เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 09:59:26
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  บ.หลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ สาขาในจังหวัดเชียงราย(ใครมีที่ไหนเพิ่มเติมบอกได้นะครับ)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์
ผู้เขียน บ.หลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ สาขาในจังหวัดเชียงราย(ใครมีที่ไหนเพิ่มเติมบอกได้นะครับ)  (อ่าน 51405 ครั้ง)
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:33:26 »

ชีวิต  Trader โปรดอ่านให้จบ



Trader  level 1

Level 1 unconscious  incompetence


หลังจากเซ็นสัญญา พร้อมส่งเอกสารต่างๆให้กับ  Broker เสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเป็นเทรดเดอร์ได้ เพราะคุณคิดว่า
ทุกคนที่เป็นเทรดเดอร์ ทำรายได้ ๆ ไม่น้อยเลยที่เดียว . และอาจสามารถทำรายได้มากกว่าเป็นขี้ข้าอยู่ในขณะนี้ ถึง 3 เท่า

ใช่หรือไม่ ?

คุณอาจทำรายได้ โดยประมาณไม่ต่ำกว่า  100 – 200 จุด ภายใน 1 วัน , ( แค่คิดและตั้งความหวัง )
บางครั้งคุณยังมีความ วิตก กังวล ขึ้นมาบ้างในระยะแรก หรือพูดกับตัวเองอยู่เสมอว่า  
ผมไม่เชื่อ!!! แค่ใช้ 1 indicator , โอ้โห คุณมีความสามารถ ,คุณทำได้

เสียดาย  market เอาชนะคุณจนได้. แต่ยังคิดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเอาชนะตัวเอง  
ว่าไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ประสบความสำเร็จ หรือดวงดีไปตลอด.
Loss,loss,loss,loss, เข้ามาหาคุณทุกวินาที  สู้ สู้ต่อไป ,จนมาจิ้นไกล้จะหมด ,
หากหมดแล้วจะทำยังไง ? ใครจะทนได้วะฮ์ ?

มาถึงตอนนี้ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าไกล้หมดตัวแล้ว ( ความจนถามหาอีกครั้ง แต่ยังคิดว่า
จนไม่กลัว กลัวรวย เพราะ จนมานาน แล้ว) แต่คุณยังสู้ ต่อไป .ยังพูดกับตัวเองเสมอว่า
ฉันทำได้  ฉันต้องทำได้ .ฉันต้องเอาชนะมันให้ได้ ,ฉันคือนักเทรดผู้ยิ่งใหญ่.

คุณยังคิดว่าคุณคือนักเทรดผู้ยิ่งใหญ่อีกหรือ ? เป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ
แต่คูณไม่รู้ว่า 90% ของนักเทรดหายไป , ถึงตอนนี้แล้วคุณมีความรู้สึกอย่างไร ?
 คุณไม่มีหลักการอะไรที่มั่นคง. แต่ยังดื้อรั้นคิดที่จะเอาชนะเทรนอยู่นั่นแหละ  
ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้…..

90% ของนักเทรดที่หายไป เขาเทรดโดยที่ไม่ เคยคิด เลยว่า อันที่จริงแล้ว
ความแน่นอนคือความไม่ แน่นอน . ( พูดแบบพื้นๆ ว่าเหมือนคน บ้า)
เป็นเพราะเวลา ระยะสั้น มีแค่ 10% ของนักเทรด ที่สามารถเดินทางไปสู่ level ที่ 2 ได้

 

Level 2

Level conscious imcompetence


ถึง level นี้ คุณเริ่มคิดขึ้นได้ว่าคุณไม่ สามารถเทรดได้ อย่างสม่ำเสมอ เลยนั่งคิดด้วยความกังวล ,
ต่อมาได้จ้อง มองหา web side ., indicator, และคู่เมือไหม่ๆ   เพื่อเทรด
( คิดว่าจะใช้ได้ถึง 100% สุดท้ายแล้วก็ผิดหวังอีกครั้ง)  คุณเริ่ม เมามันกับ indicator
และคู่มือไหม่ ๆ เหมือนกำลังเดินทางอยู่กลางทะเลทราย  ด้วยความหิว และ
ยังไม่เห็นเลยว่า ซ้าย หรือ ขวา ที่ควรเดินไป หรือจะเดินหน้าอีกต่อไป  ……..!!!

ระหว่างที่กำลังอยู่ใน level ที่ 2 คุณเริ่ม ทดลองใช้ 5-9 indicator มารวมกัน
เพื่อให้ปวดหัวตาลาย  และ เพื่อความสวยงามของกราฟ สุดท้ายแล้ว ก็ยังเหมือนเดิม

หลังจากนั้นคุณเริ่ม คิดขึ้นได้ ว่าการต่อสู้ กับ market นั้นไม่ใช่เรื่อง ง่าย ,
เริ่มสังเกตุเห็นว่า indicator ทุกตัว ที่ได้มานั้น ใช้ได้หมด แต่ …indicator
ทุกตัวก็จะปมด้อย ของตัวเอง , ต่อมาคุณก็เริ่มเข้าไปใน chat room เพื่อพูดคุย
และถามอะไรหลายๆอย่างจากนักเทรดรุ่นเก่าๆ บางครั้งคำถามบางคำ
เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม ( แต่หากคุณไม่ถาม คุณก็จะไม่มีวันรู้ในสิ่งเหล่านั้น)

หลังจากนั้นคุณเริ่มใช้แค่ 2-3 indicator เพื่อพา ตัวเองไปสู่ level ที่ 3  
จาก10%ของนักเทรดที่ ที่ขึ้นมาจาก level ที่ 1 เหลือแค่  7% ที่เอาตัวรอด
เลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ level ที่ 3 ได้  , อีก 3% ของนักเทรดที่สอบตกยัง อยู่ ใน level ที่ 2 อีกต่อไป

 

Level 3

Level  3 the eureka moment


เมื่อผ่านจาก level 2 ขึ้นมาอยู่ level ที่ 3 จะรู้ว่า การที่จะเป็น นักเทรดที่ประสบความ
สำเร็จนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ indicator หลายตัวเลย เพียงแค่ใช้ สมองคิดเล็กน้อย
บวก กับ fibo +stock 17-4-6 +zig zeg +money manegemant+trade manegemant – โลภ
แค่นั้นเอง ในเมื่อใช้เวลา ถึง 1ปี 8 เดือนเศษ ถึงเดินขึ้นมานั่ง อยู่  level ที่ 3 ได้  
คุณเริ่มครอบครอง เทรนได้อย่างที่ ไม่เคยคิดมาก่อน หากเทรนยังไปไม่ถึงเขต
ที่คุณต้องการ  คุณได้แค่นั่งมอง แตะจุดที่คุณ ต้องการเมื่อไหร่เข้าเป้าแน่นอน

ในสมองของคุณมีแค่คำเดีนว  คือ  คำว่า  profit  ไม่ว่ามาบอกคุณว่าใช้ indicator
ตัวไหน ดี คุณ จะไม่ฟังอีกต่อไป เพราะคุณรู้ว่า วิธีที่คุณกำลังใช้อยู่ในการเทรดนั้น
ดีที่สุดแล้ว , ใช้เวลาอยู่ใน level ที่ 3 ประมาณ 5 เดือน คุณก็เริ่มเข้าใจเรื่อง
moneymanegemant เพื่อเดินทางไปสู่ level ที่ 4 คุณจะใช้ทุนเทรดแค่ 2%
จากทุนก้อนใหญ่ และตั้ง stop loss 2% จากทุนที่ลงเล่น

ไชโย !!! คุณชนะ   สู้ๆๆๆๆๆ

จาก 7% ของนักเทรดที่เดินทางมาจาก level ที่ 2 เหลือแค่ 5% ที่เดินไปสู่ level ที่ 4 ได้

 

Level 4

Level 4 consciuos competence


โอเค คุณสามารถเดินทางขึ้นมาอยู่ level ที่ 4 จนได้ คุณจะเทรดในเมื่อมี signal buy หรือ sell เท่านั้น
เข้าพร้อมออก คุณเริ่มตั้ง profit ไว้ 20 จุด ถึงแม้ว่า signal ของคุณ เทรนจะไปได้
ถึง 100 จุดก็ตาม , ไม่โลภ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 เดือน , หลังจากนั้น
คุณเริ่มตั้ง profit ที่  30-40 จุด เป็นเวลา 6 เดือน ต่อมาคุณเริ่ม เดินทางไปสู่ level ที่ 5

 

Level 5

Level 5 คือ level ที่นักเทรดทุก คนรอคอย


กว่าจะ มาถึง level นี้ได้ใช้เวลา 3 ปีเศษ ใครๆก็แห่กัน มาถามอะไรหลายๆอย่างจากคุณ
เขาทั้งหลายจะถาม ทุกอย่างที่เขาอยากรู้กัน เพราะพวกเขา ยังอยู่ level ที่ 1 เหมือนคุณ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

คุณเป็นคนที่ไม่ต้องกังวลเรื่อง การเงินอีกต่อไป,มีเวลาให้กับครอบครัว ,ไปไหน
มาไหน ได้ตามใจชอบ ,  อยากได้อะไรก็ซื้อ โดยไม่ต้องคอยเงินเดือนออก ,
หรือจะเลือก โรงแรมระดับ 5 ดาว เป็นสำนักงานเทรดก็ได้

 

เพิ่มเติม

การลดความเครียด


 ความเครียดถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเป็นนักเทรดซึ่งส่งผลในหลายๆระดับ
ต่อนักเทรด forex , นักคาดการณ์ รวมทั้งนักลงทุนทั่วไป , ความวิตกกังวลและความเครียด
มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมในทางลบ เช่น  การแสดงพฤติกรรมตอบโต้เกินความเป็นจริง  
หรือ ตอบโต้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ในตลาด forex ความเครียดสามารถนำไปสุ่การสูญเสียผลประโยชน์และออกอาการที่ไม่เหมาะสม

 การรับรู้

ข้อมูลทุกอย่างที่มาสู่สมองของเรา เข้ามาผ่านทางสำนึก ปัจจัยนำเข้าหลักๆ
สัมพันธ์กับการกระตุ้นที่เปิดเผย  การสัมผัส  การชิมรส ดมกลิ่น  มองเห็นและได้ยิน
เป็นผู้รับรู้เบื้องต้น จากชั่วเวลาของการรับรู้ เราจะจะถูกถาโถมอย่างไม่ลดละจาก
การกระตุ้นของสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอีกมากมาย

 

     คุณคือนักเทรดผู้ยิ่งใหญ่!!!!!!!!

