สวัสดีครับทุกท่าน ***แก้ไขข้อตั้งกระทู้ใหม่ ขอบคุณครับ ^_^
ตอนนนี้เราจะมากล่าถึง กระเป๋า 4 ใบครับ
*************************************************
3.แบ่งเงินค่าใช้จ่ายที่เหลือจากเงินรายได้ลบเงินออมนั้นใส่กระเป๋า 4 ใบ
อันนี้ก็ตามแนวของพระพุทธเจ้าเลยครับ ที่พระองค์ทรงแนะนำฆาราวาสเรื่องการใช้ทรัพย์เมื่อหามาได้ ผมขอนำมาปรับเพื่อให้เข้าใจง่าย ส่วนใครสนใจในรายละเอียดก็หาอ่านเพิ่มเติมครับ http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=6324.0 หรือลิ้งค์อื่นๆ
3.1กระเป๋าใบที่1 กระเป๋าจ่ายหนี้ หมายความว่าต้องใช้หนีก่อน จะได้ไม่ทุกร้อนในภายหลัง เมื่อเรามีหนี้ก็ใช้ให้ครบ บางคนหากโชคดีไม่มีหนีสิน ก็อย่าลืมหนีบุญคุณพ่อแม่ บุพการีผู้มีพระคุณต่างๆอันนี้เราก็ต้องทดแทนหนีบุญคุณท่านตามโอกาสและเห็นสมควรครับ อาจจะไม่ได้เป็นตัวเงินก็อาจเป็นสิ่งของ ตามโอกาสต่างๆ เช่น วันพ่อ วันแม่ วันครู เป็นต้น
3.2 กระเป๋าใบที่ 2 เงินใช้จ่ายในครอบครัว คือแบ่งส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครอบครัวทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
3.3 กระเป๋าใบที่ 3 เงินทำบุญครับ คำว่าบุญนั้นถือเป็น “ต้นทุน” ชีวิตอย่างหนึ่ง เพราะบุญคือบาทฐานแห่งการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีเสมอ ไม่มีใครร่ำรวยหรือโชคดีได้ถ้าไม่มีบุญคอยสนับสนุนค้ำจุน
ยกตัวอย่างเศรษฐีระดับโลกอย่าง Warren Buffett, Bill Gate, Steven Jobs ถ้าหากศึกษาประวัติแล้วจะพบว่าคนเหล่านี้จะเชื่อเรื่องกรรมมาก และเขาเหล่านี้มักทำบุญบริจาคทานอย่าสม่ำเสมอ ตั้งแต่ยังตั้งตัวสร้างรากฐานในวัยหนุ่ม พวกเขามักสอนคนรุ่นใหม่เสมอว่า จงรีบทำบุญสร้างบุญเสียตั้งแต่วัยหนุ่มสาวหรือตอนที่ยังมรแรงดีอยู่ ก่อนจะไม่มีแรงไปสร้างบุญ แต่หากเป็นของเมืองไทยเอง ก็พอยังมีอยู่บ้าง คนแรกคือ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ซึ่งได้สละเงินของตนเองก่อตั้งเป็นมูลนิธิอมตะ โดยใช้เงินไปมากมายเพื่อกิจกรรมในการสร้างสรรค์พัฒนาศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลวรรณกรรมที่มอบให้กับเหล่านักเขียนรุ่นใหญ่ที่ทำงานเพื่อสังคมมาตลอดชีวิต เรียกรางวัล “นักเขียนอมตะ” นอกจากนี้ยังมี คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี คุณธนินท์ เจียรวนนท์ คุณวิลเลี่ยม ไฮเนกี้ ซึ่งท่านทังหลายเหล่านี้ในปีหนึ่งๆล้วนบริจาคเงินเพื่อการกุศลหลายร้อยล้านบ้านทั้งที่เปิดเผยและปิดทองหลังพระ
3.4 กระเป๋าใบที่ 4 นำเงินส่วนหนึ่งกันไว้เตรียมเป็นเงินลงทุน ซึ่งข้อนี้ก็คล้ายกับข้อ 3 แต่เป็นเงินที่เตรียมนำไปลงทุนในตลาดเงิน ในทางวิชาเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ เพราะคนเราไม่สามารถใช้แรงแลกเงินไปตลอดชีวิต จำเป็นต้องใช้เงินต่อเงินหรือใช้เงินทำงานนั้นเอง เงินที่ใช้นี้ต้องเป็นเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายไม่ใช่เงินออม อ่านอีกครั้ง เป็นเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่าย ไม่ใช่เงินออม ที่ให้เตรียมเงินลงทุนไว้ในส่วนนี้ ไม่ให้เอาเงินออมมาลงทุนเพราะการลงทุนมีความเสียง เสียงด้วยปัจจัยดังนี้
1.ขาดทุน คือสภาวะที่เราใช้เงินไปทำกิจกรรมต่างที่ต้องใช้แรงหาเงิน ไม่ว่าจะเปิดร้านขายของ ลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีโอกาสขาดทุนได้ทั้งสิ้นอาจจะมากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล ซึ่งข้อนี้จะนำไปสู่ข้อ สอง
