เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 14:49:12
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก  (อ่าน 695 ครั้ง)
witoonaha
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 552


ทำงานเพื่อลูก


« เมื่อ: วันที่ 21 มิถุนายน 2011, 15:08:48 »

ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ประณีต  ก้องสมุทร



การทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
-------------------------------------------------------------------------------

   คนเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้  มิได้อยู่โดยลำพังเพียงคนเดียว  ย่อมมี  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ญาติ  มิตร  
สหาย  ข้าทาส  บริวาร  และบุตร  ภรรยา  สามีด้วยกันทั้งนั้น  การที่เราจะอยู่ร่วมกับคนเหล่านั้นด้วยความสุข  
และเป็นที่รักของคนเหล่านั้น  นอกจากจะต้องเป็นคนดี   มีเมตตากรุณา  มีสัมมาคารวะต่อ  ผู้ที่ควรคารวะ  
พูดวาจาอ่อนหวานแล้ว   ยังต้องอาศัยความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   อุดหนุน   เจือจานกันเป็นเครื่องผูกใจคน
เหล่านั้นด้วย
   ผู้ขอบ่อยๆ  ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นฉันใด  ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่นฉันนั้น
   ด้วยเหตุนี้  การให้จึงเป็นการผูกน้ำใจผู้อื่นไว้ได้ประการหนึ่ง  ปกตินั้นคนเรามักจะมีความตระหนี่
หวงแหนอยู่เป็นประจำใจ  ยากนักที่จะหยิบยื่นสิ่งใดให้แก่ใครๆ  ได้โดยง่าย  เพราะฉะนั้น  คนที่สามารถหยิบ
ยื่นของๆ ตนให้แก่ผู้อื่นได้นั้นนับว่าน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง   ถ้ารู้จักให้เสียครั้งหนึ่งแล้ว   ก็ไม่ยากเลยที่จะให้ใน
ครั้งต่อๆไป
   ทั้งๆที่ทุกคนรู้จักการรับ   และการให้มาตั้งแต่เด็กๆ   เพราะต่างก็เคยรับและเคยให้กันมาแล้ว  
การรับนั้นไม่ยาก ขอให้รับด้วยความอ่อนน้อมเป็นพอ ส่วนการให้นั้นเชื่อว่าคงมีคนไม่มากนักที่จะให้ได้ถูกต้อง
ให้เกิดประโยชน์  ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ   เป็นการให้แบบสัตบุรุษ  คือคนดีทั้งหลาย   ตามที่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้  ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้มาก่อน  น้อยคนนักที่จะประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง
 แม้แต่ทรัพย์ที่เราขวนขวายแสวงหามา  เราก็ยังไม่ทราบว่าจะใช้ทรัพย์นั้นไปในทางใดจึงจะเกิดประโยชน์  
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดง เรื่องการใช้ทรัพย์ ไว้ในอังคุตตรนิกาย  ปัญจกนิบาต  อาทิยสูตรที่ ๑
(ข้อ  ๔)  ๕ ประการ  คือ
   ๑.  ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม  บำรุงเลี้ยงตนเอง  บิดา  มารดา  บุตร  ภรรยาและบ่าว
ไพร่ให้มีความสุข  ไม่อดยาก
   ๒.  ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม  เลี้ยงดูมิตรสหายให้อิ่มหนำสำราญ
   ๓.  ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม  ป้องกันอันตรายอันเกิดจากไฟ จากน้ำ พระราชา โจร
หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก  เพื่อให้ตนปลอดภัยจากอันตรายนั้นๆ
   ๔.  ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม  ทำพลี  คือบูชา  หรือบำรุงในที่ ๕ สถาน  คือ  ญาติพลี บำรุง
ญาติ  อติถิพลี ต้อนรับแขก  ปุพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว  ราชพลี บำรุงราชการมีการเสียภาษี
อากรเป็นต้น  และเทวตาพลี ทำบุญแล้วอุทิศให้แก่เทวดา  เพราะว่าเทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้นด้วยคิดว่า  
"คนเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็นญาติของเราเขาก็ยังมีน้ำใจให้ส่วนบุญแก่เรา  เราควรอนุเคราะห์เขาตามสมควร"
   ๕.  ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม  บำเพ็ญทักษิณาทานที่มีผลเลิศ  เกื้อกูลแก่สวรรค์  มีวิบาก
เป็นสุข   ไว้ในสมณะพราหมณ์ผู้เว้นจากความประมาท  มัวเมา  ตั้งอยู่ในขันติโสรัจจะเป็นผู้หมั่นฝึกฝนตนให้
สงบระงับจากกิเลส  ในข้อ   ๕   นี้ตรัสสอนให้ใช้ทรัพย์ที่หามาได้ให้ทานแก่ผู้มีศีล   ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ  
ปฏิบัติเพื่อความหมดจดจากกิเลส  ผู้เป็นทักขิเณยยบุคคล  เพราะทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก  ทำให้เกิดใน
สวรรค์  ได้รับความสุขอันเป็นทิพย์  นอกจากนั้นผู้ถวายยังอาจบรรลุคุณวิเศษ  เพราะธรรมที่ท่านผู้ประพฤติ
ดีปฏิบัติชอบเหล่านั้นยกมาแสดงให้ฟังได้อีกด้วย  ผู้มีปัญญาย่อมไม่เสียดายทรัพย์ที่หมดเปลืองไปเพราะเหตุ