แหล่งที่มา http://forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=611006

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012, 09:56:57 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:56:05 »



10 คำถามของคนอยากรวย...... เมื่ออ่านจบแล้ว  คุณคิดว่า  คุณตอบคำถามตัวเองได้หรือยัง



สิบข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง

ข้อหนึ่ง เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

และสุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

แหล่งที่มา http://forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=432444
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:05:14 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:00:25 »


บัญญัติ 10 ประการ "อยากรวย ต้องรู้

1."ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work)

2. การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน

3. การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)

4.การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา

5.หนทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ วิธีการ หรือสไตล์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง "เกมภายนอก" (outer game) แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" (inner game)

6.การ "เอาชนะดัชนี" (beat the index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" (beat the market) ได้ เคล็ด (ไม่) ลับในการจะยืนหยัดอยู่ในเกมการลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ "ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืนอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ฝืนตลาด

7.ความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆ แล้วมันอาจเปรียบได้กับการวิ่งแข่งระยะไกล (marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร (sprint) ดังนั้น คุณจะต้อง "รู้จักตัวเอง" (know yourself) ว่าอะไรคือสไตล์การลงทุนที่เหมาะสม ที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk attitude) และทักษะในการลงทุน (risk aptitude) เพราะนั่นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุรกิจ" นี้ในระยะยาว

8.ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง "รู้จักเครื่องมือ" (know the vehicle) ว่ามีลักษณะและรูปแบบการให้ผลตอบแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง

9.นอกจากนี้ คุณต้อง "รู้จักตลาด" (know the market) คือ รู้ว่าตลาดการเงินมีธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นลงของตลาด และต้องรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

10.อย่าติดอยู่ในกับดักของ "การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" (information overload) ซึ่งมัวแต่สนใจหาข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จนไม่กล้าลงมือปฏิบัติ (analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด (zero-defect mentality) จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ "จำกัดความเสี่ยง" (risk limitation) ไม่ใช่ "กำจัดความเสี่ยง" (risk elimination) ถ้าถามว่ากฎที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ (rule of thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด "อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า rule of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องลงมือทำ"
 
ในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ" (luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge
แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้อง" นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:03:08 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:09:38 »


การควบคุมสติในการเล่นหุ้น เมื่อขาดทุนติดกัน

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น โดย Barry Lutz

ในช่วงที่ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำกับนักเล่นหุ้นทุกคนนั้น
คือการขาดทุนที่มักจะเกิดขึ้นติดๆกันเป็นระยะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือการควบคุมอารมณ์และสติของเราให้มั่นคง เพื่อที่จะรักษาวินัย
ในการลงทุนเอาไว้ และในวันนี้ผมได้นำวิธีการง่ายๆที่อาจช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และสติของคุณได้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยครับ



คุณได้เข้าซื้อหุ้นไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มดิ่งหัวลง หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะ Short หุ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็เด้งขึ้นทันที นับรวมแล้วก็เป็นอันว่าคุณขาดทุนติดกัน 2 ครั้งเสียแล้ว และมันทำให้คุณรู้สึกค่อนข้างลังเลขใจเล็กน้อย นั่นทำให้คุณรู้สึก
แหยงๆที่จะไม่เทรดหุ้นในสัญญาณครั้งต่อไป และเป็นอย่างที่คุณคิดเอาไว้ นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณได้กำไร! เอาล่ะสมมุติว่ามันแย่กว่านั้นอีก คุณตัดสินใจไล่ซื้อตามมันไป ซึ่งหลังจากที่คุณได้ไล่ซื้อมันไปไม่นานนัก มันก็ดิ่งหัวลงมาและทำให้คุณขาดทุนอีกครั้ง สรุปแล้วในขณะนี้คุณขาดทุนติดกันถึง 3 ครั้งแล้ว..

คุณอาจคิดว่า “โอเค.. ลองอีกครั้งก็ได้ฟระตรู เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละวุ้ยยยย”

ในครั้งนี้ คุณตัดสินใจอย่างฉลาดสุดๆ คุณสังเกตได้ว่าตลาดนั้นวิ่งอยู่กรอบแคบๆ มันจะเด้งขึ้นเมื่อเจอกับแนวรับ และเด้งลงเมื่อเจอกับแนวต้าน ดังนั้นในครั้งต่อไป คุณจึงตัดสินใจที่จะซื้อ-ขายเมื่อมันวิ่งไปชนกับกรอบราคา แทนที่จะเล่นด้วยระบบเดิมๆของคุณ

ต่อมานั้น ตลาดได้วิ่งไปคลอเคลียอยู่แถวแนวรับ ซึ่งมันเข้าทางกับแผนการที่คุณได้วางเอาไว้ คุณจึงตัดสินใจ “ซื้อมันซะเลย” แต่แทนที่มันจะเด้งขึ้นเหมือนอย่างที่ผ่านมา ราคาของหุ้นกลับดิ่งทะลุแนวรับไปเสียนี่.. และนี่ไม่เพียงทำให้คุณขาดทุนติดๆกันถึง 4 ครั้ง แต่นี่เป็นการขาดทุนจากการที่คุณแหกระบบที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของคุณไป เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นสัญญาณที่หากว่าคุณทำตามระบบไปละก็ กำไรในคราวนี้จะกลบการขาดทุนใน 3 ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดเลยทีเดียว

เอาล่ะ เมื่อมาถึงตอนนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไป.. “เลิกเล่น?” แล้วพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ตัวเองหลงผิดมาเก็งกำไรครั้งใหม่..
โยนคอมพิวเตอร์ทิ้งไปนอกบ้านซะเลย แล้วลืมๆมันไปซะ… นี่เป็นสัญญาณที่กำลังบอกคุณว่า คุณกำลัง “จิตหลุด” แล้วหละครับ

อะไรคือภาวะ “จิตหลุด”

ผมคิดว่าภาวะของอาการ “จิตหลุด” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณนั้นได้ยอมรับว่า “การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบการลงทุนและการเก็งกำไร” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่การขาดทุนที่สะสมติดต่อกันนั้น ได้ค่อยๆทำให้คุณสะสมความกดดันจนไปถึงจุดหนึ่งที่คุณนั้นไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้อีกแล้วนั่นเอง ซึ่งภาวะอาการ “จิตหลุด” กะทันหันนี้ ทำให้คุณนั้นหน้ามืดและมองข้ามระบบการลงทุนของคุณไป และถูกแทนที่ด้วยอารมณ์จากผลการซื้อ-ขายในครั้งที่ผ่านๆมานั่นเอง และถึงแม้ว่าการ “เลิกเล่น” นั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูจะเหมาะสมในช่วงเวลาอย่างนี้ แต่อาการ “จิตหลุด” ของคุณนั้น อาจจะทำให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่คาดคิดไปตามอารมณ์ของคุณก็เป็นได้ และมันอาจเป็นไปอย่างนั้นจนถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมันหมดหวังเต็มที จนทำให้คุณนั้นไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและจำเป็นต้อง “เลิกเล่น” ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม บทความนี้นั้นไม่ได้พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของอารมณ์และการเก็งกำไรของคุณ หรือเกี่ยวกับเรื่องของความกลัวซึ่งคอยขัดขวางนักเล่นหุ้นหรืออะไรเทือกๆนั้น เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่า อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคุณต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน หรือไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องเลิกเก็งกำไรซะ

นี่เป็นบทความที่เกี่ยวกับการที่โดยปกติแล้วคุณนั้นสามารถที่จะควบคุมอารมณ์และสติของคุณในการเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้นักเล่นหุ้นอย่างเราๆเสียการควบคุมไป และเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งผลจากการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดทุนซึ่งเกิดจากการแหกระบบของนักเล่นหุ้นเองนี่เองที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะกับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ หรือนักลงทุนระดับล่างๆ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นทุกคน ซึ่งไม่ว่าใครก็มีสิทธิที่จะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรไป ทุกอย่างก็ดูจะผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และนั่นทำให้เราเกิดการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้งขึ้นมา ดังนั้น นี่จึงเป็นสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นได้กับนักเล่นหุ้นทุกคน เพียงแต่ว่านักเล่นหุ้นแต่ละคนแต่ละระดับนั้น จะมีการตอบสนองต่อภาวะเช่นนี้ต่างกันไป

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้นักเล่นหุ้น นาย A. อาจจะเกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเกิดอาการ “จิตหลุด” ตามมาทันที
ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจของเขาไปและผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนที่มากกว่าที่ได้คาดคิดเอาไว้อย่างมากมาย หรือในอีกทางหนึ่งนั้น
นาย B. อาจจะเกิดความรู้สึกอยาก “เอาคืน” และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เนื่องจากเขามั่นใจว่ายังไงซะ การเก็งกำไรครั้งต่อไปของเขาจะสามารถทำให้เขากลับมาเท่าทุนเหมือนเดิมได้ แต่แล้วอาการ “จิตหลุด” นี้ก็ยังดังเนินต่อไปพร้อมกับการขาดทุนของเขา
และทำให้เขาต้องสูญเสียเงินไปมากกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้แต่แรก.. แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จอย่างนาย C. ล่ะ เขาทำอย่างไรกับภาวะเช่นนี้?

