เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย

ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย => เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง => ข้อความที่เริ่มโดย: rabbitNUENG ที่ วันที่ 14 ตุลาคม 2011, 20:19:58



หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: rabbitNUENG ที่ วันที่ 14 ตุลาคม 2011, 20:19:58
บทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นการศึกษาของ อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ............. ในหนังสือ "คนเมือง"

และบทความเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงความเจ็บปวด นี้แระเขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ ** บทความนี้ไม่ได้สร้างการยุยง ส่งเสริมให้คนในชาติแตกแยกและเกลียดชังกันนะครับ มันเป็นเพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และผมเองจดจำเรื่องราวเล่านี้ไว้เสมอ ในฐานะคนล้านนา
1.กรมหมื่นพิชิตปรีชากรรับบัญชามาผลักดันให้เจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับการหมั้นระหว่างเจ้าดารารัศมี (ชนมายุ 11 ชันษา) ราชธิดาองค์สุดท้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยยอมรับให้สยามจัดพิธีโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้แก่เจ้าดารา ซึ่งล้านนาไม่เคยมีพิธีกรรมเช่นนี้
2.พ.ศ.2440 เจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีมิได้รับอนุญาตให้กลับไปร่วมงานปลงพระศพพระบิดา คาดกันว่าสยามเกรงล้านนาจะคิดกบฏหรือหันไปหาพม่า จึงต้องเก็บเจ้าดาราไว้ในฐานะตัวประกัน หลังจากเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยาทรงสุรเดชก็มีคำสั่งตัดเงินรายปีของเจ้าเมืองเชียงใหม่จาก 8 หมื่น เหลือ 3 หมื่นรูปี และลดจำนวนเงินรายปีของเจ้านายคนอื่น ๆ พร้อมกับโยกย้ายและถอดถอนเจ้านาย และให้ข้าราชการสยามเข้ามาแทน และเพิ่มจำนวนเงินเดือนให้
3.ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลสยามได้กำหนดนโยบายห้ามสอนภาษา “ตั๋วเมือง” ในโรงเรียนทุกแห่ง  และกำหนดให้ครูและนักเรียนใช้ภาษาไทยสยามเท่านั้น และได้ห้ามคนจากสยามเรียกคนล้านนาว่าเป็นลาว เน้นการปลูกฝังเรื่องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำให้การสอนภาษาล้านนามีเฉพาะในวัด ที่สำคัญคือ การที่คนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาของบรรพบุรุษได้ก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เช่น ความตายของภาษาเขียนนำไปสู่การชะงักงันของภาษาพูด ภาษาพูดที่จะพัฒนาต่อไปก็คือการรับเอาคำจากภาษาไทยเข้ามามาขึ้นตามลำดับ ฯ
4.ในปี พ.ศ. 2542 อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวได้วิเคราะห์ว่า การย้ายเสาอินทขิลน่าจะเกิดจากความเห็นว่าศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกคนของอยุธยาทำไสยศาสตร์ด้วยการฝังไหกระดูกผี (รวมทั้งฝังไว้ประตูเมืองทุกแห่ง) เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) พญาติโลกราชจับได้จึงคิดวิธีแก้ไขสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง ฯ
5.ครั้นถึงสมัยพญากาวิละ (พ.ศ.2325-2356) อรุณรัตน์จึงเสนอว่าเนื่องจากเมืองเชียงใหม่ได้ประสบชะตากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นราชวงศ์มังราย และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 200 ปีเศษ พญากาวิละคงจะฟื้นความเชื่อของพญาติโลกราช จึงย้ายเสาอินทขิลมาไว้ในเจดีย์หลวงในปี พ.ศ. 2343
6.การสร้างคุกบนพื้นที่ที่เคยเป็นหอคำหรือพระราชวังของกษัตริย์ล้านนาเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งของเมือง ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดคือ เรือนจำเชียงใหม่ และลำพูน ฯ กรณีเชียงราย ประชาชนขอสั่งรื้อเรือนจำ สถานที่เคยเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการฟ้อนผีเจ้านาย เจ้ามด เจ้าเม็ง และทำพิธีสำคัญของเมืองเชียงรายในอดีต
7.การล่มสลายของอำนาจเจ้านายท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาคารสำนักงานของรัฐบาลสยามเกิดขึ้นในเขตศูนย์อำนาจเก่า หากยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายึดครองที่ดินหลายส่วน โดยเฉพาะที่ดินติดถนนเพื่อสร้างเป็นร้านคา ส่งผลให้ที่ดินบริเวณพญามังรายถูกฟ้าผ่า ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 1854 ซึ่งมีผู้สร้างศาลพญามังรายให้ผู้คนได้กราบไว้ ต้องกลายเป็นที่ดินของเอกชน ฯ ความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง สถานที่สำคัญกลายเป็นที่จอดรถ ฯ
และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าศึกษาจากหนังสือคนเมือง ของ ธเนศวร์ ตั้งแต่เรื่องของครูบาศรีวิชัยถูกจับกุม การขอคืนอำนาจให้เจ้านายท้องถิ่นในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงเรียนในนามเจ้านคร และการยอมรับการปรับตัวของคนเมืองในระบอบของสยาม

ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ แต่เพียงอยากบอกเล่าอีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่มิใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: Jeekuk ที่ วันที่ 18 ตุลาคม 2011, 10:48:42
บทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นการศึกษาของ อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ............. ในหนังสือ "คนเมือง"

และบทความเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงความเจ็บปวด นี้แระเขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ ** บทความนี้ไม่ได้สร้างการยุยง ส่งเสริมให้คนในชาติแตกแยกและเกลียดชังกันนะครับ มันเป็นเพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และผมเองจดจำเรื่องราวเล่านี้ไว้เสมอ ในฐานะคนล้านนา
1.กรมหมื่นพิชิตปรีชากรรับบัญชามาผลักดันให้เจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับการหมั้นระหว่างเจ้าดารารัศมี (ชนมายุ 11 ชันษา) ราชธิดาองค์สุดท้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยยอมรับให้สยามจัดพิธีโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้แก่เจ้าดารา ซึ่งล้านนาไม่เคยมีพิธีกรรมเช่นนี้
2.พ.ศ.2440 เจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีมิได้รับอนุญาตให้กลับไปร่วมงานปลงพระศพพระบิดา คาดกันว่าสยามเกรงล้านนาจะคิดกบฏหรือหันไปหาพม่า จึงต้องเก็บเจ้าดาราไว้ในฐานะตัวประกัน หลังจากเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยาทรงสุรเดชก็มีคำสั่งตัดเงินรายปีของเจ้าเมืองเชียงใหม่จาก 8 หมื่น เหลือ 3 หมื่นรูปี และลดจำนวนเงินรายปีของเจ้านายคนอื่น ๆ พร้อมกับโยกย้ายและถอดถอนเจ้านาย และให้ข้าราชการสยามเข้ามาแทน และเพิ่มจำนวนเงินเดือนให้
3.ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลสยามได้กำหนดนโยบายห้ามสอนภาษา “ตั๋วเมือง” ในโรงเรียนทุกแห่ง  และกำหนดให้ครูและนักเรียนใช้ภาษาไทยสยามเท่านั้น และได้ห้ามคนจากสยามเรียกคนล้านนาว่าเป็นลาว เน้นการปลูกฝังเรื่องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำให้การสอนภาษาล้านนามีเฉพาะในวัด ที่สำคัญคือ การที่คนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาของบรรพบุรุษได้ก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เช่น ความตายของภาษาเขียนนำไปสู่การชะงักงันของภาษาพูด ภาษาพูดที่จะพัฒนาต่อไปก็คือการรับเอาคำจากภาษาไทยเข้ามามากขึ้นตามลำดับ ฯ4.ในปี พ.ศ. 2542 อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวได้วิเคราะห์ว่า การย้ายเสาอินทขิลน่าจะเกิดจากความเห็นว่าศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกคนของอยุธยาทำไสยศาสตร์ด้วยการฝังไหกระดูกผี (รวมทั้งฝังไว้ประตูเมืองทุกแห่ง) เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) พญาติโลกราชจับได้จึงคิดวิธีแก้ไขสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง ฯ
5.ครั้นถึงสมัยพญากาวิละ (พ.ศ.2325-2356) อรุณรัตน์จึงเสนอว่าเนื่องจากเมืองเชียงใหม่ได้ประสบชะตากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นราชวงศ์มังราย และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 200 ปีเศษ พญากาวิละคงจะฟื้นความเชื่อของพญาติโลกราช จึงย้ายเสาอินทขิลมาไว้ในเจดีย์หลวงในปี พ.ศ. 2343
6.การสร้างคุกบนพื้นที่ที่เคยเป็นหอคำหรือพระราชวังของกษัตริย์ล้านนาเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งของเมือง ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดคือ เรือนจำเชียงใหม่ และลำพูน ฯ กรณีเชียงราย ประชาชนขอสั่งรื้อเรือนจำ สถานที่เคยเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการฟ้อนผีเจ้านาย เจ้ามด เจ้าเม็ง และทำพิธีสำคัญของเมืองเชียงรายในอดีต
7.การล่มสลายของอำนาจเจ้านายท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาคารสำนักงานของรัฐบาลสยามเกิดขึ้นในเขตศูนย์อำนาจเก่า หากยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายึดครองที่ดินหลายส่วน โดยเฉพาะที่ดินติดถนนเพื่อสร้างเป็นร้านคา ส่งผลให้ที่ดินบริเวณพญามังรายถูกฟ้าผ่า ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 1854 ซึ่งมีผู้สร้างศาลพญามังรายให้ผู้คนได้กราบไว้ ต้องกลายเป็นที่ดินของเอกชน ฯ ความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง สถานที่สำคัญกลายเป็นที่จอดรถ ฯ
และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าศึกษาจากหนังสือคนเมือง ของ ธเนศวร์ ตั้งแต่เรื่องของครูบาศรีวิชัยถูกจับกุม การขอคืนอำนาจให้เจ้านายท้องถิ่นในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงเรียนในนามเจ้านคร และการยอมรับการปรับตัวของคนเมืองในระบอบของสยาม

ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ แต่เพียงอยากบอกเล่าอีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่มิใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว

ตั๋วแดงคือ"ทำให้คนเชียงใหม่มีภาษาพูดไม่เหมือนคนจังหวัดอื่น ๆ และปัจจุบัน หละปูน ก็ถูกกลืนไปด้วยแล้ว"


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: wasuwith ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 14:03:39
อยากอ่านอีกอะ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: MammonRN ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 14:16:23
บทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นการศึกษาของ อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ............. ในหนังสือ "คนเมือง"

และบทความเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงความเจ็บปวด นี้แระเขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ ** บทความนี้ไม่ได้สร้างการยุยง ส่งเสริมให้คนในชาติแตกแยกและเกลียดชังกันนะครับ มันเป็นเพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และผมเองจดจำเรื่องราวเล่านี้ไว้เสมอ ในฐานะคนล้านนา
1.กรมหมื่นพิชิตปรีชากรรับบัญชามาผลักดันให้เจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับการหมั้นระหว่างเจ้าดารารัศมี (ชนมายุ 11 ชันษา) ราชธิดาองค์สุดท้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยยอมรับให้สยามจัดพิธีโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้แก่เจ้าดารา ซึ่งล้านนาไม่เคยมีพิธีกรรมเช่นนี้
2.พ.ศ.2440 เจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีมิได้รับอนุญาตให้กลับไปร่วมงานปลงพระศพพระบิดา คาดกันว่าสยามเกรงล้านนาจะคิดกบฏหรือหันไปหาพม่า จึงต้องเก็บเจ้าดาราไว้ในฐานะตัวประกัน หลังจากเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยาทรงสุรเดชก็มีคำสั่งตัดเงินรายปีของเจ้าเมืองเชียงใหม่จาก 8 หมื่น เหลือ 3 หมื่นรูปี และลดจำนวนเงินรายปีของเจ้านายคนอื่น ๆ พร้อมกับโยกย้ายและถอดถอนเจ้านาย และให้ข้าราชการสยามเข้ามาแทน และเพิ่มจำนวนเงินเดือนให้
3.ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลสยามได้กำหนดนโยบายห้ามสอนภาษา “ตั๋วเมือง” ในโรงเรียนทุกแห่ง  และกำหนดให้ครูและนักเรียนใช้ภาษาไทยสยามเท่านั้น และได้ห้ามคนจากสยามเรียกคนล้านนาว่าเป็นลาว เน้นการปลูกฝังเรื่องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำให้การสอนภาษาล้านนามีเฉพาะในวัด ที่สำคัญคือ การที่คนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาของบรรพบุรุษได้ก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เช่น ความตายของภาษาเขียนนำไปสู่การชะงักงันของภาษาพูด ภาษาพูดที่จะพัฒนาต่อไปก็คือการรับเอาคำจากภาษาไทยเข้ามามากขึ้นตามลำดับ ฯ4.ในปี พ.ศ. 2542 อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวได้วิเคราะห์ว่า การย้ายเสาอินทขิลน่าจะเกิดจากความเห็นว่าศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกคนของอยุธยาทำไสยศาสตร์ด้วยการฝังไหกระดูกผี (รวมทั้งฝังไว้ประตูเมืองทุกแห่ง) เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) พญาติโลกราชจับได้จึงคิดวิธีแก้ไขสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง ฯ
5.ครั้นถึงสมัยพญากาวิละ (พ.ศ.2325-2356) อรุณรัตน์จึงเสนอว่าเนื่องจากเมืองเชียงใหม่ได้ประสบชะตากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นราชวงศ์มังราย และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 200 ปีเศษ พญากาวิละคงจะฟื้นความเชื่อของพญาติโลกราช จึงย้ายเสาอินทขิลมาไว้ในเจดีย์หลวงในปี พ.ศ. 2343
6.การสร้างคุกบนพื้นที่ที่เคยเป็นหอคำหรือพระราชวังของกษัตริย์ล้านนาเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งของเมือง ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดคือ เรือนจำเชียงใหม่ และลำพูน ฯ กรณีเชียงราย ประชาชนขอสั่งรื้อเรือนจำ สถานที่เคยเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการฟ้อนผีเจ้านาย เจ้ามด เจ้าเม็ง และทำพิธีสำคัญของเมืองเชียงรายในอดีต
7.การล่มสลายของอำนาจเจ้านายท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาคารสำนักงานของรัฐบาลสยามเกิดขึ้นในเขตศูนย์อำนาจเก่า หากยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายึดครองที่ดินหลายส่วน โดยเฉพาะที่ดินติดถนนเพื่อสร้างเป็นร้านคา ส่งผลให้ที่ดินบริเวณพญามังรายถูกฟ้าผ่า ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 1854 ซึ่งมีผู้สร้างศาลพญามังรายให้ผู้คนได้กราบไว้ ต้องกลายเป็นที่ดินของเอกชน ฯ ความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง สถานที่สำคัญกลายเป็นที่จอดรถ ฯ
และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าศึกษาจากหนังสือคนเมือง ของ ธเนศวร์ ตั้งแต่เรื่องของครูบาศรีวิชัยถูกจับกุม การขอคืนอำนาจให้เจ้านายท้องถิ่นในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงเรียนในนามเจ้านคร และการยอมรับการปรับตัวของคนเมืองในระบอบของสยาม

ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ แต่เพียงอยากบอกเล่าอีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่มิใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว

ตั๋วแดงคือ"ทำให้คนเชียงใหม่มีภาษาพูดไม่เหมือนคนจังหวัดอื่น ๆ และปัจจุบัน หละปูน ก็ถูกกลืนไปด้วยแล้ว"

งั้นเชียงรายกะเชียงใหม่ถ้าเขียนก็เขียนไม่เหมือนกันเหรอครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: wasuwith ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 16:27:00
น่าจะช่วยกันสืบสานประเพณี,สร้างเวียงแก้ว,ภาษาเขียน,ภาษาพูดช่วยกันสืบสาน


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: Carcamera Cr ที่ วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 17:34:06
เข้ามาอ่านเก็บไว้เป็นความรู้  ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ALPHA1 ที่ วันที่ 02 พฤศจิกายน 2011, 00:31:36
บทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นการศึกษาของ อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ............. ในหนังสือ "คนเมือง"

และบทความเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงความเจ็บปวด นี้แระเขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ ** บทความนี้ไม่ได้สร้างการยุยง ส่งเสริมให้คนในชาติแตกแยกและเกลียดชังกันนะครับ มันเป็นเพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และผมเองจดจำเรื่องราวเล่านี้ไว้เสมอ ในฐานะคนล้านนา
1.กรมหมื่นพิชิตปรีชากรรับบัญชามาผลักดันให้เจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับการหมั้นระหว่างเจ้าดารารัศมี (ชนมายุ 11 ชันษา) ราชธิดาองค์สุดท้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยยอมรับให้สยามจัดพิธีโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้แก่เจ้าดารา ซึ่งล้านนาไม่เคยมีพิธีกรรมเช่นนี้
2.พ.ศ.2440 เจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีมิได้รับอนุญาตให้กลับไปร่วมงานปลงพระศพพระบิดา คาดกันว่าสยามเกรงล้านนาจะคิดกบฏหรือหันไปหาพม่า จึงต้องเก็บเจ้าดาราไว้ในฐานะตัวประกัน หลังจากเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยาทรงสุรเดชก็มีคำสั่งตัดเงินรายปีของเจ้าเมืองเชียงใหม่จาก 8 หมื่น เหลือ 3 หมื่นรูปี และลดจำนวนเงินรายปีของเจ้านายคนอื่น ๆ พร้อมกับโยกย้ายและถอดถอนเจ้านาย และให้ข้าราชการสยามเข้ามาแทน และเพิ่มจำนวนเงินเดือนให้
3.ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลสยามได้กำหนดนโยบายห้ามสอนภาษา “ตั๋วเมือง” ในโรงเรียนทุกแห่ง  และกำหนดให้ครูและนักเรียนใช้ภาษาไทยสยามเท่านั้น และได้ห้ามคนจากสยามเรียกคนล้านนาว่าเป็นลาว เน้นการปลูกฝังเรื่องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำให้การสอนภาษาล้านนามีเฉพาะในวัด ที่สำคัญคือ การที่คนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาของบรรพบุรุษได้ก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เช่น ความตายของภาษาเขียนนำไปสู่การชะงักงันของภาษาพูด ภาษาพูดที่จะพัฒนาต่อไปก็คือการรับเอาคำจากภาษาไทยเข้ามามากขึ้นตามลำดับ ฯ4.ในปี พ.ศ. 2542 อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวได้วิเคราะห์ว่า การย้ายเสาอินทขิลน่าจะเกิดจากความเห็นว่าศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกคนของอยุธยาทำไสยศาสตร์ด้วยการฝังไหกระดูกผี (รวมทั้งฝังไว้ประตูเมืองทุกแห่ง) เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) พญาติโลกราชจับได้จึงคิดวิธีแก้ไขสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง ฯ
5.ครั้นถึงสมัยพญากาวิละ (พ.ศ.2325-2356) อรุณรัตน์จึงเสนอว่าเนื่องจากเมืองเชียงใหม่ได้ประสบชะตากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นราชวงศ์มังราย และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 200 ปีเศษ พญากาวิละคงจะฟื้นความเชื่อของพญาติโลกราช จึงย้ายเสาอินทขิลมาไว้ในเจดีย์หลวงในปี พ.ศ. 2343
6.การสร้างคุกบนพื้นที่ที่เคยเป็นหอคำหรือพระราชวังของกษัตริย์ล้านนาเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งของเมือง ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดคือ เรือนจำเชียงใหม่ และลำพูน ฯ กรณีเชียงราย ประชาชนขอสั่งรื้อเรือนจำ สถานที่เคยเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการฟ้อนผีเจ้านาย เจ้ามด เจ้าเม็ง และทำพิธีสำคัญของเมืองเชียงรายในอดีต
7.การล่มสลายของอำนาจเจ้านายท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาคารสำนักงานของรัฐบาลสยามเกิดขึ้นในเขตศูนย์อำนาจเก่า หากยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายึดครองที่ดินหลายส่วน โดยเฉพาะที่ดินติดถนนเพื่อสร้างเป็นร้านคา ส่งผลให้ที่ดินบริเวณพญามังรายถูกฟ้าผ่า ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 1854 ซึ่งมีผู้สร้างศาลพญามังรายให้ผู้คนได้กราบไว้ ต้องกลายเป็นที่ดินของเอกชน ฯ ความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง สถานที่สำคัญกลายเป็นที่จอดรถ ฯ
และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าศึกษาจากหนังสือคนเมือง ของ ธเนศวร์ ตั้งแต่เรื่องของครูบาศรีวิชัยถูกจับกุม การขอคืนอำนาจให้เจ้านายท้องถิ่นในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงเรียนในนามเจ้านคร และการยอมรับการปรับตัวของคนเมืองในระบอบของสยาม

ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ แต่เพียงอยากบอกเล่าอีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่มิใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว

ตั๋วแดงคือ"ทำให้คนเชียงใหม่มีภาษาพูดไม่เหมือนคนจังหวัดอื่น ๆ และปัจจุบัน หละปูน ก็ถูกกลืนไปด้วยแล้ว"
"ตี้ว่ายะหื้อคนเจียงใหม่มีำกำอู้บะเหมือนคนจังหวัดอื่นๆจ้วยอธิบายน่อยจะได้ก่อครับว่าบะเหมือนจะได?แล้วก่อนหน้าตี้เจียงใหม่ยังบะได้ถูกลืนเป๋นของสยาม คนเจียงใหม่อู้เหมือนคนเมืองในจังหวัดอื่นๆอี้ กำอู้,กำจ๋าของแต่ละตี้จะหื้อเหมือนกั๋นกู้กำ มันเป๋นไปบะได้ครับแต่จะไดก่อจ้างเต๊อะครับ ขึ้นจื้อว่าคนเมืองเหมือนกั๋นแม้ว่ากำอู้,กำจ๋าจะแตกต่างกั๋นไปพ่อง ผมว่าอู้กั๋นฮู้เรื่องครับ"


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: เวียงเก่า ที่ วันที่ 02 พฤศจิกายน 2011, 10:48:57
บทความที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นการศึกษาของ อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ............. ในหนังสือ "คนเมือง"

และบทความเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้มีแต่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแฝงความเจ็บปวด นี้แระเขาเรียกว่าประวัติศาสตร์ ** บทความนี้ไม่ได้สร้างการยุยง ส่งเสริมให้คนในชาติแตกแยกและเกลียดชังกันนะครับ มันเป็นเพียงประวัติศาสตร์ให้เราได้ศึกษาอีกมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และผมเองจดจำเรื่องราวเล่านี้ไว้เสมอ ในฐานะคนล้านนา
1.กรมหมื่นพิชิตปรีชากรรับบัญชามาผลักดันให้เจ้าอินทวิชยานนท์ยอมรับการหมั้นระหว่างเจ้าดารารัศมี (ชนมายุ 11 ชันษา) ราชธิดาองค์สุดท้องกับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยยอมรับให้สยามจัดพิธีโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้แก่เจ้าดารา ซึ่งล้านนาไม่เคยมีพิธีกรรมเช่นนี้
2.พ.ศ.2440 เจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีมิได้รับอนุญาตให้กลับไปร่วมงานปลงพระศพพระบิดา คาดกันว่าสยามเกรงล้านนาจะคิดกบฏหรือหันไปหาพม่า จึงต้องเก็บเจ้าดาราไว้ในฐานะตัวประกัน หลังจากเจ้าอินทวิชยานนท์ถึงแก่พิราลัย พระยาทรงสุรเดชก็มีคำสั่งตัดเงินรายปีของเจ้าเมืองเชียงใหม่จาก 8 หมื่น เหลือ 3 หมื่นรูปี และลดจำนวนเงินรายปีของเจ้านายคนอื่น ๆ พร้อมกับโยกย้ายและถอดถอนเจ้านาย และให้ข้าราชการสยามเข้ามาแทน และเพิ่มจำนวนเงินเดือนให้
3.ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 รัฐบาลสยามได้กำหนดนโยบายห้ามสอนภาษา “ตั๋วเมือง” ในโรงเรียนทุกแห่ง  และกำหนดให้ครูและนักเรียนใช้ภาษาไทยสยามเท่านั้น และได้ห้ามคนจากสยามเรียกคนล้านนาว่าเป็นลาว เน้นการปลูกฝังเรื่องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำให้การสอนภาษาล้านนามีเฉพาะในวัด ที่สำคัญคือ การที่คนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาของบรรพบุรุษได้ก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เช่น ความตายของภาษาเขียนนำไปสู่การชะงักงันของภาษาพูด ภาษาพูดที่จะพัฒนาต่อไปก็คือการรับเอาคำจากภาษาไทยเข้ามามากขึ้นตามลำดับ ฯ4.ในปี พ.ศ. 2542 อรุณรัตน์ วิเชียรเขียวได้วิเคราะห์ว่า การย้ายเสาอินทขิลน่าจะเกิดจากความเห็นว่าศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ถูกคนของอยุธยาทำไสยศาสตร์ด้วยการฝังไหกระดูกผี (รวมทั้งฝังไว้ประตูเมืองทุกแห่ง) เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) พญาติโลกราชจับได้จึงคิดวิธีแก้ไขสิ่งชั่วร้ายดังกล่าวด้วยการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง ฯ
5.ครั้นถึงสมัยพญากาวิละ (พ.ศ.2325-2356) อรุณรัตน์จึงเสนอว่าเนื่องจากเมืองเชียงใหม่ได้ประสบชะตากรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนสิ้นราชวงศ์มังราย และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึง 200 ปีเศษ พญากาวิละคงจะฟื้นความเชื่อของพญาติโลกราช จึงย้ายเสาอินทขิลมาไว้ในเจดีย์หลวงในปี พ.ศ. 2343
6.การสร้างคุกบนพื้นที่ที่เคยเป็นหอคำหรือพระราชวังของกษัตริย์ล้านนาเป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งของเมือง ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดคือ เรือนจำเชียงใหม่ และลำพูน ฯ กรณีเชียงราย ประชาชนขอสั่งรื้อเรือนจำ สถานที่เคยเป็นที่ดินศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการฟ้อนผีเจ้านาย เจ้ามด เจ้าเม็ง และทำพิธีสำคัญของเมืองเชียงรายในอดีต
7.การล่มสลายของอำนาจเจ้านายท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้อาคารสำนักงานของรัฐบาลสยามเกิดขึ้นในเขตศูนย์อำนาจเก่า หากยังเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ายึดครองที่ดินหลายส่วน โดยเฉพาะที่ดินติดถนนเพื่อสร้างเป็นร้านคา ส่งผลให้ที่ดินบริเวณพญามังรายถูกฟ้าผ่า ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 1854 ซึ่งมีผู้สร้างศาลพญามังรายให้ผู้คนได้กราบไว้ ต้องกลายเป็นที่ดินของเอกชน ฯ ความศักดิ์สิทธิ์และพิธีกรรมดั้งเดิมของเมืองถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง สถานที่สำคัญกลายเป็นที่จอดรถ ฯ
และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าศึกษาจากหนังสือคนเมือง ของ ธเนศวร์ ตั้งแต่เรื่องของครูบาศรีวิชัยถูกจับกุม การขอคืนอำนาจให้เจ้านายท้องถิ่นในสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น การสร้างโรงเรียนในนามเจ้านคร และการยอมรับการปรับตัวของคนเมืองในระบอบของสยาม

