เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย => เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง => ข้อความที่เริ่มโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:20:48



หัวข้อ: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:20:48
 :) อยากทราบความเห็นครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ۰•ฮักแม่จัน©® ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:26:47
ในบางถิ่น(โดยเฉพาะภาคเหนือ) ห้ามสตรีเข้าไปในบางเขตโดยเฉพาะบางส่วนของพระเจดีย์ธาตุ คติความเชื่อ(จนกลายเป็นจารีต)นี้ มีมายาวนาน นักวิชาการชาวพม่าที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาบอกว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระเจดีย์เป็นอิทธิพลของพม่าที่มีต่อภาคเหนือ ของไทย เพราะพม่าจะเคารพพระเจดีย์มาก บางแห่ง แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ให้เข้า นอกจากพระเท่านั้น เขายังย้อนถามว่าคิดดูให้ดีทำไมภาคอีสาน ภาคใต้ หรือแม้แต่ภาคกลางถึงไม่มีธรรมเนียมนี้ ก็เพราะว่าไม่เคยอยู่ใต้อิทธิพลพม่าเป็นเวลานานหลายร้อยปีเหมือนภาคเหนือ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลย  ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหาร

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเฉพาะถิ่น

พระ ธาตุทางภาคอีสานไม่มีการห้าม ส่วนพระธาตุทางภาคเหนือ มีการติดป้ายห้ามเอาไว้ ทั้งที่เป็นพระธาตุเหมือนกัน  พระธาตุทางอีสานเป็นพระธาตุตามความเชื่อทาง....ล้านช้าง ส่วนพระธาตุ ทางภาคเหนือเป็นความเชื่อทาง....ล้านนา จึงไม่แปลกที่ จะมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ทั้งล้านนา และล้านช้าง ถึงจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องความเชื่อในพระธาตุ เป็นต้น

การที่ภาคอีสานหรือล้านช้าง ไม่ได้ห้ามให้สตรีเข้าพระธาตุนั้น ก็เป็นเพราะ กษัตริย์ในสมัยนั้น ต้องการใช้หลักศาสนาในการปกครองประชาชน และให้ประชาชนสามัคคีกัน ถึงจะมีความเชื่อเรื่องตำนานที่บ่งบอกถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุแต่ก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอะไร

ส่วนทางล้านนา ซึ่งมีการสร้างอาณาจักรมาก่อนล้านช้าง (และล้านช้างยังรับอิทธิพลมาด้วย) เหตุผลที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า ก็เพราะมีความเชื่อเรื่องตำนาน จามเทวีวงศ์ ที่บอกถึง อำนาจผู้หญิง สามารถ ทำลายพลังอำนาจและมนต์คาถาต่างๆ ได้ แต่มันก็จะเป็นภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้าไปทำลายอำนาจและมนต์คาถานั้นๆ ด้วย ดังนั้นการที่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุทางภาคเหนือ...ก็ เพื่อป้องกันการเสื่อมพลังอำนาจและความขลังขององค์พระธาตุ และก็เพื่อป้องกันให้ผู้หญิง ผู้นั้นต้องตกอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคล ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ตำนานก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การที่ต้องมีป้ายห้ามติดเอาไว้เพื่อบอกให้ผู้หญิงรู้ และเพื่อป้องกันอันตรายจะอาจจะเกิดกับผู้หญิง ผู้นั้น เหมือนว่าจะดูเป็นห่วง ทั้งเกี่ยวกับ องค์พระธาตุ และ ผู้หญิง ด้วย


ขอขยายความจาก ตำนานจามเทวีวงศ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติม

หลายปีก่อน ตอนเรียนวัฒนธรรมล้านนา กับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมล้านนา (อยู่เชียงใหม่) ท่านอาจารย์เล่าว่า...

ตั้งแต่บรรพกาลมา แล้วในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่าถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย …

… แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าตกในเวียง ก็เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุง ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือน ของพระนางจามเทวี เอาไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู เอาป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลูด้วย เอาส่งไปให้บรรณาการแก่ขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก ปรากฏว่าอำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กม. ลดน้อยถอยลงมาก ไม่สามารถพุ่งต่อไปได้ พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโล ก็เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา …

เรื่องเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจในการทำให้เสื่อมเกียรติยามนต์ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบริเวณพระธาตุ ซึ่งได้ฝังอยู่ข้างล่างพระเจดีย์ดอยสุเทพก็ดี พระเจดีย์หริภุญชัยก็ดี พระเจดีย์ดอยตุงก็ดี มันฝังอยู่ข้างล่าง

 และ ยังสะท้อนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกขึด (ภาษาเหนือ ขึดหมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) โดยผู้หญิงจะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ ป้ายที่ห้ามผู้หญิงเข้า เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อม และเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี

จากที่กล่าวยกมาข้างต้นพอจะสรุปมูลเหตุของ ความเชื่อได้ว่า

การที่ เขาไม่ให้เพศหญิงเข้าไปถึงตัวพระธาตุ เพราะว่า หญิงบางคนมีประจำเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที๋โดนของ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ เกี่ยวกัยไสยศาสตร์ เขาจะให้เอาผ้าถุงของแม่ที่เป็นประจำเดือน มาแก้เคล็ดเพราะเชื่อว่า ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ อำนาจ นั้นเสื่อมลง ก็เหมือนกับ ถ้ามีเพศหญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ ถ้าหญิงที่ไม่มีประจำเดือนก็เข้าได้ แต่เขาตัดปัญหา ไปทีเดียวคือ ไม่ให้เพศหญิงเข้า ใครจะไปนั่งถามว่า คุณมีประจำเดือนหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า? ซึ่งก็เหมือนว่า หากผู้หญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ เค้าเชื่อว่า จะทำให้ ตัวพระธาตุหมดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ลง

  จารีตก็คือการปฏิบัติกันมา แม่เข้าไม่ได้ ก็บอกลูกสาวว่าอย่าเข้า เพราะเข้าไปจะเป็นเสนียดจัญไร จะขึดนะ ขึดคือสิ่งชั่วร้าย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกหลานก็ปฏิบัติตามไม่เข้า  ยึดเป็นจารีตเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา


หลายคนอาจอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ของสตรี

จริงอยู่ สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนแต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชน ใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วย อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลย


จะว่าไป... การเคารพบูชากราบไหว้.. ต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ....อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจาก การไหว้ที่ตีนดอยหรอก..
..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. จริงไหม



จาก http://www.tamdee.net/db/printer_friendly_posts.asp?TID=1311


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:37:42
เท่าที่ได้เรียนรู้มานะครับ การก่อสร้างในอดีตการก่อสร้างพระธาตุจะบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ใต้ดิน
แล้วจึงสร้างเจดีย์ครอบทับไว้เพื่อป้องกันการขโมยและป้องกันการเสียหาย หากนำไปเก็บไว้บนเจดีย์ธาตุนานวันเข้าเจดีย์อาจพังทลายลงมาอาจทำให้เสียหายได้ นี่คือความฉลาดของคนรุ่นเก่า
ดังนั้นจึงไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปบนฐานหรือบนพระธาตุ แม้แต่บางแห่งผู้ชายก็ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปครับ   แต่สมัยปัจจุบันการก่อสร้างเจดีย์ธาตุมักบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ส่วนบนองค์พระธาตุหรือเจดีย์ แต่จารีตประเพณีก็ยังรักษากันสืบมาครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 11:43:34
ในบางถิ่น(โดยเฉพาะภาคเหนือ) ห้ามสตรีเข้าไปในบางเขตโดยเฉพาะบางส่วนของพระเจดีย์ธาตุ คติความเชื่อ(จนกลายเป็นจารีต)นี้ มีมายาวนาน นักวิชาการชาวพม่าที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาบอกว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระเจดีย์เป็นอิทธิพลของพม่าที่มีต่อภาคเหนือ ของไทย เพราะพม่าจะเคารพพระเจดีย์มาก บางแห่ง แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ให้เข้า นอกจากพระเท่านั้น เขายังย้อนถามว่าคิดดูให้ดีทำไมภาคอีสาน ภาคใต้ หรือแม้แต่ภาคกลางถึงไม่มีธรรมเนียมนี้ ก็เพราะว่าไม่เคยอยู่ใต้อิทธิพลพม่าเป็นเวลานานหลายร้อยปีเหมือนภาคเหนือ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลย  ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหาร

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเฉพาะถิ่น

พระ ธาตุทางภาคอีสานไม่มีการห้าม ส่วนพระธาตุทางภาคเหนือ มีการติดป้ายห้ามเอาไว้ ทั้งที่เป็นพระธาตุเหมือนกัน  พระธาตุทางอีสานเป็นพระธาตุตามความเชื่อทาง....ล้านช้าง ส่วนพระธาตุ ทางภาคเหนือเป็นความเชื่อทาง....ล้านนา จึงไม่แปลกที่ จะมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ทั้งล้านนา และล้านช้าง ถึงจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องความเชื่อในพระธาตุ เป็นต้น

การที่ภาคอีสานหรือล้านช้าง ไม่ได้ห้ามให้สตรีเข้าพระธาตุนั้น ก็เป็นเพราะ กษัตริย์ในสมัยนั้น ต้องการใช้หลักศาสนาในการปกครองประชาชน และให้ประชาชนสามัคคีกัน ถึงจะมีความเชื่อเรื่องตำนานที่บ่งบอกถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุแต่ก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอะไร

ส่วนทางล้านนา ซึ่งมีการสร้างอาณาจักรมาก่อนล้านช้าง (และล้านช้างยังรับอิทธิพลมาด้วย) เหตุผลที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า ก็เพราะมีความเชื่อเรื่องตำนาน จามเทวีวงศ์ ที่บอกถึง อำนาจผู้หญิง สามารถ ทำลายพลังอำนาจและมนต์คาถาต่างๆ ได้ แต่มันก็จะเป็นภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้าไปทำลายอำนาจและมนต์คาถานั้นๆ ด้วย ดังนั้นการที่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุทางภาคเหนือ...ก็ เพื่อป้องกันการเสื่อมพลังอำนาจและความขลังขององค์พระธาตุ และก็เพื่อป้องกันให้ผู้หญิง ผู้นั้นต้องตกอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคล ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ตำนานก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การที่ต้องมีป้ายห้ามติดเอาไว้เพื่อบอกให้ผู้หญิงรู้ และเพื่อป้องกันอันตรายจะอาจจะเกิดกับผู้หญิง ผู้นั้น เหมือนว่าจะดูเป็นห่วง ทั้งเกี่ยวกับ องค์พระธาตุ และ ผู้หญิง ด้วย


ขอขยายความจาก ตำนานจามเทวีวงศ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติม

หลายปีก่อน ตอนเรียนวัฒนธรรมล้านนา กับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมล้านนา (อยู่เชียงใหม่) ท่านอาจารย์เล่าว่า...