เหล่านี้  เพราะว่าท่านได้ใช้ทรัพย์นั้นถูกทางแล้วเกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นแล้ว  โดยเฉพาะทรัพย์คือบุญที่
ท่านถวายไว้ในผู้มีศีลเหล่านั้น  ยังสามารถติดตามตนไปในโลกหน้าได้อีกด้วย
   ควรหรือไม่ที่เราจะใช้ทรัพย์ให้ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้
   และควรหรือไม่ที่เราจะใช้ทรัพย์นั้นจำแนกแจกทาน
   ด้วยเหตุนี้  จึงควรที่จะรับรู้เรื่องของทาน  ตลอดจนการให้ทานที่ถูกต้องไว้บ้าง  เพื่อทานของเราจะ
ได้เป็นทานที่มีผลมาก  มีอานิสงส์มาก
   คำว่า  ทาน  ที่แปลว่า  การให้  นั้น  จัดเป็นบุญเป็นกุศล  เป็นความดีอย่างหนึ่ง  หมายถึง เจตนาที่
เป็นเหตุให้เกิดการให้ก็ได้   หมายถึงวัตถุ  คือสิ่งของที่ให้ก็ได้  ทานจึงมีความหมายที่เป็นทั้งนามธรรมและรูป
ธรรม   ถ้าหมายถึงเจตนาที่ให้ก็เป็นนามธรรม  ถ้าหมายถึงวัตถุที่ให้ก็เป็นรูปธรรม  ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทาน
ในความหมายทั้งสองอย่างนี้รวมๆกันไป
   เจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดการให้ทานนั้น  แบ่งตามกาลเวลาได้ ๓ กาล  คือ  ปุพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้น
ก่อน  คือเมื่อนึกจะให้  ก็แสวงหาตระเตรียมสิ่งที่จะให้นั้นให้พร้อม  มุญจเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะกำลังให้
ของเหล่านั้น  อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ให้เรียบร้อยแล้ว  แล้วเกิดความปีติยินดีในการให้ของตน
   บุคคลใดที่ทำบุญหรือให้ทานด้วยจิตใจที่โสมนัสยินดี  ทั้งประกอบด้วยปัญญา  เชื่อกรรมและผลของ
กรรมครบทั้ง  ๓  กาลแล้ว  บุญของผู้นั้นย่อมมีผลมาก
   เจตนาทั้ง  ๓  กาลนี้  เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับไปเช่นเดียวกับสังขารธรรมอื่นๆ  และเมื่อดับไป
แล้วสามารถจะส่งผลนำเกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์และเทวดาได้  ใน พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน  
แสดงความบุพกรรม  คือกรรมในชาติก่อนๆ  ของผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่เกี่ยวกับทานไว้มากมาย ตัวอย่าง
เช่น  พระอรหันต์รูปหนึ่งในอดีตชาติได้ถวายผลมะกอกผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในป่าใหญ่  รูปหนึ่ง
เคยถวายดอกบุนนาค  รูปหนึ่งเคยถวายขนม  รูปหนึ่งเคยถวายรองเท้า  เป็นต้น  นับแต่นั้นมาท่านเหล่านั้นไม่
เคยเกิดในทุคติภูมิเลย  เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ  เป็นมนุษย์และเทวดาเท่านั้น  ตราบจนในชาติสุดท้ายได้สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์
   วัตถุทาน  คือสิ่งของที่ให้นั้นก็มีหลายอย่าง  กล่าวกว้างๆ  ก็ได้แก่ปัจจัย  ๔  คือ  จีวร  ซึ่งรวมทั้ง
เครื่องนุ่งห่มด้วย  บิณฑบาต ซึ่งรวมทั้งอาหารเครื่องบริโภคทุกอย่าง  เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย  คิลานเภสัช
คือยารักษาโรค
   ในโภชนทานสูตร  อัง. ปัญจก. ข้อ ๓๗  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า  ทายกผู้ให้โภชนะเป็น
ทาน   ชื่อว่าให้ฐานะ  ๕  อย่างแก่ปฏิคาหก   คือ  ผู้รับ  ๕  อย่าง  คือ   ๑. ให้อายุ   ๒. ให้วรรณะ คือผิวพรรณ  
๓. ให้ความสุข  คือ  สุขกาย สุขใจ   ๔. ให้กำลัง  คือความแข็งแรงของร่างกาย  ๕. ให้ปฏิภาณ คือฉลาดใน
การตั้งปัญหาและตอบปัญหา
   ถ้าจะพูดให้ละเอียดขึ้นไปอีก  พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกวัตถุทานไว้  ๑๐  อย่างคือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  
ยาน  (พาหนะ)  ดอกไม้  ของหอม  เครื่องลูบไล้  ที่อยู่  ที่อาศัย  และประทีปดวงไฟ
   ใน  กินททสูตร สัง. สคาถ. ข้อ ๑๓๘  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
   การให้ข้าวและน้ำ  ชื่อว่า  ให้กำลัง
   การให้ผ้า  เครื่องนุ่งห่ม  ชื่อว่า  ให้ผิวพรรณ
   การให้ยานพาหนะ  ชื่อว่า  ให้ความสุขทั้งกายและใจ
   การให้ประทีบดวงไฟ  ชื่อว่าให้ดวงตา
   การให้ที่อยู่อาศัย  ชื่อว่า  ให้ทุกอย่าง  คือให้กำลัง  ให้ผิวพรรณ  ให้ความสุข  และให้ดวงตา
   แต่การพร่ำสอนธรรม  คือการให้ธรรมะ  ชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย  เพราะบุคคลจะพ้นจากความตาย
ไม่ต้องเกิดอีกได้  ก็เพราะอาศัยการได้สดับตรับฟังธรรม  ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
   การให้ธรรมะชนะการให้ (สิ่งอื่น) ทั้งปวง  แม้การจะทำทานให้ถูกต้องก็ต้องอาศัยการฟังธรรม
ไว้วันหลังมาต่อนะจ๊ะ


* j2019.gif (31.58 KB, 128x128 - ดู 127 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 มิถุนายน 2011, 20:17:08 โดย witoonaha » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!