ที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกหรือสร้างความขุ่นเคืองใจ แต่เพียงอยากบอกเล่าอีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่มิใช่ความงดงามเพียงอย่างเดียว

ตั๋วแดงคือ"ทำให้คนเชียงใหม่มีภาษาพูดไม่เหมือนคนจังหวัดอื่น ๆ และปัจจุบัน หละปูน ก็ถูกกลืนไปด้วยแล้ว"
"ตี้ว่ายะหื้อคนเจียงใหม่มีำกำอู้บะเหมือนคนจังหวัดอื่นๆจ้วยอธิบายน่อยจะได้ก่อครับว่าบะเหมือนจะได?แล้วก่อนหน้าตี้เจียงใหม่ยังบะได้ถูกลืนเป๋นของสยาม คนเจียงใหม่อู้เหมือนคนเมืองในจังหวัดอื่นๆอี้ กำอู้,กำจ๋าของแต่ละตี้จะหื้อเหมือนกั๋นกู้กำ มันเป๋นไปบะได้ครับแต่จะไดก่อจ้างเต๊อะครับ ขึ้นจื้อว่าคนเมืองเหมือนกั๋นแม้ว่ากำอู้,กำจ๋าจะแตกต่างกั๋นไปพ่อง ผมว่าอู้กั๋นฮู้เรื่องครับ"
เปิ่นท่าจะอู้ไทยสำเนียงเมืองครับ  ;D ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: Jeekuk ที่ วันที่ 02 พฤศจิกายน 2011, 14:58:54
ถ้า มีคนเชียงใหม่ มาอู้กำเมือง เฮาก็จะฮู้ว่า นี่เชียงใหม่ แม้แต่เชียงของก็ยังมีสำเนียงบะเหมือนคนเชียงรายที่อื่นเลย

คนจังหวัดอื่นทั่วไป  กิ๋นหน้ำ(พยายามออกเสียงเมือง ๆ)
คนเชียงใหม่           กิ๋นน้ำ

แต่ถ้าจะเอากำเมืองแต้ ๆ ต้อง ฟังคนเสาไห้ สระบุรี  เถิน(ลำปาง) ทุ่งเสลี่ยม(สุโขทัย)
แม่ส็อด(ตาก)
ที่เป็นสีแดง ถ้าเป็นเชียงใหม่เปิ้นจะว่า กำเมืองแต๊ ๆ
ให้สังเกตุวรรณยุกต์ แต่ถ้าคุณอ่อนภาษาไทย ก็ช่วยไม่ได้ละเน่อ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ALPHA1 ที่ วันที่ 02 พฤศจิกายน 2011, 17:02:26
ถ้า มีคนเชียงใหม่ มาอู้กำเมือง เฮาก็จะฮู้ว่า นี่เชียงใหม่ แม้แต่เชียงของก็ยังมีสำเนียงบะเหมือนคนเชียงรายที่อื่นเลย คนจังหวัดอื่นทั่วไป  กิ๋นหน้ำ(พยายามออกเสียงเมือง ๆ)คนเชียงใหม่ กิ๋นน้ำ
แต่ถ้าจะเอากำเมืองแต้ ๆ ต้อง ฟังคนเสาไห้ สระบุรี  เถิน(ลำปาง) ทุ่งเสลี่ยม(สุโขทัย) แม่ส็อด(ตาก)ที่เป็นสีแดง ถ้าเป็นเชียงใหม่เปิ้นจะว่า กำเมืองแต๊ ๆ ให้สังเกตุวรรณยุกต์ แต่ถ้าคุณอ่อนภาษาไทย ก็ช่วยไม่ได้ละเน่อ
"หลงตางไปแล้วก้า คุณบอกเองว่า ตั๋วแดงคือทำให้คนเชียงใหม่มีภาษาพูดไม่เหมือนคนจังหวัดอื่นๆและปัจจุบันหละปูนก็ถูกกลืนไปด้วยแล้ว ผมก่อเลยขอถามว่ากำอู้กำจ๋าคนเจียงใหม่บะเหมือนคนจังหวัดอื่นจะได? มันผิดแผกแตกต่างอยู่แล้วกาว่ามาเปลี่ยนต๋อนสมัยถูกลืน  กำอู้คนเจียงใหม่บะเหมือนคนตี้อื่นต๋อนใด?ก่อนถูกลืนกาว่าหลังจากถูกลืนแล้ว คุณเข้าใจ๋กำว่าความแตกต่างของถิ่นที่อยู่,ชาติพันธุ์ของคนก่อ ตี้คุณว่ากำเมืองแต๊ๆต้องฟังคนเสาไห้ สระบุรี(ถูกกวาดต้อนไปจากเจียงฮายสมัยพระเจ้าตากก่อเลยอู้สำเนียงตี้บะฮู้มาก่อนก่อจะเข้าใจ๋ว่าเป๋นคนเจียงฮาย),เถิน(ลำปาง),ทุ่งเสลี่ยม(สุโขทัย)ผมว่าเจิญคุณเข้าใจ๋ผิดไปคนเดียวเต๊อะ เพราะกำอู้กำจ๋าของคนเมืองบะว่าตี้ไหน?ก่อเป๋นของแต๊ตึงนั้น มีตวยกาว่ากำเมืองตี้หั้นแั้ต๊,ตี้หั้นบะแต๊"


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: rabbitNUENG ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 10:37:05
กำเด๋วรออ่านและรวบรวมข้อมูล แล้วจะเอามาเล่าหื้อฟังน้อคัฟ บางเรื่องก่อเปิดเผยบ่าได้ เพราะมันสั่นคลอนสถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา

อันนี้ก่อบ่าพิมพ์ลงในนี้เน้อคัฟ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: >:l!ne-po!nt:< ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 10:42:44
เข้ามาอัก เส้นสมองครับ  ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 13:03:27
กำเด๋วรออ่านและรวบรวมข้อมูล แล้วจะเอามาเล่าหื้อฟังน้อคัฟ บางเรื่องก่อเปิดเผยบ่าได้ เพราะมันสั่นคลอนสถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา
อันนี้ก่อบ่าพิมพ์ลงในนี้เน้อคัฟ

ขำใจ๋กำว่า "สถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา" น่อครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: poupoushop.com ที่ วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 15:00:41
ขอบคุณข้อมูล  และความฮู้ดีๆเจ้า


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: rabbitNUENG ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 00:00:54
กำเด๋วรออ่านและรวบรวมข้อมูล แล้วจะเอามาเล่าหื้อฟังน้อคัฟ บางเรื่องก่อเปิดเผยบ่าได้ เพราะมันสั่นคลอนสถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา
อันนี้ก่อบ่าพิมพ์ลงในนี้เน้อคัฟ