ตั้งแต่บรรพกาลมา แล้วในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่าถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย …

… แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าตกในเวียง ก็เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุง ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือน ของพระนางจามเทวี เอาไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู เอาป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลูด้วย เอาส่งไปให้บรรณาการแก่ขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก ปรากฏว่าอำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กม. ลดน้อยถอยลงมาก ไม่สามารถพุ่งต่อไปได้ พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโล ก็เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา …

เรื่องเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจในการทำให้เสื่อมเกียรติยามนต์ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบริเวณพระธาตุ ซึ่งได้ฝังอยู่ข้างล่างพระเจดีย์ดอยสุเทพก็ดี พระเจดีย์หริภุญชัยก็ดี พระเจดีย์ดอยตุงก็ดี มันฝังอยู่ข้างล่าง
 และ ยังสะท้อนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกขึด (ภาษาเหนือ ขึดหมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) โดยผู้หญิงจะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ ป้ายที่ห้ามผู้หญิงเข้า เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อม และเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี

จากที่กล่าวยกมาข้างต้นพอจะสรุปมูลเหตุของ ความเชื่อได้ว่า

การที่ เขาไม่ให้เพศหญิงเข้าไปถึงตัวพระธาตุ เพราะว่า หญิงบางคนมีประจำเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที๋โดนของ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ เกี่ยวกัยไสยศาสตร์ เขาจะให้เอาผ้าถุงของแม่ที่เป็นประจำเดือน มาแก้เคล็ดเพราะเชื่อว่า ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ อำนาจ นั้นเสื่อมลง ก็เหมือนกับ ถ้ามีเพศหญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ ถ้าหญิงที่ไม่มีประจำเดือนก็เข้าได้ แต่เขาตัดปัญหา ไปทีเดียวคือ ไม่ให้เพศหญิงเข้า ใครจะไปนั่งถามว่า คุณมีประจำเดือนหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า? ซึ่งก็เหมือนว่า หากผู้หญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ เค้าเชื่อว่า จะทำให้ ตัวพระธาตุหมดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ลง

  จารีตก็คือการปฏิบัติกันมา แม่เข้าไม่ได้ ก็บอกลูกสาวว่าอย่าเข้า เพราะเข้าไปจะเป็นเสนียดจัญไร จะขึดนะ ขึดคือสิ่งชั่วร้าย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกหลานก็ปฏิบัติตามไม่เข้า  ยึดเป็นจารีตเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา


หลายคนอาจอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ของสตรี

จริงอยู่ สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนแต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชน ใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วย อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลย


จะว่าไป... การเคารพบูชากราบไหว้.. ต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ....อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจาก การไหว้ที่ตีนดอยหรอก..
..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. จริงไหม



จาก http://www.tamdee.net/db/printer_friendly_posts.asp?TID=1311
เป็นกุศโลบายของคนโบราณครับ
สมัยก่อน ไม่มีผ้าอนามัยครับ ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ขึ้นไปสักการะพระธาตุ
อาจไปทำเลอะเทอะ บริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เห็นแล้วไน่ดู
คนโบราณจึงผูกเรื่องเข้ากับตำนานจามเทวีวงศ์


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: เทพบุตรดาวเหนือ เคนชิโร่ ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 14:53:50
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 19:54:39
ข้อแตกต่างชายและหญิงที่ชัดเจน คือ สรีระและพละกำลัง

ผู้ชายมีพละกำลังมากกว่าผู้หญิง
ผู้ชายชนะผู้หญิง
ผู้ชนะย่อมเป็นผู้มีอำนาจ

ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง

ผู้มีอำนาจเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์
เป็นการแสดงถึงการเหยียดทางเพศ

ในแง่เพศผู้หญิงเป็นบุคคลชั้นสองรองจากผู้ชาย
เช่น การใช้นางสาว หากสมรสให้ใช่นางเป็นการตราไว้ว่ามีสามีแล้ว
แต่ผู้ชายไม่มีการตรา ฯลฯ (ซึ่งได้รับการแก้ไข กม.ไม่นานมานี้)


ในต่างประเทศ  ก็มีข้อกำหนดบฏิบัติ
แยกเพศชายหญิงซึ่งหญิงจะมีข้อกำหนดมที่เข้มงวดมากกว่าผู้ชาย
เช่น ญี่ปุ่น(สมัยโบราณ) และอาหรับ ฯลฯ


ข้อกำหนดต่าง ๆ ใช้ถือปฏิบัติมาช้านานจนถือเป็นเรื่องปกติ
แม้แต่หญิง(บางคน) ยังยอมรับและถือว่าตนเองด้อยกว่าชาย
และยอมรับข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้


ป.ล.ผมไม่เชื่อว่าขีปนาวุธเล็งเป้าหมายด้วยระบบดาวเทียมจะมีความเม่นยำน้อยลงเมื่อผูกมัดด้วยผ้าซิ่นอาบด้วยเลือดประจำเดือนผู้หญิง <<<--------

 ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: -_-@บ่าวเจียงฮาย@ ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2010, 12:26:17
เพราะเจดีย์ส่วนใหญ่ทางเหนือจะฝังพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ใต้ฐานเจดีย์ครับ
เลยห้ามให้ผู้หญิงเข้า ข้อมูลเท่าที่ฟังมาจากสารคดีล้านนานะครับแต่เหตุผลจริงๆ อาจจะเหมือนกับที่ผู้ตอบกระทู้ท่านอื่น ๆ นะครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 22 กรกฎาคม 2010, 20:58:23
ยังมีอีกอย่างนะคะ ที่คนสมัยก่อนห้าม

คือผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนห้ามเข้าวัด

เพราะมันจะเกิดความเสื่อม

อันนี้ก็เป็นกุศโลบายเหมือนกัน เหตุก็อย่างที่ท่านๆ ได้กล่าวมา
เพราะสมัยก่อนไม่มีผ้าอนามัย ผู้หญิงคนไหนเป็นประจำเดือน ไปนั่งที่ไหน ทางไหน ก็เลอะเทอะ น่ารังเกียจ พระก็เลยไม่อยากให้เข้าวัด  :D

(ใช่มั้ยคะ)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: bm farm ที่ วันที่ 23 กรกฎาคม 2010, 07:26:25


 :D :D..ขอบคุณข้อมูลครับ..


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: corolado4 ที่ วันที่ 25 กรกฎาคม 2010, 15:12:39
      ที่ได้ฟังจากผู้รู้ เพราะบรรยายที่โบราณสถานนั้นๆเลย บางที่มีป้ายห้ามดังกล่าว
ท่านผู้นั้นได้บรรยาย แบบสันนิษฐาน ไม่ฟันธง เพราะเป็นที่ยึดถือกันมา
โดยคาดว่า ในสมัยโบราณ หญิงมีฤดู บางทีไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัว มีสิ่งป้องกัน สมัยก่อนเขาว่า
ใช้กาบมะพร้าว(จริงเท็จไม่ยืนยัน) แต่มันก็ต้องมีเล็ดลอด หยดเรี่ยราด จังหวะมาที่วัด หรือที่
พระธาตุ ซึ่งถ้ามันลงไปยังพื้น(หิน กระเบื้อง ปูน) ของสถานที่นั้น
อาจทำให้เกิดการติดสีแบบลบไม่ออก ถึงจะลบล้างก็ทำให้สีเดิม พื้นเดิมสึกหรอจากการทำสะอาด
แต่ผู้ชาย จะมีโอกาสทำให้เลอะแบบนี้ในโอกาสไหนบ้าง
จึงต้องออกกฎสังคม กติกา ที่ยอมรับกันมาแบบไม่ต้องมีกฎหมายควบคุม
พอมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่มักจะมีแต่ขอกังขา ข้อสงสัย ยิ่งในด้านสิทธิเท่าเทียมกันหญิงชาย
ก็เอามาปะปนกับเรื่องเหล่านี้ด้วย  มีนักการเมืองหญิงคนนึง เคยทักท้วง อยากได้สิทธิ เข้าไป
ข้างใน ขึ้นบนพระธาตุได้แบบชาย ให้เอาป้ายออกทั้งประเทศ ภายหลังเงียบไป เพราะอะไร?
เหมือนกับ ป้ายอื่นๆ ที่เขาห้าม เราอาจปฏิบัติตาม แต่ยังสงสัย เมื่อได้ฟังอธิบาย หายสงสัย
ก็คือ ได้คำตอบของการห้ามอันนั้น แต่ถ้ายังสงสัยในประเด็นอื่น หรืออยากจะเปลี่ยนการห้าม
เหมือนกับไปเปลี่ยนระบบเขาทั้งระบบ มันจะเกิดการรวนเร วุ่นวาย และเป็นเหตุให้เกิดการแบ่ง
เป็นฝ่าย  ฝ่ายยอมรับเห็นด้วยก็มีเยอะ ฝ่ายไม่ยอมรับไม่เห็นด้วยก็มาก 
ประเทศไทย บางเรื่องก็ต้องยอมรับฟัง ไม่เห็นด้วย แต่ต้องมีเหตุผล ไม่เอาพวกมากเข้าว่า
เอ๊ะ  เรื่องพระธาตุห้ามหญิง  ไหง ยาวมาถึงขนาดนี้ได้  แค่นี้คงเข้าใจนะครับ จบล่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ




หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 21:43:49
เท่าที่ได้เรียนรู้มานะครับ การก่อสร้างในอดีตการก่อสร้างพระธาตุจะบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ใต้ดิน
แล้วจึงสร้างเจดีย์ครอบทับไว้เพื่อป้องกันการขโมยและป้องกันการเสียหาย หากนำไปเก็บไว้บนเจดีย์ธาตุนานวันเข้าเจดีย์อาจพังทลายลงมาอาจทำให้เสียหายได้ นี่คือความฉลาดของคนรุ่นเก่า
ดังนั้นจึงไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปบนฐานหรือบนพระธาตุ แม้แต่บางแห่งผู้ชายก็ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปครับ   แต่สมัยปัจจุบันการก่อสร้างเจดีย์ธาตุมักบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ส่วนบนองค์พระธาตุหรือเจดีย์ แต่จารีตประเพณีก็ยังรักษากันสืบมาครับ

เกิยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกั๋นครับ ส่วนตั๋วแล้วคิดว่าเป๋นไปได้นักกว่าอันอื่น


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:08:34
- หากเหตุผลเรื่องผู้หญิงนำเลือดประจำเดือนไปเปลอะเปื้อน
  ทำไมไม่ห้ามเข้าเฉพาะคนที่มีประจำเดือน

- ปัจจุบันมีผ้าอนามัยซับเลือดประจำเดือนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
  ทำไมไม่ยกเลิกกฏข้อนี้

- ถ้าหากว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ต่ำกว่าชายได้ แล้วอยู่ต่ำกว่าหญิงไม่ได้
  แตกต่างกันตรงไหน ?


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ด.ญหนุงหนิง ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:18:40
รูปประกอบ ;)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:22:19
อันนี้ไม่ได้จะมาลบหลู่ความเชื่อนะครับ

คืออยากจะให้เกิดสังคมแห่งปัญญา
สังคมที่ยอมรับเหตุผล
ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตลูกหลานข้างหน้า

ไม่อยากให้ลูกหลานงมงายต้องเริ่มที่ตัวเรา

หากลูกหลานงมงายจะส่งผลถึงถูกหลอกลวงจากคนที่จ้องเอารัดเอาเปรียบ
ตัวอย่างเช่น เครื่องตรวจวัตถุระเบิดลวงโลกราคาล้านกว่า โทรมือถือรับแล้วตายเชื่อกันทั้งเมือง ฯลฯ  


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ⒷⒼ* ที่ วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:46:47
ถือว่าเป็นความเชื่อของคนโบราณครับ
น่าจะถือว่าผู้หญิงเข้าไปจะทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์
แต่คนโบราณก็ไม่ได้ว่าเพศหญิงเป็นเพศที่ต่ำ
"กำบ่เก่าเปิ้ลเล่าไว้ ไผจะเจื้อ หรือบ่เจื้อ ก่อต๋ามใจ๋ แต่แม่ญิงงามเปิ้นตึงบ่ยะครับ"


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 04:02:36
เรื่องนี้เกิยเอามาอู้กั๋นเป๋นเรื่องใหญ่โตครั้งหนึ่งครับ เมื่อสองสามปี๋ก่อน
จาวเหนือรุมสวดป้าเบียบตึงเมือง  ตางเจียงใหม่ปุ๊นเผาพริกเผาเกลือแช่งแฮ๋มซ้ำ
....คนโบราณเปิ้นเยี๊ยะหยังต้องมีเหตุผลที่ดีแน่ บ่อั้นคงบ่สืบทอดมาเถิงเด่วนี้ ค่อยๆคิดค่อยว่ากั๋นไปครับ  :D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 22:25:22
ความเชื่อกับ ความรู้ จะแปลผกผัน
นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ความเชื่อจะลดลง ความรู้จะมากขึ้น

ความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ในอดีต
จะไม่เหมือนความเชื่อของคนรุ่นใหม่ในอนาคต...
ทิ้งไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขาน

(ตามกฏของความเปลี่ยนแปลงที่ศาสดาศาสนาพุทธเคยว่าไว้)

 ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: มะหินฝน ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 17:33:54
ไม่ได้ห้ามผู้หญิงเข้าพระธาตุอย่างเดียวนะครับ ห้ามสวมรองเท้าด้วย ผู้ที่กินเหล้าก็ห้ามเข้าวัด ผู้สูบบุหรี่ก็ห้ามสูบในวัด อย่างหลังๆ นี่ผิดกฏหมายจับปรับด้วยนะครับ  :'(


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 19:11:07
สิ่งที่บรรพบุรุตได้สอนไว้ ทุกวันนี้คือจารีตที่ดีงามค่ะ
คิดว่าถ้ามีแค่ความรู้อย่างเดียว ทุกคนก็เห็นต่างกันหมด
แต่ถ้ามีความเชื่อทุกคนจะได้มีสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวไว้นะคะ
มีประเพณี มีจริยธรรมที่ดี ที่เกิดจากความเชื่อนะคะ ^^


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 21:43:10
ความศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยหลักแห่งปัญญา ความเชื่อด้วยหลักของเหตุและผล หาเหตุและผลมาไตร่ตรองให้เห็นความจริง

        ความงมงาย คือ ความเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ไม่ลืมหูลืมตา เขาบอกว่าดีก็ดี บอกว่าผิดก็ผิด เชื่อผู้ที่ชี้นำตนเองโดยเชื่อแบบไม่มีเหตุผล รู้ไม่จริงไม่ใช้สติและปัญญามากำกับความเชื่อนั้น

        ซึ่งจากข่าวสารที่หาดู หาอ่านจากสื่อก็จะเห็นเหตุการณ์ระหว่างความศรัทธาและความงมงายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ผมว่าจะเจอความงมงายมากกว่าเช่น ควายออกลูกมาหกขา เห็ดประหลาดขึ้นมากลางบ้านก็แห่ไปผูกผ้าเจ็ดสี จุดธูปขอหวยกันยกใหญ่ แล้วที่โด่งดังเมื่อปีสองปีที่แล้ว ชาวบ้านเจอเจลลดไข้ที่ตกมาจากฟ้าแล้วตอนแรกเชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง แล้วที่ว่าเลวร้ายกว่าก็คือพวกอวิชชาทั้งหลายที่เบ่งบาน เติบโตอยู่ทั่วสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ ทั้งคนธรรมดาและสงฆ์ ซึ่งพระสงฆ์นี่แหละที่ผมอยากจะกล่าวว่าเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดของความงมงายในสังคมไทย โดยเฉพาะสงฆ์ที่มีเปลือกเป็นเพียงคนหัวโล้นนุ่งห่มผ้าเหลืองที่เข้ามาหากินกับความเชื่อความงมงายในสังคมไทย ทั้งใบหวย สะเดาะห์เคราะห์ต่อดวงชะตา สักยันต์ ไล่ผี หรือวัดใหญ่บ้างวัดเน้นปิดทองอย่างเดียวเก็บค่าเช่าร้านค้า หาผลประโยชน์เข้าตนเองหรือพวกพ้อง ผมเห็นและผ่านตามามากกับสงฆ์จำพวกนี้ แตสิ่งที่พวกสงฆ์ปลอมเหล่านี้อยู่ได้เพราะความสรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยจำนวนมากนั้นเอง หรืออีกมุมหนึ่งก็จะพบกับพระที่เป็นพระแต่พวกท่านเป็นพระที่แสวงหาซึ่งวัตถุคิดแต่จะหาเงินสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างนู้นสร้างนี่จนเต็มวัดไปหมดทั้งที่ของเก่านั้นก็ยังสมารถใช้การได้ดีแต่สาเหตุเพราะวัดอื่นใหญ่กว่า สวยกว่าหรือไม่สมฐานะสมภารเจ้าวัด วัดความยิ่งใหญ่ของความศรีทธาของผู้คนด้วยวัตถุ โดยละเลยพระธรรมคำสั่งสอนที่ถ่องแท้ไปแล้ว ผมจึงไมแปลกใจที่บรรดาผู้ที่มีปัญญาหลายคนที่ผมรู้จักจึงเลือก ที่จะเริ่มศึกษาธรรมะจากการอ่านหนังสือมากกว่าการเข้าวัดแล้วจึงต่อยอดด้วยการเข้าหาผู้รู้หรือพระสงฆ์ที่เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งนั้นเอง

         โดยแท้แล้วบ้างสิ่งบ้างอย่างนั้นบ้างคนก็อาจจะเถียงผมได้ว่ามันเป็นความจริง มันช่วยบรรเทาทุกข์ของเขาได้จริง อย่างการไปสะเดาะห์เคราะห์ต่อดวงชะตา ไปทำมาแล้วดีขึ้นหายเจ็บหายป่วย ผมว่าไปหาแพทย์ดีกว่าครับเปอร์เซ็นหายได้มากกว่า แต่ก็อาจจะเถียงผมอีกว่ามันช่วยเรื่องจิตใจ แต่สำหรับผมเรื่องของจิตใจนี่ถ้าเราศึกษาและเข้าใจในสัจธรรมขั้ยหนึงแล้วก็อาจจะบอกแก่ตยเองและผู้อื่น เรื่องราวต่างๆนั้นมันอยู่ที่จิตของเราถ้าเรามั่นคง ใช้ปัญญาไตร่ตรองและวิเคราะห์ปัญหานั้นๆว่าเกิดจากอะไร แล้วแก้ไขปัญหานั้นอย่างมีสติ ผมก็ว่าเราก็สามารถแก้ได้ ถึงแก้ได้ไม่หมดเราก็เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด แล้สจึงมีผลที่เราต้องรับมันไว้ หรือทางพุทธที่เรียกว่ากรรมนั้นเอง โดยส่วนตัวผมนั้นคิดว่าเราชาวพุทธนั้นสามารถที่จะวิจารณ์พระสงฆ์เห่านี้ได้ แต่เราต้องรู้ข้อเท็จจริงและรู้เท่าทันพวกสงฆ์หรือพวกเหลือบที่กัดกินพระศาสนาเหล่านี้

         ผมจึงอยากสรุปว่า สิ่งที่ผมพูดว่า คนเรานั้นถ้ามีสติและปัญญา ในการที่จะทำการใดๆก็แล้วนั้นสามารถคิดวิเคาะห์หาเหตุและผมของสิ่งเหล่านั้นไดอย่างถูกต้อง ว่าจริงเท็จอย่างไร สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและละก็ท่านจะมองโลกและสังคมไทยอย่างถูกต้องและเป็นธรรมอย่างแท้จริงโดยปราศจากอคติใดๆครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนๆของสังคมทั้งการเมือง ศาสนา สังคมโลกหรือแต่ในครอบครัวของท่านเอง จะยกตัวอย่างซักเล็กน้อยเรื่องการเมืองในบ้านเราในขณะนี้เราก็เอาสติและปัญญาเข้ามาวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น รับข้อมูลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมแล้วนำพิจราณาว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนธรรม อันไหนอธรรม เราก็จะมองเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมรู้ผิดรู้ชอบ แล้วก็มาดูว่าผลกรรมจะสามารถของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ก็จะเข้าใจขึ้นนั้นเอง

ที่มา...http://mblog.manager.co.th/kingkoon/th-23015/


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:00:09
เอานิทานมาให้อ่านกันครับ


มีอัศวินสองคนสวมเสื้อ เกราะถือทวนควบม้ามาจากทิศตะวันออกคนหนึ่ง มาจากทิศตะวันตกคนหนึ่ง มาพบกัน
โดย บังเอิญที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางต่างก็เข้าไปเอนหลังพักผ่อนคนละด้านของต้นไม้ ขณะนั้นอัศวินที่มาจากทิศตะวันออก
มองขึ้นไปเห็นโล่แขวนอยู่บนคาคบไม้ จึงเปรยขึ้นดังๆ ว่า
"ใครหนอเอาโล่ทองมาแขวนไว้บนต้นไม้"
อัศวินอีกคน หนึ่งจึงแหงนดู แต่เห็นโล่นั้นเป็นสีเงิน มิได้เป็นสีทองอย่างที่อัศวินคนนั้นพูด จึงเปรยดังๆ
เช่นกันว่า
"น่า ขำจัง โล่เงินแท้ๆ ทำไมบางคนจึงเห็นเป็นโล่ทองไปได้"
อัศวินคนแรกจึงลุก ขึ้นแล้วตะโกนใส่หน้าอีกคนหนึ่งว่าโล่ทอง อัศวินคนนั้นเมื่อถูกตะโกนใส่ก็ลุกขึ้นตะโกนใส่
เหมือนกันว่าโล่เงิน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันเพราะถือว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นไม่ผิดจึงไม่ยอม กันง่ายๆ เพื่อให้รู้ผลจึงท้า
ดวลกันที่ลานโล่ง ต่างขี่ม้ารำทวนเข้าต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ฝีมือสูสีกันจึงต่อสู้กันเป็นนานจนเมื่อยล้าด้วยกัน
ทั้งคู่ ได้ตกลงพักรบเพื่อพักผ่อนกันก่อนแล้วค่อยสู้กันใหม่ ตอนเข้าไปพักนั้นอัศวินที่มาจากตะวันออกไปพักด้าน
ตะวันตก ที่มาจากตะวันตกไปพักด้านตะวันออกอัศวินคนแรกที่เห็นเป็นโล่ทองได้มองโล่อีก ครั้งหนึ่งกลับเห็นเป็นโล่เงิน
อีกคนหนึ่งที่เห็นครั้งแรกเป็นโล่เงิน กลับเห็นเป็นโล่ทอง
"เอ๊ะ นี่มันโล่เงินนี่" คนแรกที่เคยเห็นเป็นโล่ทองพูด
"อ้าว นี่มันโล่ทองนี่ ไม่ใช่โล่เงิน" อีกคนที่เห็นครั้งแรกเป็นโล่เงินบอก
ด้วยความสงสัยอัศวินคนแรกจึงปีกขึ้น ไปเอาโล่ลงมา เมื่อมองเห็นโล่ใกล้ๆ ทั้งสองก็แทบจะลมจับ เพราะข้อเท็จ
จริง ปรากฏประจักษ์ โล่อันนั้นเขากะไหล่ด้วยทองด้านหนึ่ง กะไหล่ด้วยเงินด้านหนึ่ง จึงเห็นเป็นสองอย่าง
"โธ่พวกเราแทบจะฆ่ากันตาย เพราะมองคนละมุมแม้ๆ เสียเชิงหมด"
ต่างบ่นกันพึมพำ เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วก็โบกมืออำลาแยกย้ายกันไป.

เรื่องนี้สื่อความ ให้เห็นว่า
ทิฐิมานะความคิดเห็นด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าตนถูกนั้นทำให้ คนเราตาบอดก็ได้ ทำให้เห็นผิดก็ได้ ทำให้
ทะเลาะกันก็ได้ ทำให้แตกกันก็ได้ ทั้งนี้เพราะทิฐิมานะทำให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง ด้วยมองเห็นได้เพียงด้านเดียว
คือด้านที่ตัวเองเห็นหรือรู้สึกนึกคิด ไม่ได้มองอีกด้านหนึ่งซึ่งอาจตรงกันข้ามกับที่คิดก็ได้ อย่างที่นักปราชญ์ท่านกล่าวไว้
ว่า "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย" ที่ถูกนั้นเมื่อจะมอง
อะไรควรมองด้วยปัญญาอีกชั้นหนึ่ง คือควรใตร่ตรองพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนมองให้ครบทุกด้าน ทั้งด้านดีด้านเสีย
ด้าน บวกด้านลบ จึงจะเห็นของจริง แล้วค่อยตัดสินวินิจฉัยว่าถูกหรือไม่ถูก ควรหรือไม่ควร วิสัยนักปราชญ์เขาปฏิบัติ
กันเช่นนี้ ถ้ามองเพียงด้านเดียวแล้วด่วนตัดสินไปตามที่เห็น ย่อมมีโอกาศสูงที่จะผิดพลาดอันจะทำให้คิดผิด พูดผิด
และทำผิดตามมา.

พระ ธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ⒷⒼ* ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:02:40
สงสัย Mr.R  ยังคงคาใจ กับกระทู้นี้อยู่ ว่าเหตุใดพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้า  ซึ่งก็เห็นหยิบยก ตัวอย่างมาหลายเหตุผล ยกความศรัทธา มาแยงกับความงมงายพยามโยงเรื่องราว ประติดต่อกัน ซึ่งผมมองไม่เข้ากัน ผมอาจเป็นหัวโบราณ ที่ยึดคติที่คนโบราณได้สอนไว้ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นต่อสภาพแวดล้อมปัจุบัน พยามแยกแยะหน่อยครับ เพราะมนุษย์เรามีสองด้าน


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:20:22
กฎหมายสิทธิสตรี 
 
  ใน ประเทศไทยตั้งแต่สมัยอดีตเรื่อยมาสถานภาพของสตรีไทย ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม สตรีมักถูกมองเป็นสิ่งที่ด้อยคุณค่า ไร้ความสามารถ ถูกกดขี่ ข่มเหง และกีดกัน ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง ไม่มีสิทธิ บทบาท ฐานะใดในทางสังคม ไม่ได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมผู้ชาย ทั้งที่สตรีเองก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับผู้ชาย และซึ่งสถานภาพความเป็นมนุษย์นั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน โดยไม่คำนึงถึง เพศ วัย สัญชาติ ศาสนา ทั้งยังเป็นสาระสำคัญตามธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ที่ไม่อาจพราก หรือ ทำให้สูญเสียไปด้วยวิธีการใดๆ การไม่เคารพในสิทธิสตรี ตลอดจนการเลือกปฏิบัติต่อผู้เป็นสตรีนั้นแต่เดิมอาจเป็นเพราะสภาพสังคมสมัย โบราณที่มีการถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ชายจะมีความรับผิดชอบในฐานะที่ เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บทบาทของสตรีลดลง ในปัจจุบันนั้นสตรีเองก็ได้รับการศึกษาขั้นสูง มีความสามารถ และ มีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองทำให้สิทธิสตรีได้รับการพัฒนา ยอมรับ และคุ้มครองในด้านต่างๆมากมายหลายด้านตามมา


ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อันเป็นบทกฎหมายหลักสูงสุดของประเทศ ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิสตรีไว้กล่าวคือ


ความเสมอภาคกันในกฎหมาย และ การห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชาย และ หญิง มีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพ ทางกาย หรือ สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือ ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้…
 
ที่มา...http://www.classifiedthai.com/content.php?article=14544


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:22:05
 :-X :-X :-X


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 22:48:42
กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 05:53:50
กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ
(http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif)(http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif)(http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 12:02:22
ผมคิดว่าในอนาคตจะต้องมีกรณีฟ้องร้องดำเนินคดี
ผู้กีดกันทางเพศ ที่ติดป้ายห้ามต่าง ๆ นานา โดยไม่ดูข้อกฏหมาย

ตามบทบัญญัติ
การห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมาตรา 30
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

ถึงแม้เป็นความเชื่อ แต่หากละเมิดกฏหมาย ก็สุดแท้แต่ละคนครับ

ส่วนผมระหว่างจารีตกับกฏหมาย ผมจะปฏิบัติตามกฏหมายดีกว่า
เป็นวิทยาศาสตร์ และสากล กว่ากันเยอะ

 ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D





 


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ttyy ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 12:54:33
กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ

พระวินัย ว่าด้วยข้อห้ามการบวช*

ทรงห้ามบวชคน ๓๒ จำพวก

[๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน.....................
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
๑.) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงบรรพชา คนมือด้วน. .
๒.) ไม่พึงบรรพชา คนเท้าด้วน...
๓.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งมือทั้งเท้าด้วน...
๔.) ไม่พึงบรรพชา คนหูขาด...
๕.) ไม่พึงบรรพชา คนจมูกแหว่ง...
๖.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง...
๗.) ไม่พึงบรรพชา คนนิ้วขาดและเท้าขาด...
๘.) ไม่พึงบรรพชา คนง่ามมือง่ามเท้าขาด...
๙.) ไม่พึงบรรพชา คนเอ็นขาด...
๑๐.) ไม่พึงบรรพชา คนมือเป็นแผ่น...
๑๑.) ไม่พึงบรรพชา คนค่อม. .
๑๒.) ไม่พึงบรรพชา คนเตี้ย...
๑๓.) ไม่พึงบรรพชา คนคอพอก...
๑๔.) ไม่พึงบรรพชา คนถูกสักหมายโทษ...
๑๕.) ไม่พึงบรรพชา คนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย...
๑๖.) ไม่พึงบรรพชา คนถูกออกหมายสั่งจับ...
๑๗.)ไม่พึงบรรพชา คนเท้าปุก (เท้าผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีลักษณะผิดรูป ข้อเท้าจิกลงล่าง บิดเข้าใน และฝ่าเท้าหงายขึ้น ทำให้มีรูปร่างเหมือนไม้กอล์ฟ)...
๑๘.) ไม่พึงบรรพชา คนมีโรคเรื้อรัง...
๑๙.) ไม่พึงบรรพชา คนมีรูปร่างไม่สมประกอบ...
๒๐.) ไม่พึงบรรพชา คนตาบอดข้างเดียว...
๒๑.) ไม่พึงบรรพชา คนง่อย...
๒๒.) ไม่พึงบรรพชา คนกระจอก (ท่าทางผิดปกติ เช่น เดินเขยก ฯลฯ)...
๒๓.) ไม่พึงบรรพชา คนเป็นโรคอัมพาต...
๒๔.) ไม่พึงบรรพชา คนมีอิริยาบถขาด (เปลี้ย เคลื่อนไหวเองไม่ได้)...
๒๕.) ไม่พึงบรรพชา คนชราทุพพลภาพ...
๒๖.) ไม่พึงบรรพชา คนตาบอดสองข้าง...
๒๗.) ไม่พึงบรรพชา คนใบ้...
๒๘.) ไม่พึงบรรพชา คนหูหนวก...
๒๙.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอดและใบ้...
๓๐.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอดและหนวก...
๓๑.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งใบ้และหนวก...
๓๒.) ไม่พึงบรรพชา คนทั้งบอด ใบ้ และหนวก
รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้ถูกโรค ๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ(ไอเรื้อรัง) โรคลมบ้าหมู กระทบเข้าแล้ว ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้าราชการ(ที่ไม่ลาบวช) ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจรผู้หนีเรือนจำ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ

ประเภทที่บวชแล้วต้องให้สึก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ อุภโตพยัญชนก (คนมี ๒ เพศ) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุปสัมบัน คือ คนลักเพศ(คนปลอมบวช) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ลัทธิที่เป็นมิจฉาทิฐิ) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุปสัมบันคือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนฆ่าบิดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

(ที่มา : พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม 6 หน้า 338)

รบกวนช่วยตรวจสอบนิดนะครับ ผู้หญิงสามารถ บวชได้นะครับ เราเรียกผู้หญิงที่บวชว่าภิกษุณีครับผม  เวปเชียงรายโฟกัส เด็กๆๆเข้ามาอ่านกันเยอะ ไม่อยากให้ได้ข้อมูลผิดๆๆ น่ะครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 13:34:59
ก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.

เห็นเดินกันเต็มเมือง  ที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในวัดก็มากมาย


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ChitChat ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 14:52:02
สาธุ  :o


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2010, 15:10:06
ผู้หญิงบวชได้ครับ แต่ต้องปฎิบัติตามครุธรรม ๘ ประการ และพระวินัย ๓๑๑ สิกขาบท ซึ่งมากกว่า พระภิกษุถึง ๙๐ ข้อ พระภิกษุณีองค์แรกคือ พระนางประชาบดี พระน้านางของพระพุทธเจ้า มีเรื่องราวดังนี้ครับ...

.........ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงโปรดพระพุทธบิดาจนสำเร็จพระอรหันต์และพระพุทธบิดาได้ปรินิพพานแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตมี (น้าของพระพุทธเจ้า,แม่เลี้ยง) พระนางมีพระทัยน้อมใปในการบรรพชา จึงเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดายัง นิโครธาราม กราบทูลว่าขอประทานวโรกาสให้สตรีพึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นพรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานอนุญาต แม้พระนางจะทูลอ้อนวอนขอถึง3ครั้ง ทรงน้อยพระทัย เป็นทุกข์ มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ถวายบังคมลา กระทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
จากนั้นพระบรมศาสดาก็เสด็จไปยังกรุงเวสาลี เนื่องจากเป็นเวลาใกล้เข้าพรรษาทรงประทับที่กูฏาคารศาลา เป็นครั้งแรก
พระนางมหาปชาบดีโคตมี น้อยพระทัยที่พระพุทธองค์ปฏิเสธ จึงปลงพระเกสา ทรงครองผ้ากาสาวะ ถือเพศพรรพชิตอุทิศพระทศพล ภายในพระราชนิเวศน์นั้นเอง ทรงให้สากิยานี 500 ที่เคยเป็นบาทบริจาริกาของภิกษุศากยกุมาร ถือเพศบรรพชาเหมือนกัน
พระนางได้พาเหล่าสากิยานีทั้งหลายเสด็จตามพระศาสดาไปยังกรุงเวสาลี พระนางมีพระบาททั้งสองพอง มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี ทรงเป็นทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารข้างนอก
พระอานนท์ออกมาเห็นพระนางกันแสงอยู่ได้เข้าไปไต่ถามความ ทราบว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้สตรีได้บวช จึงทูลให้พระนางรออยู่ก่อน
จากนั้นพระอานนท์ได้เข้าไปกราบทูลพระศาสดา ขอให้ทรงอนุญาตสตรีได้บวชเป็นบรรพชิต พระอานนท์ได้ทูลขอถึง 3 ครั้ง พระศาสดาก็มิทรงอนุญาต พระอานน์จึงทูลถามว่าการที่สตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต สามารถที่จะทำให้แจ้งมรรคผลนิพพานได้หรือไม่พระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อน อานนท์ สตรีก็สามารถที่จะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้
พระอานนท์จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้มีอุปการะมาก ทรงประคับประคองเลี้ยงดู ทรงถวายขีราธารเมื่อพระชนนีสวรรคต ขอประทานพระวโรกาส ทรงอนญาตให้พระนางได้บวชเป็นบรรพชิต ในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเถิดพระเจ้าข้า
พระบรมศาสดาตรัสว่า อานนท์ เหตุที่เราไม่อนุญาตก็เพราะเห็นว่าหากอนุญาตให้สตรีบวช พระธรรมวินัยจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน แต่เราจักบัญญัติครุธรรม8ประการ เสมือนหนึ่งกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อมิไห้น้ำไหลออกฉะนั้น แล้วตรัสว่าหากพระนางยอมรับครุธรรมนี้ได้ข้อนั้นจักเป็นอุปสัมปทาของนาง
พระอานนท์เรียนครุธรรม8ประการแล้วออกมาชี้แจงแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีว่า หากพระนางยอมรับครุธรรม8ประการที่พระองค์บัญญัติไว้ได้ ข้อนั้นจักเป็นอุปสัปทาของพระนาง โทมนัสของพระนางมหาปชาบดีสงบลงทันที มีใจชื่นชมยินดีเมื่อได้สดับว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาต แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับครุธรรม8ประการ พระอานนท์จึงกล่าวครุธรรมที่พระพุทธองค์ทรงยัญญัตแล้วดังนี้

             ๑.ภิกษุณีแม้จะมีพรรษาตั้ง ๑oo ก็ต้องกราบไหว้ภิกษุผู้แม้อุปสมบทในวันนั้น
            ๒.ภิกษุณีไม่พึงจำพรรษาอยู่ในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
            ๓.ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือถามวันอุโบสถ ๑ เข้าไปฟังคำสั่งสอนจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ๑
            ๔.เมื่อออกพรรษา ภิกษุณีต้องปวารณาในสงฆ์สองผ่าย คือภิกษุและภิกษุณี
            ๕.ภิกษุณีต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์สองผ่าย
            ๖.ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสมบทให้แก่สิกขมานา ผู้ศึกษาในธรรม ๖ สิ้น๒ปีแล้วในสงฆ์สองผ่าย
            ๗.ภิกษุณีไม่พึงบริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง
            ๘.ภิกษุณีไม่พึงสั่งสอนภิกษุ แต่ให้ภิกษุสั่งสอนภิกษุณี

พระนางมหาปชาบดีโคตมี กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ดิฉันยอมรับครุธรรม๘ทุกประการและจักไม่ละเมิดตลอดชีวิต พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้อุปสมบทแล้ว ด้วยการรับครุธรรม๘ประการ เป็นภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา
จากนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีเข้าไปเผ้าพระศาสดา ทูลถามถึงสิกขาบทของภิกษุณี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโคตมี พวกเธอจึงศึกษาในสิกขาบทดุจเดียวกับที่ภิกษุทั้งหลายศึกษาอยู่ ตามที่เราบัญญัติไว้แล้ว
พระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณี ได้ทูลขอพระวโรกาสว่า ขอพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้วจะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด
พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่านี้คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ เพื่อไม่สั่งสมกิเลส เพื่อความมักน้อย เพื่อความสันโดษและความไม่คลุกคลี เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ดูก่อนโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้ว่านี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา
พระมหาปชาบดีภิกษุณี ทรงน้อมรับโอวาส ทรงเรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระบรมศาสดา เพียรภาวนาอยู่ไม่นานได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ดังนี้

นี่คือภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศษสนาครับ  :D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 07:43:18
กฎหมาย พัฒนามาจากจารีตนะคะ
การห้ามผู้หญิงขึ้นพระธาตุ ไม่ใช่เรื่องงมงายค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องว่าผู้หญิงที่มีประจำเดือนห้ามเข้า
แต่เป็นเรื่อง ความเหมาะสม กาลเทศะ การให้ความสำคัญกับสิ่งที่นับถือ สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธศาสนา

ถ้าอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วหล่ะค่ะ เพราะมีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้มากที่สุด มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่แตะเนื้อต้องตัวพระสงฆ์ได้
ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ แม้แต่ส่งของกับมือพระสงฆ์ ผู้หญิงก็ทำไม่ได้เป็นจารีตที่ปฎิบัติกันมานานแล้วนะคะ

ถ้าให้ผู้หญิงขึ้นพระธาตุได้ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความเคารพนับถือพระนะคะ งั้นต่อไปก็ต้องอ้างความเท่าเทียมให้ผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ได้อีกสิคะ แล้วก็จะไม่มีความเคารพ ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้วสิ

แค่ความคิดเห็นค่ะ......... ดิฉันเป็นผู้หญิง ไม่คิดว่าการห้ามขึ้นพระธาตุเป็นเรื่องของสิทธินะคะ แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมค่ะ ก้าวขึ้นบนพระธาตุก็เท่ากับปีนขึ้นพระพุทธรูปนะคะ
เสียงจากผู้หญิงอายู 23 +1
คนรุ่นใหมใต้องแสดงออกทางความคิด
อย่างนี้ดีครับ
+1ครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: DB Supply CR ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 08:42:36
 ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 09:19:01
เหมือนแมวเชื่อง
คอยรับใช้คลอเคลีย รอรับคำสั่ง
หากปล่อยเป็นอิสระ ก็จะไม่หนีไปไหน
คอยหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
เสมือนทาสที่ปล่อยไม่ไป

เธอเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่
สังคมล้างสมองให้อยากได้คนเป็นแบบเธอ

ชอบตรงที่การแสดงออกทางความคิด
หากจะทันกระแสโลก
วิธีคิดควรจะต้องปรับเปลี่ยน.


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 10:09:18
คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ;D

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  :D
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: SAWBWA ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 18:39:44
ชอบจัง :D ;)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนโบราณ ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 18:45:24
คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ;D

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  :D
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)


ยกนิ้วหื้อแฮ๋มรอบ (http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif) (http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif)(http://www.thaitripdd.com/webboard/Smileys/default/0036.gif)


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 08 สิงหาคม 2010, 22:59:16
คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ;D

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  :D
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)


สุดยอดมะก้วยเต๊ด ขนาดหล่ะอ่อน วัยรุ่น ยังฮู้จักกึ๊ด



หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 07:23:40
ประเด็นของเจ้าของกระทู้คือ
" การห้ามผู้หญิงเข้าใกล้ "
ผมจึงให้ความคิดเห็นและสรุปไปว่าการห้ามเข้าข่ายผิดกฏหมาย

แต่คุณหนูแว่น เฉประเด็นออกไปว่า
" ห้ามไม่ให้เคารพ "

คนละเรื่องเลยอ่ะ !

 ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 08:36:36
คงเป็นเพราะว่าคุณ Mr.  นำเรื่องความเชื่อ และ ความงมงาย

ขึ้นมาเป็นประเด็นก่อนกระมังคะ จึงทำให้ดิฉันคิดแบบนั้น  :D

แต่ก็ถูกอย่างคุณว่านะคะ ประเด็นของ  จขกท. คือ

"ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้"

ถามว่าทำไม ?  ตามหลักเราก็ต้องตอบ   เพราะว่า..........

คนละเรื่องกับกฎหมายเลย  :D :D :D :D

เราก็พากันพูดไปซะไกล เลยเนาะ ถามหา" ต้นเพลิง " แต่ตอบว่า"ใช้น้ำดับ "  พากันงงเลยทีเดียว   ;D ;D ;D ;D ;D

เอวัง... ก็เป็นประการละฉะนี้......


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: corolado4 ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 15:04:03
"....จารีตกับกฏหมาย ปฏิบัติตามกฏหมายดีกว่า....
.....เป็นวิทยาศาสตร์ และสากล กว่ากันเยอะ....."
ความนี้ ถ้ามองคำเดียว คือ จารีต  ตีความไปทางลบ คือ ไม่ยอมทำจารีตประเพณี?
แต่ถ้าตีความไปทางบวก คือ การเป็นพลเมืองไทย เป็นคนไทย อยู่ภายใต้กฎหมาย
ได้ปฏิบัติตาม โดยไม่บิดพลิ้ว  แล้วนอกจากนั้นล่ะ?
แม้การใดๆ ที่หากมีการละเมิดแบบกรณีจำกัดสิทธิคนต่างเพศ จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย
แต่กว่าจะได้ตัดสินว่าผิดจริงๆ มันผ่านกันกี่ขั้นตอน
กี่ศาล  แล้วนี่พวกเรามาแสดงความคิดเห็นขัดแย้ง  ซึ่งเริ่มต้นมาดีด้วยสร้างสรร แต่.....
พอมีหลายความคิดเห็น และต่างเริ่มยืนยัน จุดยืนของตนเอง การขัดแย้งกำลัง
จะกลายเป็นการเอาชนะ เหมือนกับข้างบน กับคำว่า จารีต ที่ได้เริ่มจั่วหัวไว้
ขอให้เป็นความคิดเห็นแบบสร้างสรร อาจขัดแย้ง ก็ควรให้สิทธิในความคิดเห็นของเขา
ไม่จำเป็นต้องไปหักล้างให้เปลี่ยนแปลงกลับกลายความคิด ให้มาเป็นพวก เป็นข้างเดียวกัน
ให้ทุกประเด็น เป็นข้อคิดเห็นที่หลากหลาย  อาจไม่มีบทสรุป แต่อาจมีบางคนได้บทสรุป
และอาจมีหลายคน มาอ่านกระทู้นี้แต่กรอบแรก ที่ไม่เคยได้รู้ได้รับทราบ ก็จะได้ความรู้และ
มีความเข้าใจลึกซึ้ง  ถ้าถึงขนาดบรรลุธรรม มองเห็นสัจจธรรมได้ด้วย 
ประโยชน์เชิงบวกของกระทู้นี้ ไม่น้อยนะครับ
วิน วิน วิน และ วิน กันทุกฝ่าย


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 18:55:17

ผมคิดว่าเรื่องนี้สามารถขยายไปสู่เรื่องที่จะต้องทบทวนการ
ห้ามตามจารีต ว่าเข้าข่ายผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?

จะส่งให้คณะกฤษฏีกาตีความหรือนิติกรผู้ดูแลด้านกฏหมาย
ของพระธาตุที่สำคัญ ๆ ตีความก็ตาม

หรือจะปฏิบัติตามจารีตที่เคยปฏิบัติมาโดยสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง
ก็สุดแท้แต่ครับ...

 :o ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:05:45
กฏหมายกับจารีตมันคนละอย่าง และจารีต ก็เป็นสิ่งที่ยึดถือกันมานาน คนในสังคมต่างก็ยอมรับ แล้ว จะสร้างกฏหมายมาทำลายจารีตนั้นลงเพื่อ??????????????

และในความเป็นจริงของสังคมไทย ก็ยังคงปฏิบัติตามทำเนียม จารีตประเพณี แล้ว จะมีใครกล้ามาสร้างกฏหมายทำลายจารีตนั้นได้?????????????? หรือว่าคนที่จะมาทำลายจารีตนั้นเป็นเสื้อแดงเช่นคุณ???!!!!!!


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:12:26
กฎหมายสิทธิสตรี  
 
ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อันเป็นบทกฎหมายหลักสูงสุดของประเทศ ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิสตรีไว้กล่าวคือ

ความเสมอภาคกันในกฎหมาย และ การห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชาย และ หญิง มีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพ ทางกาย หรือ สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือ ความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้…
 
ที่มา...http://www.classifiedthai.com/content.php?article=14544

คุณ บ่าวสองเมือง คุณเคยอ่านกฏหมายรัฐธรรมนูญ แล้วหรือยัง
มันมีมานานแล้วครับ คณะผู้ร่างกฏหมายและประชาชนที่ประชามติต่างหาก  





หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:15:17
แล้วกฏหมายสิทธิสตรี มัน เกี่ยวอะไรกะจารีตครับ??????



หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:26:09
1. ประเด็นของกระทู้คือการห้ามผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุ

2. ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นว่าการปฏิบัติเช่นนั้นเป็นจารีต

3. ผมคิดว่าการห้ามจะเข้าข่ายผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญ เรื่องสิทธิสัตรี

อันที่จริงด้วยเจตนาความเป็นห่วงว่าหากในอนาคตจะมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผู้ที่เกี่ยวข้องจะหาวิธีการป้องกันหรือแก้ไขอย่างไร ?


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:34:47
แล้วท่านคิดว่าในอนาคต คนไทย ที่มีธรรมเนียมจารีตประเพณี เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จะยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรือ?????? จะยอมให้ มีการนำกฏหมาย มาบังคับใช้ เพื่อทำลาย จารีตนั้นลงอย่างนั้นหรือ?????

มีสิ่งอื่นที่ให้ทำเยอะแยะ สำหรับหญิงชาย ที่สามารถทำได้อย่างเท่าเทียมกัน

เว้น จารีตประเพณีที่มีมาแต่โบราณไม่ได้หรือ??????????????



หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 19:40:43
แล้วกฎหมายที่ตราขึ้น จะย้อนไปมีผลในอดีตด้วยมั้ยคะ

แบบว่า เอาผิดกับคนที่เป็นผู้สั่งห้าม ตั้งแต่สมัยโน้นนนนนนนนนนนนนนนนน  น่ะค่ะ   ??? ??? ???

สมมุติ นะคะ สมมุติ คนที่เป็นคนสั่งห้ามเลยคือ เจ้าเมือง สมัย พ.ศ. 1111   อะไรงี้อะค่ะ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.R ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 20:21:58
มีมุมมองสองด้านครับ

ด้านหนึ่งเป็นมุมมองของผู้เลื่อมใสศรัทธา
ด้านหนึ่งเป็นมุมมองของหลักสิทธิมนุษยชน
ซึ่งกฏหมายมักจะล้อตามหลักสากล

เห็นว่ามีวิธีแก้ไข 2 วิธี

1. ปฏิบัติตามกฏหมาย

2. แก้ไขกฏหมาย


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 20:27:22
มีมุมมองสองด้านครับ

ด้านหนึ่งเป็นมุมมองของผู้เลื่อมใสศรัทธา
ด้านหนึ่งเป็นมุมมองของหลักสิทธิมนุษยชน
ซึ่งกฏหมายมักจะล้อตามหลักสากล

เห็นว่ามีวิธีแก้ไข 2 วิธี

1. ปฏิบัติตามกฏหมาย

2. แก้ไขกฏหมาย


เยี่ยมมาก สุดยอดจริงๆ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 20:31:30
อ๋อ...........

