวันนี้  คุณสามารถใช้หนี้คืนธนาคารได้ด้วยเงินที่ด้อยค่าลงในอนาคต  เนื่องจากว่า  หนี้ที่คุณต้องจ่ายนั้นเป็นตัวเลขเท่าเดิม  แต่ค่าของเงินนั้นมันลดลง  และคุณยังได้เปรียบจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ที่คุณครอบครองอยู่ด้วย  วันนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกันครับ  จะไปขายของแล้ว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 30 ธันวาคม 2011, 19:30:56 »

ต้องขอบคุณ คุณ วายุมากกว่า นะครับ ที่ให้ความสนใจ และสิ่งที่คุณวายุพูดก็ถูก ครับ และคงเป็นความผิดของผมเองที่สื่อความหมายไปแบบนั้น และ ไม่ได้อธิบายให้ละเอียดนะครับ อย่างที่ผมบอกนะครับว่าการซื้อบ้านก็เป็นสิ่งจำเป็นถ้าซื้อในช่วงเวลาที่ถูกนะครับ แต่ที่ผมไม่ได้อธิบายให้ละเอียดก็คือถ้ารายได้ต้องหมดไปกับค่าผ่อนบ้านจนเงินออมคุณเหลือน้อยมาก หรือ ไม่เหลือเงินออมเลย เป็นต้น เพราะผมเชื่อว่ากุญแจหลักที่ทำให้คุณเป็นอิสรภาพ คือ เงินออมนั้นเองครับ
แล้วคำถามที่ว่าแล้วเมื่อไหร่เราควรจะมีบ้านละครับ เมื่อคุณมีรายได้จากการลงทุนในระดับหนึ่งครับ
ผมจะยกตัวอย่างจากบทความด้านบนนะครับ แต่เปลี่ยนจากลงทุนได้กำไร 30% ต่อปีแทนนะครับ
สมมุติว่าคุณอายุ 25 ปี แทนที่จะเอาเงินไป ซื้อรถ นะครับ แต่คุณกลับเอาเงินมาลงทุน และค่าใช้จ่ายที่คุณต้องหมดไปกับรถคือ 50000 บาทต่อปี แต่คุณเอามาลงทุนเพิ่มเข้าไปทุกปีนะครับ
ปีที่ 1  500,000+150,000+50,000 = 700,000
ปีที่ 2  700,000+210000+50,000 = 960,000
พอผ่านไป 5 ปีนะครับ,คุณอายุ 30 ปี มีเงิน 2,308,620 บาท ถ้าคุณอยากมีบ้านหรือรถตอนนี้ คุณก็สามารถหักเงินมาสัก 300,000 มาดาวน์บ้านหรือรถ  และเหลือ อีก 2,000,000 ไว้ลงทุนต่อก็ได้ครับ(ก็ต้องเป็นความผิดผมเองที่เขียนรวบรัดจนทำให้ความหมายผิดไปว่าการซื้อด้วยเงินผ่อนไม่ดี จริงๆแล้วดีสำหรับคนที่สามารถนำเงินลงทุนไปสร้างผลตอบแทนได้ดีครับ ตัวอย่างเช่น ปีที่ 5 คุณซื้อบ้านเป็นเงินสดที่ 1,300,000 สมมุติว่าราคาบ้านขึ้น คุณก็จะเหลือเงินลงทุนเพียง 1,000,000 แต่ถ้าซื้อผ่อนแบบที่ว่าก็จะเหลือเงินลงทุน 2,000,000 ครับ)
แต่ถ้าคุณลงทุนจนคุณครบ 10 ปี คุณจะอายุ 35 ปี มีเงินทั้งหมด 9,023,900 บาท คุรอาจจะซื้อบ้านซื้อรถและเหลือเงินลงทุนด้วยครับ
แล้วที่คุณ วายุถามว่ากี่ปีถึงจะซื้อบ้านเงินสดได้ มันก็อยู่ที่ว่าความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ทำได้คือเท่าไร อย่างที่ผมยกตัวอย่างถ้าเป็น 30 % ต่อปี  มันก็ใช้เวลา 5-10 ปี
      แต่ในความเป็นจริงเงินลงทุนและความสามารถในการทำกำไรของคนเรามันไม่เท่ากันหรอกครับแต่สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อก็คือ การลงทุนและเงินสำคัญแค่ไหนสำหรับคนที่อยากจะรวยหรือมีอิสรภาพทางการเงิน ดังที่เขาว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ก็ยังใช้ได้ดีอยู่คำนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 30 ธันวาคม 2011, 20:18:19 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 31 ธันวาคม 2011, 02:05:23 »