การควบคุมภาวะของอาการ “จิตหลุด” ในการเล่นหุ้น

เมื่อคุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดี คุณจะพบว่า “ทุกครั้งที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณได้เกิดขึ้นและคุณสุญเสียการควบคุมสติของคุณไป นั่นจะยิ่งทำให้อาการ “จิตหลุด” ในครั้งต่อไปของคุณเกิดขึ้นเร็วยิ่งกว่าเดิม” นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาหนึ่งที่การเล่นหุ้นกลายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินกว่าที่คุณจะทนไหว ซึ่งทำให้คุณไม่อยากเล่นหุ้นอีกต่อไปนั่นเอง

เมื่อลองคิดและไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง คุณจะพบว่า “มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ในการเล่นหุ้นของคุณ แทนที่คุณจะตัดสินใจเลิกเล่นหุ้นไป” เนื่องจากการเลิกเล่นหุ้นเก็งกำไรนั้น ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะมันไม่ได้ช่วยป้องกันให้คุณไม่คิดที่จะกลับมาลองเก็งกำไรหรือเล่นหุ้นรอบใหม่อีกครั้ง และไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับภาวะขาดทุนติดๆกันอีกครั้ง

ในการที่จะควบคุมสติของคุณให้ได้ ก่อนที่คุณจะเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั้น คือการเอาชนะจิตใจและตัวตนข้างในของคุณให้ได้เสียก่อน คุณต้องทำมันและพาตัวเองกลับมาเดินอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วคุณจะได้กำไรชีวิตจากสิ่งที่คุณทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะคุณจะรู้ว่าถึงแม้คุณจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่คุณก็จะมั่นใจในตนเองว่าคุณจะข้ามผ่านมันไปได้ และสามารถควบคุมสติของคุณเอาไว้ได้จนไม่ต้องเกิดการขาดทุนที่มากมายอีกครั้ง

วิธีการง่ายๆที่จะช่วยคุณได้ คือให้คุณลองนำสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นหลักหรือแก่นในการเก็งกำไรของคุณ มาเขียนลงในกระดาษโน้ทเล็กๆแปะไว้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณระลึกและตระหนักถึงมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ในจิตสำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา แทนที่มันจะไปฝังอยู่ในจิตไต้สำนึกของคุณจนลึกเกินไปนั่นเอง แต่จงระวังไว้ว่าทุกๆครั้งที่คุณได้เขียนโน้ทเอาไว้นั้น ขอให้แน่ใจว่าคุณกำลังเขียนแนวคิดลงไป ไม่ใช่วิธีการ จงอย่ายึดติดกับ”วิธีการ” จนเป็นการทำให้ปัญหาของคุณนั้นย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงช่วงเวลาที่อารมณ์ของคุณนั้นพลุ่งพล่านจากการที่คุณได้เกิดการขาดทุนติดๆกัน ภายในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบแคบๆดู แล้วลองเขียนโน้ทลงไปในลักษณะคำพูดแบบนี้ครับ

“อารมณ์บ้าๆนี้อาจจะมาจากการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วของเรา และการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วนี้อาจมาจากการที่เราพยายามเล่นหุ้นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆนี้ก็ได้ หรือเราอาจกำลังเล่นหุ้นบ่อยเกินไปก็ได้ และไม่มีอะไรที่ได้ผิดพลาดไปในระบบของเราหรอก ตราบใดที่เรายังเล่นหุ้นได้ตามระบบของเราอยู่ ทุกอย่างก็ยังคงปกติและเราก็ยังเล่นหุ้นได้ดีอยู่เหมือนเดิม”

เอาล่ะ หรือไม่คุณอาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งเขียนออกมาในสถานการณ์เดียวกันดู

“อย่าเป็นไอ้โง่ที่เล่นหุ้นโง่ๆบ่อยเกินไปสิฟะ! เหมือนกับว่ากลัวที่จะขาดทุนในวันนี้เสียเหลือเกิน อย่าทำเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่งั้นเรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะเล่นหุ้นเกินไปถ้ายังคิดจะเล่นในหุ้นแบบเดิมๆอีก”

จงรักษา “สติ” ของคุณเอาไว้


“รักษาสติเอาไว้” คือประโยคต่อไปในกระดาษโน้ทของคุณ

อีกวิธีหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำได้นั้น คือโดยการเขียนโน้ทซึ่งคุณพอจำได้ว่าก่อนที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณจะเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หายใจเร็วขึ้น, เหงื่อออกเยอะ, บิดตัวไปมาอยู่บนเก้าอี้ หรืออาการนั่งไม่ลง และหลังจากที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณเริ่มรุนแรงขึ้น เช่น โวยวาย, ขว้างปาสิ่งของ หรือทำลายข้าวของ จนในที่สุดเมื่อคุณเกิดเอาการ “จิตหลุด” แบบเต็มขั้นหรือการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด

แน่นอนว่ามันคงจะมีลิสท์รายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว แต่การที่คุณสามารถที่จะตระหนักถึงมันได้เมื่อมันเกิดขึ้นมานั้น อาจช่วยให้คุณเริ่มที่จะสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะควบคุมตัวของคุณแทนนั่นเอง

คอยตระหนักอยู่ตลอดเวลา

คุณควรต้องรู้ถึงสิ่งที่มีศักย์ภาพที่จะก่อให้เกิดอาการ “จิตหลุด” ของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการที่คุณจะยอมรับว่าตัวของคุณนั้นมี “อารมณ์” ข้องเกี่ยวอยู่เสมอ และจงอย่าพยายามที่จะมองข้ามมันไป หรือพยายามเก็บมันซ่อนเอาไว้เพราะคุณมองว่ามันคือสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอของคุณ เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

คุณเป็นมนุษย์! มนุษย์ทุกคนมีอารมณ์ และอารมณ์จะเข้มข้นขึ้นเมื่อสถานการณ์ต่างๆนั้นเริ่มบีบคั้นขึ้นมา ดังนั้น คุณอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอกว่าคุณจะทำอะไรเมื่อคุณ “จิตหลุด” และสูญเสียการควบคุณขึ้นมา แต่คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ หรือจำให้ได้ว่าคุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อาการ “จิตหลุด” นั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณมี “สติ” อยู่เท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาแย่ๆของการเล่นหุ้นซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะช่วยให้คุณ “กลับมา” มีสติขึ้นอีกครั้ง

แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้นทำอะไรบ้าง?

นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้น คือนักเล่นหุ้นที่สามารถที่จะควบคุม ”สติ” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่เขามีกำไรหรือขาดทุน และมี “สติ” อยู่ในทุกๆเวลา การมี “สติ” นั้นเป็นส่วนสำคัญในการที่จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอาการณ์ “จิตหลุด “ ในการเล่นหุ้นขึ้นมา นักเล่นหุ้นที่ดีนั้นสามารถที่จะประเมิณการขาดทุนของเขาในรูปแบบของการเกิดขึ้นตามธรรมดาของระบบการลงทุน และนักเล่นหุ้นที่ดีนั้นจะสามารถเล่นหุ้นได้ตามระบบที่ดีของเขาได้ไม่ว่าจะต้องเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายเพียงใด และถึงแม้พวกเขาจะเกิดการขาดทุนขึ้นมา พวกเขาก็จะเข้าใจว่ามันต้องเกิดขึ้น พวกเขายอมรับกับ “ความน่าจะเป็น” ที่มันจะต้องเกิดขึ้น และทำตามระบบต่อไป ซึ่งการซื้อ-ขายครั้งต่อไปนั้นอาจจะทำกำไรให้พวกเขาก็ได้

จิตวิทยาการลงทุน


แหล่งที่มา http://forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=429356
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 23:16:39 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:32:06 »


กูรูพันล้าน  เสี่ยยักษ์  วิชัย  วชิรพงศ์

เรื่องราวจะน่าสนใจ  และน่าติดตามอย่างไร  อาจจะยาวมากสักหน่อย แต่รับรองคุ้มที่ติดตาม  มาอ่านกันเลย

ความเป็น “สุดยอด” ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ “พันล้านบาท”
จาก “ต้นกล้า” ฝ่าแดด…ต้านฝน จนเป็น “ไม้ใหญ่”


1 บทสรุปของ “สุดยอดวิชา”  จาก เสี่ยยักษ์ วิชัย  วชิรพงศ์

จะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
ผมเตรียมที่จะมาพูดตรงข้ามกับคุณศิริวัฒน์เลย คือคุณศิริวัฒน์ บอกว่าอย่าเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเป็นมือ อาชีพ เช่น คุณจะเป็นหมอฟันต้องเรียนทันตแทพย์มา คุณจะเล่นหุ้น เจ็ดวันคุณมาเล่นหุ้นแล้ว แล้วคุณก็เออ ก็ได้ ทุกคนส่วนมากเล่นหุ้นแรกๆ มักจะได้ แล้วก็จะตามเพื่อน สุดท้ายเพื่อนที่อยู่มาสิบปีก็มีผิดเหมือนกัน ผิดเพราะรู้ไม่จริง

เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมอยู่มาประมาณยี่สิบปี เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ผมขอยืนยัน ถ้าคุณเก่งจริง เทคนิคไม่เคยหลอกเพียงแต่เราไม่รู้ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือข้อที่ 1

