แล้วพวกจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ล่ะครับจะได้ผลกรรมแบบไหน
ผลของการจาบจ้วงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ก็ไม่ต่างกับการปรามาสพระโพธิสิตว์ เพราะพระองค์ท่าน บำเพ็ญบารมี ตอนนี้ เป็นขั้นปรมัตถะปารมี พระองค์ท่านปราถนาพุทธภูมิ คือเคยอธิษฐานปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อสงเคราะห์เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ตอนนี้เหลืออีก 5 ชาติ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุงท่านเคยพูดคุยกับองค์พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินไปกราบหลวงพ่อฤาษี และพระอริยะเจ้าทั้งหลาย อยู่บ่อยครั้ง พระองค์ทรงงฃสนพระทัย และฝึกวิปัสนากรรมฐาน ทรงทำความเพียรคือนั่งสมาธิ ติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เหนื่อยเลย นี่พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจประจำพระราชสำนักท่านเล่าให้ฟัง ไปอ่านเจอมา ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงงาน ไปเยี่ยมราษฎร ตามถิ่นธุรกันดาน ตลอดเวลา อย่างที่พวกเราทั้งหลายทราบกันดี พระองค์ไม่ทรงทิ้งเรื่องกรรมฐานเลย เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ตั้งแต่อดีตชาติ ที่เคยทรงเป็นกษัตริย์มาไม่รู้กี่ภพชาติแล้ว ทรงสนพระทัยในการฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระจริยะวัตรที่งดงาม ที่เพรียบพร้อม ทรงพระเมตตาสูงยิ่งต่อทุกๆ คน ทรงมีบารมีมาก พระองค์ปราถนาพุทธภูมิ ทรงบำเพ็ญบารมีพระโพธิสิตว์ เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมบรมครู พระองค์ท่านทรงเมตตาทุกคนไม่ว่าจะเป็นภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ หรือนรกภูมิ เฉกเช่นเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญบารมีของพระองค์เอง และจะทรงเกิดใหม่อีก 5 ชาติ เท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่คิดจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ก็เปรียบเสมือนปรามาสพระโพธิสัตว์ ปรามาสพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล กรรมนั้นหนักมาก และบางรายเห็นผลในชาติปัจจุบัน เพราะไปปรามาสพระองค์เข้า เมื่อบุญของผู้ไปปรามาสหมด กรรมที่ทำไว้นี่เป็นกรรมหนัก คือไปปรามาสพระเจ้าอยู่หัวเข้า กรรมส่งผลทันตาเห็น ต้องรับกรรมในชาตินี้ทันที แต่บางคนก็ยังไม่ได้รับกรรม อาจจะชาติหน้า หรืออีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เพราะคนที่ไปปรามาสพระเจ้่่าอยู่หัวนี่ เป็นคนบาปหนัก หนักมาก อย่างไรก็ต้องรับกรรม เรื่องของกรรมมันซับซ้อน ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาส่งผล ขึ้นอยู่กับบุญที่ทีพอที่จะวิ่งหนีกรรมที่ทำไว้ทันไหม ทำกรรมใดไว้ต้องรับผลของกรรมอย่างแน่นอน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงมีภูิจิตภูมิธรรมสูงมาก หากใครที่มีบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่าน ไปปรามาสเข้าก็จะเป็นกรรมกับคนผู้นั้น พวกเราทุกๆ คน ไม่รวมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย นั้นบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่านอย่างแน่นอน จึงได้เกิดมาใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของพระองค์ท่าน พวกเรามีบุญวาสนาที่ได้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน จงภูมิใจในข้อนี้ คนที่ไปปรามาสหรือจาบจ้วงนั้น กรรมจะมารูปแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยค่ะ ผู้เขียนก็ตอบได้เท่าที่ทราบมา ศึกษามา และตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา อนุโมทนาที่สอบถามมา สาธุค่ะ
มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเล่าถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้ค่ะ
หลวงพ่อพูดว่า....ในหลวง เคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช และพระเจ้าพรหมมหาราช ("พระเจ้าตวันอธิราช" ไปเกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช") ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้
พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า
พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)
ย้อน กลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ
- การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ
- ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้
- ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้
- อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย
- พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ
- ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นมรดกมานานนับพันปี
(ทั้ง หมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
ต่อ มา...หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."- สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้
"ดู ก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"
- พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้
(หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ"
วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)
ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)
หลวง พ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า
"เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"
หลวง พ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น"ปรมัตถบารมี" แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!
"พุทธ ภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"
ในขณะ นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า "พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? "
หลวงพ่อถวายพระพรว่า "ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์"
แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า "ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..? "
พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้..
"ก็ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่อง ธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!"
สรุป..ในหลวง เกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้างบารมีอีก ๕ ชาติขอบคุณที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑...