เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย => ศาสนา กิจกรรมทางวัด => ข้อความที่เริ่มโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 15:37:43



หัวข้อ: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 15:37:43
ใครมีภาพ คำคม ข้อความ หรือคติสอนใจ ในธรรมมะ เอามาลงแบ่งปันกันนะ  ;)



อย่า ท้อแท้ จะแพ้ หมู○

♦อย่า.....ยอมแพ้..แม้มรสุม..รุมทำร้าย
♦ท้อแท้…..ได้..ไม่ท้อถอย..คอยความหวัง
♦จะแพ้.....พ่าย..หน่ายชีวิต..จิตอย่าพัง
♦หมู.....มันยัง..ไม่ยอมแพ้..แม้พิการ


สมาคมมังสวิรัติและเจแห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 15:44:43
สังขาร..ผ่านเวลา มาแล้วเสื่อม
ใครอาจเอื้อม ฉุดรั้ง ยั้งให้สาว
ศัลยกรรม ทำไป ได้ชั่วคราว
มิยืนยาว เท่าใด ไม่เที่ยงทน

ใครยึดติด..มิคิดไกล หลงใหลรูป
ยังเด็กสาว น่ากอดจูบ รูปเป็นผล
ยามชรา หน้าเหี่ยวเฉา ถึงคราวคน
สังขารตน ไม่เที่ยง เถียงอย่างไร

จาก FB"


จากเด็กสู่สาว........จากสาวสู่แก่
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่...เปลี่ยนแปรทุกวัน

มองเห็นความจริง....ทุกสิ่งแปรผัน
รีบเร่งกระทำ..........ก่อนชีพมลาย ฯ

(บุญและบาป เท่านั้นที่นำติดตัวไปได้)

พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


เพราะเรา " หยุด " การ " เปลี่ยน " ของทุกสิ่งไม่ได้
เราจึง " ทำได้ " แค่ " ทำใจ " ยอมรับให้ได้กับสิ่งที่ " เปลี่ยนแปลง "

ธมลฐ์วนันท์ มุขมนตรี  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: little girl ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 15:56:41
(http://upic.me/i/3x/7552_75192.jpg) (http://upic.me/show/33602751)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 16:07:54
 ;)
เพียงรูปกาย ภายนอก บอกไม่ได้
หญิงชาย ร้ายหรือดี ควรตีค่า
พินิจดู พฤติกรรม ที่ทำมา
จึงรู้ว่า เพชรนิล หรือดินตม

.....เรือนร่างไม่นาน ก็หย่อนยาน
ความดีต่างหากที่อยู่ยาวนานและคงทน.....

จาก ธรรมะสบาย สบาย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: little girl ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 16:39:23
;)



 ;D ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 23:30:14
ร่างกายเรา เมื่อตายไป ก็เหม็นเน่า
แล้วจะเอา อะไรแน่ ต่างแปรผัน
เมื่อยังอยู่ ต่างยื้อแย่ง ฆ่าแทงกัน
พอตายพลัน ต่างหันกลับ ลับลาไป

ร่างกายเรา ใช่ของเรา เอาไม่แน่
ยังไม่แก่ ก็เต่งตึง รุมทึ้งแย่ง
ถึงผิดลูก บ้างผิดเมีย กันรุนแรง
ก็เพราะแก่ง แย่งครอบครอง จ้องกันเพลิน

ร่างกายเรา ประกอบกัน มันคือธาตุ
ดินอากาศ น้ำลมไฟ ใส่ผสาน
ยืมเขามา เอามาใช้ ได้ไม่นาน
เมื่อถึงกาล คืนเขาไป ใช่ยืนยาว

ร่างกายเรา เจ้าทั้งหลาย อย่าหลงติด
แต่จงคิด สร้างความดี ติดตัวไว้
ถึงเวลา ของเจ้าหมด สิ้นชีพไป
ก็จะได้ แต่ดี-ชั่ว ติดตัวพลัน..

จุ๋ย..บุญฤทธิ์ ต๊ะเสนา
สมาคมมังสวิรัติและเจแห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 มีนาคม 2012, 23:35:48
เท้าท่านใส่ คู่เท่าไหร่ ไม่อยากรู้
เพียงให้ดู ของผู้อื่น อีกหมื่นแสน
เรามีใส่ แต่คนไกล เขาขาดแคลน
ของเราแบรนด์ เขาก็แบน แม้นต่างกัน

...เพียงป้องกัน หินดินกรวด พรวดทิ่มแทง
...ใส่ของแพง มันทิ่มแทง ไม่เข้าหรือ
...ซื้อมาใส่ รีบไปอวด ให้เพื่อนลือ
...ว่านี่คือ คู่ละหมื่น แสนปลื้มใจ

อีกมุมหนึ่ง ซึ่งแร้นแค้น แสนจนยาก
แค่ใส่ปาก ยากเหลือหลาย ขวานขวายหา
อย่าว่าแต่ แค่รองเท้า รองบาทา
เท่าที่หา มาใส่นี้ ก็ดีพอ..

จุ๋ย
สมาคมมังสวิรัติและเจแห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: little girl ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 00:46:25
คนดื้ออย่าสอน          คนจรอย่าคบ
คนประจบอย่ารัก        คนทักอย่านิ่ง
คนจริงอย่าหน่าย        คนอายอย่าล้อ
คนเขามาง้ออย่าโกรธ  คนโฉดอย่าเข้าใกล้
คนตายอย่ากลัว          คนชั่วอย่านำพา..


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: Toy88 ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 01:18:09

คำคมโดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาล ถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า

การทำสิ่งดี ๆ ให้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย

ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใคร ควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 02:47:22
ขอบคุณคะร๊าฟฟ ที่แวะมาแบ่งปันสิ่งดีดี ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 02:51:44
ถ้ามีบุญน้อย.....อุปสรรคในชีวิตก็มาก
ถ้ามีบุญมาก.....อุปสรรคในชีวิตก็น้อย
ถ้าบุญอ่อนกำลังลงหรือหมดบุญ
บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาสส่งผล
ทำให้ชีวิตมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา
เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา
เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก
แม้ทรัพย์ที่มีน้อยนิดก็ยังรักษาไว้ไม่ได้เลย
///คำสอนพ่อ

ถ้าเราอยากจะเป็นคนปกติธรรมดาในโลก
ก็ต้องทำจิตยอมรับให้ได้ว่า
ชีวิตคนเราต้องมีขึ้นมีลง
มีได้ดีตกอับสลับกันไป
ซึ่งถ้าเราคอยสร้างบุญบารมีไป
บุญบารมีจะประคองให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

เครดิต
ธรรมะสบาย สบาย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 03:43:17
ปริศนา.. ฟ - ฟัน .... ;D

ฟ - ฟัน เหมือน จ - ใจ
เอาหัวออกไป เรียกว่า "ไฟ"
เป็น "สมุทัย" นำความเดือดร้อนมาให้
ฟ - ฟัน เอาหัวเข้าใน เรียกว่า "ฝน"
เห็น "จิตในจิตของตน" ย่อมพ้นจากภัยฯ ;D


เครดิต Dhamman Saddha


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 03:50:16

ความรักกับความเกลียดชัง..

ความรัก : มักไม่ต้องการเหตุผล

แต่ความเกลียดชัง : จะต้องหาเหตุผลมาประกอบอยู่เสมอ

เหตุผล : จึงใช้ได้กับความเกลียดชัง ความขัดแย้ง เท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อหาความชอบธรรมให้แก่ตนเอง
             

พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 04:11:27
อันความกลมเกรียว กันเป็นใจเดียว ประเสริฐศรี
ทุกสิ่งประสงค์จงใจ จะเสร็จสมได้ ด้วยสามัคคีฯ

บางคน.. เพียรพยายามเหลือเกิน
ที่จะก่อความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

บางคน.. ก็เพียรพยายามสร้างบุญ กุศล ให้กับตนเอง

ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเพียรสิ่งใดอยู่..

โลกเบื้องหน้าของทุกคนจะปรากฏได้ด้วย..กรรม

 :D
พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 04:17:06
Our birth and death are just one thing.
You can't have one without the other.

ชีวิตกับความตาย มันผูกติดกันเหมือนเหรียญเดียว มีสองหน้า
เราไม่สามรถเลือกเอาแต่หน้าชีวิตได้


 ;)พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 04:52:46
เทคโนโลยี คือ อาวุธที่ทำร้ายตัวเอง
ถ้าใช้เพื่อสนองตัณหา
โดยขาดปัญญาควบคุม


 ;)พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 05:01:10
ธรรมะสบาย สบาย  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 05:22:34
ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี
แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า

บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ๆ จากคนรอบข้าง
ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด

ดูแลหัวใจของเราให้ดี เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย

 ;)กฤตภาส อินนิล


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 05:33:29
นิทานเรื่อง..หมูกับวัว...(การให้ที่ต่างกัน)

“หมู” ตัวหนึ่งบ่นถึงโชคชะตาอันเลวร้ายของตนเองว่า
ทำไมมนุษย์จึงให้ความนิยมชมชอบ “วัว” มากกว่าเขา
มนุษย์ชอบที่จะพูดว่า วัวดีมีประโยชน์อย่างโน้นอย่างนี้
ตัวของหมูเองก็ยอมรับว่า วัวให้นมให้ครีมให้เนยแก่มนุษย์
แต่ตัวเองก็ให้อะไรที่มากมายกว่าวัวอีกตั้งแยะ

เมื่อได้พบกับเพื่อนวัว หมูจึงพูดตัดพ้อกับเพื่อนวัวว่า
 “เราให้ไส้กรอก ให้แฮม ให้น้ำมัน และอื่นๆอีกมากมาย
มนุษย์เอาตัวเราไปทำอาหารกันกินกันทั้งวันทั้งคืน
แม้แต่ขาของเรา พวกเขายังเอาไปทำความสะอาด กินกับข้าว
เป็นอาหารจานโปรดค้าขายกันจนร่ำรวยกันเป็นแถว
แต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายจึงเห็นว่าเธอดีกว่าเรา”

วัวได้ฟังดังนี้ก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งแล้วจึงตอบหมูว่า

“อาจจะเป็นเพราะว่าเราให้สิ่งต่างๆแก่มนุษย์ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ล่ะมัง”

 ;)พระมหาไพสิทธิ์ สัตยาวุธ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 07:01:43
รูปภาพจาก หลวงพ่ออุดม มหาปุญโญ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:48:36
อาการน่าวิตก :'(


"วิตกกังวล
สับสนชีวิต
คิดอะไรไม่ออก
พอกพูนแต่ชิงชัง
เอาแต่นั่งถอนหายใจ
อาการอย่านี้..ต้องรีบไปฟังธรรม" :D

เครดิต
วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: poupoushop.com ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 13:57:03
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆค่ะ  ว่าแต่ว่า...รูปภาพของเจ้าของกระทู้ที่นำมาประกอบในหลายๆกระทู้ภาพสวย-น่ารักทั้งนั้นเลยนะคะ 

อิอิ สารภาพแอบ save ไว้หลายภาพเหมือนกัน  ^^

ข้อคิดของฉัน : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วค่ะ   :D

ขอร่วมอนุโมทนากับข้อคิดดีๆของทุกท่านในกระทู้นี้ด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: เมฆพัตร ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 20:23:13
ขอแจมด้วยคน...


******************************   
           สังขารนี้….ไม่เที่ยง
   เป็นทุกข์…ทนได้ยาก
   มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ เป็นธรรมดา
   เมื่อกายแยกขาดออกจากจิต
   ธาตุขันธ์ย่อมแตกสลายเสื่อมไป

******************************
          มืดกับสว่าง…อะไรดี
          ดำกับขาว…อะไรดี
          ดีหรือชั่ว…อะไรดี
          ทุกข์หรือสุข…อะไรดี
          ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้ ก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 22:11:52
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆค่ะ  ว่าแต่ว่า...รูปภาพของเจ้าของกระทู้ที่นำมาประกอบในหลายๆกระทู้ภาพสวย-น่ารักทั้งนั้นเลยนะคะ  

อิอิ สารภาพแอบ save ไว้หลายภาพเหมือนกัน  ^^

ข้อคิดของฉัน : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วค่ะ   :D

ขอร่วมอนุโมทนากับข้อคิดดีๆของทุกท่านในกระทู้นี้ด้วยค่ะ

นำมาบอกต่อเผยแผj ภาพและข้อความดีดี
หากว่ามีประโยชน์ก็ยินดียิ่งจ้า  :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 22:16:04
ขอบคุณจ้า ที่เข้ามาแจม  ( ท่านเมฆพัตร )

ว่าแต่รูปนั้นเป็นรูปราหูอมจันทร์ แต่ไม่เข้าใจภาพต่างๆ  ;D
คิดว่าเป็นวงจรชีวิตของคนเราที่เวียนมาบรรจบครบ 12 ราศี
นั่นหมายถึงว่าชีวิตคนเราแต่ละคนมันไม่ได้ราบรื่นหรือทุกข์
หนักตลอดทั้งปี มันมีขึ้นมีลง ตามวิถีดาวจักรราศี ใช่ป่าวนะ

หากมีเวลาแวะมาเกิ่นๆ ความหมายภาพจะขอบพระคุณมาก  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 22:18:13
ภาพนี้เป็น ภาพวาดที่ชนะการประกวด ครับ

หนึ่งภาพ แทนคำ ล้านคำพูด
หนึ่งใบ ยายพูด พร่ำบอกหลาน
หนึ่งเรียน ให้รู้ จึงอยู่นาน
หนึ่งคน ถึงกาล ย่อมโรยลา
...
20 บาทนี้ ยายอด เจ้าจึงอิ่ม
ยามนี้ เจ้าอิ่ม จงเร่งหา
ร่ำเรียน ให้รู้ รอบปัญญา
แต่นี้ ภายหน้า เป็นคนดี

จาก FW.mail



หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 08 มีนาคม 2012, 22:24:31
แม่ บางคน .. ขายผัก ขายหญ้า  :D
เพื่อส่งลูกเรียน.. :)

แต่ ลูกบางคน .. แต่งหน้าเนียน   ::)
เพื่อโดดเรียน ไปเดินห้าง !!! ???


  ;)  ธมลฐ์วนันท์ มุขมนตรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: sabaidree ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 00:03:56
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับข้อคิดดีๆ
ส่วนภาพของคุณเมฆพัตร ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมะขั้นสูงมากๆเลยครับ น่าจะระดับอริยสัจ4(คิดเอาเองนะครับ  ;D ;D) ธรรมะบทนี้ผม........ไม่อาจเอื้อมครับ ถ้าอยากได้ข้อมูลคร่าวก็ตามนี้นะครับhttp://www.vimokkha.com/paticcat.htm :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 13:50:39
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับข้อคิดดีๆ
ส่วนภาพของคุณเมฆพัตร ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมะขั้นสูงมากๆเลยครับ น่าจะระดับอริยสัจ4(คิดเอาเองนะครับ  ;D ;D) ธรรมะบทนี้ผม........ไม่อาจเอื้อมครับ ถ้าอยากได้ข้อมูลคร่าวก็ตามนี้นะครับhttp://www.vimokkha.com/paticcat.htm :D

ขอบคุณครับ เป็นเรื่องของ ปฏิจสมุปบาท

อ่านว่า ปะ-ติด-จะ-สะ-หฺมุบ-บาด (เพิ่งจะรู้ว่าอ่านแบบนี้ ;D)
(สันสกฤต:ปรตีตยสมุตปาทะ)

เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพุทธศาสนา อธิบายถึง
การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน,

การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน จึงเกิดมีขึ้น
การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา
 มีองค์หรือหัวข้อ 12 ดังนี้ คือ

อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ :D

เป็นธรรมะค่อนข้างศึกษาลึกซึ้งจริงๆครับถึงจะเข้าใจได้  ;)
ขอบคุณอีกครั้งนะครับ

จาก
http://www.vimokkha.com/paticcat.htm



หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:06:29
กิ้งก่าได้ทอง

เมื่อทำงานใหญ่สำเร็จแล้ว
ไม่เย่อหยิ่งถือดีว่าตัวเองเก่ง
รักษาความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ได้
นั่นคือยอดคน

จาก ธรรมะสบาย สบาย ;)





หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:14:36
อวดดี

"คนที่ชอบอวดดี มักไม่ค่อยมีดีจะอวด

เขาตำราที่เขาว่า...

คนจนชอบอวดโก้
คนโง่ชอบอวดฉลาด
คนขี้ขลาดชอบอวดเก่ง"
..นักเลงจริง เขารู้จักนิ่ง..สงบ.



จาก   ;) วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:26:46
ความแก่..

ความแก่หง่อม ย่อมทุลัก ทุเลมาก
ดั่งคนบอด ข้ามฟาก ฝั่งคลอง,หา
วิธีไต่ ไผ่ลำ คลานคลำมา
กิริยา แสนทุลัก ทุเลแล;

ถ้าไม่อยาก ให้ทุลัก ทุเลมาก
ต้องข้ามฟาก ให้พ้น ก่อนตนแก่
ก่อนตามืด หูหนวก สะดวกแท้
ตรองให้แน่ แต่เนิ่นๆ รีบเดินเอยฯ

: พุทธทาสภิกฺขุ   ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:28:25

"การอ้อนน้อมถ่อมตนเป็นมงคลชีวิต
เป็นมนต์อันศักดิ์สิทธิ์สร้างชีวิตให้รุ่งเรือง
ผู้น้อยรักใคร่ แม้ผู้ใหญ่ก็เมตตา
ย่อมเจริญก้าวหน้าด้วยรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน"

วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:30:13
"สำนึกดี เพราะปลูกฝัง
อบรม เลี้ยงดูมาดี"


วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี   ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:32:27
เหตุผลของการสวดมนต์ไว้ว่า
๑. เป็นการรักษาธรรมเนียม ประเพณีที่ดีให้คงอยู่
๒. เป็นการแสดงความเคารพบูชาพระรัตนตรัย
๓. เป็นการเชื่อมสามัคคีในหมู่คณะ ครบไตรทวาร
๔. เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
๕. เพื่อฝึกกายใจให้เข็มแข็งอดทน
๖. เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทยไว้
๗. เพื่ออบรมจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง
๘. เพื่อฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ่งซ่าน
๙. เพื่อเป็นการทบทวนพระพุทธพจน์

ประโยชน์ของการไหว้พระสวดมนต์ไว้ว่า...

๑. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญา
๒. เป็นการอบรมจิตใจให้ประณีตและมีคุณธรรม
๓. เป็นสิริมงคล แก่ชีวิตตน และ บริวาร
๔. เป็นการฝึกจิตใจให้มีคุณค่าและมีอำนาจ
๕. ทำให้มีความเห็นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
๖. เป็นการรักษาศรัทธาปสาทะของสาธุชนไว้
๗. เท่ากับได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว
๘. เป็นเนตติของอนุชนต่อไป
๙. เป็นบุญกิริยา เป็นวาสนาบารมี เป็นสุขทางใจ

วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี   ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:34:46
"ปลายเท้าของพ่อแม่คือ
ทางไปสวรรค์...

ไม่เคารพพ่อแม่..ไหว้พระทำไม..? "



วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี   ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 14:43:57
อยู่เรือนพัง ยังดี ไม่มีทุกข์
ดีกว่าคุก หลายเท่า ไม่เศร้าหมอง
จนยังดี มีธรรม ค้ำประคอง
ดีกว่าปอง ทุจริต คิดร่ำรวย

สมบัติทั้งหลายในโลกนี้ เราเพียงมาอาศัยใช้ชั่วคราวแล้วก็จากไป
อย่าให้ความโลภมีอำนาจเหนือจิตใจ...จนทำผิดได้

พระธนวรรธน์ แซ่เจน  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 20:19:16
หากเหนื่อยนัก  พักเสียบ้าง


ธรรมะติดปีก  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 20:20:24
คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ


ธรรมะติดปีก   :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 21:41:45
 :)โลกนี้เปรียบ ศาลา ให้อาศัย
ประเดี๋ยวใจ ผ่อนพัก แล้วจักผัน
ทางที่ดี เมื่อพราก ไปจากมัน
ควรสร้างสรร ส่งเสริม เพิ่มคะแนน

เมื่อเราได้ เกิดมา ในอาโลก
ได้พ้นโศก พ้นภัย สบายแสน
จึงควรสร้าง สิ่งชอบ ไว้ตอบแทน
ให้เปนแดน ดื่มสุข ข้นทุกกาล

คุณความดี ของท่าน กาลก่อนก่อน
ที่ท่านสอน ไว้ประจักษ์ เป็นหลักฐาน
เราเกิดมาอาศัย ได้สำราญ
ควรหรือผ่าน พ้นไป ไม่คำนึงฯ

จากบทกลอนคำสอนของท่านพุทธทาส


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 21:43:16
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 21:44:42
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 มีนาคม 2012, 21:47:06
 ;)อำลากันกับคอมเม้นที่ 2500  ;)

ธรรมะสวัสดีครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: Very sabai ที่ วันที่ 11 มีนาคม 2012, 15:04:00
 ;) ;) ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆค่ะ ได้ข้อคิดสะกิดความดี อย่างมากมาย ^^


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: poupoushop.com ที่ วันที่ 11 มีนาคม 2012, 19:14:32
ข้อคิดดีๆมาอีกแล้ว ^^  ขอบคุณนะคะ
ฉันโดนล้อเป็น "หอยทาก" ตั้งแต่เด็กๆค่ะ  เป็นคนชอบทำอะไรช้า   :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: lea ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2012, 12:33:17
 :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 15:33:06
โดนกับใครบ้างนะ  ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 22:12:46
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 14 มิถุนายน 2012, 22:18:08
ไม่มีอุปสรรคใดๆ ที่จะมาขัดขวางคน " ใจบุญ "
ในการ ทำบุญ ตักบาตร ให้ทาน ได้ แม้แต่เทวดาก็กีดกันไม่ได้

สาธุ

ธรรมทาน  


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 10:38:24
ธรรมะสะสม วันนี้  :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2012, 10:49:27
อันชีวิต มีไตรลักษณ์ เป็นหลักหมาย
เกิดแก่ตาย นั้นแล แน่นักหนา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จะมีค่าเพียงศูนย์ ลองคูณดู

อันธาตุสี่ ดินน้ำ กล้ำลมไฟ
ไม่มีใครใหญ่เกิน เดินนำหน้า
ไม่มีผู้ กางกั้น ต้านโรคา
ถึงเวลา ธาตุแตก ก็แหลกลาญ

โอ้..อนิจจา สังขาร ต้องวางทิ้ง
ปล่อยตามจริง ในทุกสิ่ง หายึดไม่
จิตปล่อยกาย ร่างวางทิ้ง แผ่นดินไป
มนุษย์ไซร้ อย่ายึดมั่น ในตัวตน !!

สุรีย์ บุญเดช


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 19 มิถุนายน 2012, 08:48:28
คำคมวันนี้  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: sabaidree ที่ วันที่ 22 มิถุนายน 2012, 20:49:59
ขอบพระคุณและอนุโมทนากับ จขกท.และทุกๆท่านนะครับ
เปิดดูทีไร สุขใจทุกๆทีเลย ;D ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:28:24
ขอบพระคุณและอนุโมทนากับ จขกท.และทุกๆท่านนะครับ
เปิดดูทีไร สุขใจทุกๆทีเลย ;D ;D

ยินดีครับ ขอบคุณครับขอบุญกุศลทั้ืงหลายคืนสนองผู้อ่านครับ :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:29:28
ทิ้งกิเลสให้เป็นที่


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:34:01
น้ำใจนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดใดหลายสิ่ง
แม้จะต่างชาติต่างภาษา

ภาพจากคุณ eduzones


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:38:52
ความแตกต่างระหว่าง"หัวหน้า"กับ"ผู้นำ"

จากคุณApichat Maneejak


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มิถุนายน 2012, 10:47:40
ฝากภาพนี้ ให้น้องน้อง ที่ชอบโดดเรียน
การอ่านเขียน เพียรไว้ ได้ศึกษา
หลายคนนั้น ต้องขวนขวาย ให้ได้มา
เพื่อวิชา หามาไว้ ให้กับตน


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 00:56:32
สวัสดีวันพระ  :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 01:38:08
ไม่ว่า "ความทุกข์"

จะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด..?

ก็ "ดับ" ลงได้..!

ด้วย "ใจ" ของเราเอง..! ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 06:30:31
ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ที่นำสิ่งดีๆมาแบ่งปันเสมอเรื่อยมา    สาธุ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 26 มิถุนายน 2012, 06:34:13
ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ที่นำสิ่งดีๆมาแบ่งปันเสมอเรื่อยมา    สาธุ
 :D อรุณสวัสดิ์วันพระครับท่าน

EfI1xs8U9X4&feature


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 27 มิถุนายน 2012, 13:00:49
อำนาจของความเมตตา

พญาช้างนาฬาคิรีแล่นมาด้วยความเร็วดังลูกศรหลุดจากแล่ง
แต่พอวิ่งมาใกล้พุทธรัศมีที่ชุ่มเย็นด้วยน้ำคือเมตตา
พญาช้างกลับได้สติ มีจิตอ่อนโยน ลดงวงลง
เดินอย่างเชื่องๆ เข้าไปซบอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์อย่างว่าง่าย


ดอกไม้ สวรรค์


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2012, 23:03:00
"พ่อ" ♥ผู้ชายที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ
แต่กับ"ลูก"ผู้เป็นดวงใจ เท่าไหร่ก็ยอม

จำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ
การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่
พาท่านไปทำบุญทำทาน

สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา
แผ่เมตตา

ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ
ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด

เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย (สมเด็จโต พรหมรังสี)

เครดิตภาพและเนื้อหาโดย ธรรมทาน


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 30 มิถุนายน 2012, 23:27:44
การทำคุณงามความดีทุกครั้ง
เช่นการได้ช่วยเหลือคน
การได้ทำ ประโยชน์ส่วนรวม
ย่อมก่อให้เกิดความปิติดีใจ
สิ่งนี้แหละเรียกว่า "บุญ"

จากคุณ Jariya


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 15:03:54
พรุ่งนี้...วันพระ :)

บุญและบาปเป็นสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปได้เช่นกัน
ฉะนั้นทำความดีไว้เถิด ไม่เสียหายอะไร
ทำไปเถิดเดี๋ยวได้ผลตอบแทน
ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าแล้ว ชาตินี้ก็เห็น

แต่ถ้าเราคิดว่า ทำความดีแล้ว
ต้องได้ดีอย่างโน้นอย่างนี้ หรือทำบุญ 10 บาท
ก็ขอให้ถูกหวย ล้านบาท
ก็เป็นไปไม่ได้ เราทำความดี อย่าไปคำนึงถึงผลตอบแทน
ทำไปเถิดถ้าคิดว่าสิ่งนั้นทำไปแล้วเราสบายใจ
ถึงแม้ว่าเรายังไม่ได้สิ่งตอบแทน
ในตอนนี้ แต่เราก็ได้ความสบายใจไม่ใช่หรือ?
เมื่อใจสงบ นิ่ง เฉย สมาธิก็เกิด ความอิ่มเอมในจิตใจก็ดีขึ้น
ปัญญารอบรู้ก็เกิด
ทำให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

หลวงปู่ทิม
วัดละหารไร่ จ.ระยอง


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 15:16:03
‎..¸.•°*”˜˜”*°•.. จะขอทำความดีถวายพระองค์
☻/ღ˚ •。* ♥♥ ˚ ˚..ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.
/▌*˛˚ พระองค์อยู่ในดวงใจข้าพระพุทธเจ้าตลอดไป˚ღ。
/ \ ˚. ★ *˛ ✿◕‿◕✿•°°✿◕‿◕.ღ ˛˚ ♥♥ 。✰˚* ˚

YGYmRuITL_E&feature


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 15:35:19
 ;) ;) ;) ;) ;) ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 21:19:00
มีข้อความหนึ่งบอกว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นคือการรู้จักผิดชอบชั่วดี :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: @เชียงแสน ที่ วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 22:54:42
มีข้อความหนึ่งบอกว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นคือการรู้จักผิดชอบชั่วดี :)

...นั่นสิครับ นี่ขนาดมนุษย์เรารู้จักผิดชอบชั่วดี บ้านเมืองยังเป็นแบบนี้...

ไม่อยากจะคิดถ้ามนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์อะไรมันจะเกิดขึ้น... ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 10:11:02
สวัสดีวันพระ


โอลิเวอร์ โกลด์สมิธ กล่าวไว้ว่า
“ความภูมิใจอันยิ่งใหญ่ มิใช่อยู่ที่การไม่เคยหกล้ม
แต่.....อยู่ที่การลุกขึ้นทุกครั้ง ที่หกล้มต่างหาก...”

จะเข้มแข็ง.... หรือจะอ่อนแอ
ชีวิตคนเราบางครั้งก็มีความท้อแท้ อ่อนแอ เกิดขึ้นได้เช่นกัน
แต่หากมีความอ่อนแออยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้เป็นคนล้มเหลว
ระหว่างผู้เข้มแข็งและผู้ที่อ่อนแอนั้นมีบุคคลิกลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้

๑. ผู้ที่เข้มแข็งจะไม่ลดละความพยายาม ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
จะพยายามหาข้อมูล และหาเหตุผลเพื่อที่จะเอาชนะปัญหา อุปสรรค.....
แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๒. ผู้ที่เข้มแข็งจะไม่พร่ำบ่นถึงปัญหาส่วนตัว หรือนำมาเกี่ยวข้องกับการทำงาน
แต่จะจัดลำดับความสำคัญของงาน แยกแยะปัญหางานออกจากปัญหาส่วนตัว.....
แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๓. ผู้ที่เข้มแข็งจะคิดใหญ่ คิดว่าตนเองมีความสามารถ พัฒนาความรู้
ของตนอยู่เสมอ มีความมุ่งมั่น และคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่มีความสามารถ
เช่นเดียวกับผู้อื่น.....แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๔. ผู้ที่เข้มแข็งจะไม่บอกความลับแก่ใคร และไม่ต้องการรู้ความลับของผู้อื่น
อีกทั้งสนใจเฉพาะสิ่งที่สร้างสรรค์.....แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๕. ผู้ที่เข้มแข็งไม่กลัวความล้มเหลว คิดว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ
ที่สามารถเริ่มต้นใหม่ แก้ไข ปรับปรุงใหม่ ได้เสมอ.....
แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๖. ผู้ที่เข้มแข็งไม่ต้องการทราบว่าผู้อื่นคิดเห็นกับตนอย่างไร มีความเชื่อมั่น
ทำในสิ่งที่ถูกต้องและมีความมุ่งมั่น.....แต่ผู้ที่อ่อนแอมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

๗. ผู้ที่เข้มแข็งไม่คิดว่าตัวเองเคราะห์ร้าย แต่มีความยินดีที่ยอมรับ
และต่อสู้กับอุปสรรคอย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่คิดท้อแท้ยอมจำนน.....
แต่ผู้ที่อ่อนแอมักจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

บางครั้ง ความท้อแท้อาจทำให้เราอ่อนแอ แต่ความพยายามในการสร้าง
ความเข้มแข็งให้กับตนเอง ย่อมนำมาซึ่งสิ่งดี ๆ ในชีวิต...ตลอดไป...
(บางส่วนจากหนังสือ ขอให้เปี่ยมล้นกำลังใจ...โดย เบญญาวัธน์)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: poupoushop.com ที่ วันที่ 11 กรกฎาคม 2012, 19:50:19

ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อคิดดี ^^


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 16:44:20
แม่ยืนแคะ ขนมครก . . . ลูกนอนกก อยู่กับหนุ่ม
แม่นั่งกลุ้ม ตากแดด . . . ลูกออกแรด อยู่บนห้าง
แม่กินข้าว น้ำพริกผัก! . . ลูกน่ารัก > กิน K.F.C.
แม่ตื่นนอน ตอนตี 4 . . . ลูกแสนดี ตื่นตอนเที่ยง
แม่ทำงาน ไม่เคยเกี่ยง . . ลูกแม่งเถียง! แทบทุกคำ !!!

วัดพระไชยเชษฐาธิราช


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 16:48:55
วิธีการเชคเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ
ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้.....

ระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย)
เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา
ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่
ตัวเธอเองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย
แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า
ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น)
เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว

ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจจะยังอยู่กับพวกเรา
ในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและ
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วย
เส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิต
ผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้
วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้น
เป็นไปได้ยากอยู่ นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้
แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วย
อาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คือ
อาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน


หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE. คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently) (i.e.. It is sunny out today.)
คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันที
และแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

Blood Clots/Stroke - They Now Have an Indicator, the Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง
นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจบอกว่า หากคุณได้รับทราบข้อความนี้ และส่งต่อ
อาจมีโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างน้อย ๑ คน ก็เป็นได้

ปล. ถ้าพบเพื่อนมีอาการดังกล่าว จะสามารถช่วยเขาได้อย่างทันท่วงที
ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 16:50:52
อย่าทิ้งเราไปนะ
ขาดนายไปเราคงแย่เลย :'(


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: boonpasrem ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 17:19:22
ขอบคุณครับสำหรับหลักธรรมและกำลังใจ
ขออนุโมทนา สาธุกับสิ่งดีๆที่ทุกๆท่านทำนะครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 17:42:32

...พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้
จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ...

...มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน...


วัดยางรากโคกเจริญ ลพบุรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 21:11:20
อย่าทิ้งเราไปนะ
ขาดนายไปเราคงแย่เลย :'(

เป็นหนึ่งภาพที่บรรยายคำว่ามิตรภาพได้ดีจริงๆ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 14 กรกฎาคม 2012, 03:47:48
หัดให้นะ จะรู้ว่า มีไม่ขาด
อย่าปรามาส ว่าการให้ มีแต่สูญ
เอาแต่ได้ ต่างหาก ที่ขาดทุน
ไม่มีบุญ คอยหนุน ทุนมลาย

ภาพนี้ขอให้ชื่อว่า ให้ที่ซุกหัวนอน


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 11:48:13
คนเราเกิดมาหลายภพชาติ ย่อมมีเจ้ากรรมนายเวรต่างกัน

เจ้ากรรม กับ นายเวร แตกต่างกันอย่างไร ?

เจ้ากรรม หมายถึง ดวงจิตธรรมญาณ หรือดวงจิตวิญญาณของสัตว์และมนุษย์
ทั้งหลายที่ก่อนตาย ถูกมนุษย์ทำร้ายอย่างทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด
จนก่อให้เกิดความอาฆาตโกรธแค้นอย่างรุนแรง

เพราะคลื่นการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมของตนเอง เป็นด้านลบที่รุนแรงมาก
จึงไม่อาจไปผุดไปเกิดใหม่ หรือไปซ่อมแซมตนเองที่นรก หรือว่าไปสู่สุคติได้
จึงได้แต่คอยติดตามตัวมนุษย์ผู้ทำร้ายตนเองไปอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
เพื่อคอยหาจังหวะโอกาสแก้แค้นเอาคืน ในอันที่จะทำให้การสั่นสะเทือน
ด้านลบรุนแรงภายในตนเองเบาบางลงจนกลับคืนสู่สภาวะสมดุลเป็นปกติ
คือ "จิตสงบ" ได้ดังเดิม ไม่ว่ามนุษย์ผู้ทำร้ายตนนั้นจะเวียนตายเวียนเกิด
มาแล้วสักกี่ภพชาติ พวกเขาก็จะคอยเฝ้าตามติดเสมือนเงาตามตัวอยู่อย่างนั้น
จนกว่าจะสบโอกาสแก้แค้น โดยไม่มีแผนการเกิดใหม่สอดแทรกเข้าไปใน
สภาวะจิตได้เลย เพราะไม่มีที่ว่างให้สอดแทรก

"นายเวร" นั้น หมายถึง กลุ่มมวลพลังงานกรรมของมนุษย์ ที่สั่นสะเทือนจิต
สำนึกด้านลบแล้วกระทำลบต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์อื่นๆ จนทำให้ผู้ถูก
กระทำลบเกิดความอาฆาตโกรธแค้น จะยังผลให้จิตของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
เหวี่ยงพลังงานด้านลบออกมาทำปฏิสัมพันธ์กัน เกิดเป็นผลกรรมที่เป็นอนุภาค
ทางไฟฟ้าด้านลบซึ่งเป็นมวลหยาบๆ หนึ่งผลกรรมเท่ากับมวลหนึ่งมวล
ซึ่งมันจะสั่งสมอยู่บนระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกนี่เอง ลักษณะคล้าย
หยดน้ำที่เกาะติดอยู่บนใยแมงมุมอย่างไรอย่างนั้น

มนุษย์คนไหนก่อกรรมทำเข็ญ มีเจ้ากรรมเยอะๆ คนนั้นก็จะมีมวลกรรมด้านลบ
ที่เรียกว่า "นายเวร" ที่วานี้เยอะตามไปด้วย โดยมันจะจับกลุ่มรวมตัวกันเป็น
ก้อนคล้ายพวงองุ่นหรือพวงสละที่พวกเธอชอบทานกันนั่นแหละ แต่ทว่ามัน
จะมีสีดำสนิทเลย ไม่ว่าเจ้าของมันคือมนุษย์คนนั้น จะเดินทางไปทิศไหน
นายเวรเหล่านี้มันก็จะเคลื่อนที่ตามไปด้วยเสมอ เพื่อรอโอกาสให้เจ้าของมัน
ทำให้เป็นโมฆะให้ได้ ในขณะที่บรรดาเจ้ากรรมทั้งหลายก็จะใช้นายเวรเหล่านี้
เป็นที่สังเกตว่า ใครคือบุคคลที่ตนต้องการแก้แค้นเอาคืนไม่ให้ผิดตัว

ดังนั้น ต่อให้ใครตายแล้วเกิดใหม่ไปเป็นคนอื่นอย่างไร เจ้ากรรมก็รู้ได้ว่า
คนไหนมีจิตวิญญาณแก่นแท้เป็นคู่อาฆาตของตนบ้าง

(ป.วิสุทธิปัญญา)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 21:22:56
...นักปฏิบัติ...
" การมีสติ แต่ขาดซึ่งสัมปชัญญะ (เห็นเกิด-ดับ)
ก็ไม่อาจจะทำให้สติสมบูรณ์ได้
ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีอาตาปี สติมา สัมปชาโน
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงสติของนักกายกรรมเท่านั้นเอง "



วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 21:43:19
...เงินทองรู้ใช้ให้คุ้มค่า...
"..ลูกอาจจะเหนื่อยบ้างจากการศึกษา
พ่อแม่นั้นเหนื่อยหนักหนา กับการปักกล้านาปี .. "


วัดยางราก โคกเจริญ ลพบุรี


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 20:44:01
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคลทั้งหลาย จงมีเมตากรุณาความปราถนาดีต่อกัน ;D

5zO1a_UaXr4&NR=1&feature=endscreen


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 03 สิงหาคม 2012, 10:31:15
 :)สื่งที่ใช้วัดกันในธรรมะคือการปฏิบัติอย่างแท้จริง
มิใช่การแสดงความฉลาดทางการ"วาทะ"
หรือมีอิทธิฤทธิ์วัตถุมงมลจำหน่ายจ่ายแจก

แต่หากแสดงธรรมแล้วพามนุษย์ข้ามห้วงทุกข์ได้นี่สิ
น่าสรรเสริญกว่า


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 04 สิงหาคม 2012, 21:36:10
ฟังเพลงกันครับ ;D

-nLdd1knKGs&feature=related


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 10:33:57
ของดีมักอยู่ใน
คนจะดีต้องมองที่จิตใจ ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 13:31:48
“แสวงหาบุญ ... แต่ไม่ละบาป”
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง
จ.อุบลราชธานี

ระยะเวลานี้พวกเรา “แสวงบุญ” กันมาก
โดยมาก ... ก็มาแสวงบุญกัน
แต่ว่าไม่เคยเห็นญาติโยมที่ ... “แสวงหาการละบาป”
มีแต่ “แสวงบุญ” ... เรื่อยไป
ไม่รู้จะเอาบุญ ... ไปไว้ตรงไหนกันก็ไม่รู้
บางทีก็พากันไป ... แสวงหาบุญกัน
ไปรสบัสคันใหญ่ ๆ 2 คัน 3 คัน พากันไป
บางที ทะเลาะกัน ... บนรถก็มี
บางที กินเหล้าเมา ... บนรถก็มี
ถามว่า ... ไปทำไม ?
“ไปแสวงบุญกัน”
ไป ... “แสวงหาบุญ”
ไปเอาบุญ ... แต่ไม่ “ละบาป”
ก็ไม่เจอ “บุญ” สักที
อันนี้ไป “แสวงหาบุญ” กันทั่วประเทศ
... แต่ไม่ “ละบาป”
กลับไปบ้าน ... ก็กลับไปเปล่า ๆ
... มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:02:00
ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์อาตมา (สมเด็จโต)  ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวอาตมาเอง

 

ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ  ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร

 
ในสมัยนั้น…เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูติผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น

 
อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย  นอกจากคำว่า

 
พุทธัง   สะระณัง   คัจฉามิธัมมัง   สะระณัง    คัจฉามิสังฆัง   สะระณัง    คัจฉามิ

 
ซึ่งมีความหมายว่า   ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

 
อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใด ก็จะกล่าวเพียงคำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมาอาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น  ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้

 
เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น  อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี  และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

 
มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล  นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทย์มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ

 
เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า  เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย  เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่

 
นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตาถึง 7 วัน เต็มๆ  ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู  หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา  แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

 
วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา  อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทย์มนต์คาถา หรือคุณไสยใด  นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก  ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมา จึงกลับมายังเขาซึ่งเป็นผู้กระทำ ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ  ทำให้ผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้

 
อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า

 
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

 
ธัมมัง  สะระณัง คัจฉามิ

 
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิจนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย  จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย  อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย  อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย  และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

 
นายผล  เมื่อได้ฟังดังนั้น  จึงได้บอกแก่อาตมาว่า..

 
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ก็เช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัด จงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่า.. การสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน หรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปิศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่  ข้าพเจ้าของรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่าอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการ ที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

 
อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์  นายผลจึงได้ลากลับไป  ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ อาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป..อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก จะขึ้นมา จึงได้จุดเทียนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก  อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี  และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์   พุทธัง สะระณัง  คัจฉามิ  ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ   สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ  ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป  จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ

 
ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้..ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักนักอยู่ อาตมาบอกว่า อาตมาได้ตื่นมาและตกใจ   จึงได้สวดมนต์ภาวนา  ตะขาบตัวนั้นก็อันตรธานหายไป

 
นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนต์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้  ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนต์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ  ได้

 
ที่อาตมา  (สมเด็จโต)  ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน  เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า  เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้  เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้  ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

 
ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก  อุบาสิกา ในที่นั้น เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า  อานิสงส์ของการสวดมานต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยีงนัก……………………………………………………………………………………………

 
จากหนังสือ   อมตะธรรม สมเด็จโตอานิสงส์การสวดมนต์แผ่เมตตามหาบุญ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:09:05
บางครั้ง...เรามองหา "สิ่งที่ขาด"
จนพลาด "สิ่งที่มี"
และบางครั้งก็เฝ้าหา "สิ่งที่ดี"
จนทำให้ "สิ่งที่มี"
นั้นหายไป!!!


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 สิงหาคม 2012, 14:22:36
สุขและทุกข์มาจากไหนหนอ....


บุญมาจาก กาย วาจา ใจ บาปใดๆ ก็มาจากที่นี่
ที่อื่นไม่มีทางมา กาย วาจา ใจ เป็นที่ไหลมาของเขา
สุขอยู่ที่กายกับใจ ทุกข์ก็อยู่ที่กายกับใจ

บ้านสองหลังนี้เป็นที่อยู่ของสุขและทุกข์.....


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 01:48:17
อิจฉาคือ....
อิจฉาคือความเห็นผิดติดหลง หากไม่รีบละก็จักกลายเป็นริษยา
สะสมริษยาไว้ก็จักกลายเป็นแค้นเคือง กลายเป็นอาฆาต จองเวร
ก่อภพ สร้างชาติ แต่ก่อนที่จักก่อภพ สร้างชาติ ก็ ๑๐๐% ต้องไป
อบายภูมิก่อน วิธีแก้..แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ นี่แหละลืมกันนัก!!!
ธรรมหยาบๆ เบื้องต้นยังทำไม่ได้ แล้วจักไปพระนิพพาน
อันเป็นสุดยอดของธรรมละเอียด กันยังไง๊!!!

ธรรม...ปราบใจระยำ จาก
พระคุณพระสมุห์ปรินทร์ ธัมมสรโณ วัดเขาแร่ กรุงสุโขทัย


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 สิงหาคม 2012, 01:51:18
จงรักแบบไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน
จงเต้นรำเหมือนไม่มีใครมองเรา
จงร้องเพลงเหมือนไม่มีใครได้ยินเรา
จงทำงานเหมือนเราไม่ต้องการเงินจากมัน
จงอยู่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก....

นั้นแหละสิ่งที่เค้าเรียกว่า"ความสุข"  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 สิงหาคม 2012, 07:40:18
ธรรมใดๆ ล้วนมีเหตุ เ ป็นแดนเกิด
ใช่บังเกิด ดลบันดาล จากสิ่งไหน
เมื่อเหตุดับ ธรรมจึงดับ รับกันไป
ทรงสอนไว้ ซึ่งทางดับ ระงับธรรม

“เย ธัมมา เหตุปปะภะวา
เตสัง เหตุง ตะถาคะโต
เตสัญจะ โย นิโรโธจะ
เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"


พระคาถาที่พระอัสสชิ ได้ทรงสอน ท่านอุปติสสะ
จนได้บรรลุโสดาบัน ต่อมา ท่านอุปติสสะ คือ พระสารีบุตร นั่นเอง

ภาพประกอบ จาก บุโรพุทโธ วัดในพระพุทธศาสนา ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

จักรแก้ว กัลยาณมิตร


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 16 สิงหาคม 2012, 09:41:00
หากจิตนิ่ง รู้ซึ้ง ถึงธรรมะ
ยอมลดละ ปล่อยวาง ไม่ต้องถาม
รู้ร่างนี้ เมื่อตาย ไม่ติดตาม
จิตนิพพาน เปิดไว้ ยามสิ้นลม

...จิตนิพพาน เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง
ไม่ได้ครอง จิตนั้น เพื่อสุขสม
จิตนิพพาน ไม่ได้ เป็นดั่งลม
แต่สุขสม เป็นเช่นนั้น ของจิตเอง

...เข้าใจจิต ติดตามดู ให้รู้แจ้ง
ฝึกแสดง ใกล้ตาย ให้ตรงเผ๋ง
เมื่อเราตาย จริงๆ จิตบรรเลง
เหมือนฝึกเพลง เอาไว้ จนคล่องใจ

...คนใกล้ตาย จริงๆ เกิดความกลัว
แต่ที่กลัว เพราะไม่รู้ ตายไปไหน
กลัวกรรมดี ที่ทำ น้อยเกินไป
ทำชั่วไว้ มากกว่า กลัวลนลาน

พระธนวรรธน์ แซ่เจน ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 สิงหาคม 2012, 13:59:41
เราไ่ม่วาง เราก็เป็นทุกข์
เราไม่หยุด เราก็วุ่นวาย เราไม่ทิ้ง เราก็ทุกข์จนตาย
ใครก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่รู้จักปล่อยวางเอง


ธรรมทาน


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 17:44:35
 :) นกน้อยทำรังแต่พอตัว ค่อยๆเดินไปตามขั้นบันไดอย่างมั่นคง :)
 :) ทำไปด้วยความสุขถ้ายังล่ะไม่ได้ ก็ตั้งจิตอยู่บนกุศล  :)
 :) ตั้งอยู่บนทางที่ดี เป็นหนทางสู่ความสุข บุญถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น :)

o8AgnvrA4zM&feature=relmfu



หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: @เชียงแสน ที่ วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 20:17:52
:) นกน้อยทำรังแต่พอตัว ค่อยๆเดินไปตามขั้นบันไดอย่างมั่นคง :)
 :) ทำไปด้วยความสุขถ้ายังล่ะไม่ได้ ก็ตั้งจิตอยู่บนกุศล  :)
 :) ตั้งอยู่บนทางที่ดี เป็นหนทางสู่ความสุข บุญถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น :)

o8AgnvrA4zM&feature=relmfu



เยี่ยมเลยครับ... ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 01 กันยายน 2012, 14:11:05
มาทำให้พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจกันเถอะ ;D

พรหมวิหาร 4  
      พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ


•เมตตา
•กรุณา
•มุทิตา
•อุเบกขา
      คุณธรรม 4 ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้เประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติถึง 11 ประการ ดังนี้


1.สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
2.ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
3.นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล
4.เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย
5.เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
6.จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ
7.จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น
8.มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
9.เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
10.ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
11.มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์
      เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึง รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้

      ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง

      กรุณา แปลว่า ความสงสาร หมายถึง ความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์

      ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์๋นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง

      มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึง จิตที่ไมีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทัั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น

      อุเบกขา แปลว่า ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง


•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบููรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์
•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ
•คนที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด

คุณพ่อคุณแม่ของเราก็มีพรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจเหมือนกันนะ :)
เมตตา คือมีความปรารถนาดีให้ลูกมีความสุข
กรุณา  คือมมมีความปรารถนาให้ลูกพ้นจากความทุกข์
มุทิตา  คือมคความยินดีเม่อลูกมีความสำเร็จให้สิ่งที่ปรารถนา
อุเบกขา  คือความวางเฉย การวางเฉยนี้สำคัญมาก เท่าที่เคยได้ฟังมา การวางเฉยนี้ไม่ได้แปลว่าทำใจให้เฉยเมยไม่ยินดียินร้าย แต่หมายความว่า การดำรงค์คุณธรรมทั้งสาม คือ เมตตา กรุณา และ มุทิตา อย่างสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง คือ ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี พ่อแม่ก็รัก และมีความปรารถนาดีต่อลูกอยู่เสมอ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าพ่อแม่มีธรรมพรหมวิหาร 4 ประจำใจ ผมเห็นว่าข้อนี้ตรงกับความเป็นจริงตามธรรมชาติจึงได้ขยายความเล่าสู่กันฟัง (หากถูกผิดประการไดขอได้โปรดอโหสิกรรมในครั้งนี้ด้วย) เพราะธรรมะที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวนั้น ท่านว่าสติปัญญาของมนุษย์นั้นแตกต่างกัน สิ่งที่ผู้ที่บรรลุแล้วได้สนทนาธรรมกันนั้น เพียงสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาอาจเข้าใจตามได้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ผมก็เห็นว่าจะเป็นไปตามนั้นเพราะพรหมวิหารสี่ คือการให้โดยความปรารถนาดี โดยปราศจากกิเลสกามราคะ โดยเฉพาะข้ออุบกขา จึงเห็นสมควรว่า พ่อแม่ มีพรหมวิหารสี่เป็นธรรมประจำใจครับ  :) :) :)

ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/promvihan.html


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 18 กันยายน 2012, 13:52:42
ธรรมะจากพระอรหันต์ :)

(http://upic.me/i/iu/ajan_7.jpg) (http://upic.me/show/39280800)

หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า 'พระบ้า' แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง (济公) ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ (罗汉) แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน (疯和尚) สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม 'เปลือกนอก' กับ 'เนื้อใน' หรือ 'สิ่งที่เห็น' กับ 'สิ่งที่เป็น' นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น
จี้กง (济公) หรือ จี้เตียน (济颠) มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน (李心远) นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น (湖隐) และ ฟังหยวนโส่ว (方圆叟) เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*
อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ (道济) ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน
หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!
นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์

สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก



สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง
วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แปลความหมายเป็นไทยได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น** ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)***

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า
เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย
"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว
อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"
ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน
เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย
จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน
จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้
ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน
ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"
ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า
"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก" ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น





ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化) โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี

เครดิตจาก ;D http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=picha-mon&month=15-02-2009&group=12&gblog=4


ถ้าไม่อยากอ่านยาวมีสรุปให้อ่านจ้า ;D ;D ;D

ประวัติ :)

พระอรหันต์จี้กง นามเดิมว่า ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไถ ได้บวชอยู่ที่ วัดเล่งอุ้ง ตำบลโซโอ้ว เมืองหางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับฉายาว่า “เต้าจี้”ชาวบ้านขนานนามว่าพระสติเฟื่อง(จี้เตียง) พระจี้กงมองว่าการปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ ของคนในสมัยก่อนเป็นเพียงแต่การรักษาศีลทางกาย แต่มิได้รักษาศีลทางใจ ไม่ได้เข้าใจ และรู้ซึ้งถึงแก่นพระธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง พระจี้กงมีความเห็นว่า อาหารก็เป็นเพียงแค่อาหาร ที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับประทานได้ เพราะการรับประทานอาหารไม่ได้ทำให้คนเราเป็นบาป แต่จิตใจต่างหากที่จะทำให้คนเรานั้นเป็นบาป ท่านจึงเป็นนักบวชที่ปฏิบัติตนตามสบาย แรกๆชาวบ้านก็เห็นว่าพระรูปนี้แปลกๆ ไม่ค่อยจะเคร่งครัดในพระธรรมวินัยนัก แต่ท่านก็ได้ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ทุกข์ยากอยู่เสมอ ด้วยความเมตตาและบำบัดทุกข์ของมนุษย์ที่เดือดร้อน ในที่สุดก็ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมจนสำเร็จพระอรหันต์ ท่านได้ละสังขารจากโลกในสมัยพระจักรพรรดิ์เกียเตีย อัฐิของท่านถูกบรรจุใน เจดีย์เสือผ่าน



คุณธรรมพิเศษ :)

ตลอดพระชนม์ชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีการเสแสร้งต่างๆ กันมาตลอด โดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ มีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆ หนึ่งคู่ โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะโล้น เท้าเปลือยเปล่า ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย พบใครก็เอาแต่อมยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม พบเสียงทุกข์ก็เข้าช่วยเหลือ ท่านมีจิตเมตตาไม่ถือสา การปรากฏตนของท่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้ กิริยาล้วนเป็นปริศนาธรรม ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วแต่ธรรมะท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่



เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย :)

พระอรหันต์จี้กงได้บรรลุธรรม 3 ประการ คือ
“สรรพสิ่งเกิดจากจิต”
“รักษาศีลทางจิตไม่ถือศีลทางปาก”
“ปฏิบัติตนตามสบาย”

http://www.abhakara.com/webboard/index.php?topic=196.0


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 19 กันยายน 2012, 19:13:06
อ่านเรื่องของพระจี่กงแล้วนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังมา
พระท่านบอกว่าพระฤาษีกับพระเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน
แต่แตกต่างกัน ท่านว่า พระฤาษี เห็นว่าโลกมนุษย์นั้นมีความ
วุ่นวาย มีความยึดมั่นถือมั่น ยึดติดในเรื่องสมมุติ แบ่งแย่งสิ่งต่างๆ
เป็นของๆตน ยศศักดิ์เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้นมา ไม่มีความสงบ
ดังนั้นจึงได้ปลีกวิเวกไปบำเพ็ญตนในป่า เพื่อหลีหนีจากความวุ่นวาย
แต่พระไม่อาจทิ้งญาติโยมได้ เมื่อเจริญกรรมฐาน ฝึกตนแล้ว จึง
ต้องกลับมาโปรดญาติโยม เห็นเพราะต้องการชี้นำให้ญาติโยม
พ้นทุกข์ละจากกิเลศ ได้เดินในทางที่ถูกต้อง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อท่านตรัสรูแล้ว ท่านยังเมตตากลับมาโปรดสัตว์หวังให้หลุดพ้นจาก
ความทุกข์ ดังนั้นพระสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติ
ตามเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ธรรมของพระจี่กง ผมว่าล้ำลึกมาก
เนื้อแท้ของท่านเป็นพระอรหันต์ ที่ท่านฉันเนื้อผมคิดว่าไม่ใช่เนื้อจริงหรอก
อาจจะเป็นหัวมันที่ท่านจำแลงให้ดูก็ได้ (หลวงปู่ศุกวัดปากคลองมะขามเฒ่า
สามารถเสกหัวปลีให้เป็นกระต่ายให้เด็กวัดวิ่งเล่นได้)เห็นเพราะท่านสละตนเพื่อเป็นกุศโลบาย
สอนใจคน เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าพระกินเนื้อไม่ดี เขาเหล่านั้นก็ได้รู้แล้วว่าสิ่งไดไม่ดี
ดังนั้นเมือเขาได้รู้ว่าสิ่งไดไม่ดีเขาจึงควรละเว้นเสีย อันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้
หากผิดถูกประการไดได้โปรดอโหสิกรรมในครับนี้ด้วยครับ ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 12:08:53
บทสรรเสริญ...

เริ่มแรกต้องตีหัว เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตตัง ท่องสวรรค์แลยมบาล

ตีความหมายไม่ออกจริงๆใครพอทราบความหมายบทกลอนนี้บ้างนะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 12:12:13
 ;Dสัมมาอาชีพ

ห้าอาชีพ ควรจำไว้ ให้ละเว้น
เพราะว่าเป็น การงานผลาญ อายุขัย
พระสัมมา นำพา สอนว่าไว้
ให้เตือนใจ อยู่ห่าง ห้าประการ

หนึ่งนั้นหรือ ห้ามซื้อขาย จำหน่ายสัตว์
เพราะถูกจัด ว่าเบียดเบียน เป็นกรรมผลาญ
เลี้ยงเพื่อขาย เพื่อฆ่าเขา เราร้าวราญ
ควรให้ทาน ชีวิตไป ในทุกครา

สองอาชีพ ค้ามนุษย์ สุดสังเวช
เพลิงกิเลส กิเลสัณ บวกตัณหา
ทำนาบน หลังคน แลกเงินตรา
งานนี้พา ลุ่มหลง ลงอบาย

สามท่านว่า อาชีพ นี้ก็ขัด
คือการจัด ศัตรา มาค้าขาย
เป็นอาวุธ ใช้ห้ำหั่น อันตราย
ใครค้าขาย ลงไปนั้น มันไม่ดี

สี่อาชีพ ค้าสุรา หรือยาเมา
คนขายเหล้า มอมคนไป ใกล้เผาผี
งานนี้หนอ ขอบอกว่า ไม่มีดี
ขายของที่ มอมเมาเขา เรารับกรรม

ห้าท่านว่า อาชีพ ค้ายาพิษ
เสพแล้วติด กินแล้วตาย มิวายช้ำ
รวมถึงยา กำจัดสัตว์ เห็นจัดกัน
อาชีพมัน ไม่ดี ที่เบียดเบียน

ห้าอาชีพ ควรห่าง อย่าสร้างต่อ
เพราะจะก่อ เวรกรรม ทำชีพเปลี่ยน
ตอนแรกรวย ตอนหลังม้วย โรคเบียดเบียน
ใช่ติเตียน อาชีพใคร ให้คิดตรอง (ดูนะ)


อาชีพต้องห้ามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ห้าอย่าง
หลีกได้ให้หลีกกันนะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 12:17:04
ท่านจะบอกว่าสรรพสิ่งเกิดจากจิต
ต้องกระเทาะจิตให้ตื่นจากความหลง
นรกสวรรค์จิตเป็นตัวกำหนดหนทางหรือเปล่าครับ :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 12:38:25
ท่านจะบอกว่าสรรพสิ่งเกิดจากจิต
ต้องกระเทาะจิตให้ตื่นจากความหลง
นรกสวรรค์จิตเป็นตัวกำหนดหนทางหรือเปล่าครับ :)
ขอบคุณครับ เคยเอาไปสอบถามผู้รู้หลายคนนะ
แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่เคลียร์ หรือคำตอบของท่านทั้งหลายก็ตอบแบบนี้แหละครับ
คือไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องมากน้อยแค่ไหน อิอิ :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 24 กันยายน 2012, 19:11:57
ผมเคยได้ยินจากพระท่านหนึ่งท่านบอกว่า
ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุสงสัยเรื่องธรรมะ
เลยตรัสถามพระพุทธองค์ว่าธรรมะนี้มีประมาณเท่าไหร่
พระพุทธองค์ตอบว่า เธอจงดูใบไม้พร้อมกับชี้ไปที่ต้นไม้
พระภิกษุก็ถามว่าธรรมะมีเท่ากับใบไม้บนต้นไม้หรือขอรับ
พระพุทธองค์ตรัสว่าธรรมะมีเสมือนใบไม้ในป่าใหญ่ไม่อาจประมาณได้ :)
คงต้องตามหาผู้ที่รู้จริงจึงจะตอบปัญหาธรรมของท่านได้
พระอรรหันต์ท่านลึกล้ำดีแท้ ยากที่ปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึง ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 25 กันยายน 2012, 21:43:41
ข้อคิดในตอนหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่เคยอ่านเจอมา ;D
ที่ภูเขาใหญ่ทางเหนือของเชียงใหม่ มีถ้ำมากมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
อีกที่ยังเป็นที่จาริกของพระกรรมฐาน ที่ปฏิบัติธรรมในถ้ำ ว่ากันว่าทางตอนใต้
เป็นเมืองของชาวนาค ซึ่งทางใต้นั้นก็มีถ้ำหนึ่งที่พระกรรมฐานเข้าไปปฏิบัติธรรมกัน
ในบันทึกบอกไว้ว่าในถ้ำแห่งนั้นมีพยานาคตนหนึ่งปลีกตัวอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอมัก
จะมองดูพระภิกษุผ่านทางช่องรูที่เธออยู่ เมื่อมีพระเข้าไปปฏิบัติธรรมไม่ว่าท่านจะทำกริยาอันได
เธอก็มักจะติติงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่หลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตาแสดงธรรมสั่งสอน
แต่เธอก็ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเธออยู่ ดังนั้นหลวงปู่จึงได้ออกจากถ้ำและได้บอกกับเหล่า
สานุศิษย์ว่าในถ้ำนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่ขอพวกเธออย่าได้เข้าไปในถ้ำนั้นเลย เพราะนาค
นั้นมักติติงพระภิกษุอยู่เสมอ ถึงแม้เธอจะไม่ทำร้ายแต่การเข้าไปให้เธอติติงจะเป็นการสร้างบาปให้กับเธอ
ดังนั้นพวงเธอทั้งหลายจึงงดเสีย หลวงปู่บอกว่ามีเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พญานาคในถ้ำนั้นไม่ติติง
คื่อหลวงปู่บัว (ผมเอ็งก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บัวคือใคร) อาจเพราะเธอชอบในจริตของท่านจึงไม่ติติง
ธรรมของหลวงปู่มั่นในตอนนี้คื่อ ความมีเมตตา กรุณา และปราถนาดีต่อผู้อื่น :)

 :) หากบทความที่ผมพิมพ์ผิดเพี๊ยนไปจากหนังสือที่ท่านๆได้อ่านโปรดอโหสิในความผิดพลาดด้วยเถิด :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: samurai_ฅนเมือง ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 07:22:59
ธรรมะยามเช้า___
น้ำที่ใสสะอาดจนเกินไปย่อมไร้ซึ่งมัจฉา บุคคลที่เข้มงวดจนเกินไปย่อมไร้ซึ่งบริวาร...พะนะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ap.41 ที่ วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 07:29:47
เอามาฝาก


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: samurai_ฅนเมือง ที่ วันที่ 02 ตุลาคม 2012, 21:52:45
ธรรมะก่อนนอน_____
ทุกคนในโลกเคยทำผิดและขึ้นอยู่กับว่าเรารู้ไหมว่าเราทำผิดแล้วเราตั้งใจที่จะแก้ไขหรือแก้ตัว...พะนะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: sabaidree ที่ วันที่ 23 ตุลาคม 2012, 07:34:52
ข้อคิดในตอนหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่เคยอ่านเจอมา ;D
ที่ภูเขาใหญ่ทางเหนือของเชียงใหม่ มีถ้ำมากมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
อีกที่ยังเป็นที่จาริกของพระกรรมฐาน ที่ปฏิบัติธรรมในถ้ำ ว่ากันว่าทางตอนใต้
เป็นเมืองของชาวนาค ซึ่งทางใต้นั้นก็มีถ้ำหนึ่งที่พระกรรมฐานเข้าไปปฏิบัติธรรมกัน
ในบันทึกบอกไว้ว่าในถ้ำแห่งนั้นมีพยานาคตนหนึ่งปลีกตัวอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอมัก
จะมองดูพระภิกษุผ่านทางช่องรูที่เธออยู่ เมื่อมีพระเข้าไปปฏิบัติธรรมไม่ว่าท่านจะทำกริยาอันได
เธอก็มักจะติติงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่หลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตาแสดงธรรมสั่งสอน
แต่เธอก็ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเธออยู่ ดังนั้นหลวงปู่จึงได้ออกจากถ้ำและได้บอกกับเหล่า
สานุศิษย์ว่าในถ้ำนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่ขอพวกเธออย่าได้เข้าไปในถ้ำนั้นเลย เพราะนาค
นั้นมักติติงพระภิกษุอยู่เสมอ ถึงแม้เธอจะไม่ทำร้ายแต่การเข้าไปให้เธอติติงจะเป็นการสร้างบาปให้กับเธอ
ดังนั้นพวงเธอทั้งหลายจึงงดเสีย หลวงปู่บอกว่ามีเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พญานาคในถ้ำนั้นไม่ติติง
คื่อหลวงปู่บัว (ผมเอ็งก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บัวคือใคร) อาจเพราะเธอชอบในจริตของท่านจึงไม่ติติง
ธรรมของหลวงปู่มั่นในตอนนี้คื่อ ความมีเมตตา กรุณา และปราถนาดีต่อผู้อื่น :)

 :) หากบทความที่ผมพิมพ์ผิดเพี๊ยนไปจากหนังสือที่ท่านๆได้อ่านโปรดอโหสิในความผิดพลาดด้วยเถิด :)
สาธุครับ :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2012, 09:59:35
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 25 มกราคม 2013, 20:16:47
กรรมฐานคืออะไร
กรรมฐาน มาจากคำ ๒ คำ คือคำว่า กรรม + ฐาน

กรรม แปลว่า การกระทำก็ได้ หรือแปลว่าการงานก็ได้
ส่วน ฐาน นั้นแปลว่า ที่ตั้ง

ฉะนั้น ในเมื่อเอาคำ ๒ คำนี้ มารวมกัน แล้วแปลให้ได้ความ
ก็ควรจะแปลว่า อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงาน ทางใจ
คือพูดง่ายๆ หางานให้ใจมันทำซะ อย่าปล่อยใจให้ว่างงาน
ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวมันจะฟุ้งซ่านแล้วนำความรำคาญ มาสู่จิตใจ ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: sabaidree ที่ วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2013, 22:56:14
่ท่าน พี หายไปนาน
อยากให้กระทู้ดีๆ แบบนี้มีเยอะๆครับ (ช่วงนี้มีแต่แรงๆ ;D)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: nantong ที่ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2013, 11:27:16
ข้อคิดในตอนหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่เคยอ่านเจอมา ;D
ที่ภูเขาใหญ่ทางเหนือของเชียงใหม่ มีถ้ำมากมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
อีกที่ยังเป็นที่จาริกของพระกรรมฐาน ที่ปฏิบัติธรรมในถ้ำ ว่ากันว่าทางตอนใต้
เป็นเมืองของชาวนาค ซึ่งทางใต้นั้นก็มีถ้ำหนึ่งที่พระกรรมฐานเข้าไปปฏิบัติธรรมกัน
ในบันทึกบอกไว้ว่าในถ้ำแห่งนั้นมีพยานาคตนหนึ่งปลีกตัวอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอมัก
จะมองดูพระภิกษุผ่านทางช่องรูที่เธออยู่ เมื่อมีพระเข้าไปปฏิบัติธรรมไม่ว่าท่านจะทำกริยาอันได
เธอก็มักจะติติงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่หลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตาแสดงธรรมสั่งสอน
แต่เธอก็ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเธออยู่ ดังนั้นหลวงปู่จึงได้ออกจากถ้ำและได้บอกกับเหล่า
สานุศิษย์ว่าในถ้ำนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่ขอพวกเธออย่าได้เข้าไปในถ้ำนั้นเลย เพราะนาค
นั้นมักติติงพระภิกษุอยู่เสมอ ถึงแม้เธอจะไม่ทำร้ายแต่การเข้าไปให้เธอติติงจะเป็นการสร้างบาปให้กับเธอ
ดังนั้นพวงเธอทั้งหลายจึงงดเสีย หลวงปู่บอกว่ามีเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พญานาคในถ้ำนั้นไม่ติติง
คื่อหลวงปู่บัว (ผมเอ็งก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บัวคือใคร) อาจเพราะเธอชอบในจริตของท่านจึงไม่ติติง
ธรรมของหลวงปู่มั่นในตอนนี้คื่อ ความมีเมตตา กรุณา และปราถนาดีต่อผู้อื่น :)

 :) หากบทความที่ผมพิมพ์ผิดเพี๊ยนไปจากหนังสือที่ท่านๆได้อ่านโปรดอโหสิในความผิดพลาดด้วยเถิด :)
       หลวงปู่บัว  ในที่นี้  คือ  หลวงตาบัว   ญาณสมปนฺโน  อรหันต์ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี  ผมพอทราบมาเช่นนี้ ครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: sabaidree ที่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2013, 20:06:06
ข้อคิดในตอนหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่เคยอ่านเจอมา ;D
ที่ภูเขาใหญ่ทางเหนือของเชียงใหม่ มีถ้ำมากมาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
อีกที่ยังเป็นที่จาริกของพระกรรมฐาน ที่ปฏิบัติธรรมในถ้ำ ว่ากันว่าทางตอนใต้
เป็นเมืองของชาวนาค ซึ่งทางใต้นั้นก็มีถ้ำหนึ่งที่พระกรรมฐานเข้าไปปฏิบัติธรรมกัน
ในบันทึกบอกไว้ว่าในถ้ำแห่งนั้นมีพยานาคตนหนึ่งปลีกตัวอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เธอมัก
จะมองดูพระภิกษุผ่านทางช่องรูที่เธออยู่ เมื่อมีพระเข้าไปปฏิบัติธรรมไม่ว่าท่านจะทำกริยาอันได
เธอก็มักจะติติงอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่หลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตาแสดงธรรมสั่งสอน
แต่เธอก็ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเธออยู่ ดังนั้นหลวงปู่จึงได้ออกจากถ้ำและได้บอกกับเหล่า
สานุศิษย์ว่าในถ้ำนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่ขอพวกเธออย่าได้เข้าไปในถ้ำนั้นเลย เพราะนาค
นั้นมักติติงพระภิกษุอยู่เสมอ ถึงแม้เธอจะไม่ทำร้ายแต่การเข้าไปให้เธอติติงจะเป็นการสร้างบาปให้กับเธอ
ดังนั้นพวงเธอทั้งหลายจึงงดเสีย หลวงปู่บอกว่ามีเพียงท่านเดียวเท่านั้นที่พญานาคในถ้ำนั้นไม่ติติง
คื่อหลวงปู่บัว (ผมเอ็งก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บัวคือใคร) อาจเพราะเธอชอบในจริตของท่านจึงไม่ติติง
ธรรมของหลวงปู่มั่นในตอนนี้คื่อ ความมีเมตตา กรุณา และปราถนาดีต่อผู้อื่น :)

