ทฤษฎีเหรียญสองหน้า
แต่โบราณมานักปราชญ์ชาวตะวันออกเรามักสอนให้ผู้คนหัดคิดให้รอบด้านโดยเปรียบเทียบว่าถ้าจะมองเหรียญอะไรก็ตามให้พลิกดูทั้งสองด้าน ปราชญ์บางท่านก็พูดจาเป็นคำคมไว้ว่า “ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี...” หรือเช่น “ในวิกฤติก็มีโอกาส...” เป็นอาทิ
แต่ปัจจุบันนี้อาจจะเป็นเพราะโลกมีความสลับซับซ้อนมาก การศึกษาแต่ละเรื่องก็เจาะลึกไปในรายละเอียด ทำให้ผู้คนสมัยนี้โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้นพากันลืมคติโบราณมองอะไรก็มักมองด้านเดียว พวกที่ชอบเรื่องร้ายก็จะมองแต่เรื่องสูญเสีย เช่นพวกที่มองว่าหากรัฐจะออกใบอนุญาตโทรศัพท์มือถือรุ่น 3 จี ตามเงื่อนไขในสมมติฐานของตนแล้วรัฐจะสูญเสียหลายแสนล้านบาท ทำให้เกิดการหวั่นไหวในหมู่ผู้เกี่ยวข้องกันพอสมควร
และหลังที่บทความของผมในสัปดาห์ก่อนหัวข้อ “นักวิชาการคิดว่าสัมปทานไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย...” โดยย่อข้อความของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ มาลงไปแล้วนั้นก็มีนักปฏิบัติซึ่งมีภูมิหลังทางวิชาการคนหนึ่งเขียนอีเมลมาให้ผมและไม่ประสงค์จะให้ออกนามเพราะไม่อยากจะทำลายบรรยากาศในยุคสร้างสมานฉันท์อย่างในช่วงนี้ ผมเห็นว่าตัวบุคคลนั้นไม่สำคัญว่าเป็นใครแต่สิ่งสำคัญคือความรู้และความคิดของเขาที่เรียบเรียงส่งมาให้ผมพร้อมกับกราฟต่างๆ นั้นมีสาระควรรับฟังและสอดคล้องกับคติทฤษฎีเหรียญสองด้านที่ผมชอบอ้างถึง
ผู้รู้นิรนามท่านนี้ได้ขึ้นต้นสมมติฐานของท่านว่าตามแนวทางวิชาการผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรุ่น 2 จี จะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์มือถือรุ่น 3 จีนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 8 ปี (ไม่ใช่ลูกค้าทั้งหมดในปัจจุบันประมาณ 65 ล้านรายจะปุ๊บปั๊บเปลี่ยนไป 3 จี รวดเร็วอย่างบางคนคาดไว้) ฉะนั้นรัฐ (รัฐวิสาหกิจ) จะเสียค่าต๋งไปเพียง 1.2 แสนล้านบาท และตามหลักวิชาการเงินสมัยใหม่ตัวเลข 1.2 แสนล้านบาทนี้ เมื่อคิดถึงมูลค่าปัจจุบัน (NPV) โดยใช้ส่วนลด 12-13% ต่อปี มูลค่าปัจจุบันก็จะเหลือเพียงแค่ 8 หมื่นล้านบาท
ท่านผู้นี้ได้บรรยายต่อไปด้วยว่า ถ้าสมมติใบอนุญาต 3 จีใหม่ที่ กทช.จะนำออกประมูล 4 ใบนั้น คาดว่า กทช.น่าจะได้ค่าใบอนุญาตเป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาทเทียบกับค่าต๋งที่สูญเสียไป 8 หมื่นล้านบาท ประเมินถึงขั้นนี้รัฐ (ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ) ยังขาดทุนอยู่ 5 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เป็นไรเพราะนอกจาก กทช.จะคิดค่าใบอนุญาตแล้วยังจะเก็บค่าใช้ใบอนุญาตอีกในอัตรา 6.5% ของรายได้ ซึ่งถ้าคำนวณตามหลักวิชาการเงินซึ่งผมจะขอข้ามรายละเอียดอันสลับซับซ้อนไปสรุปแต่เพียงว่าค่าต๋งที่เก็บโดย กทช. (ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเหมือนเดิม) นั้นจะมีมูลค่าปัจจุบัน (NPV) ถึง 8 หมื่นล้านบาท
ตกลงแค่ประเมินในขั้นนี้ประเทศก็จะได้กำไรเป็นตัวเงินแล้วอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาทแทนที่จะขาดทุนหลายแสนล้านบาทดังที่หลายคนร่ำลือกัน ยิ่งกว่านั้นผู้รู้นิรนามท่านนี้ยังได้นำผลการศึกษาของธนาคารโลกสดๆ ร้อนๆ ค.ศ.2009 มาอ้างอิงอีกว่าถ้าประเทศใดได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบเคลื่อนที่ที่ได้จากรุ่น 3 จีแล้วก็สามารถเพิ่มจีดีพีได้ ในกรณีของประเทศไทยคำนวณว่าภายใน 5 ปี จีดีพีจะเพิ่มถึง 8 แสนล้านบาท
นี่เป็นอีกทัศนะหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง 3 จี ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
นายหนูใหญ่
nainuyai@gmail.comhttp://www.komchadluek.net/detail/20091217/41593/41593.html