ขำใจ๋กำว่า "สถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา" น่อครับ

ในสมัยก่อนเปิ้นจะว่า เจ้าลาว(ล้านนา) กะ เจ้าเมืองสยาม ตะก่อนเปิ้นบ่าค่อยเข้าใจกัน ผิดกันหมั่นอยุ่ครับทั้งเรื่องการเมือง วัฒนธรรม จารีต ธรรมเนียม มันเลยมีเล่าตี้บ่าค่อยดีเต่าใด  กล่าวว่าจะเล่าไปมีจะกระทบกับสถาบันกษัตริย์ของเฮาบ่าเด๋วนี้ มันเป๋นเรื่องบ่าดี บ่าสมควรอู้ออกมา เขียนออกมา เข้าใจก่อคัฟ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ALPHA1 ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 00:03:52
กำเด๋วรออ่านและรวบรวมข้อมูล แล้วจะเอามาเล่าหื้อฟังน้อคัฟ บางเรื่องก่อเปิดเผยบ่าได้ เพราะมันสั่นคลอนสถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา อันนี้ก่อบ่าพิมพ์ลงในนี้เน้อคัฟ
"ผมขอรออ่านตวยคนเน่อครับ"


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: @ไอ้อ้วน@ ที่ วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 00:08:44
ความรู้คนล้านนาน่าอ่านเน้อเจ้า


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: sper16 ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 10:29:30
อ่านแล้วรักประเทศไทย


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายช้อปปิ้ง ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 10:40:37
รออ่านครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 12:12:42
กำเด๋วรออ่านและรวบรวมข้อมูล แล้วจะเอามาเล่าหื้อฟังน้อคัฟ บางเรื่องก่อเปิดเผยบ่าได้ เพราะมันสั่นคลอนสถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา
อันนี้ก่อบ่าพิมพ์ลงในนี้เน้อคัฟ

ขำใจ๋กำว่า "สถาบันเบื้องสูงของสยามกับล้านนา" น่อครับ

ในสมัยก่อนเปิ้นจะว่า เจ้าลาว(ล้านนา) กะ เจ้าเมืองสยาม ตะก่อนเปิ้นบ่าค่อยเข้าใจกัน ผิดกันหมั่นอยุ่ครับทั้งเรื่องการเมือง วัฒนธรรม จารีต ธรรมเนียม มันเลยมีเล่าตี้บ่าค่อยดีเต่าใด  กล่าวว่าจะเล่าไปมีจะกระทบกับสถาบันกษัตริย์ของเฮาบ่าเด๋วนี้ มันเป๋นเรื่องบ่าดี บ่าสมควรอู้ออกมา เขียนออกมา เข้าใจก่อคัฟ

บ่ได้ขำใจ๋เรื่องหนี้ครับ ขำใจ๋เรื่องอื่น


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: เชียงรายพันธุ์แท้ ที่ วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 12:22:15
หนังสือ "คนเมือง" พิมพ์เตื้อตี้ 2 ปรับปรุงแลเพิ่มเนื้อหาใหม่ครับ
ท่านใดยังบ่มีไปเซาะซื้อมาอ่านได้เน่อ

ผมได้มาเล่ม อ.ธเนศวร์ แกลดราคาหื้อ 40 บาท 555+
แถมแกยังแจกลายเซ็นหื้อตวย


กระแสล้านนานุวัตร หรือรื้อฟื้นล้านนา เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสสยามานุวัตรที่ยังคงเข้มแข็ง แนวคิดแบบรวมศูนย์อำนาจยังตกค้างอยู่ในสมองของคนจำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกันกระแสโลกาภิวัตรก็ไหลบ่าเข้ามาในท้องถิ่นและพยายามเอาชนะท้องถิ่นต่างๆ ให้ได้ แม้ว่ากระแสดังกล่าวจะส่งเสริมความเป็นท้องถิ่นหรือสร้างความเข้มแข็งให้แก่ท้องถิ่นในบางด้าน แต่ก็แสวงหาประโยชน์จากความอ่อนแอของท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็มิได้ส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง

บัดนี้ คนเมืองมีภารกิจที่จะผลักดันให้ล้านนาเป็นแผ่นดินที่เอื้อประโยชน์ให้แก่คนท้องถิ่นให้มากกว่าเดิม ให้การศึกษาเรียนรู้ มีทัศนะประวัติศาสตร์ นั่นคือเข้าใจประวัติศาสตร์และบริบทสังคมที่ห้อมล้อมล้านนาในแต่ละยุคสมัยให้มากขึ้น เพื่อที่จะนำล้านนาให้ก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเวลาที่ผ่านมา

...คนเมืองและล้านนานับจากวันนี้จะยืนอยู่ ณ จุดใด และจะก้าวไปอย่างไร ... (บทส่งท้าย คนเมืองในกระแสสยามานุวัตร-โลกาภิวัตร)

ในเล่มมีเรื่องราวที่น่าสนใจที่คนเมืองเองไม่ค่อยได้รับการรับรู้ เป็นมุมมองและเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่ด้วยกระแสสยามานุวัตรทำให้เรากลายเป็นประเทศไทย ที่มิได้เหลียวหลังมองอดีตของ "คนเมือง" อย่างแท้จริง เขียนโดย ศ.ดร.ธเนศวร์  เจริญเมือง พิมพ์ครั้งที่ 2 "คนเมือง" ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ พ.ศ. 2317-2553 สนใจสั่งซื้อได้ในราคาตามปก 180 บาท ที่สำนักพิมพ์ล้อล้านนา 053-758775 , 086-9232081 หรือ lorlanna_cri@hotmail.com จัดส่งไปรษณีย์ให้ฟรี

บ่ฮู้ว่าหนังสือเสี้ยงละยัง จาใดก็ลองโทรไปถามท่าน ล้อล้านนา ผ่อเน่อ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: tawan rung ที่ วันที่ 04 มกราคม 2012, 00:54:31
ไผ จะจาใดก่อจ่างเต๊อะ คับ อดีต กับ บ่าเด่วนี้ มันเข้ากั๋นบ่าได่มีแต่ข้อถกเถียง คับ มีอยู่สิ่งนึ่ง ความจริงเป๋นสิ่งตี่ บ่าต๋าย แต่ผมก่อ บ่าสนใจ๋คับ ผมฮู้อย่างเดียวคับว่า ผมฮักล้านนา อย่างชีวิตหาบ่าได้คับ เฮามาจ่วยกั๋นฮักษาไว้ดีกว่าคับ  100 -1000 ปี๋ไปหน้า ลูกหลานจะได่ บ่าเถียงกั๋นแหม เฮามาจ่วยกั๋น สร้างรากฐานไว้เต๊อะคับ ฮักกันไว้คับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: สบายแมน ที่ วันที่ 09 มกราคม 2012, 16:34:40
อำนาจเป๋นสิ่งตี๋สมมุติขึ้นมาแต้ๆ
 ;D  ;D  ;D  ;D  ;D  ;D  ;D  ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: chate ที่ วันที่ 16 มกราคม 2012, 17:13:18
อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: tfgc2007 ที่ วันที่ 18 มกราคม 2012, 13:51:59
อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...
ตวยซาว.........


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: tfgc2007 ที่ วันที่ 18 มกราคม 2012, 13:54:13
อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...
ตวยซาวปลายๆ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: SAP_BanTung ที่ วันที่ 21 มกราคม 2012, 09:20:47
อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: Angellaz ที่ วันที่ 24 มกราคม 2012, 11:50:29
เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ...จบ มช. รัฐศาสตร์
อาจารย์สอนสนุก แต่มีอคติกับสยามมากเกินไป แกมีความเป็น Localism สูงมาก
ชอบเน้นการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจ...ทางทฤษฎีสวยหรูค่ะ ทำได้
แต่ในทางปฏิบัติ...มันยากส์ เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

ปล. ในความคิดแล้ว อาจารย์เหมือนพวกนิติเรี่ยราดค่ะ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: T Nakamura ที่ วันที่ 28 มกราคม 2012, 21:28:30
เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ...จบ มช. รัฐศาสตร์
อาจารย์สอนสนุก แต่มีอคติกับสยามมากเกินไป แกมีความเป็น Localism สูงมาก
ชอบเน้นการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจ...ทางทฤษฎีสวยหรูค่ะ ทำได้
แต่ในทางปฏิบัติ...มันยากส์ เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

ปล. ในความคิดแล้ว อาจารย์เหมือนพวกนิติเรี่ยราดค่ะ

นั่นกะคับ "เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน"
มันจึงต้องมีก๋ารกระจายก๋ารปกครอง กระจายอำนาจ ตี้บ่ควรรวมศูนย์อำนาจไว้ตี้เดียว
ตี้ต้องกระจายอำนาจก๋ารปกครองก็เพื่อจะหื้อคนใน "สังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน" นั้น
ได้มีอำนาจในการจัดก๋ารตั๋วเก่า ด้วยสังคมและวัฒนธรรมแบบของตั๋วเก่า
ตี้ "บ่เหมือนกั๋นในแต่ละตี้"


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: somnuk-wd ที่ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012, 16:53:52
ควรจะเผยแพร่ครับ ละอ่อนรุ่นหลังจะได้ฮับฮู้ประวัติศาสตร์ตี่ถูกต้อง
เพื่อรำลึกถึงบุญคุณบรรพบุรุษ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ล้อล้านนา ที่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012, 13:20:40
เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ...จบ มช. รัฐศาสตร์
อาจารย์สอนสนุก แต่มีอคติกับสยามมากเกินไป แกมีความเป็น Localism สูงมาก
ชอบเน้นการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจ...ทางทฤษฎีสวยหรูค่ะ ทำได้
แต่ในทางปฏิบัติ...มันยากส์ เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

ปล. ในความคิดแล้ว อาจารย์เหมือนพวกนิติเรี่ยราดค่ะ

ถ้าจะบอกว่า "ความหันแตกต่าง" จะดีกว่าหนาครับ บ่ใจ่ว่า "อคติ" คงจะเหมือนคุณที่ "อคติ" กับพวกนิติราษฎร์ เช่นกันนะครับ สังคมแตกต่างแต่รวบอำนาจอยู่จุดศูนย์กลาง หากกระจายอำนาจได้จริงมันก็ดีไม่น้อยไม่ใช่เหรอครับ ทำไมจะทำไม่ได้ แต่มีกลุ่มอำนาจส่วนใหญ่ไม่ยอมให้ทำมากกว่าครับ บอร์ด "คนเมือง" บ่ใจ่บอร์ด "การเมือง" ฉะนั้นแนวคิดหนังสือเปิ้น ก็เป็นส่วนตี้ยะหื้อลูกหลานคนเมืองได้ฮู้ประวัติศาสตร์แหมด้าน ตี้บ่มีไผใคร่เผยแพร่ครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 02:37:07
เห็นอยากได้กันจังเลยนะครับ อำนาจ

มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ

คนฑิเบตอยากได้อำนาจ คนไทยใหญ่ก็อยากได้ คนไอร์แลนด์เหนือก็อยาก
คนดำในแอฟริกาใต้ก็อยากได้อำนาจ

ความแตกต่างนั่นแหละครับ คือตัวถ่วงของการกระจายอำนาจ

ลองไม่แตกต่างดูสิครับ  


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: Ck 401 ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 05:28:11

เห็นอยากได้กันจังเลยนะครับ อำนาจ

มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ

คนฑิเบตอยากได้อำนาจ คนไทยใหญ่ก็อยากได้ คนไอร์แลนด์เหนือก็อยาก
คนดำในแอฟริกาใต้ก็อยากได้อำนาจ

ความแตกต่างนั่นแหละครับ คือตัวถ่วงของการกระจายอำนาจ

ลองไม่แตกต่างดูสิครับ  
แตกต่างแต่ไม่แตกแยก น่าจะดีนะครับ :D :D



หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: doodeemeeshow ที่ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 09:34:48

เห็นอยากได้กันจังเลยนะครับ อำนาจ

มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ

คนฑิเบตอยากได้อำนาจ คนไทยใหญ่ก็อยากได้ คนไอร์แลนด์เหนือก็อยาก
คนดำในแอฟริกาใต้ก็อยากได้อำนาจ

ความแตกต่างนั่นแหละครับ คือตัวถ่วงของการกระจายอำนาจ

ลองไม่แตกต่างดูสิครับ  


การที่คุณเอาเรื่อง "อำนาจ" อ้างนั้น ก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง แต่มันนิดเดียวครับที่คุณถูกน่ะ
"อำนาจ" ในความหมายของคุณคืออะไรล่ะ แล้ว"การกระจายอำนาจ" คืออะไรล่ะ

----- ถ้าให้ผมเดานะ คุณคงหมายถึง "อำนาจนิยมแบบพวกจักรวรรดินิยม"
ที่พวกเข้ามาปกครองมองเห็นคนพื้นถิ่น "ด้อย" "ไร้อารยธรรม"
คนเหล่านี้จึงต้องถูกปกครองด้วยคนที่มีวัฒนธรรมที่สูงกว่า
ดังนั้น การจะปกครองคนเหล่านี้ จำเป็นต้องส่งคนของส่วนกลางไปปกครอง
เพื่อรักษาความเสถียรภาพทางการเมืองรวมไปถึงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากร
หากว่าผมเดาผิด ก็คงเป็นความคิดมากของผม ก็ขอขมาลาโทษด้วย
แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นตรรกะวิบัติที่ขัดขวางการกระจายอำนาจการปกครองชัดๆ -----

นี่มันรัฐชาติสมัยใหม่นะครับท่าน ไม่ใช่รัฐจักรวรรดินิยม (แต่สยามยังคงยึดถือหลักแบบนี้อยู่)
การที่เราจะเข้าใจและยอมรับ "ความแตกต่างและหลากหลาย" นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญของการกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจไม่ใช่เพียงแค่การที่พี่เบิ้มให้สิทธิคนของตนเองไปปกครอง
แต่การตัดสินใจทั้งหมดจะต้องอยู่ที่เบิ้มเพียงอย่างเดียว
แต่การกระจายอำนาจคือ การให้คนในพื้นที่, ท้องถิ่น มีสิทธิ มีอำนาจในการกำหนดวิถีชีวิต
มีอำนาจในการจัดการทรัพยากร รวมไปถึงการมีอำนาจในการกำหนดนโยบายที่มีผลกระทบต่อตนเอง


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 02:38:07
อ้างอิง:นี่มันรัฐชาติสมัยใหม่นะครับท่าน ไม่ใช่รัฐจักรวรรดินิยม (แต่สยามยังคงยึดถือหลักแบบนี้อยู่)

 ต้องขอขอบคุณที่สมัครสมาชิกเพื่อมาแสดงความเห็นกับผมเป็นกระทู้แรก รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ

จริงๆแล้วผมก็แค่ไม่อยากให้อ้างเรื่องความแตกต่างเพื่อทำการอะไรบางอย่างเท่านั้นเองครับ

ถ้าการกระจายอำนาจอย่างที่ผมเข้าใจก็คือการโอนอำนาจจาก การบริหารราชการส่วนกลางไปส่วนท้องถิ่น
จากกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ให้ไปอยู่กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล อบต.


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ สยาม ไม่ทราบครับ




หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 02:42:08

ลองไม่แตกต่างหรือเลิกอ้างว่าแตกต่างดูสิครับ

ตอนนี้ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ 480คน
ได้มาจากการเลือกตั้งแบ่งเขต 400 คน ได้มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน

นายกรัฐมนตรีผู้หญิงเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ ประธานรัฐสภา และ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นคนจังหวัดขอนแก่น
รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี 

แบ่งงานตามการบริหารราชการแผ่นดินประกอบด้วย
1. การบริหารราชการส่วนกลาง  ได้แก่สำนักนายกรัฐมนตรี  กระทรวง  ทบวง กรม
2. การบริหารราชการส่วนภูมิภาค  ได้แก่ จังหวัด อำเภอ
3. การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนตำบล

นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เจ้ากระทรวง เจ้าทบวง เจ้ากรม ถ้าเป็นคนไทยสามารถเป็นได้หมด
ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัด ข้าราชการ เหมือนกันครับ ถ้าเป็นคนไทยก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน
ส่วนนายกอบจ. นายกเทศบาล  นายกอบต . ร้อยทั้งร้อยก็คนบ้านนั้นที่ได้เป็น คงไม่มีใครไปเลือกคนที่อื่นมาเป็นนายกบ้านตัวเอง

กระจายอำนาจถ้าทำได้ก็ดีครับ (เน้นว่าเฉพาะบางอย่าง ไม่ใช่ทั้งหมด เช่นไม่น่าให้คุณครูไปเป็นลูกน้อง อบต.ป4)
เพราะจริงๆแล้วก็คือแค่การแบ่งโอนอำนาจการบริหาร แบ่งเงินงบประมาณแผ่นดินจากสภาผู้แทนราษฎร
ให้ไปอยู่ในการควบคุมกำกับของสภาบริหารท้องถิ่นของแต่ละจังหวัด จัดกันไปแบบบ้านใครบ้านมัน

คนที่เสียผลประโยชน์จากการกระจายอำนาจหรือคนที่เสียอำนาจน่าจะเป็นกลุ่มทุน กลุ่มการเมืองที่วนเวียนอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรตอนนี้นี่แหละ
ก็แค่เปลี่ยนคน เปลี่ยนกลุ่มโกงชาติ กระจายกันอิ่ม ประเทศชาติ ประชาชนคงต้องลุ้นเอา 

บริษัทไฟฟ้าแห่งชาติ บริษัทน้ำมันแห่งชาติ บริษัทการบินแห่งชาติ ก็อยากกระจายกับเค้าเหมือนกัน
สงสารประเทศไทย

แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนเดิม
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ สยาม ไม่ทราบครับ



หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิด ?


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 20:15:59
นี้ในความคิดผมนะคับ      ผมสำนึกว่าผมเปนคนไทย   ลึกลงไปอีกผมมีสำนึกว่าผมเป็นคนเหนือ   ผมชอบอะไรเกี่ยวกับบ้านเมืองผม   เเต่ผมไม่ชอบระบบการศึกษาปัจุบันมองข้ามวัฒนธรรมท้องถิ่นเสมอ   มองอะไรก่อเป็นชาตินิยม    เหมารวมทุกอย่างผูกไว้กับคำว่าไทย    มันมากเกินไปกับประเทศหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของหลายๆชาติพันธุ์ หลายๆวัฒนธรรม    คุณพยายามล้างสมองคนอื่นให้เป็นพวกเดียวกับคุณ แต่คุณก่อดูถูก มองข้าม เเละยกตัวข่มเสมอนี้ไงคับ แตกต่างมากเเตกต่างเกิดจากตรงนี้    แต่ส่วนตัวผมเปิดรับนะกับทุกๆวัฒนธรรมและการเปลี่นเเปลง  แต่ผมไม่เคยละทิ้งความเป็นชาติพันธุ์  และความเป็นคนล้านนาของโคตรเหง้า บรรพบุรุษผม


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 03:06:23

ด้วยความเคารพครับ


ไม่รู้ว่าจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้ถูกหรือป่าว ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะใกล้เคียงนะครับ

สมมุติว่าผมกับภรรยามีลูกอยู่แล้วหนึ่งคน แต่ได้ไปรับลูกของญาติที่เสียชีวิตมาอุปถัมภ์อีก2-3คน

 ถ้าผมรักเด็กพวกนี้เหมือนลูกในไส้ของผม 
ผมจะบอกพวกเด็กๆว่า เค้าคือลูกของผมและภรรยาจริงๆ และเลี้ยงดูให้สิทธิพวกเค้าเหมือนกับที่ผมเลี้ยงลูกของผมโดยไม่แตกต่าง
ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้เค้าเข้าใจว่าผมเป็นพ่อแท้ๆของพวกเค้าไปจนผมตาย
แต่ถ้าไม่ ผมจะเลือกบอกความจริงและบอกว่าแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่บ้านหลังนี้เป็นของเราทุกคนขอให้รักกัน

เมื่อรู้ความจริงแล้วเหล่าลูกเลี้ยงจะด่าว่าผม ว่าทำไมเลี้ยงพวกเค้าให้เป็นเหมือนลูกของผม ผมคงจนปัญญา

 แต่ถ้าผมไม่ได้รักเด็กๆพวกนี้ เพียงแต่ผมแค่หวังจะยึดเอาที่ดินของญาติที่เป็นของพ่อแม่ของเด็กพวกนี้
ผมคงเลือกที่จะบอกเด็กๆตั้งแต่แรกว่าพ่อแม่เค้าตายไปแล้ว ถ้าจะอยู่ที่นี่ต้องไปนอนหลังบ้าน กินข้าวต้องกินทีหลังลูกผม
ไม่มีสิทธิดูทีวี ไม่มีสิทธิใดๆในบ้านหลังนี้และไม่ต้องเรียนหนังสือ ถ้าดื้อรั้นจะโดนไล่ออกจากบ้าน



อย่างน้อยวันนี้คุณกับผม ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนในกระทู้นี้ด้วยความเท่าเทียมกัน แม้จะคนละโคตรเหง้า


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 19:46:46
ด้วยความเคารพ ถ้าคิดอีกอย่างล่ะ คุณไปเอาลูกเขามาเป็นลูกของคุณ   ไม่รู้ว่าจะด้วยวิธีไหน สุดท้ายก็พยายามจะปิดบังว่าเขามาจากไหน เป็นลูกใคร  ล้างสมองเหมือนในละครภาคค่ำ 
            ปล.การได้ตอบกระทู้กับคุณสนุกครับ เปิดโลกทัศน์ดี


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 05:03:08

ยินดีเช่นกันครับ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์นะครับ

ตอบคำถาม : ผมจนปัญญาตอบจริงๆครับ
หรือถ้าจะให้ตอบ  : ผมคงรักตัวเอง คิดเอาว่าถ้าเด็กๆเป็นลูกของผมอยู่กับผมแล้วน่าจะปลอดภัยกว่าการที่จะบอกว่าเป็นลูกคนอื่น
แล้วต้องไปอยู่ในความดูแลของประชาสงเคราะห์(อาณานิคมตะวันตก)

การยกตัวอย่างยังไงมันก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความเป็นจริง
ผมว่าเรามาลองวิเคราะห์ดูความเป็นจริงไปพร้อมๆกันดีกว่ามั๊ยครับ

1  ล้านนารวมกับสยามเพราะเหตุใด ?
2  วันนี้รวมกันแล้วเป็นอย่างปัจจุบัน แต่ถ้าไม่รวมล่ะ สยามและล้านนาจะเป็นอย่างไร ?

3  ทำไมถึงต้องมีการทำให้ทุกคนเป็นคนไทย ศึกษาไทย?
4  ทุกคนเป็นคนไทยแล้วเป็นอย่างปัจจุบัน   แต่ถ้าไม่ล่ะ ?

เราปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
5  เราจึงมีทุกอย่างเช่นปัจจุบันวันนี้     แต่ถ้าไม่ล่ะ ?

สมัยสงครามโลกครั้งที่2 สหรัฐไทยเดิม(เชียงตุง)ได้ผนวกเข้ารวมกับราชอาณาจักรไทยเป็นเวลา3ปี
หลังสงครามไทยจำต้องมอบสหรัฐไทยเดิมให้กับสหประชาชาติ (U.N.)

6  วันนี้เชียงตุงหรือไทยใหญ่เป็นอย่างที่ทุกๆท่านก็รู้ก็เห็น      แต่ถ้าไม่ล่ะ ?


วันนี้ผมคงอาจจะได้นั่งคุยกับคนเงี๊ยวที่กำลังนั่งว่ากล่าวบรรพบุรุษของผม ว่าให้พวกมันมาเป็นคนไทย มาเรียนประวัติศาสตร์และภาษาไทยทำไม



หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ohio888 ที่ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012, 15:08:02
เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ...จบ มช. รัฐศาสตร์
อาจารย์สอนสนุก แต่มีอคติกับสยามมากเกินไป แกมีความเป็น Localism สูงมาก
ชอบเน้นการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจ...ทางทฤษฎีสวยหรูค่ะ ทำได้
แต่ในทางปฏิบัติ...มันยากส์ เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

ปล. ในความคิดแล้ว อาจารย์เหมือนพวกนิติเรี่ยราดค่ะ

สลิ่มเรี่ยราดก็เขียนแบบนี้แหละครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012, 15:19:25
ผมว่าเราอย่าคิดเเทนคนอื่นเลยครับ  คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ..........ผมเคยคุยกับคนลาวนะคับ ไม่เห็นเขาคิดว่าคนไทยเปนบ้านพี่เมืองน้องหรอก    มีเเต่ฝั่งไทยคิดไปเอง คิดว่าตัวเองเปนพี่ใหญ่ในภูมิภาค เหอะๆๆ    บางครั้งความเจริญทางวัตถุก็ไม่ใช้ทุกอย่างหรอกคับ ผมมีปู่ครูเป็นคนไตขืนเดินทางข้ามฝั่งไทยพม่าตั้งเเต่เด็กจนเเก่ ท่านนับถือว่าคนเมืองเป็นพี่น้อง แต่ท่านว่า กับไทยใต้ก็งั้นๆ  "เบ้าเเป๋นลาย  ย้านใจเเล้"  ว่าอั้น


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: taekeuk_poomse ที่ วันที่ 03 มีนาคม 2012, 10:13:38
แท้นนนนน!!!! บ่าวสองเมืองคนคลั่งชาติ(ล้านนา) กลับมาแล้วหลังจากบ่ได้เข้ามาตั้ง 2 ปี เถียงเรื่องหยังกั๋น ขอซุ่นโตยคนดุ๊


