เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 มีนาคม 2024, 18:27:50
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ภาพงานศพท่านพุทธทาสและแม่ชีจันทร์
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์
ผู้เขียน ภาพงานศพท่านพุทธทาสและแม่ชีจันทร์  (อ่าน 10762 ครั้ง)
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 17 สิงหาคม 2011, 08:47:48 »

สมัยเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว  เคยมีการขึ้นคัตเอาท์ภาพหลวงพ่อสดแถวถนนบางนา-ตราด กม.3  เพื่อการโปรโมทวัดธรรมกายเชิญชวนสร้างพระประจำตัวตามรูปแบบอย่างที่มีในวัดปัจจุบันนี้   เคยเห็นแผ่นพับการโปรโมทของแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง นี้ว่าได้เคยถอดกาย ไปปัดลูกระเบิดที่มาทิ้งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แถว ๆ ผั่งธน  ทำให้ไม่เกิดระเบิดในบริเวณนั้น    การโปรโมทนี้ก็ขอให้ลองใช้วิจารณญาณดู  แต่ส่วนตัวเชื่อในคำของพระพุทธเจ้าในหลักกาลามสูตร  :- อย่าปลงใจเชื่อตามคำที่บอกต่อ ๆ กันมา ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า
boy013
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 126



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 17 สิงหาคม 2011, 09:39:11 »

ข้อมูลที่คุณ koyjang นำเสนอนั้นเป็นข้อมูลเก่า แต่สำหรับผมบางเรื่องถือเป็นข้อมูลใหม่ครับไว้ประดับความรู้ ขอบคุณนะครับ ส่วนตัวผมนับถือหลวงพ่อสด หลวงพ่อจรัญ ถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ ถ้ามีโอกาสผมจะย้ายไปแถวสิงห์บุรีหรือชัยนาท ว่าจะแวะไปวัดท่านอยู่เหมือนกัน

เรื่องถอดจิตกับระเบิดของแม่ชีจันทร์ก็เคยได้ยิน นอกจากนี้ผมเคยได้ข้อมูลจากในหนังสือ ที่หลวงตามหาบัวเล่าถึงพระอาจารย์ฝั้นเกี่ยวกับญี่ปุ่นทิ้งระเบิดด้วยด้วย

พูดถึงแม่ชี อยากฝากเพื่อนสมาชิก ลองหาอ่านข้อมูลของอริยสาวิกา "คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น และได้หลวงตามหาบัวต่อยอดจนสำเร็จธรรมขั้นสูงสุด พระธาตุเป็นแก้วใสดั่งชื่อ
IP : บันทึกการเข้า
koyjang
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 132


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 17 สิงหาคม 2011, 11:42:28 »

เคยอ่านประวัติของคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ จาำกหนังสือที่ทางชมรมกัลยาณธรรมแจกให้  และก็ได้ถวายพระธุดงค์แถวบ้านไปแล้วค่ะ  ท่านก็เอาไปแจกให้คนอื่นอ่านต่อไป ที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อจะลงมาพบญาติโยมเวลาเช้า 10.00 น. และบ่ายเวลา 14.00 น.ทุกวันนะคะ  ไม่ได้ไปกราบท่าน 2 ปีแล้ว  เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมาก็เป็นวันคล้ายวันเกิดท่าน  ลูกศิษย์ลูกหามากันเต็มวัดทุกปี มีผู้ที่ศรัทธานำอาหารมาออกร้านกันเยอะมาก และท่านก็จะแจกหนังสือ กฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ทุก ๆ ปีค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 20:56:45 »

ถาม:ทำไมจึงมีเสียงติติงการทำงานของวัดพระธรรมกาย

ตอบ:ที่ใดก็ตามที่มีการทำอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น ก็ย่อมจะมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย มีเสียงติติงเสมอ เพราะผู้ที่ยึดติดอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ย่อมมีอยู่ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เป็นการทำเพื่อคนหมู่มาก ย่อมเป็นที่สนใจ เสียงติติงก็อาจมีมากเป็นธรรมดา เป็นหน้าที่ของผู้ที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม จะต้องรับฟังแล้วนำมาพิจารณาด้วยใจที่เปิดกว้างว่า ที่ตนทำอยู่อย่างนั้นบกพร่องจริงหรือไม่ หากพบว่าจริงก็ให้ปรับปรุงแก้ไขเสีย หากพบว่าเสียงติติงนั้นไม่เป็นความจริง เกิดจากความไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามให้มีข้อมูลความจริงให้เขาได้ทราบ

