เมื่อเจ้าของแบ่งแยกโฉนดขายและกันที่ดินกรรมสิทธิส่วนหนึ่งให้เป็นทางเข้าออกร่วมกัน ที่ดินในส่วนที่เป็นทางจึงตกเป็นของแผ่นดิน เรียกว่า .....”เป็นที่ดินของรัฐตาม ป.ที่ดิน “...........ขณะเดียวกันก็เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔ เป็นทางที่ประชาชนใช้ร่วมกัน มีผลทางกฎหมายในทันทีที่เจ้าของยกให้โดยมิพักต้องไปจดทะเบียนสิทธินิติกรรมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามปัญหาที่ยกมายิ่งชัดเจนเนื่องจากทางราชการกรมที่ดินได้แบ่งแยกโฉนดระบุที่ยกให้นั้นเป็นทางสาธารณะไปแล้ว
ทางสาธารณะใช้ร่วมกันนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองท้องถิ่นตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันพ.ศ. ๒๕๕๓
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2553/E/095/3.PDF ผู้ใดเข้าไปยึดถือครอบครองทางสาธารณะเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตน จึงมีความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครอง ที่ดินของรัฐ(ทางสาธารณะ ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ) โดยไม่มีสิทธิ อันเป็นความผิดตาม ป.ที่ดินมาตรา ๙, ๑๐๘ ทวิวรรคสอง (เทียบเคียง ฎีกา 3918/2529 )
แนวทางการดำเนินคดี ผู้เสียหายที่ไม่สามารถใช้ทาง ย่อมเป็นผู้กล่าวโทษในทางอาญาได้มาแจ้งความดำเนินคดีได้ ไปตรวจที่เกิดเหตุหากมีหลักหมุดชัดเจนสามารถดูด้วยตาเปล่าได้ว่าขอบเขตที่ดินกรรมสิทธิ์มีแค่ไหน ตรงไหนที่บุกรุก คำนวณเนื้อที่ได้เท่าใด ก็ทำแผนที่ รับคำร้องทุกข์ได้เลย
แต่ถ้ายังไม่ชัดเจน ไม่มีหมุดหลักเขต หรือหาไม่เจอ ก็ลงประจำวันรับแจ้งเพื่อแจ้งให้ท้องถิ่นยื่นขอรังวัด ในฐานะเจ้าของที่ดิน ( ตาม ป.ที่ดิน เจ้าของที่ดินเท่านั้นยื่นขอรังวัดได้ เมื่อที่ดินเป็นของรัฐในความดูแลของ ท้องถิ่นจึงต้องให้ท้องถิ่นยื่นรังวัด ใช้งบของท้องถิ่นตามระเบียบ มท) ในการนี้ พงสฯ ก็ทำหนังสือประสานที่ดินให้ช่วยเร่งออกมารังวัดให้ด้วยเนื่องจากเป็นคดีความกันอยู่ ( การรังวัดเขาจัดคิวไว้ ทำหนังสือไปเพื่อแซงคิว ) ได้เอกสารรังวัดจากที่ดินแล้วว่า บุกรุกเท่าใดก็ลงประจำวันรับคำร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อไ