รายย่อยได้เปรียบรายใหญ่
ข้อที่ 2 นักเล่นหุ้นทุกคนล้วยเคยเป็นรายย่อยมาหมด เมื่อก่อนผมก็เป็นรายย่อย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ได้เปรียบ มันไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้ เปรียบเพราะว่าคุณซื้อหนึ่งครั้งคุณเต็มพอร์ต คุณขายหนึ่งครั้งหมดพอร์ต
แต่ถ้ารายใหญ่หลายร้อยล้านหุ้น จะขายยังไงดังนั้นรายย่อยจึงได้เปรียบรายใหญ่มากๆ

ทำธุรกิจยากกว่าเล่นหุ้น
อย่างที่บ้านทำโรงงานเล่นหมี่ พ่อสามารถส่งไปยังลูกนี่คือธุรกิจ ธุรกิจสามารถส่งต่อได้ พี่ชายเป็นหมอ หลานอีกคนเป็นหมอก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่ อีกอยู่ดี ดังนั้นการทำธุรกิจยากกว่าตลาดหุ้นมาก ตลาดหุ้นถ้าอยากจะเลิกก็เลิก อยากจะไปก็ไปหันหลังพรึบสามช่องก็ออกได้แล้ว

เล่นหุ้นต้องเป็นยาม
ดังนั้นการเล่นหุ้นเราต้องรู้ให้จริง ต้องมีการวางแผน เราต้องรู้ตัวว่าจะทำอะไร เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อน เปรียบเสมือนกับการเฝ้ายาม คุณต้องใจ เย็นๆ ต้องนิ่งๆ ต้องเป็นยาม

คว้าดาวเด่น
ถ้าตรงนี้ใช่ทางของเราๆ ก็เล่น ถ้าไม่ใช่ทางของเรา เราก็ไม่เล่น แต่ระรอบของมันจะมีดาวเด่นอยู่ คุณต้องคว้าให้เจอ คุณต้องหาให้เจอ รอบที่ผ่นามา  เช่น atc จาก 3 บาท เป็น 75 บาท บางคนซื้ออ 3 ขาย 3.5 แพ้ชนะกันที่เฉียดรวย

เทคนิค + พื้นฐาน
ใช้เทคนิคเป็นจุดซื้อขาย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูพื้นฐาน เปรียบเสมือนกับคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนเลยนั่งรอในรถ รถ สตาร์ตเครื่องแล้วแต่ไม่ออก บรื้นๆ อยู่นั่นแหละ จังหวะมันผิด อ้าวคันข้างๆ ออกไปแล้ว กระเป๋ารถเมล์มาเขย่ากระป๋องสามที โชเฟอร์เบิ้ลเครื่องอีกสอง ที ไอ้เราก็นั่งรอ ไม่ใช่คันนี้อีกแล้ว เราเปลี่ยนดีกว่า ไปนั่งคันที่ออก ทุกคนโดนมาหมด มันจึงต้องใช้เทคนิค เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ปฏิวัติเนี่ยะนะ เทคนิคเคิลก็ยังรู้เลย แต่ก็รู้แค่เล็กๆ เพราะว่าอะไรนะรึ เพราะว่าผมจะปฏิวัติ ผมก็ต้องไปบอกญาติ บอกเพื่อนบอกแฟน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนโทร มาบอกว่ามันจะไม่ดีนะ แต่บอกก่อนล่วงหน้าตั้งสิบวัน เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เทคนิคอล เทคนิคอลช่วยกำหนดการซื้อให้เราได้ แล้วดูหุ้นที่พื้นฐาน ตอนขายเทคนิเคิลไม่เคยหลอกอีกเหมือนกัน

ไม่มีใครถูกเสมอและผิดตลอดไป
จากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูอย่างวิเคราะ คุณสมพงษ์บอกซื้อ คุณหมอบอกรออีกหน่อย ไม่มีใครถูกใครผิด เพราะมันวัดผลกันยาวๆ อย่างคุณสมพงษ์ บุคลิคเป็นคนจิตใจดี แตงโมบอกผมไปทำแมนชั่นดีกว่า นี่คือบุคลิคของคน
ดังนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างไร
คุณสมพงษ์อดทน เค้าไปเยี่ยมชมบริษัท คุณทำแบบเขาได้หรือไม่ การมาพูดครั้งนี้คุณสมพงษ์เขีนยมายี่สิบหน้า เวลาเขามองหุ้นเขามองสามปีถึงสิบปี มองเน้นคุณค่า
แต่กรณีอย่างผมเล่นเก็งกำไร สมมุติว่าตอนนี้เวลาประมาณตีสาม ยังไม่เช้า ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อ อย่างใจเย็นๆ แล้วจะรู้ว่าตีห้าได้อย่างไร
มันยากมากที่จะรู้ ตอนแรกผมก็เล่นน้อยก่อน ไม่ใช่ว่าทุ่มสุดตัวแล้วปรากฏว่า อ้าว โดนนิ้วอีกแล้ว

ต้องดูเครื่องมือ ดูเทคนิค ถามผู้รู้
ตราบใดที่คนข้างๆ มีกำไร แสดงว่าตลาดดี ถ้าคนข้างๆ ขาดทุน ตลาดก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ปี50 ประมาณตีสาม ยังมีผีอยู่ ถ้าอย่างนั้นตีสามอย่าพึ่งจ่ายตลาดเยอะ

หุ้นเด่นในดวงใจ
ทุกคนเล่นหุ้น ต้องมีหุ้นในดวงใจให้ได้ก่อน วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจคุณจะนิ่ง เหมือนเช่นเดียวกับคุณสมพงษ์
เขาจะสามารถ let profit run เยอะ เพราะทนได้ยาว เขาอึด วันไหนไม่มีหุ้นในดวงใจ รับประกันเลยว่าไม่มีทางรวยแน่ๆ
พอซื้อเสร็จเห็นขึ้นไปช่องสองช่อง เห็นว่าโดนทุบมาล้านนึง เสร็จเลย ขายซะแล้ว พอขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อน้อยลง
ศึกษาเยอะๆ หาหุ้นในดวงใจให้เจอ

ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
แล้วแต่ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากชนะต้องศึกษาและรอบรู้ ต้องมีเพื่อนเยอะ ดูว่าเขาศึกษาอย่างไร เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราคนเดียว ใครทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น
ถ้าคุณเล่นหุ้นปั่น สักวันถ้าคุณไม่เลิกสุดท้ายก็หมดตัว เพราะจุดจบของหุ้นปั่นคือหมดอยู่แล้ว บางครั้งเรารอดเพราะเขาเอาปืนแก็บยิงเรา
แต่วันไหนเอาแหครอบที่เดียวเราโดนแน่ อย่าตามหลังมวลชน ศึกษาเยอะ ๆ อ่านเยอะๆ มีหนังสือเยอะเลยตามร้านหนังสือ

ของฝากนักลงทุน
อย่าตามหลังมวลชน จุดที่มั่นใจที่สุดคือจุดที่อันตรายที่สุด จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด อย่าคิดคนเดียวอย่าตอบคนเดียวอย่าเล่นหุ้นคนเดียว ถามเองตอบเอง เออเองจัดการด้วยตนเองหมด สุดท้ายก็ตายเอง เราทำอะไรไว้เราก็จะได้สิ่งนั้น

ตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อนฝูง
คนที่อายุเยอะแต่ไม่ยอมปรับตัว ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จสุดท้ายล้มเหลวในหุ้น คนมีระเบียบวินัยมากศึกษาตลอดเวลามีความมั่นคง คนนี้เป็นนักแบตทีมชาติ เค้าก็ประสบความสำเร็จ อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนตลอดเวลา ทุกคนรักไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความ สำเร็จ เพราะความเอื้อเฟื้อ จึงไม่มีคนไปหลอกอะไรเขา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาไม่เก่งอะไรเลย แต่เขาเป็นคนที่ทุกคนรัก ก็ประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่ตรงกันข้ามตลอด พอเราบอกแบบนี้ มันก็คิดว่าเอ๊ะ มันต้องเป็นแบบนั้นนะ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน
เพราะว่าเหรียญมีสองด้าน เลยพูดได้หมด ไม่เคยโทษตัวเอง เป็นเจ้าของฉายา รู้อย่างนี้ หรือ รู้อะไรไม่เท่ารู้อย่างนี้
ตอนแรกมีหลายสิบล้านตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว

อีกคนทำการบ้านตลอด คอยเช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา แอบดูพอร์ตคนอื่นตลอด เวลาคุยกับมาร์ก็ถามเรื่องของคนอื่น
สุดท้ายต้องไปตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน ไปกินข้าวกับมาร์ยังต้องหารกันเลย แต่เค้าก็ประสบความสำเร็จได้
อีกคนย้ำคิดย้ำทำเสียดายตลอดเวลา เป็นคนละเอียดไม่เอาเปรียบใคร สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ

ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันมีช่องทางของแต่ละคน แล้วแต่เราจะเลือกทางไหน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคงไม่เกินความสามารถของพวกเราจะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ

แหล่งที่มา http://forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=425717
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 22:40:04 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 23:07:41 »


จงตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและมีสติตลอดเวลา



บัฟเฟฟต์ แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน  

ควรเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้  มีสติที่ดี คุณต้องควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา
การมีสติที่ดียังหมายถึง ควบคุมจิตใจเมื่อต้องรับมือกับสภาวะต่างๆในตลาด
สติดีที่ยังหมายถึง การมีวินัย คุณจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่เป็น
ไปตามที่คาดการณ์  และคุณจะทำอย่างไรเมื่อเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีเต็มตัว
ควรระวังสติของตัวเองในด้านความโลภและความกลัว
ควรเปลื่อนความกลัวเป็นความกล้า กล้าที่จะซื้อ-ขาย(เมื่อมองเห็นสัญญาณ)
กล้าที่จะยอมตัดขาดทุนให้ไว (เมื่อรู้ว่าผิดทาง มีการกลับตัวของทิศทาง)
ควรตัดความโลภภายในใจตัวเอง

เบนจามิน เกรแฮม  อาจารย์ของบัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนก็คือตัวเขาเอง”
อย่าตื่นตกใจในความสับสนของตลาด อย่าปาเป้าโดยการซื้อ-ขาย บ่อยๆและตลอดเวลา
(จากการวิจัยพบว่า ยิ่งซื้อ-ขายมากเท่าใดโอกาสขาดทุนก็มากเท่านั่น)
รู้จักตัวเองและตัดสินด้วยตัวคุณเอง คุณต้องมีวินัยและความอดทน
ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง

บัฟเฟตต์พูดว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั่นคุณต้องการเพียงแค่สติปัญญาธรรมดาๆ
แต่ต้องการความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ  
ถ้าคุณสามารถใจเย็นอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นๆรอบข้างกำลังตกใจคุณก็เป็นต่อในการลงทุน


จงอดทน

บัฟเฟตต์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า การลงทุน ต้องมีความอดทน
ความอดทนไม่ใช้เรื่องง่ายๆแต่เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการควบคุมอารมณ์ในการลงทุน
(เมื่อรู้กราฟเป็น sideway เลี่ยงโดยการปิดโปรแกรมแล้วหาอย่างอื่นทำดีกว่า)
อย่าปล่อยให้ความอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการอดทนรอในช่วงที่ไม่น่าเข้าเทรด
เมื่อซื้อ-ขายจงใจเย็นและไม่หลงระเริงไปกับ “ความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสม”
และตกอยู่ในอำนาจของความกลัวเพราะถ้าแนวโน้มขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไป
แต่จงอย่าโลภเมื่อมีสัญญาณกลับตัวให้เห็น(ออกให้เร็ว) มีวินัยเมื่อระบบเปลื่อนทิศทาง

เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวในหนังสือ “The Intelligent Investor”
ว่าเราได้เห็นเงินจำนวนมากตกเป็นของคนธรรมดาๆที่รู้จักการควบคุมสติให้เหมาะสม
กับขบวนการลงทุนของพวกเขา มากกว่าพวกที่มีความรู้ด้านการเงินการบัญชีและผู้เชี่ยวชาญ
ที่ขาดความอดทน จงซื้อ-ขายต่อเมื่อคุณมั่นใจและแน่ใจแล้วเท่านั่น ถ้ายังไม่มั่นใจควรอยู่นิ่งๆก่อน
อย่ามองและเช็คกราฟตลอดเวลา(รอจังหวะให้เป็น)

แหล่งที่มา http://forextrader.igetweb.com/index.php?mo=3&art=571380
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 23:18:57 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2011, 19:47:59 »

   ท่านวัยทองฯ อายุยังน้อย ขยันศึกษาหาข้อมูลไว้ และนำไปใช้ปฏิบัติให้เข้ากับลักษณะ

ของตัวเอง  ผมเชื่อว่าท่านมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนฯแน่ครับ

   หาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ด้วยตัวของตัวเองให้ได้ เป็นกำลังใจให้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2011, 20:27:26 »

  ท่านวัยทองฯ อายุยังน้อย ขยันศึกษาหาข้อมูลไว้ และนำไปใช้ปฏิบัติให้เข้ากับลักษณะ

ของตัวเอง  ผมเชื่อว่าท่านมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนฯแน่ครับ

   หาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ด้วยตัวของตัวเองให้ได้ เป็นกำลังใจให้ครับ

ขอบคุณมากครับ จากการที่ได้ไปสนทนากับท่าน cupid แล้ว

ทำให้ผมเกิดความรู้และฉลาดขึ้นมากเลยครับ

ผมต้องบอกว่าโชคดีมากที่ได้พบเจอพูดคุยกับพี่ๆทุกท่าน

เพราะได้นำเอาประสบกาณ์ที่แต่ละท่านเล่ามา มาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์

เหมือนกับได้เรียนรู้ทางลัด ที่มุ่งไปสู้ความสำเร็จ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผมหรือนักลงทุนท่านอื่นๆ

ที่จะต้องตัดสินใจและมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จด้วยตัวของตัวเอง

ขอบคุณครับ


อ้างถึง
ปล. บทความที่นำมาลง ผมก็ไม่ใช่เป็นคนคิดเองนะครับ

แต่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อการลงทุนไม่มากก็น้อย

ก็เลยนำมาลงไว้ให้อ่านกันครับ ซึ่งตัวผมเองก็จะได้อ่าน

ไปพร้อมกับทุกท่านด้วยครับ

IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2011, 08:34:20 »



เงินสี่ด้าน (Money Machine) คุณเลือกหรือยังว่าจะอยู่ด้านไหน?


ฝั่งซ้าย/ สำหรับลูกจ้างมืออาชีพ คิโยซากิทายลักษณะนิสัยและจุดเด่นๆให้คุณแล้ว ดังต่อไปนี้
1 ต้องการความมั่นคงของ “งาน”
2 “กลัว” ความเสี่ยง และการขาดทุน
3 พอใจกับการรับรายได้ตามกำหนดเวลา
4 หยุดทำงาน รายได้ก็หยุด จึงไม่มีเวลาขยับขยายไปทำงานอย่างอื่น
5 ขาดไหวพริบทางการเงิน
6 ทำงานหนักเพื่อ “เงินเดือน” สูงๆ หรือสวัสดิการตอบแทนดีๆ

ฝั่งซ้าย/ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ลองพิจารณาว่าใช่คุณหรือไม่
1 มีความสามารถและเชี่ยวชาญในงานเฉพาะด้าน
2 ชอบตัดสินใจเองคนเดียว
3 ชื่นชอบการรับรายได้ตามความสามารถ
4 ต้องการมีอิสระ ไม่ต้องการมีเจ้านายมาคอยสั่งงาน
5 หยุดทำงานนานๆ รายได้ก็หยุด
6 มักมีปัญหาเกี่ยวกับลูกจ้างเสมอๆ

ฝั่งขวา/ สำหรับผู้เป็นเจ้าของกิจการ
1 มีความเชี่ยวชาญในการเลือกคน อ่านคนเก่ง
2 สร้างระบบเพื่อทำเงินให้ตนเอง
3 มีวิสัยทัศน์ และความสามารถในการตัดสินใจ
4 หยุดทำงานนานๆได้ แต่รายได้ไม่หยุด
5 มีไหวพริบทางการเงิน
6 ต้องการอิสรภาพทาง “การเงิน”

ฝั่งขวา/ สำหรับนักลงทุน
1 มีความสามารถในการบริหารเงิน และเข้าใจแหล่งที่มาของเงินเป็นอย่างดี
2 ให้เงินทำงานหนัก
3 ยอมรับความเสี่ยง และการขาดทุน
4 หยุดทำงานนานๆได้ แต่รายได้ไม่หยุด
5 มีไหวพริบทางการเงิน
6 ต้องการอิสรภาพทาง “การเงิน”

จากเงินสี่ด้าน ความคิดของคนด้านฝั่งซ้าย และความคิดของคนด้านฝั่งขวา ใช้วิธีคิดต่างกัน “อย่างมาก” เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม คนที่ยึดติดกับความคิดในด้านของตนเองจึงมักไม่ประสบความสำเร็จ กรณีเปลี่ยนจากกลุ่มคนด้านซ้ายมาเป็นกลุ่มคนด้านขวา “โดยกะทันหัน”

และด้วยเหตุที่เงินสี่ด้าน ทุกๆด้านยังใช้วิธีคิดต่างกันอีก แม้จะเป็นกลุ่มคนทางด้านขวา เจ้าของกิจการบางคนอาจล้มเหลวเมื่อเปลี่ยนด้านไปเป็นนักลงทุน เพราะยึดติดวิธีคิดบางอย่างมากจากด้านเดิมนั่นเอง

คนที่ย้ายจากลูกจ้าง หรือผู้ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว เปลี่ยนมาเป็นนักลงทุน โดยยึดติดกับวิธีคิดในด้านของตนเอง เมื่อพวกเขา “ขาดทุน” หรือ “ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้” พวกเขาก็จะกลับมาเป็นกลุ่มคนด้านซ้ายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคง หรือเพื่อไม่เป็นการเสียหน้าจากความล้มเหลว

แต่ยังมีคนจากฝั่งซ้าย มักกล่าวว่ากลุ่มคนทางฝั่งขวา “ชอบความเสี่ยง” ทั้งๆที่ความจริงแล้ว กลุ่มคนทางฝั่งขวา “ไม่ได้ชอบความเสี่ยง” แต่พวกเขาใช้ความพยายามอย่างสูงในการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนทางฝั่งขวาจึงมองว่าการอยู่ทางฝั่งซ้ายอย่างเดียวจึงเป็น “ความเสี่ยง” พวกเขาจึงให้ความสนใจเกี่ยวกับการมีอิสรภาพทางการเงิน สนใจเกี่ยวกับทรัพย์สิน กระแสเงินสด และแหล่งที่มาของเงินเป็นอย่างมาก

หลายคนยังเข้าใจอีกว่ากลุ่มคนทางฝั่งขวา ชื่นชอบการกระจายความเสี่ยงและพยายามเลือกลงทุนในหลายๆด้าน อาจเป็นความเข้าใจ “ที่ผิด” กลุ่มคนฝั่งขวามักใช้วิธีเน้นคุณค่า คือการ “โฟกัส” เฉพาะที่ตนเองให้ความสนใจ มากกว่าใช้วิธี “กระจายการลงทุน” เพื่อลดความเสี่ยง

เพราะฉะนั้นคิโยซากิจึงแนะนำผู้ศึกษาเงินสี่ด้าน ให้วางแผนในการรับรายได้จากทั้งสองด้าน และศึกษาวิธีคิดของเงินสี่ด้าน ไม่เฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว คุณจึงจะเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมคุณควรศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับการเงินเสียตั้งแต่วันนี้…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2011, 08:38:19 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 00:35:29 »



ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งในแวดวงของนักลงทุน
ที่ผมเห็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ มีคนหนุ่ม (ที่เป็นสาวมีน้อยมาก) จำนวนไม่น้อย

เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่หรือก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คนหนุ่มเหล่านี้ บางคนแทบจะไม่เคยทำงานเป็นพนักงานของหน่วยงานใด บางคนอาจจะทำงานกับธุรกิจ "ที่บ้าน" ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก  หลายคนก็ "ทำงานไปอย่างนั้นเอง" แต่ชีวิตจิตใจอาจจะอยู่กับการลงทุนในตลาดหุ้น  
 

แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่ง ก็คือ คนหนุ่มบางคน หลังจากที่ผ่านการลงทุนมาไม่กี่ปี ด้วยเงินที่น้อยมาก บัดนี้พวกเขาได้กลายเป็น "เศรษฐี" มีเงินหลายสิบล้าน หรือบางคนเป็นร้อยล้านบาทตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 30 ปี ผมพยายามวิเคราะห์หาว่า พวกเขาทำอย่างไรจึงสร้างตนเองให้ร่ำรวยได้เร็วขนาดนั้น และต่อไปนี้คือเส้นทางของพวกเขา ที่ผมจินตนาการขึ้น  โดยอิงจากการที่ผมได้สัมผัสกับพวกเขาหลายๆ คน นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย "ร่วมสมัย"    
 

คุณไว (มาจากภาษาอังกฤษว่า VI) เริ่มต้นด้วยเงินเพียง 250,000 บาท ด้วยความทุ่มเทเขาศึกษาการลงทุนอย่างหนัก ทั้งการลงทุนแบบพื้นฐาน และความคิดแบบนักเทคนิค เขาเข้าร่วมอบรมและสัมมนาจำนวนมาก เขาได้รู้จักนักลงทุนร่วมอุดมการณ์ทั้งผ่านเว็บไซต์การลงทุน และการเข้าร่วมในกิจกรรมการลงทุนต่างๆ เช่น ในงานแนะนำหรือเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียน เขาเริ่มเห็นว่า มีบริษัทที่มี "คุณภาพดี" จำนวนไม่น้อยที่อยู่ๆ ก็มีราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นมาก หลายตัวมีราคาขึ้นไปหลายเท่าตัวในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน เขาเริ่ม "จับได้" ว่า หุ้นเหล่านี้มักมีคุณสมบัติและ "พฤติกรรม" อย่างไร และเมื่อเขาเห็น เขาก็ทุ่มเงินทั้งหมดซื้อหุ้นตัวนั้นพร้อมๆ กับการใช้ มาร์จิน หรือกู้เงินจากโบรกเกอร์อีกเท่าตัวมาซื้อหุ้น ครั้งแรกด้วยเม็ดเงิน  500,000  บาท
 

หุ้นที่ซื้อมีราคาเพิ่มขึ้นตามคาดจาก 500,000 บาท เป็น 750,000 บาทในเวลาเดือนเดียว เขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นตามกำไรที่ได้ด้วยเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นยังเพิ่มขึ้นอีกและเขาสั่งซื้อหุ้นเพิ่มอีกตามวงเงินมาร์จินที่เพิ่มขึ้นอีก ในบางช่วงเมื่อหุ้นขึ้นไปแรง เขาก็ขายไปบ้างและก็กลับไปซื้อใหม่เมื่อหุ้นปรับตัวลง พอผ่านไป 3 เดือน เมื่อหุ้น เริ่ม "นิ่ง" นั่นคือ  การวิ่งขึ้นลงของราคาและหรือปริมาณการซื้อขายเริ่มลดน้อยลง เขาก็ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เม็ดเงินที่เหลือของเขา คือ 1 ล้านบาท  เขาทำกำไร 300% หรือ 3 เท่าภายในเวลา 3 เดือน
 

หลังจากนั้น  เขาสังเกตเห็นหุ้นตัวใหม่ที่มีคุณสมบัติและพฤติกรรมคล้ายๆ กับหุ้นตัวเดิม ซึ่งเขาได้รับรู้ผ่าน "เครือข่าย" และเช่นเดิม เขาทุ่มเงิน 1 ล้านบาทที่มีอยู่พร้อมๆ  กับการใช้มาร์จินเต็มอัตราอีก 1 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้นตัวใหม่ และก็เช่นเคย หุ้นวิ่งตามคาด แต่เขาใช้เวลายาวกว่าหุ้นตัวเดิมในการทำเงินจาก 2 ล้านบาทเป็น 3 ล้านบาท หลังจากหักเงินกู้มาร์จิน เขาเหลือเงิน 2 ล้านบาท เมื่อลงทุนมาครบปีแรก เงิน 250,000 บาท กลายเป็นเงิน 2 ล้านบาท หลังจากลงทุนเพียง 1 ปี  ผลตอบแทน คือ 700% ในหนึ่งปี เงินโตขึ้นมาเป็น 8 เท่า เขาเห็นแล้วว่านี่คือ "มหัศจรรย์" ของการลงทุน ในแบบ "ของเขา"
 

เงิน 2 ล้านบาทของเขายังคงถูกใช้ในการลงทุนตาม "สูตรเดิม" แต่ปรับเปลี่ยนบ้าง เขาเริ่มมีหุ้นเล่น 2-3 ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้เงินมาร์จินก็ปรับลดลง จากเดิม 100% ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น 80% เหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่เจอหุ้นตัวที่ "ใช่" อย่างปีก่อน เขาเริ่มกลัวบ้างว่า การเล่นหุ้นตัวเดียวและใช้มาร์จินเต็มที่นั้นอันตราย เขาอาจจะพลาดได้ ว่าที่จริง  เขาก็เคยพลาดจากหุ้นบางตัวแต่โชคดีที่เขา "ออก" ได้ทัน ปีที่สองนี้ พอร์ตของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านบาท ผลตอบแทน 100% แต่เขา รู้สึก "ผิดหวัง" เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของปีก่อนแล้ว น้อยลงมาก นั่นก็คือ ผลตอบแทนของเขาแพ้เพื่อนในกลุ่มอย่าง "ยับเยิน"  
 

ปีที่สามของเขาผ่านไปอย่าง "ยากลำบาก" เพราะเกิด "ภาวะวิกฤติ" ผลตอบแทนติดลบถึง 25% เงินในพอร์ตเหลือ 3 ล้านบาท สูตรที่เคยใช้การได้ดีกลับกลายเป็นตรงกันข้าม หุ้นที่เขาเข้าลงทุนมีราคาลดลงมาก โชคยังดีที่เขาไม่ถูก "บังคับขาย" เพื่อรักษาอัตรามาร์จินไว้ พอขึ้นปีที่สี่ ทุกอย่างกลับมาสดใสดังเดิม เขามีความรู้และประสบการณ์เพิ่มขึ้นมาก บางครั้งเขาไม่ใช่แค่เป็น "ผู้ตาม" แต่เขาเป็น "ผู้นำ" ในการค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและ "ผลักดัน" ราคาหุ้นให้ขึ้นไปด้วย สิ้นปีที่สี่ พอร์ตของเขาผ่านหลัก 10 ล้านไปได้เหมือน  "ฝัน" เขาเริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็น คนที่มีความสามารถสูงแม้อายุยังน้อย
 

ปีที่ห้าของคุณไว เขาเริ่มมีหุ้นหลายตัวมากขึ้น การใช้มาร์จินลดลง เฉลี่ยแล้วเขาใช้เพียง 50% เขาเริ่มเห็นว่าการรักษาเงินต้นไว้ เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การทำเงินมากๆ แต่มีความเสี่ยงสูง ด้วยภาวะตลาดหุ้นที่ยังสดใสและ "สูตร" การลงทุนของเขายังทำงานได้ดี ในช่วงหลังๆ นี้ สื่อสมัยใหม่ช่วยให้มีการเผยแพร่สูตรสำเร็จ ในการลงทุนรวมถึงตัวหุ้นที่น่าสนใจได้มากและเร็วขึ้น ทำให้พอร์ตลงทุนของเขาโตขึ้นอีก 100% เขามีเงิน 20 ล้าน และถือว่าเป็นเศรษฐีน้อยๆ คนหนึ่ง พ่อแม่เขาภาคภูมิใจมากที่ลูกหาเงินได้มาก และกลายเป็น "เศรษฐี" คนแรกของ "เครือญาติ" เพื่อนฝูงและคนรู้จักยอมรับในฝีมือของเขา บางคนถือว่าเขาเป็น "กูรู" คนหนึ่งของวงการหุ้น
 