 มารอบดึกๆ พูดถึงเรื่องบ้านนะครับ ผมก็มีกรณีศึกษาอยู่เหมือนกัน มีญาติผมคนนึง ตอนนั้นจบวิศวะฯ

มาใหม่ๆ และก็ได้ไปทำงานอยู่ที่ระยอง ในโรงงานปิโตรเคมีแห่งนึง ตอนนั้นแกก็ตัดสินใจผ่อนบ้านเลย

ด้วยเหตุผลใกล้ที่ทำงาน สะดวก ถูกกว่าเช่า ฯลฯ แต่ทำไปไม่กี่ปีเค้าก็ได้ย้ายไปที่อื่น เพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน

ตอนนี้จะขายก็ไม่คุ้มขาดทุน เพราะทำเลไม่ให้ (ใกล้กับนิคมมาบตาพุด) ปล่อยเช่าก็กลัวบ้านโทรม เพราะไม่มีใครดูแล

วันก่อนผมยังไปขนของที่แกเอาไปเก็บไว้ช่วงหนีน้ำท่วมมาอยู่เลย ผมยังหยิบหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมา 3 เล่ม

มี "กลยุทธ์ หุ้นห่านทองคำ" "เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธุ์แท้" (สไตล์มดงาน) ของ ดร.นิเวศน์ฯ และ "เหรียญมหัศจรรย์" (รู้เก็บ รู้ใช้)

ของ ดร.นิเวศน์ฯ พึงอ่าจบเมื่อกี้เอง  ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม

  ยังไงผมก็ยังสนับสนุนความคิดของเจ้าของกระทู้ครับ บางครั้งสิ่งที่ "ต้องการ" กับ "จำเป็น" มันก็แยกแยะยากอยู่หนา

และมันเลยเป็นข้อจำกัดโอกาสที่เราจะเป็นไทในการเป็นผู้มีอิสระทางการเงินไป แต่ผมก็เคยผิดพลาดกว่าน้าผมที่ผ่อนบ้านอีก

กลับสิ่งที่คล้ายกับคำว่าความรัก   แต่ถ้ามีโอกาสแบบนั้นอีกคงจะไม่ใจง่ายแบบนั้นอีก แต่ถ้าทุ่มไปแล้วได้หุ้นส่วนชีวิตที่ดี

แบบทั่นวายุ อาจจะยอมถอนบัญชีอีกพอร์ตก็ย่อมเป็นได้....จริงมั้ยทั่น...555+



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 ธันวาคม 2011, 02:08:43 โดย Temujin » IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,890


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 10:46:16 »

.

มาแสดงความคิดเห็นเรื่อง ซื้อบ้าน...


--------------------------------------------------------------------------------
ผมเป็นคนต่างจังหวัดครับ...

โดน ชะตากรรม ให้มาทำงานที่เชียงราย...

และไม่มีทีท่าว่าจะได้ไปไหน...

อันดีบแรกที่ผมต้องหาคือ ...

"ที่อยุ่อาศัย" ครับ ....

แต่ก่อนนั้นผมอยู่หอพักครับ .....

เดือนละ 1,800.- บาท

รวมน้ำ รวมไฟ เบ็ดเสร็จ 3,500.-

ราคานี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากท่านมีตู้เย็น เครื่องซักผ้า และ เตารีด ติดตัวมาด้วย!!....

เพราะหอพัก คิดค่าไฟหน่วยละ 6.- บาท เป็นอย่างต่ำ ....