อีกทั้งบางครั้งก็อาจเป็นได้ว่า เสียงติติงนั้นอาจเกิดจาก ผู้ที่มีใจไม่เป็นกุศล อาจด้วยความอิจฉาริษยา ความหมั่นไส้ หวาดระแวง หรือเสียผลประโยชน์ ก็ตามแต่ ก็จะต้องอดทน เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ตนทำอยู่ปรากฏผลชัดขึ้น ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง

อย่าว่าแต่เราสามัญชนเลย แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระองค์มีพระดำริ จะสร้างสวนลุมพินีเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ก็ยังมีเสียงติติงว่า ทำไมใหญ่โต ไม่มีความจำเป็น แต่ปัจจุบัน ทุกคนต่างก็ตระหนักซาบซึ้ง ในพระวิจารณญาณที่กว้างไกลของพระองค์กันถ้วนหน้า

หรืออย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาส ท่านเป็นผู้ริเริ่มการแสดงปาฐกถาธรรมโดยไม่ถือใบลาน ช่วงแรกๆก็ถูกต่อต้านมาก แต่ต่อมาทุกคนก็ยอมรับ

แม้ในทางโลก เมื่อคุณสมหมาย ฮุนตระกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศลดค่าเงินบาท เมื่อปีพุทธศักราช 2527 ช่วงแรกก็มีผู้โจมตี ด่าว่ากันอย่างสาดเสียเทเสียมากมาย แต่ต่อมาทุกคนก็ประจักษ์ชัดในคุณูปการที่ท่านสร้างไว้แก่แผ่นดินไทย หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน จึงมีจดหมายขอโทษจากบุคคลต่างๆ ที่เคยเข้าใจผิดมากมาย

ผู้ที่คิดจะทำประโยชน์เพื่อชนหมู่มาก จึงต้องเตรียมใจไว้แต่ต้น และต้องอดทน ขอให้พวกเราชาวพุทธ คลายความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในรูปแบบเก่าๆ เราต้องใช้ความเคารพรักในการรักษาธรรมเนียม แต่ก็ให้ถือแก่นเป็นหลักมากกว่าติดที่เปลือกกระพี้ คือ หาทางปรับปรุงรูปแบบ วิธีการเผยแผ่ธรรมะ ปลูกฝังศีลธรรมในใจคนให้ได้ผล ให้คนในยุคปัจจุบันรับได้เข้าใจได้ โดยรักษาแก่นคำสอนในพระพุทธศาสนาไว้อย่างมั่นคง
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 20:57:55 »

ถาม:ทำไมต้องก่อสร้างศาสนสถานใหญ่ๆด้วย พระพุทธศาสนาสอนให้สมถะ ทำอะไรเล็กๆไม่ใช่หรือ

ตอบ:เราชาวพุทธเป็นลูกพระพุทธเจ้า การทำงานก็ควรดูแบบอย่างจากพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำอย่างไร จึงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง เป็นปึกแผ่นสืบทอดมาถึงเราได้ถึง 2,500กว่าปีแล้ว


ในแง่ศาสนสถาน เราพบว่า วัดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่นานที่สุดถึง 20กว่าพรรษา คือ พระเชตวันมหาวิหาร ซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย สิ้นทรัพย์ถึง 54โกฏิกหาปณะ คือ เท่ากับ 540ล้านกหาปณะ ซึ่ง 1กหาปณะนั้น เทียบค่าของเงินปัจจุบันแล้ว มีค่ามากกว่าดอลลาร์หลายเท่า ดังนั้นเมื่อเทียบค่าเงินปัจจุบัน การสร้างวัดพระเชตวันมหาวิหาร จึงสิ้นค่าใช้จ่ายหลายหมื่นล้านบาท อาจถึงแสนล้านบาท และพระเชตวันมหาวิหารนี่เอง ที่เป็นฐานที่มั่นสำคัญในการวางรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในครั้งพุทธกาล และสืบทอดมาถึงเราในปัจจุบัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พระภิกษุเป็นผู้อยู่ง่ายเลี้ยงง่าย ตั้งใจปฏิบัติธรรม ฝึกฝนอบรมตนเอง แต่ในแง่ศาสนสถาน การสร้างวัดซึ่งเป็นสถานที่เผยแผ่ธรรมแก่ประชาชนแล้ว พระองค์กลับทรงชื่นชมอนุโมทนา สนับสนุนการสร้างวัดใหญ่ๆจำนวนมาก นอกจาก เชตวันมหาวิหารแล้ว ก็ยังมีอีกมากมาย เช่น วัดบุพพาราม ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างถวาย เป็นโลหะปราสาท สิ้นทรัพย์นับเป็นค่าเงินเป็นหมื่นๆล้านบาทเช่นกัน พระองค์ถึงขนาดทรงให้พระมหาโมคคัลลนะ อัครสาวกเบื้องซ้าย ไปเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างตามคำของนางวิสาขา เพราะวัดใหญ่ๆ เมื่อสร้างขึ้นโดยมีการใช้ประโยชน์จริง ก็จะสามารถรองรับ ประชาชนได้เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งแผ่นดิน ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริง ก็คือประชาชนนั่นเอง

วัดพระธรรมกาย...เราเริ่มสร้างขึ้นจากวัดเล็กๆ มีศาลาปฏิบัติธรรมจุคนได้เพียง 450คน แต่เพราะการตั้งใจเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ประชาชนที่มาวัดจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหลักหมื่นหลักแสน จึงจำเป็นต้องสร้างศาลาอาคารมารองรับ

มหาธรรมกายเจดีย์...สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมใจปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์จำนวน 1หมื่นรูป สาธุชนจำนวน 1ล้านคน แม้ขณะกำลังก่อสร้างอยู่ ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ครั้งละกว่าแสนคนแล้ว

สิ่งก่อสร้างในวัดพระธรรมกาย จึงสร้างขึ้นเพื่อการใช้งานจริง งบประมาณในการก่อสร้างก็มาจากประชาชนทำบุญ ผู้ใช้ก็คือประชาชน ประโยชน์ก็เกิดขึ้นกับชาวพุทธทั้งแผ่นดิน
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 21:00:04 »

ถาม:แทนที่จะสร้างวัด เอาเงินไปสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ไม่ดีกว่าหรือ

ตอบ:การสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ก็ควรทำ สร้างโรงเรียนทำให้คนฉลาดมีความรู้ สร้างโรงพยาบาลทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทว่า...ผู้มีสุขภาพแข็งแรง ฉลาดมีความรู้มาก หากไม่มีศีลธรรมแล้ว ก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมได้มาก เราจึงจำเป็นต้องสร้างวัด เพื่อเป็นที่ปลูกฝังคุณธรรมแก่ประชาชนด้วย
ขอให้ดูที่ความจริงอย่างหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป คือ คนในสังคมเมื่อทำงาน เกิดความเครียดขึ้นแล้ว ก็มักหาทางคลายเครียด พักผ่อนหย่อนใจกันด้วยวิธีการต่างๆ บ้างก็ดื่มเหล้า บ้างก็สูบบุหรี่ บ้างก็ไปดูภาพยนตร์ บ้างก็ไปเที่ยว บ้างก็ไปวัด

ผู้ที่ชอบดื่มเหล้า ก็จะใช้ทรัพย์เพื่อการซื้อเหล้า ทำให้เกิดโรงงานผลิตเหล้า เกิดบาร์ คลับ ผับ ขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบสูบบุหรี่ ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อบุหรี่ ทำให้เกิดโรงงานบุหรี่ และเครือข่ายขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบดูภาพยนตร์ ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการนี้ ทำให้เกิดการผลิตภาพยนตร์ โรงงานภาพยนตร์มารองรับ ผู้ที่ชอบเที่ยว ก็จะใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว ทำให้เกิดบริษัท ทัวร์ ดิสนีย์แลนด์ สถานท่องเที่ยวต่างๆขึ้นมารองรับ ผู้ที่ชอบเข้าวัด เขาก็จะนำงบหย่อนใจตรงนี้ ไปทำบุญแทนและก็เกิดเป็นวิหาร เจดีย์ โบสถ์ ศาลา มารองรับ

เราไม่สามารถบอกให้คนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ให้เลิกดื่ม เลิกสูบ แล้วเอาเงินไปสร้าง โรงเรียน โรงพยาบาล หรือสร้างวัดได้ มันเป็นความสมัครใจของเขา เราบังคับไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราผลักดันให้คนเลิกทำบุญ เลิกเข้าวัด งบหย่อนใจของเขาตรงนี้ ก็อาจจะกลายเป็นโรงเรียน โรงพยาบาลก็ได้ หรืองบตรงนี้ของเขาอาจกลายเป็นโรงเหล้า โรงบุหรี่ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะเราบังคับเขาไม่ได้ เป็นเรื่องความสมัครใจของแต่ละคน

ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าขณะนี้ผู้คนในสังคมมีศีลธรรมมากเกินไป เข้าวัดมากเกินไป ก็ควรจะช่วยกันรณรงค์ให้คนเลิกเข้าวัด แต่ถ้าคิดว่าผู้คนในสังคม ยังมีศีลธรรมน้อยเกินไป ก็ควรจะช่วยกันรณรงค์ให้เข้าวัด ทำความดีให้มากขึ้น พิจารณาดูสิว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร
บ้านเมืองใด หากมีโรงเหล้า โรงบุหรี่ สถานเริงรมย์ มากมายใหญ่โต แต่มีศาสนสถานเล็กๆ ไม่มีคนสนใจ บ้านเมืองนั้นก็น่าเป็นห่วง แต่บ้านเมืองใดหากมีวัดใหญ่ๆ ศาสนสถานใหญ่ๆ ผู้คนเข้าวัดเข้าวากันมากมาย ก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็น ถึงความเจริญของศีลธรรมของผู้คนในสังคมนั้นๆ ศาสนสถานที่สร้างขึ้น หากสร้างขึ้นเพื่อใช้งานจริง มีประชาชนมาอาศัยใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกันอย่างเนืองแน่น จึงเป็นที่ควรสนับสนุนมิใช่หรือ
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 21:04:06 »

ถาม:ทำไม วัดพระธรรมกายจึงมักมีการบอกอานิสงส์ของการทำบุญ แบบเอาสวรรค์มาล่อ

ตอบ:การทำให้เกิดฉันทะ ความรัก ความสนใจ พอใจที่จะทำสิ่งใด ท่านบอกว่าจะต้องให้เห็นประโยชน์ว่าทำแล้ว ได้อะไร การเห็นประโยชน์ทำให้เกิดฉันทะ ฉันทะทำให้เกิดวิริยะ วิริยะทำให้เกิดจิตตะ จิตตะทำให้เกิดวิมังสา รวมเป็น อิทธิบาทสี่ ธรรมอันยังความสำเร็จให้เกิดขึ้น

แนวทางการแสดงธรรมแก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้อยู่เสมอ คือ หลักอนุปุพพิกถา ซึ่งเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับหัวข้อ มีเนื้อหาลุ่มลึกไปตามลำดับ เพื่อขัดเกลาอัธยาศัยผู้ฟังให้ประณีตขึ้นไปเป็นขั้นๆ คือ

1.ทานกถา ทรงแนะนำสั่งสอนให้ทุกคนให้ทาน มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน เสียสละแบ่งปันกัน

2.ศีลกถา ทรงแนะนำสั่งสอนให้ทุกคนรักษาศีล มีความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม


3.สัคคกถา ทรงพรรณนาซึ่งสวรรค์ ทรงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตั้งใจให้ทาน รักษาศีล ดังที่กล่าวแล้วใน 2ข้อข้างต้น จะได้รับอานิสงส์ คือ การเข้าถึงโลกสวรรค์ ซึ่งมีความสุข ความเจริญ อย่างไร

4.กามาทีนพ หากบุคคลผู้ฟังธรรมมีอัธยาศัยที่จะออกบวชได้ พระองค์ก็จะทรงแสดงถึงโทษของกามว่า มีทุกข์มาก มีโทษมาก มีสุขน้อย อย่างไร


5.เนกขัมมานิสงส์ เมื่อทรงแสดงถึงโทษของกามหมดแล้ว ก็จะทรงแสดงถึงอานิสงส์ของการออกบวช เสร็จแล้วผู้ฟังธรรมนั้นก็มักทูลขอบวช และได้บรรลุธรรมไปตามลำดับ
หลักอนุปุพพิกถานี้ เป็นแนวทางสำคัญในการสั่งสอนประชาชนมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล วัดพระธรรมกายได้ใช้แนวทางนี้ในการอบรมสั่งสอนประชาชน ตามหลักการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้แล้วนั่นเอง
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 21:05:58 »

ถาม:ทำบุญมาก ได้บุญมาก จริงหรือ

ตอบ:การทำทานให้ได้บุญมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีองค์ประกอบ 3ประการ คือ

1.วัตถุบริสุทธิ์ คือ สิ่งที่ให้ทานได้มาด้วยความสุจริตถูกต้อง

2.เจตนาบริสุทธิ์ คือ มีความเลื่อมใสศรัทธา ให้เพื่อหวังบุญจริงๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทน หรือไม่มีเจตนาแอบแฝงหวังประโยชน์ และเมื่อให้แล้วก็ไม่นึกเสียดายภายหลัง