ปีที่หกเริ่มต้นด้วยตลาดหุ้นที่ไม่สดใสนัก พอร์ตของคุณไวไม่ใคร่จะไปไหน ขณะนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่าหุ้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด เงิน 20 ล้านของเขา หมายถึง ชีวิตที่ดีๆ  ที่เขาต้องรักษาไว้โดยให้มีความเสี่ยงน้อยลง แน่นอน เขาอยากได้ผลตอบแทนมาก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป เขาไม่อยากรับ มาร์จินที่เขาเคยใช้เต็ม ขณะนี้ลดลงมาก บางช่วงเขาไม่ได้ใช้เลย หุ้นที่เคยมีอยู่เพียง 2-3 ตัวก็กลายเป็น 7-8 ตัว เขายังใช้สูตรเดิมในการลงทุน แต่ผลกำไรที่ได้จากหุ้นแต่ละตัว เมื่อคิดเทียบกับพอร์ต 20 ล้านแล้วไม่มากนัก ซึ่งหุ้น 7-8 ตัวนั้น โอกาสที่เขาจะได้กำไรโดดเด่นทุกตัวดูเหมือนจะยาก จบปีที่หก ผลตอบแทนของเขาลดลงเหลือ 20% เมื่อเทียบกับอดีตแล้วลดลงมาก แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลย
 

ปลายปีที่หก คุณไวแต่งงานกับสาวสวยที่มีดีกรีเป็นแพทย์ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา เพราะเพื่อนๆ นักลงทุนของเขาที่ "ลงทุนเป็นอาชีพ" และไม่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ที่ "มีหน้ามีตา" หลายคน ต่างแต่งงานหรือมีแฟนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต่างหมายปอง บางทีการเป็น "เศรษฐี" ตั้งแต่อายุน้อย อาจจะลบล้างค่านิยมเก่าๆ ว่า คุณต้องมีงานการเป็นหลักเป็นฐานที่แน่นอนได้
 

ความสำเร็จในแบบของคุณไว ผมคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายถ้ามองไปในอนาคต บางที คุณไวอาจจะโชคดีที่เริ่มต้นช่วง "โอกาสทอง" ที่หุ้นบางประเภท ปรับตัวขึ้นมาก คนรุ่นใหม่อาจไม่ได้เจอแบบนั้น การใช้มาร์จินและลงทุนในหุ้นน้อยตัวเกินไป เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไป และอาจทำให้เรา "ติด" จนในที่สุดวันหนึ่งเราอาจจะพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้เกิดหายนะได้ ผมคิดว่า การลงทุนโดยยึดหลักการที่เหมาะสม น่าจะเป็นทางเดินที่ดีกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการลงทุน

Tags : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 00:39:06 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,889


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 09:25:58 »

เรื่องล้มเหลว ผมเชื่อว่าทุกคนมีแหบะครับ แต่ไม่อยากรื้อฟิ้นความหลัง

ผมเองก็เยอะ
IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 11:37:25 »

เรื่องล้มเหลว ผมเชื่อว่าทุกคนมีแหบะครับ แต่ไม่อยากรื้อฟิ้นความหลัง

ผมเองก็เยอะ

ความหลังที่เจ็บปวด  ต้องจำ และนำมาแก้ไข  ในเรื่องหุ้นผมก็โดนมาเยอะเช่นกัน ...
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 09:35:23 »

คู่มือโปรแกรมเทรดหุ้น Streaming Pro




http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/Product/StreamingPro/Manual_StreamingPro.pdf

http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/Product/StreamingPro/training/streamingpro_demo.html

เราสามารถส่งคำสั่งซื้อ-ขาย ผ่ายโปรแกรมนี้ได้ด้วยตัวเอง

โดยไม่ต้องผ่านโบรเกอร์ และ เสียค่าคอมฯถูกกว่าด้วยครับ


ลองศึกษาดูนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 10:25:30 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 10:24:49 »

โปรแกรม click2win ทดลองการซื้อ-ขาย หุ้น ก่อน ลงทุนจริง (ฟรี)





ลิ้งค์เว็บ www.settrade.com/click2win

สมัครเพื่อทดลองเล่น https://click2win.settrade.com/SETClick2WIN/Registration.jsp

CLICK2WIN 2011: เกมส์ลงทุนหุ้น-อนุพันธ์ออนไลน์ กลับมาอีกครั้ง กับกิจกรรมดีๆ

ที่ให้ผู้สนใจลงทุนได้ รู้ เล่น และลอง ลงทุนแบบเหมือนจริงที่สุดด้วยข้อมูลจริง

บรรยากาศจริง และสบายใจด้วยการ ใช้เงินเสมือนจริง เพื่อค้นหารูปแบบการลงทุนที่

เหมาะกับคุณ...เตรียมพบกับกิจกรรมต่างๆมากมายที่พร้อมให้กับผู้เริ่มลงทุน

ทุกท่านได้สนุก และเรียนรู้ไปด้วยกัน โดยมีเงินเริ่มต้นทดลองให้ 5 ล้านบาท
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 11:22:17 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 11:18:10 »

วิธีการคำนวนค่าคอมมิชชั่นกับภาษีในการซื้อ-ขายหุ้น



ตัวอย่าง
ถ้ามูลค่าการซื้อขายของท่านทั้งหมดต่อวันอยู่ที่ 50,000 บาท
ค่าคอมมิชชั่น 50,000 X 0.1578 % = 78.9 บาท
ภาษีมูลค่า (VAT 7%) 78.9 X 7 % = 5.523 บาท
ค่าคอมมิชชั่นรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % 78.9 + 5.523 = 84.423 บาท

แต่ถ้าคุณซื้อขาย 20,000 บาท
ค่าคอมมิชชั่น 20,000 X 0.1578 % = 31.56 บาท
ภาษีมูลค่า (VAT 7%) 31.56 X 7 % = 2.20 บาท
ค่าคอมมิชชั่นรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % 31.56+2.20 = 33.76 บาท

ดังนั้น ค่าคอมที่ซื้อไม่ถึงขั้นต่ำ 50 บาท คุณก็จะต้องจ่าย
จำนวน 200 หุ้นละ 100 บาท เป็นเงิน 20,000 บาท
ค่าคอมมิชชั่น = 50 บาท
ภาษีมูลค่า (VAT 7%) 50 X 7 % = 3.50 บาท
ค่าคอมมิชชั่นรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % 53.50 บาท
ดังนั้นการซื้อขายครั้งนี้ ทุนคุณจะอยู่ที่ 20,053.50 บาท
คำนวนแบบคราวๆครับ


ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 12:32:22 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 11:45:59 »

บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ที่มีสาขาอยู่ในจังหวัดเชียงราย

มีดังนี้

1. บริษัทหลักทรัพย์ คันทรีกรุ๊ป ตรงข้ามทวียนต์
    591/5-7 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000   
    โทร: 0-5360-0828-32
    www.cgsec.co.th     /  www.cgsec.co.th/etrade

2. บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บนธนาคารกรุงเทพ ห้าแยก
    เลขที่ 866/18 ชั้น 3 อาคารธนาคารกรุงเทพ สาขาห้าแยกพ่อขุนเม็งราย
    ถ.ทางหลวงหมายเลข 1 ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์: 0-5360-0788, 0-5374-2851  โทรสาร: 0-5371-9575
    ผู้จัดการสาขา: คุณวิภาดา วิศาลวรรธนะ
    e-mail: wiphada@asiaplus.co.th  
    www.asiaplus.co.th

3. บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ หลัง รร.ดำรงค์
    ผู้จัดการสาขา : คุณกำไลทิพย์ ศิริธรรมขันติ์
    490/1 ถนนอุตรกิจ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย 57000
    โทรศัพท์ : (053) 740701-7
    โทรสาร : (053) 600973, (053) 740704
    http://www.kgieworld.co.th

4. บริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ บนธนาคารนครหลวงไทย ติดสหทวีกิจ ห้าแยก
    836/21 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์. 0-5374-8560  โทรสาร. 0-5374-8561
    http://www.thanachartsec.co.th

5. บริษัทหลักทรัพย์ซีมิโก บนธนาคารกรุงไทย ติดกับ รร.สันติ
    116/19 หมู่ 19 ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 110
    ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จ.เชียงราย 57000
    โทรศัพท์: (053) 748-157  โทรสาร: (053) 748-539
    http://www.ktzmico.com

6. บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาเชียงราย
     ที่ตั้ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเชียงราย
     231-232 ถนนธนาลัย ตำบลเวียง
     อำเภอเมือง จัหวัดเชียงราย 57000
     โทรศัพท์ : (053) 716-489   โทรสาร : (053) 716-490
     http://www.ays.co.th/th.

7.   บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (สาขาเชียงราย)
      สถานที่ตั้ง ธนาคารกสิกรไทยสาขาเชียงราย ( หอนาฬิกา)
      บริเวณห้องโถงทำการธนาคาร ชั้น 1 เปิดให้ในวันจันทร์-ศุกร์
      ติดต่อได้ตั้งแต่เวลา 8.30 น. - 16.30 น. ครับ


โบรกเกอร์อื่นๆ
http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/OpenAccount/compare_member.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 20 ตุลาคม 2012, 09:01:19 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 13:41:15 »

วิธีเปิดบัญชี เพื่อทำการซื้อ-ขาย หุ้น



ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเปิดบัญชี ?

เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้นักลงทุนที่มีทุนน้อยสามารถเริ่มลงทุนซื้อขายหุ้นทางอินเทอร์เน็ตได้ตามกำลังซื้อของตน โบรกเกอร์มักแนะนำให้ลูกค้าเปิดบัญชีฝากเงินแบบที่เรียกว่า Pre-paid คือบัญชีที่คุณจะต้องโอนเงินเข้ามาในบัญชีซื้อขายก่อน แล้วจึงสามารถซื้อขายได้ภายในวงเงินที่โอนเข้ามานั้น หากต้องการซื้อหุ้นเพิ่ม ก็เพียงแค่โอนเงินเข้ามาเพิ่ม
อำนาจการซื้อของคุณก็จะเพิ่มขึ้น สะดวกสำหรับนักลงทุนเพราะไม่ต้องฝากเงินไว้กับโบรกเกอร์นานๆ
โดยที่ยังไม่ได้ทำการซื้อขาย

การกำหนดวงเงินจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละบริษัท และสภาวะตลาด




หากจะเริ่มเปิดบัญชี ต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง ?