แล้ว กฎหมาย ฯลฯ  เป็นคำตอบในประเด็นไหนหรือคะ จากหัวข้อกระทู้น่ะค่ะ  ??? ??? ???
 :-\ :-\


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ttyy ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 20:56:37
แล้วกฎหมายที่ตราขึ้น จะย้อนไปมีผลในอดีตด้วยมั้ยคะ

แบบว่า เอาผิดกับคนที่เป็นผู้สั่งห้าม ตั้งแต่สมัยโน้นนนนนนนนนนนนนนนนน  น่ะค่ะ   ??? ??? ???

สมมุติ นะคะ สมมุติ คนที่เป็นคนสั่งห้ามเลยคือ เจ้าเมือง สมัย พ.ศ. 1111   อะไรงี้อะค่ะ

ขอตอบในประเด็นนี้แทนนะครับ

การให้กฎหมายมีผลย้อนหลังกระทำได้โดยเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (หลักการทั่วไป)
1. ระบุไว้ในกฎหมายนั้นโดยโจ่งแจ้งว่าจะให้ใช้บังคับย้อนหลัง
2. การใช้กฎหมายย้อนหลังต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
หลักกฎหมายดังกล่าวเป็นการห้ามการออกกฎหมายไปลงโทษซึ่งหรือเพิ่มโทษแก่บุคคลเป็นการย้อนหลัง ดังนั้น ในทางอาญาจึงปฏิเสธผลย้อนหลังของกฎหมายเป็นเด็ดขาด เว้นแต่เข้าข่ายห้าประการดังต่อไปนี้
2.1 เป็นการย้อนไปเลิกล้มความผิด
2.2 เป็นการย้อนไปเป็นคุณแก่ผู้มีความผิด
2.3 เป็นการบัญญัติถึงวิธีการเพื่อความปลอดภัย
2.4 เป็นการแปลหรือตีความกฎหมายเดิมอันคลุมเคลือในความหมายหรือวัตถุประสงค์
2.5 เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติหรือกฎหมายวิธีพิจารณาความ  แม้ความจะอยู่ในกระบวนพิจารณาอยู่ก็สามารถนำกฎหมายใหม่มาใช้ได้ทันที


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ttyy ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 20:59:00
ส่วนเรื่องผู้หญิงกับพระธาตุ ผมขอเอาแนวความคิดของท่าน นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ มาลงไว้ด้วยละกันครับ  ผมอ่านดูแล้ว อยากนำมาแบ่งปันครับ

ผู้หญิงกับพระธาตุ

 

นิธิ เอียวศรีวงศ์



ป่านนี้อารมณ์ร้อนแรงเกี่ยวกับผู้หญิงและพระธาตุในภาคเหนือ คงบรรเทาความฉุนเฉียวลงแล้ว จึงเป็นเวลาสมควรที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้อย่างคนในสังคมอารยะที่เป็นประชาธิปไตยกันได้

ตามความเข้าใจของผม แม้รัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นข้ออ้างของฝ่ายที่อยากให้เอาป้าย "ห้ามสตรีเข้าบริเวณนี้ ออก แต่เอาเข้าจริงแล้วรัฐธรรมนูญตัดสินให้ไม่ได้

เพราะถึงรัฐธรรมนูญจะให้สิทธิเท่าเทียมกันแก่หญิงใน ม.30 แต่รัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิที่จะอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นไว้ใน ม.46 ด้วย

ต้องมาเถียงกันว่าประเพณีวัฒนธรรมที่ห้ามผู้หญิงเข้าไปในเขตรั้วของพระธาตุที่ฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้เบื้องล่างนั้น "อันดี" แล้วหรือยัง

อันที่จริง การห้ามไม่ให้ใครเหยียบย่ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นพระบรมสารีริกธาตุนั้น เป็นวัฒนธรรมที่คนไทยทั่วไปเข้าใจอยู่แล้ว และโดยปรกติเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงหรือผู้ชายเข้าไปเดินเล่นหลังรั้วที่กั้นไว้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าหากมีความจำเป็น เช่น ต้องซ่อมหรือปิดทองพระธาตุ เขาก็ใช้แต่แรงงานผู้ชาย ไม่เอาผู้หญิงขึ้นไปเหยียบย่ำ

เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะผู้หญิงนั้น "สกปรก" ล่ะสิครับ ข้อนี้ไม่ใช่ความเชื่อในพระพุทธศาสนา แต่เป็นความเชื่อที่ปรากฏในหลายวัฒนธรรมมาแต่โบราณ และคนล้านนาก็เชื่ออย่างเดียวกันนี้ แม้ไม่ใช่ความเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ตาม... ก็ใครบอกเล่าครับว่าคนไทยเชื่อแต่พระพุทธศาสนาอย่างเดียว

นักมานุษยวิทยาบางคนอธิบายความเชื่อว่าผู้หญิง "สกปรก" ไว้สนุกดี ว่า แต่เดิมนั้นผู้หญิงเป็นเพศที่มีเกียรติยศ, เป็นสายหลักของการสืบมรดก (คือมรดกอาจตกเป็นของผู้ชาย แต่โดยอาศัยการสืบสิทธิจากแม่), เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ, และมีอำนาจ มากกว่าผู้ชาย

ครั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในวิถีการดำรงชีวิต ผู้ชายกลับเป็น "ใหญ่" กว่า จึงมีความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่างที่จะกีดกันมิให้ผู้หญิงเข้าใกล้อำนาจได้เท่าผู้ชาย เพราะความกลัวว่าผู้หญิงจะชิงเอาอำนาจกลับคืนไป ฉะนั้น จึงต้องหวงแหนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายซึ่งเป็นที่มาของอำนาจมิให้ผู้หญิงเข้าใกล้

ที่ผมบอกว่าคำอธิบายนี้สนุกดีก็เพื่อจะเตือนว่าอย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพราะนักมานุษยวิทยาคนอื่นอาจชี้ที่ผิดของความคิดนี้ได้เยอะแยะ อย่างไรก็ตาม ในหลายวัฒนธรรมมีความเชื่อและพิธีกรรมที่กีดกันมิให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่ว่าในเชิงสิทธิหรือในเชิงอำนาจ

อันที่จริง จะค้นหาความไม่เท่าเทียมอย่างนี้ในความเชื่อและพิธีกรรมของคนไทยภาคกลาง, อีสาน, ใต้ ก็จะพบอยู่ทั่วไป เพียงแต่ไม่ถึงกับปิดป้ายบอกเท่านั้น

ฉะนั้น อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธรรมเนียมการปิดป้ายห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณรั้วที่ล้อมรอบพระธาตุนั้น เป็นธรรมเนียมโบราณที่คงจะสืบเนื่องมากับธรรมเนียมประเพณีอีกมากมายที่ไม่ยอมรับความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย

ผมไม่เข้าใจด้วยว่า จะปฏิเสธกันไปทำไม และเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ควรยอมรับด้วยว่า มันขัดกับหลักการความเสมอภาคระหว่างเพศซึ่งกลายเป็นหลักการที่มีคนจำนวนมากขึ้นในปัจจุบันยึดถือว่าสำคัญ

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายที่ต้องการให้รักษาธรรมเนียมนี้ไว้ยืนยันว่า เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ทำกันมานานมากในภาคเหนือ จึงต้องการรักษาเอาไว้ให้คงเดิมตลอดไป แม้ฟังดูในตอนแรกไม่ค่อยมีเหตุผลนัก เพราะธรรมเนียมประเพณีอะไรๆ ก็เลิกได้ทั้งนั้นแหละ อีกทั้งในความเป็นจริงก็ได้เลิกกันไปเสียนับไม่ถ้วนแล้วด้วย แต่พอคิดๆ ไปอีกที ผมกลับมีอคติลำเอียงเข้าข้างฝ่ายที่อยากรักษาขนบธรรมเนียมของท้องถิ่น

อคตินี้ไม่ได้เกิดจากความอยากรักษาป้ายกีดกันผู้หญิง หรือไม่อยากให้ผู้หญิงเข้าใกล้อำนาจหรอกนะครับ แต่เกิดจากการที่เข็ดขยาด หวาดกลัว และระแวงกับอะไรก็ตามที่อ้างความเป็นสากล

ผมคิดว่าเราอยู่ในโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่ถูกบรรษัทข้ามชาติสร้างกติกาหรือใช้หลักการบางอย่างที่อ้างความเป็นสากลกดหัวขูดรีดอย่างทารุณโหดร้าย เช่นเปิดการค้าเสรีภายใต้กติกาเดียวกันทั่วไปหมด เพราะการค้าเสรีมีความดีเป็นสากล แต่ครั้นเผชิญกับปัญหาสากลอย่างแท้จริง เช่น ภาวะเรือนกระจก กลับยืนยันให้ต่างคนต่างแก้ปัญหาเอาเอง ที่จะร่วมกันลดปริมาณคาร์บอนลงตามเป้าหมายนั้นไม่เอาดีกว่า

ไม่มีความหมายใดๆ เลยนอกจากผลประโยชน์ของฝ่ายที่มีอำนาจ

และในนามของ "สากล" นี่แหละ ที่นักการเมืองไทยชอบใช้อ้างเพื่อกดหัวคนอื่นเหมือนกัน จะรับใช้บรรษัทข้ามชาติด้านจีเอ็มโอก็อ้างจีเอมโอเป็นสากล, อยากกินหัวคิวสร้างเขื่อน ก็อ้างว่าการจัดการน้ำด้วยโครงสร้างขนาดใหญ่อย่างนี้เป็นสากล, พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อยากหาประโยชน์จากนโยบายรัฐเรื่องใด ก็อ้างความเป็นสากลให้แก่นโยบายนั้น

เพราะรู้ว่าคนไทยขี้เกรงใจสากล

ผมจึงค่อนข้างลำเอียงเข้าหาท้องถิ่น แต่ก็ไม่ได้ลำเอียงถึงขนาดที่คิดว่าท้องถิ่นถูกทุกเรื่อง เพียงแต่คิดว่าต้องมีจุดที่สมดุลระหว่างหลักการที่อ้างความเป็นสากล กับอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะของท้องถิ่นอันคนในท้องถิ่นอยากรักษาเอาไว้ แม้ว่าไม่สอดคล้องกับหลักการที่อ้างว่าสากลก็ตาม

ผมควรบอกด้วยว่า ผมก็มีอุดมคติส่วนตัวซึ่งอยากให้มันเป็นสากลเหมือนกัน เช่น สิทธิมนุษยชน ความเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, หรือแม้แต่ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ นั่นก็คือผมกำลังบอกว่าไม่ได้ปฏิเสธความเป็นสากลไปทั้งหมด

เพียงแต่ว่า ผมไม่อยากให้ความเป็นสากลถูกสถาปนาด้วยอำนาจ แต่น่าจะผ่านกระบวนการต่อรองโดยสันติ และอย่างเท่าเทียมระหว่างท้องถิ่นกับหลักการสากล เพราะผมไม่เชื่อใครจะมีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิงกับพระธาตุ หรือจีเอมโอ หรือการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ

ฉะนั้น ผมจึงไม่อยากเห็นใครเอาป้าย "ผู้หญิงห้ามเข้า" ลงด้วยอำนาจรัฐ แต่อยากเห็นการโต้เถียงกันด้วยเหตุผลว่าธรรมเนียมเช่นนี้มีผลร้ายอย่างไร หรือการไม่รักษาขนบธรรมเนียมดังกล่าวมีผลร้ายอย่างไร

การโต้เถียงจะทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งสองฝ่าย ในที่สุดคนในท้องถิ่นเองก็อาจเห็นชอบกับการยกเลิกธรรมเนียมนี้ หรืออย่างน้อยก็มีการปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมนี้ไปในทางที่เอื้อต่อสิทธิเสมอภาคของผู้หญิงมากขึ้น หรือตรงกันข้าม ฝ่ายที่อยากให้เอาป้ายออกอาจเห็นดีเห็นงามกับขนบธรรมเนียมอย่างนี้ก็ได้