 :) หากบทความที่ผมพิมพ์ผิดเพี๊ยนไปจากหนังสือที่ท่านๆได้อ่านโปรดอโหสิในความผิดพลาดด้วยเถิด :)
       หลวงปู่บัว  ในที่นี้  คือ  หลวงตาบัว   ญาณสมปนฺโน  อรหันต์ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี  ผมพอทราบมาเช่นนี้ ครับ

น่าจะเป๋น
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ
วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง)
ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวชอ จ.อุดรธานี
ซึ่งเป๋นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น อีกรูปหนึ่งนะคับ(รึป่าว ;D)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 20:53:49
ท่านว่าความจริงมีสองอย่าง จริงแท้ และจริง แต่ไม่แท้
 ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 20:55:52
บทสรรเสริญ...

เริ่มแรกต้องตีหัว เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตตัง ท่องสวรรค์แลยมบาล

ตีความหมายไม่ออกจริงๆใครพอทราบความหมายบทกลอนนี้บ้างนะ

เริ่มแรกต้องตีหัว เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง = ต้องรู้ตัวตื่นตัว ไม่หลงคิดว่า ร่างกายนี้รูปนี้เป็นของเราของเขา สิ่งของนี้เป็นของเราของเขา คือไม่หลงคิดยึดติดยึดมั่นถือมั่นครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนั้นไม่เที่ยงแท้ ย่อมมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปครับ ไม่ว่าจะสิ่งของใดๆ หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ตามครับ สิ่งของก็ตามครับอย่าได้ยึดติด มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มีเกิด แก่ ตาย บวกกับเจ็บ

ยิ้มยื่นดอกไม้ดง ยังคงเป็นปริศนาธรรม(อันนี้ยากครับนั่งพิจารณานานเลย) = ยื่นดอกไม้ คือ ดอกบัวสี่เหล่าครับ ว่าจะยื่นพ้นน้ำได้แค่ไหน จะเป็น บัวที่จมอยู่ในโคลนตม บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ หรือบัวพ้นน้ำ ดอกบัวพระพุทธองค์ก็เปรียบเหมือนคนเราว่าเป็นบุคคลประเภทไหน จะรับฟังและเข้าใจธรรมะได้มากน้อยแค่ไหน จึงเป็นที่มาของคำว่า "ยังคงเป็นปริศนาธรรม"ในบทประพันธ์นี้ครับ

ชีวิตคือละคร สะท้อนได้เหมือนจริงจัง = เหมือนละครไงครับ ที่สะท้อนเรื่องราว ก็เปรียบเสมือนผลกรรมที่สะท้อนให้เรา ให้เขาต้องมีชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ชาติก่อนมักให้ทาน ชาตินี้ชีวิตเกิดมารวย ชาติก่อนมักทรมานสัตว์ ชาตินี้ชีวิตมีร่างกายพิกลพิการ กล่าวคือผลกรรมสะท้อนออกมาเป็นละครชีวิตส่งผลแก่เรา

สรรพสิ่งสู่จิตตัง ท่องสวรรค์แลยมบาล = สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่จิตยังไม่หลุดพ้น ยังไม่บรรลุซึ่งอรหัตผล ยังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน ย่อมเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร พอตายไปก็ขึ้นสวรรค์-ตกนรก ตามกรรมที่ทำมา เกิด แก่ เจ็บตาย พอตายไปก็ขึ้นสวรรค์-ตกนรก  เกิด แก่ เจ็บตาย พอตายไปก็ขึ้นสวรรค์-ตกนรก ฯ เป็นอย่างนี้ครับ จนกว่าจะตัดภพชาติ ไม่เวียนว่ายตายเกิด อีกต่อไป

ผมตอบโดยที่นำเอาคำตอบของผู้อื่นมาตอบอีกที่ครับ ท่านได้ตอบไว้ก่อนผมเมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งผู้ตอบ คือพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้ตอบไว้ครับ ผมเพียงแต่นำคำตอบมาต่อยอดแถลงไขในบทประพันธ์นี้ครับ

ขอบคุณมากครับ
เครดิต ท่าน "ละอ่อนเจียงของ"


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนเจียงของ ที่ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 21:23:53
อนุโมทนาสาธุ ถูกผิดช่วยชี้แจง ขอบคุณครับ  :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2013, 01:51:47
"ที่มาของรองเท้าพระ" :D

เรื่องแต่สมัยพุทธกาล :o

บุตรเศรษฐีตระกูลโกฬิวิสะชื่อโสณะ เป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา
ได้ชื่อว่าเป็นสุขุมาลชาติ เกิดมาก็พิเศษกว่าชาวบ้าน คือที่ฝ่าเท้าทั้งสองมีขน
ตั้งแต่กำเนิด เป็นเรื่องประหลาดจนเลื่องลือไปไกล แว่วถึงพระกรรณพระเจ้า
พิมพิสารเลยทีเดียว

ตระกูลโกฬิวิสะนี้อยู่ในเมืองจัมปา และเมืองจัมปาเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งใน
แคว้นอังคะ แคว้นอังคะในเวลานั้นอยู่ในปกครองของพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็
นราชาแห่งแคว้นมคธ

คราวที่พสกนิกร ๒ แว่นแคว้นร่วมประชุมกันครั้งใหญ่ โดยมีพระเจ้าพิมพิสาร
ทรงเป็นประธาน จากนั้นพระองค์พร้อมด้วยพสกนิกรทั้งปวงได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
เพื่อสดับพระพุทธโอวาทที่เขาคิชฌกูฎ โสณะบุตรเศรษฐีก็ได้ตามเสด็จคราวนี้ด้วย
วันนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมด้วยอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ พสกนิกรทั้งหมด
หายสงสัยในพระรัตนตรัย จึงขอเป็นอุบาสกอุบาสิกา มอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธ
พระธรรม และพระสงฆ์

โสณะบุตรเศรษฐี ซาบซึ้งในพระสัจธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมกลับบ้าน เมื่อได้
โอกาสผู้คนเขากลับหมดแล้ว เขาจึงคลานเข่าเข้าเฝ้า กราบทูลขออุปสมบท
ณ ที่ตรงนั้น เมื่ออุปสมบทแล้วก็ระดมความเพียรอย่างหนักทั้งกลางคืนและ
กลางวัน ซึ่งในขณะนั้นท่านได้พำนักอยู่ที่ป่าสีตวัน เดินจงกรมจนฝ่าเท้าอัน
บอบบางละเอียดอ่อนปริแตกทั้ง ๒ ข้าง มีรอยเลือดเป็นทางเปื้อนอยู่ที่ทางจงกรม
กระนั้นก็ยังไม่บรรลุธรรม ภิกษุหนุ่มเกิดความท้อแท้ รำพึงในอกว่า ตัวเราไร้
บุญวาสนาบารมีธรรมเสียแล้ว จึงคิดจะสึก พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณ
จึงเสด็จไปโปรด ทรงแสดงธรรมและทรงให้กำลังใจ จนเกิดความมุมานะและไ
ด้บรรลุอรหันต์ในที่สุด

พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นทางจงกรมเปื้อนรอยเลือดเป็นทางของ
พระโสณะด้วย

ในเวลาต่อมา ได้รับสั่งกับพระโสณะว่า ท่านปรารภความเพียรอย่างหนักจนเท้า
ทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บ จึงอนุญาตให้ใช้รองเท้าชั้นเดียวได้ เมื่อสิ้นพระกระแส
รับสั่งลง พระโสณะนั่งกระหย่งประนมมือกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพเจ้าทิ้ง
กองเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทิ้งกัมพลเป็นอันมาก ทิ้งช้าง ๗ เชือกและคฤหาสถ์
ออกมาบวช อาจมีคนพูดกันว่า โสณะอุตส่าห์ออกบวช ทิ้งสมบัติพัสถานมหาศาล
ก็ยังมาติดข้องกับรองเท้าชิ้นเดียว ดูไม่เหมาะไม่ควรเอาเสียเลย หากจะเป็น
พระกรุณา ก็โปรดได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งปวง ได้ใช้รองเท้าได้ด้วยกันเถิด
ข้าพระพุทธเจ้าเองก็จะรับพระกรุณา ใช้รองเท้าตามที่ทรงอนุญาต หาไม่ก็มิบังอาจ
ที่จะน้อมรับพระกรุณาอนุญาตได้”

ด้วยคำกราบทูลนี้เอง จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายใช้รองเท้าชั้นเดียวได้
ตั้งแต่บัดนั้น

ที่มาของรองเท้าพระก็มีมาด้วยประการฉะนี้ครับ

จากหนังสือนิตยสารน่านฟ้า เล่มที่ ๓๑ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒ (ผู้เขียนเด็กวัดเก่า)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 เมษายน 2013, 21:05:40
 :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 เมษายน 2013, 21:24:21
เมื่อกำเนิด เกิดมา คราก็แก่
เป็นจริงแท้ แน่นอน ไม่จรหนี
สิ่งที่เกิด กับความแก่ คือชั่วดี
คุณความดี สะสมเถิด เกิดแก่ตัว
 :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 09 เมษายน 2013, 22:13:19
คำท่านว่า อยู่คนเดียว ให้ระวัง
ไม่ว่านั่ง ยืนนอน ให้เพ่งจิต
ให้ระวัง สั่งสมใจ ในความคิด
เพราะว่าจิต มันเหมือนลิง ไม่นิ่งนอน ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 เมษายน 2013, 19:55:13
เข้าใจมั๊ย ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ละอ่อนเจียงของ ที่ วันที่ 16 เมษายน 2013, 20:30:07
เมื่อกำเนิด เกิดมา คราก็แก่
เป็นจริงแท้ แน่นอน ไม่จรหนี
สิ่งที่เกิด กับความแก่ คือชั่วดี
คุณความดี สะสมเถิด เกิดแก่ตัว
 :)

 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 20 เมษายน 2013, 11:09:21
สิ้นเสียงปืนดังลั่นสนั่นก้อง
เสียงนกกากรีดร้องพลันเงียบหาย
ปรากฏซึ่งชีวิตหนึ่ง...ถึงความตาย
อีกชีวิตก็ขวนขวายอยู่เช่นกัน

อ้างสงครามศาสนาเอามาก่อ
ศาสนาใดหนอคอยสอนสั่ง
ใช้อาวุธเข่นฆ่าบ้ากำลัง
ไม่หยุดยั้งฟังคำสอนสักข้อใด

ศาสนาสอนคนให้ใจสูง
แต่กลับมุ่งเดรัจฉานกันไฉน?
แผ่นดินคุณ! แผ่นดินกู! อยู่กันไป
สิ้นหายใจเอาไปได้หรือไรกัน?

กลับคืนสู่แผ่นดินถิ่นกำเนิด
ก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นสิ่งนั้น
ฆ่าวอดวายหมายชนะกันและกัน
ชีวิตสั้น...ไม่ฆ่ากัน...มันก็ตาย!!!