3.บุคคลบริสุทธิ์ คือ ผู้รับเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีคุณธรรม ยิ่งมีคุณธรรมมากเท่าใด บุญก็ยิ่งได้มากไปตามส่วน เช่น ทำบุญกับพระพุทธเจ้า ก็ได้บุญมากกว่าทำบุญกับบุคคลทั่วไป และยิ่งผู้ให้มีศีลบริสุทธิ์ด้วยแล้ว บุญก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก

ถ้าเงื่อนไขดังกล่าว คือ วัตถุ เจตนา และบุคคลผู้ให้-ผู้รับ มีความบริสุทธิ์เท่ากันแล้ว แน่นอนว่าผู้ที่ให้ทานเป็นจำนวนมากกว่าก็ย่อมได้รับผลมากกว่า เหมือนคนทำนา 100ไร่ ย่อมได้ผลมากกว่าคนทำนา 1ไร่

แต่หากผู้ที่ให้ทานด้วยทรัพย์แม้เป็นจำนวนน้อยกว่า แต่มีความตั้งใจ มีความเลื่อมใสศรัทธาเต็มเปี่ยม และได้ให้ทานกับคนที่มีคุณธรรมสูง ก็อาจได้บุญมากยิ่งกว่าผู้ทำด้วยทรัพย์มากยิ่งกว่าเป็นร้อยๆเท่าก็ได้ ดังตัวอย่างของมหาทุคตะในครั้งพุทธกาล ถวายข้าวเพียงมื้อเดียวแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทำด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเต็มที่ ก็ได้อานิสงส์ผลบุญทันตาเห็น กลายเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง

ถาม:ทำบุญควรหวังผลหรือไม่

ตอบ:การทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ทำแล้วก็เกิดบุญ ผู้ที่ทำความดีแล้วก็หวังจะได้บุญ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำโดยรู้วัตถุประสงค์ รู้เป้าหมาย จากนั้นก็พยายามสร้างบุญที่ประณีตขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่บุญจากการให้ทาน ต่อมาเป็นบุญจากการรักษาศีล และบุญจากการเจริญสมาธิภาวนา จากบุญระดับโลกียะ เป็นบุญระดับโลกุตตระ จนกระทั่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำบุญแล้วหวังบุญก็เหมือนนักเรียนเรียนหนังสือแล้วหวังจะได้ความรู้ ซึ่งยอมได้ผลแห่งการศึกษาดีกว่าผู้ที่เรียนโดยไม่หวังความรู้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 21:39:49 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 21:39:24 »

ถาม:คำว่า ธรรมกาย มีในพระไตรปิฎกหรือไม่

ตอบ:คำว่า ธรรมกาย มีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกอยู่ 4แห่ง และในคัมภีร์อรรถกถา และฎีกาอีกหลายสิบแห่ง ดังรายละเอียดในหัวข้อเรื่องหลักฐานวิชชาธรรมกาย นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์พระไตรปิฎกจีนในส่วนที่เป็นเนื้อหาของหินยาน มีการกล่าวถึงคำว่า ธรรมกาย ในหลายๆแห่งระบุถึงความหมายของคำว่า พระธรรมกาย และแนวทางการเข้าถึงไว้อย่างน่าสนใจ แต่เนื้อหาในพระไตรปิฎก ฉบับบาลี ตกหล่นไป

คำว่า ธรรมกาย นี้จึงมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัย และโต้แย้งใดๆ ที่เป็นประเด็นถกเถียงกันก็คือ ความหมายของคำว่า ธรรมกาย บ้างก็กล่าวว่า หมายถึงโลกุตรธรรมเก้า บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า บ้างก็กล่าวว่าหมายถึงกายแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า สิ่งที่สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์ เท่าที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน มาเป็นเครื่องยืนยันว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น ความคิดอันใดอันหนึ่งถูกต้องอย่างปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ

ดังนั้น สิ่งที่ชาวพุทธควรจะกระทำก็คือ ตั้งใจปฏิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์แปด และตั้งใจทำความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ลด ละ เลิก อบายมุข สมัครสมานสามัคคีกัน การถกเถียงกันด้วยเรื่องที่ไม่อาจได้ข้อสรุป ด้วยคำพูด และตัวหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่ให้ประโยชน์ กลับอาจนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง และการแตกแยก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์จะไม่ทรงพยากรณ์ในเรื่องที่เกินวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้ด้วยคำพูด เช่น ไม่ทรงตอบเรื่องโลกนี้โลกหน้าว่า มีจริงไหม โลกมีที่สิ้นสุดหรือไม่ เป็นต้น เพราะตอบไปแล้ว ถ้าเขาไม่เชื่อก็หาข้อสรุปไม่ได้ สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำก็คือ แนะนำให้เขาปฏิบัติธรรม ทำความดีและเมื่อปฏิบัติไปถึงจุดแล้ว เขาก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน
ดังนั้น สิ่งที่ชาวไทยชาวพุทธ ผู้รู้ ผู้มีความปรารถนาดีต่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทยทุกคน ควรทำภารกิจเร่งด่วนในปัจจุบัน คือ ทำอย่างไร จึงจะยกระดับศีลธรรมของคนในสังคมได้ ทำอย่างไร เราจึงจะดึงคนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ให้ชาวพุทธทุกคนเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ให้สังคมไทยเป็นสังคมที่สงบร่มเย็นเป็นสุข มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผู้คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบจากศิษย์วัดธรรมกาย (คุณ Kenny Wattananon)
เอามาฝากครับ
IP : บันทึกการเข้า
คูณบารมี
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,870


อะไหล่ คอม เชียงราย


« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 23:13:43 »

มาติดตามอ่าน ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น  ยิ้มเท่ห์

+111
IP : บันทึกการเข้า

Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2011, 14:25:17 »

มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเวลาเราเจอกันเราจะคุยกันเรื่องธรรมะเสมอ และแล้ววันหนึ่งพี่คนนี้ก็บอกว่า แกเพิ่งเรียนและปฏิบัติสายพระธรรมกายอยู่ แกบอกว่าเข้าใจง่ายกว่าสายอื่นๆ เมื่อก่อนแกไปทางสายหลวงพ่อจรัญ (อันนี้เราไม่ว่ากันแล้วแต่จริตของตัวบุคคลว่าชอบสายไหนแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันถือว่าใช้ได้) และแกก็เล่าต่อว่าจะไปสร้างพระที่นู่นที่นี่ ที่ไหนมีให้ทำบุญแกจะไปหมด และพยายามทำบุญให้ได้มากที่สุด หนูก็เลยถามกลับว่าพี่เที่ยวทำบุญไปนั้นเพื่ออะไรหรือ แกตอบว่าจะได้บุญเยอะๆไง ชีวิตจะดีขึ้นถ้าเราสะสมบุญไว้เยอะๆ หนูฟังคำตอบแกแล้วหนูก็นิ่งไปซักครู่หนึ่ง หนูก็เลยบอกแกว่าอย่ายึดติดการทำบุญ อย่ายึดติดต้องสายนั้น สายนี้ หนูดูท่าทางพี่แกแล้วชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ มันก็ดีนะ แต่ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกศรัทธา ทำไมหนูจึงรู้สึกว่ามันต้องถึงขั้นตะลอนทำหรือถึงต้องได้บุญใหญ่ ต้องทำบุญเยอะๆหรือ ที่เล่ามาไม่ได้ลบหลู่สายธรรมกายแต่อย่างใดเลยนะคะ แต่รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ที่เปลี่ยนไป ท่านใดที่อยู่สายธรรมกายได้โปรดทราบว่าไม่ได้ลบหลู่นะคะ สายของท่านก็ดีค่ะสามารถนำพุทธศาสนิกชนมารวมกันได้เยอะขนาดนั้น บางทีหนูอาจยังมีความเขลาอยู่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสายของท่านก็เป็นได้
IP : บันทึกการเข้า
yuan lanna
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 82


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2011, 13:07:05 »

มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเวลาเราเจอกันเราจะคุยกันเรื่องธรรมะเสมอ และแล้ววันหนึ่งพี่คนนี้ก็บอกว่า แกเพิ่งเรียนและปฏิบัติสายพระธรรมกายอยู่ แกบอกว่าเข้าใจง่ายกว่าสายอื่นๆ เมื่อก่อนแกไปทางสายหลวงพ่อจรัญ (อันนี้เราไม่ว่ากันแล้วแต่จริตของตัวบุคคลว่าชอบสายไหนแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันถือว่าใช้ได้) และแกก็เล่าต่อว่าจะไปสร้างพระที่นู่นที่นี่ ที่ไหนมีให้ทำบุญแกจะไปหมด และพยายามทำบุญให้ได้มากที่สุด หนูก็เลยถามกลับว่าพี่เที่ยวทำบุญไปนั้นเพื่ออะไรหรือ แกตอบว่าจะได้บุญเยอะๆไง ชีวิตจะดีขึ้นถ้าเราสะสมบุญไว้เยอะๆ หนูฟังคำตอบแกแล้วหนูก็นิ่งไปซักครู่หนึ่ง หนูก็เลยบอกแกว่าอย่ายึดติดการทำบุญ อย่ายึดติดต้องสายนั้น สายนี้ หนูดูท่าทางพี่แกแล้วชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ มันก็ดีนะ แต่ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกศรัทธา ทำไมหนูจึงรู้สึกว่ามันต้องถึงขั้นตะลอนทำหรือถึงต้องได้บุญใหญ่ ต้องทำบุญเยอะๆหรือ ที่เล่ามาไม่ได้ลบหลู่สายธรรมกายแต่อย่างใดเลยนะคะ แต่รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ที่เปลี่ยนไป ท่านใดที่อยู่สายธรรมกายได้โปรดทราบว่าไม่ได้ลบหลู่นะคะ สายของท่านก็ดีค่ะสามารถนำพุทธศาสนิกชนมารวมกันได้เยอะขนาดนั้น บางทีหนูอาจยังมีความเขลาอยู่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสายของท่านก็เป็นได้
ลองอ่านกระทู้สงสัยมั๊ย ของท่านละอ่อนโบราณดู น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ที่ท่านหาทางออกให้สำหรับคนที่ยึดติดกับยึดมั่นอยู่ ผมอ่านแล้วยัง  เอ่อน่ะ ดังคนหลงทางที่มีคนชี้ทาง ลองพิจารณาดูครับ


IP : บันทึกการเข้า
Beebie13
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2011, 07:57:09 »

มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเวลาเราเจอกันเราจะคุยกันเรื่องธรรมะเสมอ และแล้ววันหนึ่งพี่คนนี้ก็บอกว่า แกเพิ่งเรียนและปฏิบัติสายพระธรรมกายอยู่ แกบอกว่าเข้าใจง่ายกว่าสายอื่นๆ เมื่อก่อนแกไปทางสายหลวงพ่อจรัญ (อันนี้เราไม่ว่ากันแล้วแต่จริตของตัวบุคคลว่าชอบสายไหนแต่จุดมุ่งหมายเดียวกันถือว่าใช้ได้) และแกก็เล่าต่อว่าจะไปสร้างพระที่นู่นที่นี่ ที่ไหนมีให้ทำบุญแกจะไปหมด และพยายามทำบุญให้ได้มากที่สุด หนูก็เลยถามกลับว่าพี่เที่ยวทำบุญไปนั้นเพื่ออะไรหรือ แกตอบว่าจะได้บุญเยอะๆไง ชีวิตจะดีขึ้นถ้าเราสะสมบุญไว้เยอะๆ หนูฟังคำตอบแกแล้วหนูก็นิ่งไปซักครู่หนึ่ง หนูก็เลยบอกแกว่าอย่ายึดติดการทำบุญ อย่ายึดติดต้องสายนั้น สายนี้ หนูดูท่าทางพี่แกแล้วชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ มันก็ดีนะ แต่ทำไมหนูถึงไม่รู้สึกศรัทธา ทำไมหนูจึงรู้สึกว่ามันต้องถึงขั้นตะลอนทำหรือถึงต้องได้บุญใหญ่ ต้องทำบุญเยอะๆหรือ ที่เล่ามาไม่ได้ลบหลู่สายธรรมกายแต่อย่างใดเลยนะคะ แต่รู้สึกฉงนเล็กน้อยกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ที่เปลี่ยนไป ท่านใดที่อยู่สายธรรมกายได้โปรดทราบว่าไม่ได้ลบหลู่นะคะ สายของท่านก็ดีค่ะสามารถนำพุทธศาสนิกชนมารวมกันได้เยอะขนาดนั้น บางทีหนูอาจยังมีความเขลาอยู่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสายของท่านก็เป็นได้
ลองอ่านกระทู้สงสัยมั๊ย ของท่านละอ่อนโบราณดู น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย ที่ท่านหาทางออกให้สำหรับคนที่ยึดติดกับยึดมั่นอยู่ ผมอ่านแล้วยัง  เอ่อน่ะ ดังคนหลงทางที่มีคนชี้ทาง ลองพิจารณาดูครับ




เห็นคำตอบชัดเจนมากๆ ขอบคุณค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
newbum666
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 09:53:45 »

แอบมาอ่าน ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
nazha
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 156


เหนือกว่ากฏหมาย คือ กฏแห่งกรรม


« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 11:30:34 »

ฝึกจิต วิสัยของคนชอบความสบาย ความสอาด แล้วความสงบก็ตามมา
ฝึกกาย แม้จะทุกข์หนัก ก็ฝ่าฟันลองดู จนสุดท้านก็รู้ ความสงบอยู่ไม่ไกล


....

