รูปโพสท์ไม่ได้ระบบมีปัญหา...เดี๋ยวโพสท์ได้จะมาลงน่ะ ^_^
*******************************************************
เณรน้อยเที่ยวธุดงค์
ปณมพจน์
“คนเราเกิดมามีลมหายใจที่ใช้ดำรงชีวิตเหมือนๆกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ ผู้ใดจะใช้ลมหายใจและกายสังขารนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการเกิดมา”
ปฐมบรรพ
ปราสาทหินโบราณสูงลิบลิ่วปานประหนึ่งภูผาที่สูงเทียมเมฆา ล้อมรอบด้วยบึ้งน้ำสีมรกต ประกายน้ำทอแสงเรืองรองระยิบยามเมื่อต้องแสงมากระทบดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ชูช่อสลอนลดหลั่นกันเปรียบเสมือนบันไดสู่สรวงสวรรค์ สีของใบบัวในบึงดูอ่อนนุ่มน่าสัมผัสราวกำมะหยี่ กลมโตเหมือนกับจะแผ่ออกไปนอกสระ หินทุกก้อนของปราสาทใหญ่มหึมาสลักเสลา ด้วยรูปปั้นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ที่วิจิตรบรรจง แววตาดุจมีชีวิต เสียงพูดคุยดังแว่วลอดออกมานอกผนังหินของปราสาท มองลอดผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป พลันเห็นเหล่านักบวชที่สวมเครื่องนุ่มห่มสมถะหลากหลายเชื้อชาติหลากหลายภา นั้งประชุมรวมกันอยู่
“เราต้องเร่งหาสังขารที่เหมาะสม”น้ำเสียงนั้นดูร้อนใจ
“ใกล้เวลาแล้ว”เสียงที่สงบ เยือกเย็นกังวานดุจระฆังดังขึ้นตอบรับ
“ครับท่านปฐมาจารย์” เสียงๆหนึ่งดังทะลุแทรกขึ้นมา
“เราพบสังขารที่เหมาะสมแล้ว แต่ต้องปรับสมดุลธาตุสี่ ฟื้นฟูพลังสติปัญญากันเยอะพอสมควร” น้ำเสียงนักบวชท่านนี้ดูเป็นกังวล
“คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกท่าน มันจะไปยากอะไรกระตุ้นสติหน่อยเดี๋ยวก็กลมกลืนไปเอง ฮึๆ ไม่เห็นจะยากเลย” น้ำเสียงนั้นดูขี้เล่น แต่มีพลังแฝงเร้นอยู่ภายใน
“เดี๋ยวผมจัดการเอง” พอสิ้นคำเจ้าของความขี้เล่นก็ตบฉาดที่หัวเข่า พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
เสียงๆนั้นดังเหมือนกับเสียงเปิดสวิตซ์ของโทรทัศน์สี จอใหญ่ไตรนิตรอน วึ่งถ่ายทอดสัญญาณภาพผ่านแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เชื่อมต่อถึงกันทั่วทั้งจักรวาล ส่งไปยังจอรับภาพที่เปิดรอรับอยู่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ภาพนักบวชผู้หนึ่งกำลังทิ้งน้ำหนักทั้งหมด นอนราบลงบนเตียงหิน ทันทีที่ร่างนั้นล้มตัวลงนอน หลับตาสนิท
ทันใดนั้นเอง! ก็มีตะปูสีเงินยาวแหลมดุจปลายมีด พุ่งทะลุเตียงหินขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ตะปูเงินทะลวงไปตามจุดสำคัญต่างๆ ของร่างกาย ต้นคอ ไขสันหลัง และส่วนต่างๆของกระดุก มันตรึงร่างของชายผู้นั้นไว้เหมือนกับจะไม่ให้เคลื่อนไปไหนตลอดกาล เลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมออกจากร่างกาย ไหลรินตกลงสู่รางบนแท่นหินที่กะเทาะไว้เป็นร่อง มวลของเลือดค่อยๆ ไหลแยกออกเป็นส่วนๆ มาที่ขวดบรรจุ ซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วคริสตัลใส บนเตียงหินเหลือเพียงกายสังขาร ร่างใสสีเขียวมรกตนอนสงบนิ่งอยู่
อ๊ายยยย!!!!! เสียงร้องโวยวายด้วยความตื่นกลัว ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของรัตติกาล…ตามมาด้วยเสียงหอบเหนื่อย ตื่นตกใจ
ต้นสะดุ้งพรวดเหงื่อแตกพลั่ก ลุกขึ้นมานั้งทั้งๆที่ยังงัวเงียร่างทั้งร่างร้อนผ่าวสั่นสะท้าน มันเหมือนมีกระแสอะไรบางอย่างไหลเวียนแปลบปลาบไปทั่วร่างตลอดเวลา มือน้อยๆสั่นเทา ยกขึ้นลูบหน้าคล้ายจะหมดแรง ลมหายใจยังคงหอบถี่ จากความหวาดกลัว ดังรัวพอๆ กับเสียงของหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
นี้คงเป็นครั้งที่ห้าหรือหกแล้วกระมังที่เขาสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เขาฝันซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ติดๆ กันมานานหลายวัน สำหรับเด็กน้อยเช่นเขา มันช่างเป็นความฝันที่แสนจะทรมานเพราะทุกครั้งที่เขาหลับฝัน มันเหมือนกับว่าวิญญาณของเขาจะหลุดขาดออกจากร่าง แล้วไม่มีวันจะหวนกลับมาได้อีก…