ผมจ่ายเงินเดือนละ 3,500.-บาท แลกกับห้องขนาด 4เมตร คูณ 4 เมตร ....

หรือพูดง่ายๆคือ หอพักที่มีพื้นที่ใช้สอย 16 ตารางเมตร ....

16 ตารางเมตร ที่ต้องใส่เครื่องเรือนดังนี้....

เตียง 1 เตียง...ตู้ 2 ใบ....โต๊ะเครื่องแป้ง 1 ตัว...โต๊ะทีวี 1 ตัว...

อันนี้แค่เครื่องใช้ของหอพัก แล้วยังมีเครื่องใช้ของผมอีก...

เครื่องซักผ้า ซึ่งซักเสร็จ ไม่มีที่ตาก ต้องตากนอกหอ เป็นภาระต้องระวังขโมยบ้าง อะไรบ้าง...

และ ตู้เย็น ซึ่งต้องวางห่างผนัง 50 ซม เพื่อระบายความร้อน ...

และความร้อนที่ระบายนั้น มันก็ระบายในห้องผมนั่นแหละ...

และหอพัก ท่านไหนที่เคยอยู่ก็ทราบกันดีว่า ความสามารถในการระบายอากาศนั้น มันยอดเยี่ยมแค่ไหน...

ต่อให้ไม่มีตู้เย็น ท่านก็อยู่ไม่ได้หรอกครับ...

เพราะอากาศมันอับ และร้อน...

แล้วนี่มีตู้เย็นอีก จะไม่ร้อนได้อย่างไรกัน...

พอร้อนเข้าๆ เราก็เปิดพัดลม ... ทั้งคืน!! ...

ค่าไฟก็เลย 3,500.-

แล้วท่านลองคิดดู ว่า ถ้าเป็นห้องแอร์ ค่าไฟผมจะหมดเท่าไหร่...

แล้วขอถามว่า 16 ตารางเมตร กับ เครื่องใช้ในบ้านที่เรียกว่า "ครบครัน" ขนาดนั้น มันจะเหลือที่อยู่ให้ผมซักเท่าไหร่...

แค่มีทางเดินไปห้องน้ำก็บุญโขแล้ว!!....

------------------------------------------------------------

ต่อมา เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ผมได้ซื้อบ้านหลังนึงครับ....

เป็นทาวเฮ้าส์ ขนาด 4.5 เมตร คูณ 12 เมตร จำนวนสองชั้น ....

คูณกันก็ได้พื้นที่ใช้สอย 108 ตารางเมตร ....

สนนราคารวม 8 แสนบาท ผ่อน 30 ปี กับธนาคารสีชมพู....

ตกผ่อนเดือนละ 4,500.-บาท ยังไม่รวมน้ำไฟ...

พอรวมปั๊บก็ 5,000 บาท ไม่เคยเกินด้วย!! เพราะการไฟฟ้า คิดค่าไฟเราแค่หน่วยละ 1.50 - 2.80 บาท เอง....

2 ห้องนอน 2ห้องน้ำ 1ห้องครัว มีที่ว่างมากมาย....

ญาตพี่น้องมาที่เชียงราย ก็สามารถอาศัยพักกับเราได้ด้วย

--------------------------------------------------------

ท่านลองคิดเอาว่า ระหว่าง 2 ทางเลือก ....

ทางเลือกแรก อยู่หอพัก ค่าใช้จ่ายเดือนละ 3,500 พื้นที่ใช้สอย 16 ตารางเมตร อากาศอบอ้าว มีพื้นที่แค่ให้เดินไปห้องน้ำ เพราะของเต็มห้อง...

กับทางเลือกที่สอง ผ่อนบ้าน มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 5,000บาท (เพิ่มมาอีก 1,500) ได้พื้นที่ใช้สอย 108 ตารางเมตร มี2ห้องนอน 2ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีพื้นที่หน้าบ้านจอดรถ 2 คัน มีพื้นที่หลังบ้านไว้ตากผ้าให้ได้แดด ลมโกรกอากาศถ่ายเท และนอกจากนั้น ตอนนี้ มีคนมาเสนอซื้อจากผม ราคา ล้านสาม ....

-----------------------------------------------------------

ผมขอถามว่า บ้านทำให้ผมจนลงรึป่าวครับ??

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 02 มกราคม 2012, 11:44:48 โดย แมงมุม » IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
AIT
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,914



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 11:50:04 »

ส่วนตัวของผม ผมก็เห็นด้วยที่ว่าซื้อบ้านไม่ทำให้จนลงหรอกครับ
ผมเองเริ่มมาทำงานที่เชียงราย ก็เริ่มหาซื้อบ้านเลยทั้ง ๆ ที่มีบ้านฟรีให้อยู่
ุทุกวันนี้การลงทุนก็เน้นในอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่
หาซื้อเก็บไปเรื่อย ๆ ถ้าพอมีเงินนะครับ

ส่วนรถยนต์หรือแม้แต่มอเตอร์ไซด์ เกิดมาในชีวิตนี้ ยังไม่เคยซื้อรถป้ายแดงเลยครับ
ซื้อแต่รถมือสองมาตลอด

ลูก ตอนนี้ก็ยอมรับว่าต้องลงทุนกับลูก ๆ เยอะพอสมควรครับ
เปิดเทอมที ค่าเทอมคนละหมื่นกว่าบาท
แต่ก็คิดว่าให้สิ่งที่ดีกับเค้า เท่าที่เรามีความสามารถครับ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 13:16:20 »

  ต่างคนต่างสถานการณ์ แยกแยะให้ได้ว่าอะไร "จำเป็น" หรือแค่ "ต้องการ" เพราะถ้าได้ติดกับแล้ว

มันยิ่งกว่างบผูกพันธ์ที่รัฐบาลชุดก่อนได้ทำไว้อีก ต้องตามแก้ ตามเช็ดกัน กว่าจะพ้นบางคนก็ล่วงเลยมาซะไกล

หาจุดสมดุล ความเหมาะสมให้ได้ ผมว่าแค่นี้ชีวิตก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว ไม่ตามกระแส ดั่งการลงทุนไง ตามกระแสเมื่อไหร่จบ... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 14:44:44 »

ขออนุญาตให้ความเห็นสั้นๆว่า ทำให้รวยนั้น ทำยาก ทำให้พอเพียง น่าจะง่ายกว่า... ยิงฟันยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 18:31:55 »

ขอบคุณ ท่านแมงมุม และ ท่านAIT ที่ให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นมากครับ
ผมจะอธิบายแบบนี้ละกันครับ คือ ผมต้องออกตัวก่อนเลยว่า ความคิดของผมนั้นมันเป็นความคิดที่คนส่วนใหญ่คงไม่คิดกันหรอกครับ(ผมเป็นคนคิดไม่เหมือนชาวบ้านอะนะ ออกบ้าหน่อยๆ ยิ้มกว้างๆ) ดั้งนั้น ผมเชื่อว่าความคิดของทุกท่านถูกต้องแล้วละครับและมีเหตุผลมากกว่าด้วยและคนส่วนใหญ่ก็คงคิดแบบนี้ ส่วนความคิดของผมนั้นอาจจะดูเพี้ยนไปหน่อยแต่ก็อาจจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ครับ(ต้องลองพิจารณากันดูนะครับ)
เอาแบบนี้นะ ผมจะเอาตัวอย่างที่ท่านแมงมุม ได้ยกตัวอย่างมา แล้วมาคำนวณตามแนวความคิดของผมนะครับเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นนะครับ ผมขอบอกเลยนะว่าผมก็ไม่มีความรู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์และก็คงไม่พูดถึงรายละเอียดว่าเช่าบ้านเท่าไหร่ผ่อนบ้านเท่าไหร่อันไหนมันดีกว่ากัน
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อจริงแล้วๆมันไม่ใช้วิธีการว่าต้องทำอย่างไรครับแต่คือว่าต้องคิดอย่างไรมากกว่า
เอาละครับมาดูตัวอย่างกันนะครับ

ผมจะยกตัวอย่างของคุณแมงมุมมานะครับ โดยกำหนดให้ มีคน 2 คน ที่มีเงิน อยู่ 5,000 บาท

คนที่ 1 นำเงินไปผ่อนบ้านโดยเฉลี่ยแล้ว 5,000 บาทต่อเดือนรวมค่าไฟค่าน้ำนะครับ โดยบ้านหลังนี้มีราคา 800,000 บาทนะครับ ผ่อน 30 ปี นะครับ
ผ่านไป 30 ปี มาดูว่าคนที่ 1 ได้อะไรบ้างครับ แน่นอนครับบ้าน 1 หลังพอผ่อนไปสามสิบปีผมไม่รู้นะว่ามูลค่ามันจะเป็นเท่าไหร่เมื่อเวลาผ่านไป30ปี แต่มาดูว่าคนที่ 1 ใช้เงินทั้งหมดกับบ้านไปเท่าไหร่ จริงๆ แล้ว ผมว่าเอาราคาบ้าน 800,000 มาเป็นต้นทุนคงไม่ยุติธรรมกับอีกคนที่อยู่หอนะครับ เพราะว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงคือ 5,000*12*30=1,800,000 น่าจะเป็นต้นทุนจริงๆสำหรับบ้านหลังนี้มากกว่านะครับ

คนที่ 2 เช่าที่พักอยู่มีค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือน 3,500 บาท เหลือเงินเก็บ 1,500 บาท
ผ่านไป 30 ปี มาดูว่าคนที่ 2 ได้อะไรบ้างคับ คือไม่ได้อะไรเลย มีเงินเก็บคือ 1,500*12*30=540,000 และมีค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับที่พักคือ 3,500*12*30=1,260,000
ถ้ามองในมุมนี้ยังไงผ่อนบ้านก็คุ้มกว่าครับ
ลองเอาแนวความคิดของผมมาใช้ครับ แทนที่จะเก็บเงินใว้เฉยแต่คุณกลับเอาเงินมาลงทุนแทนนะครับโดยตั้งในสมมุติฐานที่ว่าลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 30% ต่อปีนะครับ
ปีที่ 1 สิ้นปีนะครับ มีเงิน 1,500*12=18,000 ยังไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุนนะครับเพราะต้องเอาเงินส่วนนี้ไปลงทุนในปีที่ 2 ครับ
ปีที่ 2 มีเงินทุน 18,000 + ผลตอบแทน 30 % คือ 5,400 + เงินเก็บทั้งปีอีก 18,000 ดังนั้นสิ้นปีที่ 2 มีเงินเท่ากับ 18,000+5,400+18,000= 41,400
ปีที่ 3 41,400+12,420+18,000=71,820 คิดทบต้นแบบนี้ตลอดนะครับผมจะตัดไปในปีที่ 5 10 20 และ ปีที่ 30 เลยนะครับ
ปีที่ 5 มีเงิน 162,776
ปีที่ 10 มีเงิน 767,154
ปีที่  20 มีเงิน 11,343,024
ปีที่ 30 มีเงิน  157,140,365 เลขหน่วยย่อยอาจจะไม่ตรงตามนี้นะครับเพราะตอนคิดเงินทบต้นผมปัดทศนิยมทิ้งบ้างขึ้นบ้าง แต่ที่แน่ๆเลขกลม ๆ คือ 157 ล้านบาทครับ ไม่เชื่อลองคิดดู
ผ่านไป 30 ปี คนที่ 2 ได้อะไร้บ้าง ก็ต้องบอกว่า ได้มูลค่าทรัพย์สิน 157 ล้านบาท ลบกับค่าที่ พักคือ 1,260,000 ดังนั้นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิคือ 155,880,365 บาท
แล้วที่คุณแมงมุมถามว่าซื้อบ้านมันทำให้จนอย่างไร
ผมขอตอบแบบนี้ครับว่า ไม่ว่าบ้าน หรือ รถ ถ้าคุณทำให้มันสร้างเงินให้คุณได้มันก็ไม่ทำให้คุณจนหรอกครับ
ดังนั้นในแนวคิดของผม ส่วนต่างแค่ 1,500 บาท ก็อาจกลายเป็นเงินกว่า 100 ล้านบาทได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 02 มกราคม 2012, 18:40:54 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 02 มกราคม 2012, 20:54:27 »

     ไม่หวังผลเลิศไปหน่อยหเหรอครับทั่นเจ้าของกระทู้  ๓๐ เปอร์ฯ ต่อปี  ผมเฉลี่ยแค่ ๑๐ เปอร์ฯ ติดต่อกันก็หรูแล้ว... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม

คำนวนเล่น ๆ ครับ....ตามลิงค์...http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_wrapper&Itemid=87

 
 ปล. กรณีนี้เจ้าของกระทู้ยก ควรคิดแบบรายเดือนครับ มิใช่รายปี ถ้ารายเดือนจะมีเงินถึง 599,919,764 บาท ไม่ใช่ 157,140,365 บาท

( ๓๐ ปีไม่ถอน ปล่อยให้พลังดอกเบี้ยทบต้นกระทั่ง ๓๐ ปี ธนาคารรวยก็เพราะอย่างนี้แหละ คิดดอกแบบกระแสรายวัน ไม่มีเจ้ง ถ้าไม่มีลูกหนี้ NPL เยอะ  ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 02 มกราคม 2012, 21:39:52 โดย Temujin » IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 04 มกราคม 2012, 16:08:50 »

     ไม่ได้เข้ามาดูเสียนาน  เป็นว่ามีต่อมาอีกพะเรอเกวียน  วิธีการของคุณ  Mutant  ที่บอกมานั้นคือการทบต้น  ถูกต้องไหมครับ  ซึ่งวิธีดังกล่าวนั้นควรทำถ้าใครสามารถทำได้  เพื่อเป็นการเพิ่มเงินให้งอกเงยมากขึ้น  แต่ผมมีประเด็นที่อยากถามท่าน  Mutant  และอย่าคิดว่าเป็นการหักคอกันก็คือ

1.ท่านคิดว่าจะลงทุนในอะไรที่ทำให้ได้ผลตอบแทน  30  %  ต่อปี  ต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาติดต่อกันเป็น  10  ปีขึ้นไป  ประเด็นนี้ท่านชี้ให้เห็นว่า  ถ้าทำได้  แต่ท่านไม่ได้บอกว่าต้องลงทุนในอะไร

2.ถ้าแนวคิดที่ท่านได้นำมาเผยแพร่มันสามารถเป็นจริงได้  ผมอยากขอความรู้จากท่านหน่อยว่า  ผมควรลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรวย  เพราะสมมุติว่า  ถ้าผมได้แนะนำให้คนหนึ่งคนลงทุน  โดยบอกเขาคร่าวๆแค่ว่า  ซื้อลูกชิ้นมาปิ้งขายสิ  ลูกชิ้นโลละ  100  บาท  ได้ลูกชิ้นมา  500  ลูก  เอาไปเสียบไม้ปิ้งขายไม้ละ  3  ลูก  ได้ร้อยกว่าไม้  บวกค่านั่นค่านี่ไป  ขายไม้ละ  5  บาท  กำไรบานเบอะ  แต่เมื่อเขาเอาไปขายจริงๆ  มันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะขายหมดในคราวเดียว...จริงหรือไม่  และเขาจะต้องไปขายกี่รอบถึงจะหมดร้อยกว่าไม้นั้น  เอาง่ายๆแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  ผมจะรอคำตอบจากคุณอยู่  ว่าผมจะต้องเอาเงินไปลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็อยากรวย  ตอนนี้คุณบอกแต่วิธีการเท่านั้น  แต่ไม่ได้บอกผมว่าต้องเอาไปทำอะไร  ที่ไหน  อย่างไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 มกราคม 2012, 16:10:56 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
ttyy
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,952


ซ่อม/ซื้อ/ขาย มือถือทุกรุ่น


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 05 มกราคม 2012, 18:01:38 »

