ขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้เจอกับกลุ่มประเภทนี้เนื่องจากเมื่อประมาณช่วงปี 59 ได้กลับไปเยี่ยมที่สถานศึกษาเดิิมและได้รู้จักอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือในสังคม และประกอบกิจการธุรกิจจนเป็นที่นับหน้าถือตาในจังหวัด
อาจารย์ท่านนี้ ที่ข้าพเจ้าทราบและรู้จักกันมาเป็นคนชอบไปวัดทำบุญ และท่านได้ไปพบเจอกับกลุ่มคนและจัดตั้งกลุ่มหรืออยู่ในกลุ่มไลน์ ว่า "กลุ่มสายบุญ..... "
จากนั้นพฤติกรรมของอาจารย์ท่านนี้ได้เปลี่ยนไปจากคนที่ตั้งใจทำงาน ทำธุรกิจ ก็ใช้โอกาส ความน่าเชื่อถือและความมีหน้าตาในสังคม หลอกระดมเงินเพื่อนที่ทำงาน ญาติพี่น้องและผู้ร่วมทำธุรกิจ โดยอ้างว่าเอาไปลงทุนร่วมกับนักธุรกิจ....ใหญ่ในจังหวัด วิธีการระดมเงิน ตัวอย่างเช่น
- 1. ขอยืมเงินมาลงทุนทั้งนี้รวมถึงการขอยืมบัตรเครดิต
- 2. ชักชวนให้กู้ร่วม(จากโปรโมชั่นหรือแคมเปนของบางธนาคาร)
- 3. ชักชวนให้กู้แทน
ซึ่งตัวอย่างกระบวนการทั้งสามจะทำสัญญา โดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ถึง 3 ต่อเดือน ซึ่งสัญญานั้นจะมีผู้เซนต์คือ ผู้กู้ ผู้ยืม และพยาน 1 คน (อาจารย์ท่านนี้จะให้คู่สมรสของตนเซนต์เป็นพยานแทบทุกครั้ง)
โดยระหว่างนั้น ผู้ที่ให้เงินไปจะได้รับเฉพาะดอกเบี้ย ตามสัญญาเป็นระยะเวลาเช่น 1 ปี 2ปี หรือ 3 ปี เมื่อหมดสัญญาจะได้รับเงินก้อนนั้นคืน แต่ต้องแจ้งก่อนล่วนหน้า 30 วัน
เมื่ออาจารย์ท่านนี้ เปิดระดมเงินมาอยู่ที่ตัวเองและเมื่อใกล้หมดสัญญาจะมีกระบวนการที่ถ่วงเวลาการที่ผู้ให้กู้ขอเอาเงินต้นคืน หรืออาจจะคืนให้เพียงบางส่วนก่อน (ปรกติคนที่ให้รับเงินจะถูกโกงเมื่อเวลาผ่านไป 8-10 เดือน ก่อนหมดสัญญา) จากนั้นอาจารย์ท่านนี้ ได้ลาออกจากงานไป โดยให้เหตุผลประมาณว่า ธุรกิจที่ทำมีผลกำไรและการประกอบการที่ดี ต้องการขยายกิจการไปต่างจังหวัด หรือเพื่อเปิดรับงานระดับ AEC เป็นต้น
ข้อสังเกตุ การประวิงเวลาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยด้วยความน่าเชื่อถือประกอบกับทักษะการพูด อาจารย์ท่านนี้จะประวิงเวลา โดยให้ความหวังว่าผู้ให้กู้จะได้รับเงินมากขึ้น เงินที่ทำธุรกิจใกล้จะออกแล้ว ฯลฯ ต่างต่างนานา แต่ยังให้เงินที่เป็นดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้อยู่ นอกจากนั้น ยังแจ้งผู้ให้กู้แต่ละคนไม่ให้พูดคุยกัน ใส่ความผู้ให้กู้แต่ละคนหรือหาวิธีการไม่ให้เกิดการแชร์ข้อมูลกันของผู้ให้กู้
สถานะการณ์ปัจจุบันอาจารย์ท่านนี้ได้หนีไปแล้ว...
ขอแบ่งระดับความเสียหายเนื่องจากผู้ให้กู้แต่ละคนมีวงเงินไม่เท่ากัน
กลุ่มที่ 1 ได้ทำการแจ้งความไปบางส่วนแล้ว เนื่องจากเป็นวงเงินที่มาก
กลุ่มที่ 2 กลุ่มเงินสด ไม่ได้แจ้งความเพราะเห็นว่า จำนวนเงินที่ให้ไปเป็นจำนวนเงินไม่มาก ซึ่งอยู่ประมาณ 20,000 - 60,000 บาท
กลุ่มที่ 3 กลุ่มเงินจากการกู้ร่วม บัตรเครดิต ฯลฯ ไม่ได้แจ้งความเพราะเห็นว่า จำนวนเงินที่ให้ไปเป็นจำนวนเงินไม่มาก สามารถชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอยู่ประมาณ 10,000 - 100,000 บาท ซึ่งปัจจุบันผู้ให้กู้ก็ผ่อนชำระ แบกรับหนี้ส่วนนั้น
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 เห็นว่าการแจ้งความก็ไม่สามารถนำเงินนั้นคืนมาได้ เป็นคดีแพ่ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายทนายความ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ก็ง่วนอยู่กับการทำงาน และการที่จะได้รับเงินคืนนั้นเป็นไปได้ยาก จากการสืบข้อมูลพบว่าอาจารย์ท่านนี้ ได้โอนทรัพย์สินและขายทรัพย์สิน ของตนทั้งหมด เช่น บ้าน รถ เงินสด เงินในบัญชี นอกจากนั้น อาคารที่ทำการเปิดบริษัทเป็นอาคารเช่า
***ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้
1. การลงทุนใดๆ ย่อมมีความเสี่ยง โปรดพิจารณาให้ดี
2. คนที่มีความน่าเชื่อถือในสังคม ไม่ใช่ผู้ซื่อสัตย์และเป็นคนดีเสมอไป
3. ไม่ควรให้ใครยืมเงิน หากไม่แน่ใจความสามารถในการคืนเงินของผู้ยืม
และหากให้ใครยืมให้ทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ได้คืน
4. ไม่ควรเป็นผู้ค้ำประกัน หากไม่แน่ใจในความสามารถในการคืนเงินของผู้ยืม และหากค้ำประกันให้ใคร ควรเตรียมทำใจ และสำรวจตัวเองว่า หากเกิดเรื่องเลวร้ายจริงๆ จะรับมือกับหนี้ก้อนนั้นได้ไหม
5. การระดมทุน มีทั้งที่ตั้งเพื่อมีเจตนาดีและเจตนาไม่ดี ส่วนน้อยเพียง 1% ที่เป็นเจตนาไม่ดี แต่คนทั่วไปมักเจอใน 1% นั้น
วันนี้ขอแบ่งปันเท่านี้ก่อนนะ ถ้าว่างจากภาระกิจ จะเข้ามาเขียนรายละเอียดให้ (ถ้ามีผู้สนใจที่จะอ่านต่อ)
หากท่านใดมีประสบการณ์ขอร่วมแชร์กันด้วยนะครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผู้เสียหายมากไปกว่านี้
นี่เป็นส่วนเริ่มต้น จากการเก็บข้อมูลที่ข้าพเจ้าเสียรู้มา ...ก่อนจะเข้าสู่เรื่อง "เงินพัน แลกเเสน", "เงินขวัญทุน อารีบาบา...", "กองทุนเงินรากหญ้า...", "ธุระกิจเงินลาว...." ฯลฯ