ไม่ว่าจะออกอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็จะได้เรียนรู้อะไรอีกมากทั้งนั้น

ผมคิดว่า ความขัดแย้งระหว่าง "สากล" และ "ท้องถิ่น" ในเมืองไทยจะเกิดมากขึ้นกว่านี้อีกมาก เพราะ "ท้องถิ่น" ของไทยมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่เราจะขัดแย้งกันโดยวิธีเผาพริกเผาเกลือตลอดไปไม่ได้ เพราะที่จริงเป็นการปะทะกันของอำนาจนั่นเองไม่เกิดผลดีแก่ใครเลย

จุดสมดุลของสากลและท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการแลกเปลี่ยนกันโดยสันติในความขัดแย้ง ฉะนั้นผมคิดว่าเราควรมีกติกาในการจัดการด้านความขัดแย้งเช่นนี้อย่างน้อยสามอย่าง

อย่างแรก คือห้ามใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด การเผาพริกเผาเกลือก็เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง การกล่าวประณามหยามเหยียดด้วยถ้อยคำที่หยาบคายก็เป็นความรุนแรงอีกอย่างหนึ่ง การกีดกันฝ่ายตรงข้าม เช่นไม่ใช่คนเมืองหรือเป็นคนนอก ก็เป็นความรุนแรงอีกอย่างหนึ่ง ผมพบว่าคนเหนือเองที่เห็นด้วยกับการเอาป้ายออก ยังไม่กล้าเสนอความเห็นด้วยซ้ำ

อย่างที่สอง คือต้องเปิดความให้ความเห็นของทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกัน การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่กล้า หรือไม่ได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นของตัว

อย่างที่สาม ความขัดแย้งเช่นนี้ไม่ใช่การโต้วาที ทั้งสองฝ่ายต้องมองนัยยะทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองให้กว้างออกไปด้วย การยืนยันจุดยืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น รัฐธรรมนูญกำหนดให้หญิงชายเท่าเทียมกันก็ดี เป็นเพียงการประกาศจุดยืน ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ใดๆ เพิ่มขึ้นมากนัก

และดังที่กล่าวแหละครับ ถึงทำสามอย่างนี้แล้ว ก็อาจไม่บรรลุความตกลงพร้อมใจกันได้ทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้งก็ยังอาจดำรงอยู่ต่อไป แต่ทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น คนทั้งสังคมก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยจากการฟังการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ~KT 2 U~ ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2010, 21:12:44
ส่วนเรื่องผู้หญิงกับพระธาตุ ผมขอเอาแนวความคิดของท่าน นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ มาลงไว้ด้วยละกันครับ  ผมอ่านดูแล้ว อยากนำมาแบ่งปันครับ

ผู้หญิงกับพระธาตุ

 

นิธิ เอียวศรีวงศ์



ป่านนี้อารมณ์ร้อนแรงเกี่ยวกับผู้หญิงและพระธาตุในภาคเหนือ คงบรรเทาความฉุนเฉียวลงแล้ว จึงเป็นเวลาสมควรที่เราจะคิดถึงเรื่องนี้อย่างคนในสังคมอารยะที่เป็นประชาธิปไตยกันได้

ตามความเข้าใจของผม แม้รัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นข้ออ้างของฝ่ายที่อยากให้เอาป้าย "ห้ามสตรีเข้าบริเวณนี้ ออก แต่เอาเข้าจริงแล้วรัฐธรรมนูญตัดสินให้ไม่ได้

เพราะถึงรัฐธรรมนูญจะให้สิทธิเท่าเทียมกันแก่หญิงใน ม.30 แต่รัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิที่จะอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นไว้ใน ม.46 ด้วย

ต้องมาเถียงกันว่าประเพณีวัฒนธรรมที่ห้ามผู้หญิงเข้าไปในเขตรั้วของพระธาตุที่ฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้เบื้องล่างนั้น "อันดี" แล้วหรือยัง

อันที่จริง การห้ามไม่ให้ใครเหยียบย่ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นพระบรมสารีริกธาตุนั้น เป็นวัฒนธรรมที่คนไทยทั่วไปเข้าใจอยู่แล้ว และโดยปรกติเขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงหรือผู้ชายเข้าไปเดินเล่นหลังรั้วที่กั้นไว้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าหากมีความจำเป็น เช่น ต้องซ่อมหรือปิดทองพระธาตุ เขาก็ใช้แต่แรงงานผู้ชาย ไม่เอาผู้หญิงขึ้นไปเหยียบย่ำ

เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะผู้หญิงนั้น "สกปรก" ล่ะสิครับ ข้อนี้ไม่ใช่ความเชื่อในพระพุทธศาสนา แต่เป็นความเชื่อที่ปรากฏในหลายวัฒนธรรมมาแต่โบราณ และคนล้านนาก็เชื่ออย่างเดียวกันนี้ แม้ไม่ใช่ความเชื่อในพระพุทธศาสนาก็ตาม... ก็ใครบอกเล่าครับว่าคนไทยเชื่อแต่พระพุทธศาสนาอย่างเดียว

นักมานุษยวิทยาบางคนอธิบายความเชื่อว่าผู้หญิง "สกปรก" ไว้สนุกดี ว่า แต่เดิมนั้นผู้หญิงเป็นเพศที่มีเกียรติยศ, เป็นสายหลักของการสืบมรดก (คือมรดกอาจตกเป็นของผู้ชาย แต่โดยอาศัยการสืบสิทธิจากแม่), เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ, และมีอำนาจ มากกว่าผู้ชาย

ครั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในวิถีการดำรงชีวิต ผู้ชายกลับเป็น "ใหญ่" กว่า จึงมีความเชื่อและพิธีกรรมหลายอย่างที่จะกีดกันมิให้ผู้หญิงเข้าใกล้อำนาจได้เท่าผู้ชาย เพราะความกลัวว่าผู้หญิงจะชิงเอาอำนาจกลับคืนไป ฉะนั้น จึงต้องหวงแหนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายซึ่งเป็นที่มาของอำนาจมิให้ผู้หญิงเข้าใกล้

ที่ผมบอกว่าคำอธิบายนี้สนุกดีก็เพื่อจะเตือนว่าอย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพราะนักมานุษยวิทยาคนอื่นอาจชี้ที่ผิดของความคิดนี้ได้เยอะแยะ อย่างไรก็ตาม ในหลายวัฒนธรรมมีความเชื่อและพิธีกรรมที่กีดกันมิให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย ไม่ว่าในเชิงสิทธิหรือในเชิงอำนาจ

อันที่จริง จะค้นหาความไม่เท่าเทียมอย่างนี้ในความเชื่อและพิธีกรรมของคนไทยภาคกลาง, อีสาน, ใต้ ก็จะพบอยู่ทั่วไป เพียงแต่ไม่ถึงกับปิดป้ายบอกเท่านั้น

ฉะนั้น อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธรรมเนียมการปิดป้ายห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณรั้วที่ล้อมรอบพระธาตุนั้น เป็นธรรมเนียมโบราณที่คงจะสืบเนื่องมากับธรรมเนียมประเพณีอีกมากมายที่ไม่ยอมรับความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย

ผมไม่เข้าใจด้วยว่า จะปฏิเสธกันไปทำไม และเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ควรยอมรับด้วยว่า มันขัดกับหลักการความเสมอภาคระหว่างเพศซึ่งกลายเป็นหลักการที่มีคนจำนวนมากขึ้นในปัจจุบันยึดถือว่าสำคัญ

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายที่ต้องการให้รักษาธรรมเนียมนี้ไว้ยืนยันว่า เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ทำกันมานานมากในภาคเหนือ จึงต้องการรักษาเอาไว้ให้คงเดิมตลอดไป แม้ฟังดูในตอนแรกไม่ค่อยมีเหตุผลนัก เพราะธรรมเนียมประเพณีอะไรๆ ก็เลิกได้ทั้งนั้นแหละ อีกทั้งในความเป็นจริงก็ได้เลิกกันไปเสียนับไม่ถ้วนแล้วด้วย แต่พอคิดๆ ไปอีกที ผมกลับมีอคติลำเอียงเข้าข้างฝ่ายที่อยากรักษาขนบธรรมเนียมของท้องถิ่น

อคตินี้ไม่ได้เกิดจากความอยากรักษาป้ายกีดกันผู้หญิง หรือไม่อยากให้ผู้หญิงเข้าใกล้อำนาจหรอกนะครับ แต่เกิดจากการที่เข็ดขยาด หวาดกลัว และระแวงกับอะไรก็ตามที่อ้างความเป็นสากล

ผมคิดว่าเราอยู่ในโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่ถูกบรรษัทข้ามชาติสร้างกติกาหรือใช้หลักการบางอย่างที่อ้างความเป็นสากลกดหัวขูดรีดอย่างทารุณโหดร้าย เช่นเปิดการค้าเสรีภายใต้กติกาเดียวกันทั่วไปหมด เพราะการค้าเสรีมีความดีเป็นสากล แต่ครั้นเผชิญกับปัญหาสากลอย่างแท้จริง เช่น ภาวะเรือนกระจก กลับยืนยันให้ต่างคนต่างแก้ปัญหาเอาเอง ที่จะร่วมกันลดปริมาณคาร์บอนลงตามเป้าหมายนั้นไม่เอาดีกว่า

ไม่มีความหมายใดๆ เลยนอกจากผลประโยชน์ของฝ่ายที่มีอำนาจ

และในนามของ "สากล" นี่แหละ ที่นักการเมืองไทยชอบใช้อ้างเพื่อกดหัวคนอื่นเหมือนกัน จะรับใช้บรรษัทข้ามชาติด้านจีเอ็มโอก็อ้างจีเอมโอเป็นสากล, อยากกินหัวคิวสร้างเขื่อน ก็อ้างว่าการจัดการน้ำด้วยโครงสร้างขนาดใหญ่อย่างนี้เป็นสากล, พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อยากหาประโยชน์จากนโยบายรัฐเรื่องใด ก็อ้างความเป็นสากลให้แก่นโยบายนั้น

เพราะรู้ว่าคนไทยขี้เกรงใจสากล

ผมจึงค่อนข้างลำเอียงเข้าหาท้องถิ่น แต่ก็ไม่ได้ลำเอียงถึงขนาดที่คิดว่าท้องถิ่นถูกทุกเรื่อง เพียงแต่คิดว่าต้องมีจุดที่สมดุลระหว่างหลักการที่อ้างความเป็นสากล กับอะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะของท้องถิ่นอันคนในท้องถิ่นอยากรักษาเอาไว้ แม้ว่าไม่สอดคล้องกับหลักการที่อ้างว่าสากลก็ตาม

ผมควรบอกด้วยว่า ผมก็มีอุดมคติส่วนตัวซึ่งอยากให้มันเป็นสากลเหมือนกัน เช่น สิทธิมนุษยชน ความเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์, หรือแม้แต่ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ นั่นก็คือผมกำลังบอกว่าไม่ได้ปฏิเสธความเป็นสากลไปทั้งหมด

เพียงแต่ว่า ผมไม่อยากให้ความเป็นสากลถูกสถาปนาด้วยอำนาจ แต่น่าจะผ่านกระบวนการต่อรองโดยสันติ และอย่างเท่าเทียมระหว่างท้องถิ่นกับหลักการสากล เพราะผมไม่เชื่อใครจะมีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิงกับพระธาตุ หรือจีเอมโอ หรือการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ

ฉะนั้น ผมจึงไม่อยากเห็นใครเอาป้าย "ผู้หญิงห้ามเข้า" ลงด้วยอำนาจรัฐ แต่อยากเห็นการโต้เถียงกันด้วยเหตุผลว่าธรรมเนียมเช่นนี้มีผลร้ายอย่างไร หรือการไม่รักษาขนบธรรมเนียมดังกล่าวมีผลร้ายอย่างไร