บรรพชา
“แสงแดดเรืองรองทาทาบทับผืนฟ้าสีดำของรัตติกาล เหมือนจะส่งต่อหน้าที่รับผิดชอบให้แก่กันแสงๆ นั้นค่อยๆ ทอประกายเป็นลำสีทองจากปลายโค้งฟ้า แดง แสด ส้ม ผสมกันอย่างกลมกลืน นกน้อยกระพือปีกบางๆ ออกหากิน ตามวิถีทางของมัน”
ต้นในชุดนักเรียนตัวเก่ง เดินหิ้วกระเป๋านักเรียนคู่ใจ เดินออกจากชายคาบ้านที่มุงด้วยสังกะสี แม้ตัวบ้านจะทำด้วยไม้แต่ก็ผุกร่อนเต็มที ป้ากับลุงร่ำๆ อยู่หลายครั้งว่าจะรื้อสร้างใหม่แต่ก็ไม่มีทรัพย์มากพอที่จะใช้จ่าย ตั้งแต่พ่อกับแม่ของต้นแยกทางกัน ท่านทั้งสองคนก็เมตตาเอาต้นมาเลี้ยงประดุจเป็นลูกของต้น
ตอนนี้ต้นอายุได้สิบปีแล้ว ร่างเล็กๆ ที่ดูเหมือนคนขี้โรค หน้าตาคมขำ ผิวคล้ำเพราะกรำแดด ดวงตาคมโตเป็นประกายแสดงนัยของความชาญฉลาด เดินคีบรองเท้าแตะสาวเท้าไปตามถนนดินลูกรังที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีแดง
เขาอยู่ที่บ้านนาเหมือง อำเภอเล็กๆ ในสกลนครมาตั้งแต่เกิดแม้ชีวิตครอบครัวของเขาจะดูไม่อบอุ่นเหมือนเด็กอื่นทั่วไปกลับทำให้เขามีจิตใจที่เข้มแข็งอดทนยิ่งกว่าเด็กธรรมดาทั่วไปแม้บางครั้งเขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวจนจับขั้วหัวใจ แต่เขาก็ไม่เคยคิดย่อท้อต่อชะตาชีวิตของเขาเลย
ฝันร้ายหลายคืนต่อกันทำให้เขาหลับได้ไม่เต็มตื่น ตาโหลจนดูคล้ายกับหมีแพนด้า อาการหาวแล้วหาวอีก สะลึมสะลือ ดูจะเป็นอุปสรรคในการเดินทางไปเรียนเสียนี้กะไร
“ทำไมวันนี้ไม่เป็นวันเสาร์นะจะได้นอนกลางวันให้หนำใจ” ต้นได้แต่วาดฝันถึงการนอนหลับผักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลมพัดเย็น เขาเหลียวหลังกลับไปมองบ้านของตนอย่างเสียดาย ต้นหูกวางต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านไหวพะยับพะเยิบไปมาเหมือนมันจะโบกมือลาสวัสดี
ต้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผลการเรียนของเขาไม่ค่อยดีนัก เขารักที่จะเล่นมากกว่าเรียน ถึงจะดูตัวเล็กผอมบางแต่ที่โรงเรียนเขาเป็นหัวโจกนำเพื่อนเล่นซนเป็นทโมนทุกครั้งที่เลิกเรียนเขาจะชอบพาเพื่อนไปปีนเก็บมะม่วงที่สวนบ้านเพื่อนซึ่งเป็นเขตหวงห้าม แต่ยิ่งห้ามนี้แหละสนุกนัก เพราะมันทำให้มะม่วงต้นนั้นมีรสชาติมากขึ้นทวีคูณ
แสงแดดยามเย็นวันนี้ทอแสงอ่อนลง พร้อมกับการมาของเมฆฝนดำทะมึน เด็กๆ วิ่งหลบกันจ้าละหวั่น ฝนยังคงพรำเม็ดลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้พื้นดินมีน้ำขังเป็นแอ่งต้นวิ่งเล่นตากฝนอย่างสนุกสนาน
ใครจะคิดว่าฝนแรกในวันนั้นจะนำโรคร้ายมาให้ต้นอย่างไม่รู้ตัว…
สิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนเขาแทบตั้งตัวไม่ทัน! เย็นวันนั้นเอง ต้นอาการไม่ค่อยดี จู่ๆ ก้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไข้สูงตัวร้อนเป็นไฟ มีตุ่มแดงขึ้นตามตัว เลือดกำเดาไหลซึมออกมาจากจมูกตลอดเวลาไม่มีท่าว่าจะหยุด อาการของเขาทรุดหนักลงเรื่อยๆ ลุงกับป้าของเขาตกใจมากรีบพาเขาส่งโรงพยาบาล หมอตรวจอาการไข้ของต้นอย่างละเอียดพบว่า อาการที่ต้นเป็นบ่งบอกถึงอาการของโรคไข้เลือดออกระยะสุดท้าย…!!!
บนเตียง…สายระโยงรยางค์เต็มไปหมด
ต้นนอนซม…หมดเรี่ยวแรง ซีดเหลือง
ลมหายใจโรยรินของต้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เหมือนจะจางหายไป สติเหมือนสวิตซ์ไฟที่หมดอายุติดๆ ดับๆ ขาดเป็นห้วงๆ ไม่เป็นจังหวะ แล้ว…ท้ายที่สุด ก็ดับวูบลงทันที!
******************************
สังขารนี้….ไม่เที่ยง
เป็นทุกข์…ทนได้ยาก
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ เป็นธรรมดา
เมื่อกายแยกขาดออกจากจิต
ธาตุขันธ์ย่อมแตกสลายเสื่อมไป
******************************
มืดกับสว่าง…อะไรดี
ดำกับขาว…อะไรดี
ดีหรือชั่ว…อะไรดี
ทุกข์หรือสุข…อะไรดี
ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้ ก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์