     ไม่ได้เข้ามาดูเสียนาน  เป็นว่ามีต่อมาอีกพะเรอเกวียน  วิธีการของคุณ  Mutant  ที่บอกมานั้นคือการทบต้น  ถูกต้องไหมครับ  ซึ่งวิธีดังกล่าวนั้นควรทำถ้าใครสามารถทำได้  เพื่อเป็นการเพิ่มเงินให้งอกเงยมากขึ้น  แต่ผมมีประเด็นที่อยากถามท่าน  Mutant  และอย่าคิดว่าเป็นการหักคอกันก็คือ

1.ท่านคิดว่าจะลงทุนในอะไรที่ทำให้ได้ผลตอบแทน  30  %  ต่อปี  ต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาติดต่อกันเป็น  10  ปีขึ้นไป  ประเด็นนี้ท่านชี้ให้เห็นว่า  ถ้าทำได้  แต่ท่านไม่ได้บอกว่าต้องลงทุนในอะไร

2.ถ้าแนวคิดที่ท่านได้นำมาเผยแพร่มันสามารถเป็นจริงได้  ผมอยากขอความรู้จากท่านหน่อยว่า  ผมควรลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรวย  เพราะสมมุติว่า  ถ้าผมได้แนะนำให้คนหนึ่งคนลงทุน  โดยบอกเขาคร่าวๆแค่ว่า  ซื้อลูกชิ้นมาปิ้งขายสิ  ลูกชิ้นโลละ  100  บาท  ได้ลูกชิ้นมา  500  ลูก  เอาไปเสียบไม้ปิ้งขายไม้ละ  3  ลูก  ได้ร้อยกว่าไม้  บวกค่านั่นค่านี่ไป  ขายไม้ละ  5  บาท  กำไรบานเบอะ  แต่เมื่อเขาเอาไปขายจริงๆ  มันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะขายหมดในคราวเดียว...จริงหรือไม่  และเขาจะต้องไปขายกี่รอบถึงจะหมดร้อยกว่าไม้นั้น  เอาง่ายๆแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  ผมจะรอคำตอบจากคุณอยู่  ว่าผมจะต้องเอาเงินไปลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็อยากรวย  ตอนนี้คุณบอกแต่วิธีการเท่านั้น  แต่ไม่ได้บอกผมว่าต้องเอาไปทำอะไร  ที่ไหน  อย่างไร

+100

ผมก็อยากทราบเหมือนกันครับกับธุรกิจที่ให้ผลตอบแทน 30%ต่อปี ต่อเนื่องกันเป็น 10ปี ด้วยแผนที่เป็นไปได้จริง

ผมจะเทหมดหน้าตักเลยครับ ทุกวันนี้ขอแค่กำไรจากหุ้น เดือนละ 10% ของมูลค่าพอร์ท รวมไปถึง คนเช่าบ้านผมจ่ายค่าเช่าตรงเวลาผมก็พอใจแล้วล่ะครับนี่มาเจอกำไรทบต้น 30% อยากขอวิชาจังเลยครับผม
IP : บันทึกการเข้า

รับซื้อ-ขาย-ฝาก-ขายฝากคอมพิวเตอร์ PC Notebook โทรศัพท์มือถือ nokia iPhone samsung ทีวี LCD เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดราคาสูง รุ่นเก่า รุ่นใหม่ โทรมาคุยกันได้ครับ
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 05 มกราคม 2012, 18:04:05 »

     ไม่ได้เข้ามาดูเสียนาน  เป็นว่ามีต่อมาอีกพะเรอเกวียน  วิธีการของคุณ  Mutant  ที่บอกมานั้นคือการทบต้น  ถูกต้องไหมครับ  ซึ่งวิธีดังกล่าวนั้นควรทำถ้าใครสามารถทำได้  เพื่อเป็นการเพิ่มเงินให้งอกเงยมากขึ้น  แต่ผมมีประเด็นที่อยากถามท่าน  Mutant  และอย่าคิดว่าเป็นการหักคอกันก็คือ

1.ท่านคิดว่าจะลงทุนในอะไรที่ทำให้ได้ผลตอบแทน  30  %  ต่อปี  ต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาติดต่อกันเป็น  10  ปีขึ้นไป  ประเด็นนี้ท่านชี้ให้เห็นว่า  ถ้าทำได้  แต่ท่านไม่ได้บอกว่าต้องลงทุนในอะไร

2.ถ้าแนวคิดที่ท่านได้นำมาเผยแพร่มันสามารถเป็นจริงได้  ผมอยากขอความรู้จากท่านหน่อยว่า  ผมควรลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรวย  เพราะสมมุติว่า  ถ้าผมได้แนะนำให้คนหนึ่งคนลงทุน  โดยบอกเขาคร่าวๆแค่ว่า  ซื้อลูกชิ้นมาปิ้งขายสิ  ลูกชิ้นโลละ  100  บาท  ได้ลูกชิ้นมา  500  ลูก  เอาไปเสียบไม้ปิ้งขายไม้ละ  3  ลูก  ได้ร้อยกว่าไม้  บวกค่านั่นค่านี่ไป  ขายไม้ละ  5  บาท  กำไรบานเบอะ  แต่เมื่อเขาเอาไปขายจริงๆ  มันก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะขายหมดในคราวเดียว...จริงหรือไม่  และเขาจะต้องไปขายกี่รอบถึงจะหมดร้อยกว่าไม้นั้น  เอาง่ายๆแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  ผมจะรอคำตอบจากคุณอยู่  ว่าผมจะต้องเอาเงินไปลงทุนในอะไรดี  เพราะผมก็อยากรวย  ตอนนี้คุณบอกแต่วิธีการเท่านั้น  แต่ไม่ได้บอกผมว่าต้องเอาไปทำอะไร  ที่ไหน  อย่างไร

+100

ผมก็อยากทราบเหมือนกันครับกับธุรกิจที่ให้ผลตอบแทน 30%ต่อปี ต่อเนื่องกันเป็น 10ปี ด้วยแผนที่เป็นไปได้จริง

ผมจะเทหมดหน้าตักเลยครับ ทุกวันนี้ขอแค่กำไรจากหุ้น เดือนละ 10% ของมูลค่าพอร์ท รวมไปถึง คนเช่าบ้านผมจ่ายค่าเช่าตรงเวลาผมก็พอใจแล้วล่ะครับนี่มาเจอกำไรทบต้น 30% อยากขอวิชาจังเลยครับผม

ของผม 5-7% ก็สุดยอดแล้วครับ

แต่ตอนนี้ไม่ขาดทุนก็บุญหัวผมละครับ อิอิ

แต่แนวทางและแนวคิดของเจ้าของกระทู้ดีมากนะครับ

แต่สิ่งที่จะพิสูจน์แนวคิดนั้นได้ก็ต้องมาจากการลงมือปฏิบัติ


IP : บันทึกการเข้า

Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 05 มกราคม 2012, 18:43:54 »


  ผมสรุปแล้วครับทั้งปีที่ผ่านมาได้สิบต้นๆ ในการลงทุนในหุ้น  แต่ในหุ้นส่วนชีวิตถือว่าประสบความสำเร็จอย่างย่อยยับ...เลยทีเดียว... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
~pong03~
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 899



« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2012, 17:39:52 »

ผมเป็นชาวไร่ ผมเก็บออมมาหลายปีกว่าจะได้รถกระบะสักคันหนึ่ง
ในที่สุดผมก็ได้มันมาครอง เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว โชคดีที่ผมซื้อเอาไว้
ตอนนี้ผมก็อาศัยมันนี้แหล่ะ บรรทุกเอาของเกษตรไปขาย 1วันได้เงินเยอะพอสมควร
1เดือนผมเก็บเงินได้มากกว่า 2แสน ผมว่าแล้วแต่บุคคลจะใช้งานอย่างไรต่างหากครับ
ของทุกสิ่ง เป็นได้ทั้งหนี้และทรัพย์ครับ 
IP : บันทึกการเข้า

Facebook -https://www.facebook.com/pin.manora
Line Pin manora
หน้า: [1] 2 3 4 5 6 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!