จาก
"นาฏกรรม ความรู้สึก"


ขอบคุณภาพจาก เฟสคุณ Nirvana Come

"ภาพเด็กมุสลิมในประเทศพม่า ที่กำลังดูดนมแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ประทะกัน ระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม" :'(


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: Yim sri ที่ วันที่ 20 เมษายน 2013, 13:09:57
:)

สาธุค่ะ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมทาง27/30 ที่ วันที่ 20 เมษายน 2013, 13:18:14
สิ้นเสียงปืนดังลั่นสนั่นก้อง
เสียงนกกากรีดร้องพลันเงียบหาย
ปรากฏซึ่งชีวิตหนึ่ง...ถึงความตาย
อีกชีวิตก็ขวนขวายอยู่เช่นกัน

อ้างสงครามศาสนาเอามาก่อ
ศาสนาใดหนอคอยสอนสั่ง
ใช้อาวุธเข่นฆ่าบ้ากำลัง
ไม่หยุดยั้งฟังคำสอนสักข้อใด

ศาสนาสอนคนให้ใจสูง
แต่กลับมุ่งเดรัจฉานกันไฉน?
แผ่นดินคุณ! แผ่นดินกู! อยู่กันไป
สิ้นหายใจเอาไปได้หรือไรกัน?

กลับคืนสู่แผ่นดินถิ่นกำเนิด
ก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นสิ่งนั้น
ฆ่าวอดวายหมายชนะกันและกัน
ชีวิตสั้น...ไม่ฆ่ากัน...มันก็ตาย!!!

จาก
"นาฏกรรม ความรู้สึก"


ขอบคุณภาพจาก เฟสคุณ Nirvana Come

"ภาพเด็กมุสลิมในประเทศพม่า ที่กำลังดูดนมแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ประทะกัน ระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม" :'(
สาธุครับ  เกิดในกรรมครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 เมษายน 2013, 23:01:15
ใจเรายังสับสน
ใจคนไม่แน่นอน ::)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 เมษายน 2013, 23:35:13
อย่าเพิ่งปฏิเสธความหวังดีที่คนอื่นเขายื่นให้
บางทีเขาอาจจะให้ในจังหวะไม่เหมาะสม
รับไว้สักนิดหากผิดที่คนไม่นิยม
คำชื่นชมอย่าอมไว้ ใช้ออกมาว่า”ขอบคุณ”

เน๊อะ ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 28 เมษายน 2013, 22:20:22
 ;)จงฝึกจิตคิดใช้ให้คุ้มค่า
ดังท่านว่าพรุ่งนี้ไม่มีหมาย
ระลึกถึงคนึงนับกับความตาย
ไม่สั่นส่ายใจหายให้พรั่นพรึง :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 04 พฤษภาคม 2013, 22:15:48
บารมี แปลว่า เต็ม คือ..อิ่มทุกอย่าง
คนมีบารมี คือ..คนที่มีจิต คิดจะให้ ตลอดเวลา
(หลวงปู่พุทธะอิสระ)

ภาพนี้วัวชื่อ น้องโพธิ์ ได้รับเมตตาช่วยชีวิตให้รอดจากโรงฆ่าสัตว์
และน้องโพธิ์ คุกเข่าก้มกราบพระผู้ช่วยน้องโพธิ์ให้รอดจากความตาย
อย่างหวุดหวิด

อนุโมทนาสาธุ
จาก จิตเดิมแท้คือนิรันดร์


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 07 พฤษภาคม 2013, 18:49:46
ดินจะกลบลบกายวายสังขาร
ไฟจะผลาญเผาซากสิ้นสาบสูญ
แต่ความดีจะคงอยู่คู่ค้ำคูณ
เป็นใบบุญ แทนซาก ที่จากไป

เพชรงาม น้ำหนึ่ง


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 พฤษภาคม 2013, 20:50:56
ความใจร้อนเป็นสิ่งที่ไม่ต้องฝึก
แต่ความใจเย็นนั้น ต้องฝึก และฝึกกันนาน


ศิลา แห่ง ภูผา


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 29 พฤษภาคม 2013, 02:41:41
มีศีลห้า ศีลแปด แวดล้อมตัว
เรื่องความชั่ว ตัวที่ผิด จิตก็จับ
กิเลสหนา มารุมเร้า เราไม่รับ
เพราะถูกจับ ด้วยศีล สิ้นไร้กรรม  ;D



หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 21 มิถุนายน 2013, 04:18:27
"การละบาป เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการทำบุญ
ถ้าทำบาปแลกบุญจะขาดทุนเรื่อยไป"


"ใจจะสงบได้ ก็เพราะความเห็นที่ถูกต้อง"


"ธรรมดาจิตนั้นนะ..มันมีเวลาขยัน และขี้เกียจ
ถ้าทำเพียรด้วยสัจจะ เราต้องทำเรื่อยทั้งที่ขี้เกียจ
ทำจิตให้จิตรู้อยู่ การรู้ภายใน การฉลาดภายในจิตจะเป็นอย่างนี้
การทำทุกวัน บางทีสงบ บางทีไม่สงบ เป็นอนิจจัง"


"เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจของเราแล้ว
จะมองไปที่ไหน..จะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา"

ธรรมะโอวาท หลวงพ่อชา


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 00:50:08
ทุกข์ไม่ต้องบ่น...อดทนเอา

อะไรๆ ทั้งหมดนั้นมันไม่เที่ยง
หมายถึง รูป นาม กาย ใจ ตัว ตน สัตว์ บุคคล
ทั้งหมดทั้งมวลนี้แหละมีความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เมื่อมันปรากฏการณ์ถึงความไม่เที่ยงขึ้นมาเมื่อใด เวลาใด
ให้มีสติ อย่าไปบ่นเพ้อรำไร
เมื่อเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนอันใดขึ้นมา
ทุกข์เกิดขึ้นท่านก็ไม่ให้บ่น อดทนเอา
ให้มีความอดทนเป็นพื้นฐานอยู่ในจิตใจของผู้ปฏิบัติ

คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือสุข สงบ เยือกเย็น
สิงหาคม, ๒๕๕๖. หน้า ๓๑


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 00:51:40
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 00:53:45
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 00:56:28
 ;)เราทุกคนปรารถนา "บุญ"
แตุ่ญนี้เราจะไปหาจากที่ไหน ?

"บุญภายนอก" หาจาก "ร่างกาย" ของเรา
"บุญภายใน" หาจาก "ดวงจิต"
บุญย่อมนำมาซึ่งความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า

ความสุข มี ๒ อย่าง คือ สุขในโลก กับ สุขในธรรม
ความสุขทางธรรม เป็นความสุขที่ปลอดภัย

คือ ความสุขทางจิต ถึงมันจะมี จะจน จะแก่
จะเจ็บ จะตาย เราก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรทั้งนั้น
เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ทำความดีที่ปลอดภัย
คือ บำเพ็ญบุญกุศล มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น

ทำร่างกายของเราให้เป็นก้อนบุญ อย่าให้เป็นก้อนบาป
เมื่อบุญไหลเข้าไปทางตา หู จมูก ปาก ฯลฯ ของเรา
ก็เข้าไปทำธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ของเราให้บริสุทธิ์
เป็นบุญไปหมดทั้งก้อน

เหมือนเรามีบ่อน้ำอยู่ ถ้าเราเอาสิ่งที่เป็นพิษเป็นโทษ
เข้าไปใส่ในบ่อน้ำนั้นก็จะใช้กินใช้อาบไม่ได้
ถ้าเราเอาของดีไปใส่ บ่อน้ำนั้นก็เป็นบ่อน้ำที่บริสุทธิ์ใส สะอาดดี

เราอย่ามัวไปหลงว่า ร่างกายเรานี้เป็นของเรา
และมันจะทุกข์จะสุขด้วยกับเรา
แท้จริงมันจะไม่ไปกับเราได้ดอก

กายนี้เปรียบเหมือนมีด จิตของเราเปรียบเหมือนคน
ถ้าเรารู้จักใช้ มีดก็จะเป็นประโยชน์ ถ้าเราไม่รู้จักใช้ มันก็ให้โทษ
เช่น เอามีดไปฆ่าฟันเขา
เขาก็ไม่ได้จับเอามีดไปใส่คุกใส่ตะราง
เขาจะต้องจับเอาคนที่ฆ่าไป
ร่างกายนี้จะไม่ทุกข์ด้วย แต่ส่วนที่จะรับทุกข์ คือ ตัวจิตของเรา
เมื่อเราตาย...ก็จะต้องไปสู่ทุคติ



คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือแนวทางวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน
พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร.
โดยชมรมกัลยาณธรรม ปี พ.ศ. ๒๕๕๒. หน้า ๑๖๓-๑๖๕


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 00:58:26
 ;D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 01:00:42
 :o


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนาน ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 09:01:14
ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ครับ


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 11:14:35
 :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 11:16:04
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 22 ธันวาคม 2013, 12:07:37
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2013, 21:35:32
นี่แหละหนอมนุษย์เราก็เท่านี้
หมดลมแล้วก็ไม่มีซึ่งความหมาย
วิญญาณปราศจากลับดับจากกาย
หยุดวุ่นวายทุกทุกสิ่งนอนนิ่งเลย

เมื่อชีวิตเรานี้มีลมอยู่
จงเร่งรู้ศีลทานนะท่านเอ๋ย
ทั้งภาวนาทำใจหัดให้เคย
อย่าละเลยความดีทุกวี่วัน

เมื่อสิ้นลมจิตพรากจากโลกนี้
จะได้พาความดีไปสวรรค์
อย่าทำบาปน้อยนิดให้ติดพัน
เพราะบาปนั้นจะเป็นเงาตามเราไป


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2013, 21:36:48
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2013, 21:40:23
โอ้ว่าอนิจจาสังขารเอ๋ย
มาลงเอยสิ้นสุดหยุดเคลื่อนไหว
เมื่อหมดหวังครั้งสุดท้ายไม่หายใจ
ธาตุลมไฟน้ำดินก็สิ้นตาม


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 23 ธันวาคม 2013, 23:53:46
 :)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: nantong ที่ วันที่ 14 มกราคม 2014, 11:38:36
=๋๋P =

 :o  ทำใจ    ให้กว้าง        วางตน    ให้เล็ก

        มีคน ว่า

 8)    ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ครับ      :-*

                    ก็ว่า  ;D   ;D    ;D     น่าจะ ดี





หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2014, 16:09:24
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2014, 09:20:45
คนเราพบกัน ก็เพื่อรอวันจาก


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2014, 08:54:49
 ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2014, 19:57:39
 :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 10:59:42
aEIU5FasNm8#t

บุญตักบาตร วันเพ็ญ เป็นวันพุธ
อุปคุต เถระ อรหันต์
ชนล้านนา ถือตักบาตร เที่ยงคืนกัน
วันสุขสันต์ สุโข อนุโมทนา


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 03 เมษายน 2015, 16:01:47
บุญมาฝาก กับภาพประทับใจ ในวัดพระธาตุดอยกองมู

BDruS0D1iKM&feature


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 03 เมษายน 2015, 22:35:34
ZrT-HJ-nsG4&feature

บุญมาฝากกับภาพประทับใจมาฝาก
งานส่างลอง สามเณรสุริยะ ของไทยใหญ่ ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ล้านนา :D


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 05 เมษายน 2015, 23:43:31
gWlrzXkgZVc&feature
 เก็บภาพงานบุญมาฝาก ปอยส่างลองแม่สะเรียง  ;)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: Number9 ที่ วันที่ 06 เมษายน 2015, 21:13:05
(http://image.free.in.th/v/2013/iw/141110032544.jpg)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดสะกิดใจ..ในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: ๋๋P ที่ วันที่ 21 เมษายน 2015, 10:27:56
f8VYAVQh6Do
สรงน้ำพระ  ณ เจดีย์พบโชค เก็บภาพงามๆ มาฝาก :D