การโต้เถียงจะทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งสองฝ่าย ในที่สุดคนในท้องถิ่นเองก็อาจเห็นชอบกับการยกเลิกธรรมเนียมนี้ หรืออย่างน้อยก็มีการปรับเปลี่ยนขนบธรรมเนียมนี้ไปในทางที่เอื้อต่อสิทธิเสมอภาคของผู้หญิงมากขึ้น หรือตรงกันข้าม ฝ่ายที่อยากให้เอาป้ายออกอาจเห็นดีเห็นงามกับขนบธรรมเนียมอย่างนี้ก็ได้

ไม่ว่าจะออกอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็จะได้เรียนรู้อะไรอีกมากทั้งนั้น

ผมคิดว่า ความขัดแย้งระหว่าง "สากล" และ "ท้องถิ่น" ในเมืองไทยจะเกิดมากขึ้นกว่านี้อีกมาก เพราะ "ท้องถิ่น" ของไทยมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่เราจะขัดแย้งกันโดยวิธีเผาพริกเผาเกลือตลอดไปไม่ได้ เพราะที่จริงเป็นการปะทะกันของอำนาจนั่นเองไม่เกิดผลดีแก่ใครเลย

จุดสมดุลของสากลและท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการแลกเปลี่ยนกันโดยสันติในความขัดแย้ง ฉะนั้นผมคิดว่าเราควรมีกติกาในการจัดการด้านความขัดแย้งเช่นนี้อย่างน้อยสามอย่าง

อย่างแรก คือห้ามใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด การเผาพริกเผาเกลือก็เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง การกล่าวประณามหยามเหยียดด้วยถ้อยคำที่หยาบคายก็เป็นความรุนแรงอีกอย่างหนึ่ง การกีดกันฝ่ายตรงข้าม เช่นไม่ใช่คนเมืองหรือเป็นคนนอก ก็เป็นความรุนแรงอีกอย่างหนึ่ง ผมพบว่าคนเหนือเองที่เห็นด้วยกับการเอาป้ายออก ยังไม่กล้าเสนอความเห็นด้วยซ้ำ

อย่างที่สอง คือต้องเปิดความให้ความเห็นของทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกัน การแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่กล้า หรือไม่ได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นของตัว

อย่างที่สาม ความขัดแย้งเช่นนี้ไม่ใช่การโต้วาที ทั้งสองฝ่ายต้องมองนัยยะทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองให้กว้างออกไปด้วย การยืนยันจุดยืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น รัฐธรรมนูญกำหนดให้หญิงชายเท่าเทียมกันก็ดี เป็นเพียงการประกาศจุดยืน ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ใดๆ เพิ่มขึ้นมากนัก

และดังที่กล่าวแหละครับ ถึงทำสามอย่างนี้แล้ว ก็อาจไม่บรรลุความตกลงพร้อมใจกันได้ทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้งก็ยังอาจดำรงอยู่ต่อไป แต่ทั้งสองฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น คนทั้งสังคมก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยจากการฟังการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน



ขอบคุณแนวคิดดีๆ ที่นำมาฝากกันค่ะ   :D :D :D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: monmaprangsity ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 10:19:39
ที่วัดโบสถ์ก่ห้ามเข้าเหมือนกันค้ับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: คำอ้ายบ้านดู่ ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 12:59:07
ความจริงมันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าห้ามเข้าไป แล้วถ้าบ่มีภาระกิจหน้าที่หยังจะเข้าไปในหั้นจะเข้าไปทำไม? ไหว้สาอยู่ด้านนอกก็มีความสุขดีอยู่แล้ว?


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: คำอ้ายบ้านดู่ ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 13:07:32
มันก็เหมือนกับผู้หญิงชาวมุสลิมที่เปิ้นต้องใส่ผ้าคลุมปิดใบหน้า ... ถามว่า "ผิดกฏหมายสิทธิสตรีไหม?" ถ้าตอบข้อนี้ได้ ก็เหมือนกันนะครับ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกหล้าแม่อุ้ย ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 17:19:27
มันก็เหมือนกับผู้หญิงชาวมุสลิมที่เปิ้นต้องใส่ผ้าคลุมปิดใบหน้า ... ถามว่า "ผิดกฏหมายสิทธิสตรีไหม?" ถ้าตอบข้อนี้ได้ ก็เหมือนกันนะครับ

คุณ Mr. มาตอบข้อนี้ตวยเน้อ 555  ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: แมงคอลั่น ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 19:50:30
ไม่ต้องคิดมากครับ อุ้ยผม แม่ผม บ่หันเปิ้นเดือดร้อนหยัง กราบตางนอกก็เหมือนกัน
เมียผมก็บ่หันจ่มหยัง เปิ้นบ่หื้อเข้า ก็บ่เข้า คางเหนือเปิ้นบ่มีไผเดือดร้อน คนที่อื่นทั้งนั้น
ที่มันเดือดร้อน บ้านบ่หื้อเข้า บ่ปอใจ๋ก็บ่ต้องมาแอ่ว
ถามว่าที่สตรีเรียกร้องสารพัดเรียกร้องสิทธิ เวลามีปอย บ่เกยหันแม่ญิงกางเต๊นท์ ยกของหนักน่อยฮ้องหาป้อจาย ฝนตกฟ้าฮ้องแผ่นดินไหว สั่นโจ๊ะ ๆ เป็นไห้ เป็นหุย ยะหยังปอบ่ถูกบ่เถือ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: คำอ้ายบ้านดู่ ที่ วันที่ 30 มีนาคม 2011, 19:56:08
ไม่ต้องคิดมากครับ อุ้ยผม แม่ผม บ่หันเปิ้นเดือดร้อนหยัง กราบตางนอกก็เหมือนกัน
เมียผมก็บ่หันจ่มหยัง เปิ้นบ่หื้อเข้า ก็บ่เข้า คางเหนือเปิ้นบ่มีไผเดือดร้อน คนที่อื่นทั้งนั้น
ที่มันเดือดร้อน บ้านบ่หื้อเข้า บ่ปอใจ๋ก็บ่ต้องมาแอ่ว
ถามว่าที่สตรีเรียกร้องสารพัดเรียกร้องสิทธิ เวลามีปอย บ่เกยหันแม่ญิงกางเต๊นท์ ยกของหนักน่อยฮ้องหาป้อจาย ฝนตกฟ้าฮ้องแผ่นดินไหว สั่นโจ๊ะ ๆ เป็นไห้ เป็นหุย ยะหยังปอบ่ถูกบ่เถือ


กด Like สามร้อยล้านรอบ บ่ใช่ว่าอั้นว่าอี้น่ะ จะเรียกร้องหยังมันก็ต้องมีขอบเขตความพอดีของมัน ถ้าจะเรียกร้อง 100% กำนี้ก็บ่ต้องมาบอกว่า Laday first หรือว่า สุภาพบุรุษมีไหม ? ? ถ้าจะเอาหัวเปียงกั๋นหมด


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: inta ที่ วันที่ 25 เมษายน 2011, 13:05:35
เปิ้นบ่าไค่ฮื้นมันสูนกั๋น    สู๋นกันแล้วมันจะสุ่นกั๋น   สุ่นกั๋นแล้วมันจะบุ่นมาหากั๋น  อะหยังมากั้นมันก็บ่าอยู่   ปิดบ่าตู๋ก็จะขึ้นหน้าต่าง


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: nansom ที่ วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 20:44:09
โคะๆ เดือดกั๋นแต๊ว่า คนบ่าเก่าเปิ้นกลั๋วนารีพิฆาต ก๋อนอั้นก็เป๋นพิฆาตนารี เลยบ่หื้อมาใกล้กั๋นนะจะบอกหื้อ ขนาดบ่มีแม่ญิงเข้าไป จ๊าดพ่องเลยเป๋นผีต๋ามอย ลักเข้าหาพระน้อยกาว่าเม็กพระน้อย ที่เป๋นข่าวหมั่นๆ หันก่อ


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: kosit ที่ วันที่ 15 มกราคม 2012, 17:11:58
ขอแจมตวยคน
อยากให้ทุกคนตั้งสติ มองไปในทิศต่าง ๆ (ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา) มิได้มีเฉพาะบ้านเราเท่านั้นนะ ที่รู้อะไรควรหรือไม่ควร เราจะอ้างกฎหมายหรือจะเป็นสิทธิมนุษยชนอะไรเหล่านี้มาใช้บังคับเหมือนกันก็หาได้ไม่ เพราะว่าบริบทต่างกัน เพียงแต่ว่ากฎหมายนี้เป็นเพียงกรอบที่ช่วยให้สังคมมีระเบียบ มีความสงบสุข แต่ไม่สามารถใช้ในที่ทั่วไป บ้างก็ใช้หลักศาสนา บ้างก็ใช้จารีต บ้างก็ใช้กฎหมู่ บ้างก็ใช้อัตตา เคยเห็นป้ายหลายๆที่ เช่นเขตทหารห้ามเข้า ห้ามเดินลัดสนาม นี้ไม่ใช่กฎหมาย หรือข้อบังคับที่จะให้เกิดโทษแต่อย่างใด เพียงแต่ "ไม่ควรเข้า ไม่เหมาะสมหรืออาจจะโดนตำหนิ"
***แต่ว่าคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเขาจะรู้ตัวเอง สมมติว่าถ้าคนต่างชาติมาท่องเที่ยวเราก็บอกเขา อธิบายให้เขาฟัง นี่ต่างหากสำคัญ
ยกตัวอย่างพุทธศาสนสุภาษิตว่า...
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํ
 
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉะนั้น
ถ้าคนมีใจชั่ว ก็พูดชั่วหรือทำชั่วตามไปด้วย
เพราะความชั่วนั้น ทุกข์ย่อมติดตามเขาไป

ในทางตรงกันข้ามก็ทรงสอนให้เห็นผลของการมีความคิดดีว่า

มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายา ว อนุปายินี
 
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
ถ้าคนมีใจดี ก็จะพูดดีหรือทำดีตามไปด้วย
เพราะความดีนั้น สุขย่อมติดตามเขาไป
เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะนั้น



หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: chate ที่ วันที่ 19 มกราคม 2012, 20:29:40
ขอบคุณข้อมูลดีๆ....ดันให้อ่าน


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 20 มกราคม 2012, 18:25:24
ข้ามปีละ ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
เริ่มหัวข้อโดย: suth ที่ วันที่ 22 มกราคม 2012, 23:07:51
คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เด็กและสตรีมีคัน ควรเกาก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ   ;D

ใช่ว่าคนฉลาด จะรู้ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนเชื่องๆ จะไม่ดุร้าย
ใช่ว่าคนมักง่าย จะไม่ปรับปรุง
ใช่ว่าคนชอบยุ่ง จะไม่หยุดยั้ง
ใช่ว่าคนน่าชัง จะไม่ดีเสมอไป
ใช่ว่าคนไร้น้ำใจ จะไม่แบ่งปัน
ใช่ว่าคนสร้างสรรค์ จะคิดแต่เรื่องดี
ใช่ว่าคนตระหนี่ จะถี่ทุกเรื่อง
ใช่ว่าคนฝันเฟื่อง จะไม่รับความจริง
ใช่ว่าคนชองติง จะน่าเบื่อ
ใช่ว่าคนมีความเชื่อ จะคอยแต่งมงาย
ใช่ว่าคนรู้กฎหมาย จะปฏิบัติทุกข้อ
ใช่ว่าคนสอพลอ จะไม่ทำเพราะจำใจ
ใช่ว่าคนคิดไกล จะไปถูกทาง........

++++++++++++++++++++++++

หากแม้นอ่านข้อความเพียงรอบ
ถึงไม่ชอบก็จงอ่านซ้ำอีกหน
อย่าได้คิดว่าสายตาของตน
จะได้ยลแก่นแท้ของใจความ

++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับผู้ที่ทนอ่านความคิดเห็นทุกท่านค่ะ  :D
ปล. แม้กษัตริย์ยังทรงกราบไหว้ ใยเราจึงให้ความเคารพสิ่งนั้นไม่ได้
(ความคิดเห็นทุกความคิด ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป มีผิดบ้าง ถูกบ้าง ใ้ช้เพื่อพิจารณา ใช่ว่าต้องเห็นตามเสมอไป ^^)