ขั้นตอนที่ 1
ติดต่อกับโบรกเกอร์ เพื่อขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต

ตรวจสอบรายชื่อโบรกเกอร์  ดูตารางเปรียบเทียบระหว่างโบรกเกอร์
ที่เราสนใจที่จะเปิดบัญชี

ขั้นตอนที่ 2
กรอกใบคำร้องขอเปิดบัญชี พร้อมเตรียมหลักฐานที่ใช้การเปิดบัญชีบุคคลธรรมดา กรอกแบบฟอร์มเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น วิธีการชำระเงินหลักทรัพย์ที่ซื้อขายผ่าน Internet (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์แต่ละแห่ง และความต้องการใช้งานของแต่ละบุคคล)

ขั้นตอนที่ 3
รอผลการพิจารณาจากโบรกเกอร์ ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

ขั้นตอนที่ 4
เข้าสู่การซื้อขายออนไลน์ 24 ชม. ผ่านระบบ Daytrade



เอกสารที่ใช้ในการเปิดบัญชีมีอะไรบ้าง?

บุคคลธรรมดา

R  แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R  สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท หรือ 35 บาท
R  สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือหนังสือเดินทาง
R  สำเนาทะเบียนบ้าน
R  สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R  สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีธนาคารหรือสำเนาสมุดเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
R  เอกสารแสดงเงินเดือน
R  แบบคำขอใช้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (เฉพาะกรณีเลือกซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต)
R  แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ/แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก/แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)


นิติบุคคล
R   แบบฟอร์มคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์
R   สัญญาแต่งตั้งตัวแทนนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
R   สัญญาดูแลและรักษาทรัพย์สินของลูกค้า (ถ้ามี)
R   หนังสือมอบอำนาจ (เซ็นโดยกรรมการผู้มีอำนาจ) พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R   หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
R   สำเนาหนังสือบริคณห์สนธิ วัตถุประสงค์ ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น
R   สำเนาบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
R   งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี
R   บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจ
R   แบบคำขอใช้บริการจ่ายชำระระบบอัตโนมัติ /แบบคำขอให้หักบัญชีเงินฝาก / แบบคำขอใช้บริการโอนเงินผ่านระบบ Tele-Banking  (กรณีที่ต้องการให้บริษัทหักค่าซื้อจากบัญชี และ/หรือนำเงินค่าขายเข้าบัญชี)

กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นกระทำการแทน
R  หนังสือมอบอำนาจ พร้อมค่าอากรแสตมป์ ฉบับละ 30 บาท
R  บัตรตัวอย่างลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
R  สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ
 
IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 13:44:07 »

บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์


มี 3 ประเภท ดังนี้คือ

1.ประเภทหักบัญชีธนาคารอัตโนมัติ(Cash-ATS Account):

ท่านไม่ต้องวางเงินก่อนการซื้อ-ขายแต่ท่านจะได้รับการอนุมัติวงเงินตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯโดยพิจารณาจาก
หลักฐานทางการเงินที่ท่านได้แนบมากับใบคำขอเปิดบัญชี ส่วนค่าซื้อ- ขายหลักทรัพย์ในแต่ละครั้งของท่านจะถูกหัก/
นำเข้าบัญชีเงินฝากแบบอัตโนมัติ(ATS) ในวันการที่ 3 หลังจากวันที่ท่านทำรายการซื้อ/ ขายหลักทรัพย์
นั้นๆ (T+3)โดยหักบัญชีอัตโนมัติผ่านธนาคารต่างๆดังนี้-ธนาคารกรุงเทพ-ธนาคารกสิกรไทย-
ธนาคารยูโอบี- ธนาคารไทยพาณิชย์-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา-ธนาคารกรุงไทย-ธนาคารธนชาต-
ธนาคารนครหลวงไทย- ธนาคารทหารไทย

2.ประเภทวางเงินล่วงหน้า(Cash Balance Account):

บัญชีประเภทนี้ท่านจำเป็นจะต้องวางเงินไว้กับทางบริษัทฯล่วงหน้าก่อนทำการซื้อ/ ขายหลักทรัพย์
หลังจากท่านได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ
บริษัทฯแล้วบริษัทจะเพิ่มวงเงินซื้อหลักทรัพย์ในบัญชีซื้อ/ขายหลักทรัพย์ของท่านตามจำนวนเงินที่ท่าน
ได้โอนเข้ามาให้ทันที โดยลูกค้าที่เปิดบัญชีประเภทนี้จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราร้อยละ 1.50
ต่อปี ซึ่งเป็นยอดสุทธิหลังหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 15 คำนวณจากยอดเงินคงเหลือในบัญชี
Cash Balance ของท่าน

หมายเหตุ : อัตราดอกเบี้ยภายหลังการหักภาษี จะถูกฝากเข้าบัญชี Cash balance ของท่าน
ทุกสิ้นเดือนมิถุนายนและ ธันวาคม

3.บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Credit Balance Account)

ท่านสามารถเปิดบัญชีประเภท Internet Credit Balance เพื่อกู้ยืมเงินจากบริษัท ในการซื้อขายหลักทรัพย์ได้
โดยกำหนดให้ลูกค้านำเงินสดหรือหลักทรัพย์อื่นๆที่บริษัทฯกำหนดมาวางเป็นประกันการชำระหนี้
ขั้นต่ำในครั้งแรกจำนวน 500,000 บาท ทั้งนี้ท่านต้องจะได้รับอนุมัติวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ขั้นต่ำ
จำนวน 1 ล้านบาท โดยทางบริษัทจะใช้เกณฑ์การพิจารณาวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์จากหลักฐาน
ทางการเงินได้แก่ Bank Statement ของท่านย้อนหลัง 6 เดือน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
สำหรับบัญชี Credit Balance มีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้

* บริษัทจะคำนวณดอกเบี้ยโดยใช้อัตราดังกล่าวเป็นเวลา 3 เดือน นับแต่เดือนที่อนุมัติวงเงินหลังจาก
ครบ 3 เดือน จะพิจารณาอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์มูลค่าการซื้อขาย

* อัตราดอกเบี้ยจ่าย สำหรับเงินคงเหลือของลูกค้าทุกประเภทบัญชีที่นำมาวางเป็นหลักประกัน
อัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีมูลค่าซื้อขาย ย้อนหลังเฉลี่ย 3 เดือน ตั้งแต่ 100 ล้านบาท
ขึ้นไป(รวมทุกบัญชี)

* บริษัทจะใช้อัตราดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 13:54:48 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 19:18:06 »

“จะจองซื้อหุ้น IPO ได้อย่างไร”




หากสนใจจะจองซื้อหุ้น IPO  จะต้องทำอย่างไร? คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งเลยทีเดียว ก่อนจะไปตอบคำถามดังกล่าว คุณควรรู้จักและเข้าใจในความหมายของคำว่า IPO กันก่อน

IPO หรือ Initial Public Offering คือ การเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ต้องการระดมเงินทุน เพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจหรือขยายขอบเขตการทำธุรกิจของบริษัท

กว่าจะมาเป็นหุ้น IPO
หลังจากที่บริษัทตัดสินใจที่จะระดมทุนจากประชาชนทั่วไปโดยการออกและเสนอขายหลักทรัพย์แล้ว ก็ต้องเริ่มเข้าสู่กระบวนการเพื่อการขออนุญาตจาก ก.ล.ต. โดยหากบริษัทยังมีสถานะเป็นบริษัทจำกัดอยู่ก็จะต้องดำเนินการแปลงสภาพบริษัทให้เป็นบริษัทมหาชนก่อน หลังจากนั้นก็จะมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. เพื่อร่วมจัดทำแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ filing) และร่างหนังสือชี้ชวน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. กำหนดและเมื่อจัดเตรียมข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถนำมายื่นขอความเห็นชอบได้ โดย ก.ล.ต. จะใช้เวลาในการพิจารณาไม่เกิน 45 วัน หลังจากที่ได้รับเอกสารจากบริษัทครบถ้วน

หนังสือชี้ชวนนั้น..สำคัญไฉน
หลายคนคงจะคุ้นหูกับประโยคที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”  ซึ่งประโยคนี้จะปรากฏอยู่บนหนังสือชี้ชวนทุกฉบับ เพราะข้อมูลในหนังสือชี้ชวนนั้นจะประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์  เป็นต้น  รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสรรและวิธีการจองซื้อหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถติดต่อจองซื้อได้  โดยบริษัทมีหน้าที่ดำเนินการจัดสรรหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน

แล้วจะจองซื้อได้อย่างไร ?
การจองซื้อหุ้น IPO จะต้องทำผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย โดยรายชื่อของผู้จัดจำหน่ายจะระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนทุกครั้ง ซึ่งผู้จัดจำหน่ายอาจจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์หรือธนาคารพาณิชย์ที่มีใบอนุญาตในการเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์  

หลังจากที่คุณศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนแล้ว คุณก็จะทราบว่ากำหนดในการจองซื้อหุ้นนั้นคือวันที่เท่าไร คุณก็สามารถไปขอจองซื้อได้ตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะให้
IP : บันทึกการเข้า

Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 05 มีนาคม 2012, 12:25:58 »

  ถ้ารายชื่อโบรกเกอร์ก็ตามลิ้งค์ข้างล่างครับ  แต่กระทู้นี้ก็สาระน่าดูเลย  จัดไปครับ... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม

http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!