อย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์ มันเลย มันเป็นเช่นนั้นเอง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป กรรมใคร กรรมมัน

สาธุ
IP : บันทึกการเข้า

ณชารีย์  ชินวรสิริวัชร (เพื่อนคอม)
240 หมู่18 ต.อ่างทอง อ.เมือง กำแพงเพชร 62000 T.0815308963 /บัญชี ธ.กรุงไทย 6200080178
แมงคอลั่น
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,451



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2011, 10:27:41 »

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเห็นมีรถบัสไปรอรับ "แม่ออก" ที่หน้าอำเภอ ผมเลยถาม แม่ออกว่าจะไปไหน คำตอบคือ ไปวัดธรรมกาย  แล้วผมก็ถามว่าไปกี่วัน ค่ารถเท่าไหร่ คำตอบคือ "สามวัน ฟรีทุกอย่าง" นี่หรือคือกุศโลบายให้คนเข้าวัด
IP : บันทึกการเข้า
samurai_dek
ห้าแยกพ่อขุนฯ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 204


ศรัทธาต้องมาก่อนสิ่งดีๆจึงจะตามมา


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 07:35:13 »

นานาจิตตัง
IP : บันทึกการเข้า

หนึ่งการกระทำ  สำคัญกว่าพันคำสอน  หนึ่งตัวอย่างที่มีชีวิต  มีผลสัมฤทธิ์กว่าร้อยอนุสาวรีย์
@@@ฮิเดโก๊ะ@@@
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 106


« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2011, 08:40:55 »

บุญ-บาป อยู่ที่ใจเราค่ะ ไม่ต้องไปแสวงที่ไหน ถ้าทำเพื่อให้ได้ถือว่ายังไม่สิ้นกิเลส ถ้ายังขัดแย้ง สงสัย ถือว่ากิเลสยังอยู่ พระพุทธเจ้าสอนให้ละกิเลส ต้องไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แล้วจิตเราก็จะสงบ แค่นี้แหละค่ะบุญ เคยได้ยินมาว่าคนใส่บาตรกับคนที่ทอดกฐินใหญ่ ใครได้บุญเยอะกว่ากัน พระท่านตอบว่า ตอนใส่บาตรกับตอนทำกฐินเต็มใจ อิ่มใจ ตั้งใจหรือเปล่า ถ้าเต็มใจ อิ่มใจ ตั้งใจแค่ไหนบุญก็ได้ตามความตั้งใจ อิ่มใจ เต็มใจนั่นแหละ แสดงให้เห็นว่าบุญอยู่ที่ใจค่ะ ไม่ได้อยู่ที่มีคนรู้ หรือมีคนอ่านรายชื่อ
IP : บันทึกการเข้า
แซมบัคแซมบัค
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 134



« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 22:27:11 »

       ....หลักปฎิบัติตามสายพระธรรมกายจริงของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำนั้นสามารถปฏิบัติได้จริง
       ....ส่วนที่นำไปปฏิบัติดี ก้อมีให้เห็นและดีจริง
       ....ส่วนที่มีการนำมาใช้หาประโยชน์ก้อจริง     
       ....แบ่งแยกชนชั้นการได้บุญตามจำนวนเงินก้อจริง
       .....ถ้อยคำที่ใช้ในการชักจูง สวยงาม น่าหลงใหล  มันก้อจริง
       .....การจัดงานศพ แม่ชีอลังการจริง ผู้คนเรือนแสน จริง
       .....ผู้คนที่มีจิตใจศรัทธา หลายประเทศมีจำนวนมากจริง
       ......แต่หลักปฎิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน มันต้องใช้เงินจริง...
       ...  บอกเล่าเพราะในวันงานศพ แม่ชี..เราคือหนึ่งในแสนผู้มีประสบการณ์จริง .. 

                มีหลายเรื่องราวที่หลายคนไม่รู้จริง แต่การที่ได้ไปร่วมงานในวันนั้นจริงก้อทำให้รู้ว่ามันจริง..เฮ้ออออ


                    ***จนวันนี้ก้อไม่เคยคิดไปอีกเลยจริงๆ***
IP : บันทึกการเข้า
tonkla
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,334


ธรรม=ธรรมชาติ ธรรมดา ธรรมนูญ


« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 12 ธันวาคม 2011, 19:41:39 »

ตามมาดูเช่นกัน ไม่กล้าออกความเห็นเช่นกัน
IP : บันทึกการเข้า

"เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง"(ไว้เตือนตนเอง)
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!