2.เงินจม แปลว่ามีเงินอยู่แต่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เพราะถูกนำไปแปลรูปให้อยู่ในลักษณะอื่นต้องรอเวลา คือต้องรอขายทรัพย์ที่ถูกแปรสภาพก่อนเพื่อเปลี่ยนเป็นเงิน เช่น ซื้อหุ้นแต่ติดดอย ซื้อของมาขายแต่ขายยังไม่ออก
3.ขายไม่ออก หากเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตราสารเงินก็คือภาวะ “รอผู้ซื้อ” เกิดในหุ้นที่มีสภาพคล้องต่ำ ถึงแม้ราคาหุ้นที่เราซื้อมาจะมีกำไรพอที่จะขายได้ แต่รอทั้งวันก็ไม่มีคนซื้อ
4. WORST CASE คือการสูญเสียที่ร้ายแรงที่สุด เช่น ซื้อหุ้นไว้แล้ว หุ้นของบริษัทที่เราซื้อบริษัทเกิดความเสียหาย หรือถูกฟ้องล้มละลาย ใบหุ้นที่ซื้อไว้ก็จะกลายเป็นเศษกระดาษทันที่ เช่น หุ้น ITV หรือที่ดินที่ซื้อไว้ โดนราชการทวงคืนเพราะกลายเป็นที่ลุกล้ำอุทยาน เช่น แถววังนำเขียว เขาใหญ่ในตอนนี้ ก็ต้องคืนเขาไป โดยไม่ได้อะไรเลย
ด้วยเหตุนี้การกันเงินค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินลงทุน จึงเป็นคนละส่วน กับเงินออม ถ้าหากใครสับสนเอาเงินลงทุนกับเงินออมไปใช้รวมกันแล้ว ก็ต้องถามตัวเองอีกหลายๆครั้งว่า ถ้าเงินลงทุนสูญหายหรือเสียหาญไปหมดแล้ว เรายังมีเงินเก็บ โดยไม่เดือดร้อนใช่หรือไม่ ดังนั้นห้ามเอาเงินเก็บกับเงินลงทุนมาเกี่ยวกันโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามอย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าพออ่านตรงนี้เสร็จแล้วต้องเอาเงินมาแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจอย่างนั้นจึงบอกกับตัวเองว่า
“ฉันจะมีเงินเก็บได้อย่างไร แค่ค่าใช้จ่ายกับใช้หนี ยังชักหน้าไม่ถึงหลังเลย” พอทัศนะคติผิดๆเกิดขึ้น เลยไมมีความเพียรในการเก็บเงิน สุดท้ายก็ไม่มีเงินเก็บ คำว่าแบ่งนั้นให้แบ่งเป็น 4 ส่วนโดยไม่ต้องแบ่งให้เท่ากันแต่ต้องแบ่งให้มีความเหมาะสม
ยกตัวอย่างเช่น กรณีนายร่ำรวย เงินเดือน 10,000 บ. ก็ทำตามสูตรโดย STD ออม 20% ใช้ 80% ก็จะได้ 10,000 – 2,000 = 8,000 บาท ที่เหลือ 8,000 ก็จะเป็นรายได้สุทธิที่เราจะเอามาบริหารค่าใช้จ่าย ก็จะแบ่งเป็น
จาก 8,000 บาท
1.ใช้หนี้ 50% = 4,000 บ. (เลี้ยงดูพ่อแม่บุพการี+ใช้หนีสินส่วนตัว)
2.ใช้จ่ายส่วนตัว 45% =3,600 บ.
3.ไว้ทำบุญในทุกรูปแบบ 3% =240 บ.
4.เงินเตรียมไว้ลงทุน 2% = 160 บ. (อันนี้ละครับที่เรียกว่าเงินเย็น….เฆคพัตร)
รวมแล้วก็จะครบ 8,000 พอดี เมื่อบริหารการแบ่งเงินที่เหลืออยู่จากเงินเก็บได้แบบนี้แล้ว ต่อๆ ไปการเงินของเราก็จะเริ่มมีระบบมากขึ้น และอัตราส่วนของเงินค่าใช้จ่ายนี้ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แม้แต่เศรษฐีส่วนใหญ่ก็ยังมีหนี้สิ้นที่ต้องจ่ายเช่นเดี๋ยวกับเรา อย่างไรก็ตามตัวเลขข้างต้นเป็นเพียงการสมมุติ อาจปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพชีวิตของแต่ละคนอย่างไรก็ตามเมื่อบริหารจัดการได้ดังนี้แล้วอย่างสม่ำเสมอ อัตราส่วนในเงินค่าใช้จ่ายอาจกลับข้างหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นใช้หนี 10% รายจ่าย 30% เงินทำบุญ 20% และเงินลงทุน 40% ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปชีวิตเริ่มสะดวกสบายมากขึ้นหรือรายได้มากขึ้นอัตราส่วนของการใช้หนี้และรายจ่ายก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะหนี้ที่มีอยู่ย่อมหมดไป (ยกเว้นเรื่องดูแลบุพการี) และเงินจะไปหนักอยู่ที่เงินลงทุนและเงินทำบุญมากขึ้น
4.บริหารเงินออมที่เก็บไว้ (ขอเอาไว้ต่อ ภาค 3 น่ะ ครับ ^_^)