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: crlove ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2012, 14:34:53
ผมภูมิใจในความเป็น ล้านนา มากกว่าคนไทยอีกครับ อยากสืบสานวัฒนธรรมล้านนา


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 06 มีนาคม 2012, 20:44:27
เรื่องเก่าๆเดิมๆคับอ้ายบ่าวสองเมือง


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 16 มีนาคม 2012, 04:13:20

ผมว่าคนไทยไม่ได้คิดไปเองหรอกครับเรื่องบ้านพี่เมืองน้อง ถ้าท่านพอรู้ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์บ้าง

การจะไม่นับคนไทยเป็นพี่เป็นน้อง ผมก็ไม่รู้สึกแปลกอะไรกับประเทศที่เคยแยกตัวเองออกเป็น3อาณาจักรทั้งๆที่เป็นพี่น้องลาวด้วยกัน
และเช่นกันครับ ถ้าท่านทราบว่าสยามเคยยกทัพไปเผากรุงเวียงจันทร์จนราบ สมัยกบฏเจ้าอนุวงศ์ทำให้เจ้าลาวสายเวียงจันทร์ต้องสิ้นราชวงศ์

ในสมัยคุณพ่อผม ประเทศไทยได้ส่งทหารไทยไปรับราชการในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว ร่วมต่อสู้ต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายก็ต้านไว้ไม่ได้
คนลาวล้มสถาบันกษัตริย์ของตัวเอง และเวียดนาม ประเทศผู้พี่ของลาวที่แท้จริงก็แต่งตั้งประมุขของประเทศลาวคนใหม่ให้

เวียดนามเป็นพี่ก็จริงแต่ก็เป็นได้แค่พี่รอง พี่ใหญ่ตัวจริงเป็นรัสเซีย
ตอนนี้ทั้งพี่ใหญ่พี่รองคงต้องร้อนๆหนาวๆ เห็นพี่จีนกำลังจะสร้างรถไฟหัวกระสุนให้น้องลาวแบบฟรีๆกลัวน้องลาวจะหนีไปมีพี่คนใหม่


ความจริงคนที่น่าจะนับลาวเป็นพี่เป็นน้องเกี่ยวดองกันตามประวัติศาสตร์ ก็คนเมืองล้านนานี่แหละครับ
แต่ก็ไม่เห็นมีใครจะออกมายอมรับ ร้องกันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ใช่ ๆๆเราไม่ได้เป็นพี่น้องกับลาว       เฮ้อ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 16 มีนาคม 2012, 20:42:14
กะจาวเฮามีกี่คนละคับได้อ่ำเอียนประวัติศาสตร์จ๊าดพันธุ์คนเมืองเฮาเป๋นเเต้เป๋นว่า........เปิ่นหนีตั๋วกู้นเข้าสุนตัวเเหกุ๋มยินดีประวัติเมืองใต้สุดเจ่นกันหมดละลอคับปี้อ้าย


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 17 มีนาคม 2012, 00:09:21

ผมเข้าใจในสิ่งที่ท่านเขียนระบายความอัดอั้นนะครับ

แต่เหมือนผมกำลังพายเรืออยู่ในอ่าง


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 19 มีนาคม 2012, 20:49:16
ขอบคุณครับที่เข้าใจ     แต่การพายเรือในอ่างก็ดีนะครับใช่ว่าไม่มีประโยชน์  อย่างน้อยก็คิดว่าได้เริ่มฝึกพายครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: cornertown ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2012, 03:22:26
 :-\ :-\


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: chate ที่ วันที่ 21 มีนาคม 2012, 18:25:56
เราเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ...จบ มช. รัฐศาสตร์
อาจารย์สอนสนุก แต่มีอคติกับสยามมากเกินไป แกมีความเป็น Localism สูงมาก
ชอบเน้นการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจ...ทางทฤษฎีสวยหรูค่ะ ทำได้
แต่ในทางปฏิบัติ...มันยากส์ เพราะบริบททางสังคมแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

ปล. ในความคิดแล้ว อาจารย์เหมือนพวกนิติเรี่ยราดค่ะ
[/
สลิ่มเรี่ยราดก็เขียนแบบนี้แหละครับ
+1 ถูกจัยยยยยยยยยยยยยยย ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2012, 20:32:22
ออกตัวก่อนเลยครับ ผมไม่ใช่คนล้านนา เป็นตนภาคกลางโดยกำเนิด เข้ามาอ่านกระทู้นี้ พอจะเข้าใจความรู้สึก ขอพี่น้องชาวล้านนาว่าเป็นอย่างไร เข้าใจครับ ว่าเจ้าของกระทู้ต้องการสื่อในเรื่องการที่ต้องการอนุรักษ์ วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ของชาวล้านนา โดยใช้แง่มุมของประวัติศาสตร์ของล้านนา มาบอกเล่าปฐมบทเริ่มต้น จน ถึงปัจจุบัน แน่นอนอาจจะมีความอ่อนไหวในแง่ของเรื่องชาติพันธุ์ ซึ่งถ้าคนอ่านมีใจเป็นกลาง สนใจบริโภคเรื่องราวในแง่มุม ที่ไม่เคยมีในวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราเรียน ในสมัยประถม มัธยม คงจะมีประโยชน์มากๆเลย(เช่นผม) 
ถามครับ .......
ถ้ากระทู้นี้ นิยามคำว่า อำนาจ คือการต้องการแบ่งแยกตัวเอง เหมือน ทิเบต ไทยใหญ่ คนไอร์แลนด์เหนือ คนดำในแอฟริกาใต้....ผมว่าคนล้านนาเขาไม่คิดกันขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าคิดจริง ป่านี้สถานการณ์คงจะคล้ายๆกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้ว
     ผมว่าบางท่านที่เข้ามาตอบในกระทู้นี้ คิดกันไปไกลเกินไปแล้วครับ ผมว่าการที่คนล้านนา.."กระทุ้ง"...เตือนคนล้านนา ให้หันกลับมามองรากเหง้าและวิถีชีวิต ของตัวเอง ก่อนถูกวัฒนธรรมต่างถิ่นมากลืนกิน จนอัตลักษณ์ของชาวล้านนาจะหายไป นั้น คือสิ่งสำคัญของการนำเสนอในกระทู้นี้มากกว่าครับ.....
"แม้จะคนละโคตรเหง้า" แต่เราก็เข้าใจคุณครับ ;D ;D
   


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 22 มีนาคม 2012, 21:11:49
คุณ ep24  คุณอธิบายได้วิเศษเเล้วครับ   นี้คือสิ่งที่ผมสนใจ  อยากได้ แล้วอยากสื่อ      ประเทศไดๆเกิดได้เพราะการรวมตัวของหลายๆๆหลายๆเเว้นเเคว้นผมเข้าใจ บ่มีปัญหา     ประเทศไทยควรเหมือนสวนดอกไม้นะครับ สวนดอกไม้จะงามได้ก็ด้วยมีพันธุ์ไม้หลายๆพันธุ์  แต่ละพันธุ์ก็ชูช่อแบ่งบานในเเบบฉบับของตน รวมเเล้วเป็นสวนที่น่าชมดูระรื่นตา    ผมขอบคุณมากครับที่เข้าใจในเรื่องละเอียดอ่อนเเบบนี้  รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง  ขอสาธุการกับความคิดแบบนี้เเต้ๆครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2012, 14:46:07

ผมว่าบางท่านที่เข้ามาตอบในกระทู้นี้ คิดกันไปไกลเกินไปแล้วครับ  

บางท่านในที่นี้คงหมายถึงผม ขอใช้สิทธิพาดพิงนะครับ
ถ้าท่านว่าผมคิดไกลเกินไป ท่านคงลืมอ่านบรรทัดที่ว่า

อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...

อ่านต่อมาท่านก็จะทราบอีกว่ามีอีกคนที่คิดว่าการกระจายอำนาจวันนี้ที่เป็นไปได้ยากเพราะสยามยังอยากปกครองแบบรัฐจักรวรรดินิยม

อีกคนก็ออกมาเรื่องล้างสมองกลืนชาติ ลามไปจนถึงประเทศลาว

ถ้าการจะ "กระทุ้ง"หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ว่ากันไปครับ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในประเทศนี้
ขอให้มีเหตุและผล ทำไปเถอะครับ

แต่การจะกระทุ้งโดยการว่ากล่าวให้คนอื่นเสียหาย ขาดซึ่งเหตุและผล
เด็กๆหรือผู้อื่นเข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดเอาได้

ผมก็ขอใช้สิทธิในการแสดงความเห็น    ก็เท่านั้นครับ



หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: p1971 ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2012, 15:19:57
ผมว่าเราอย่าคิดเเทนคนอื่นเลยครับ  คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ..........ผมเคยคุยกับคนลาวนะคับ ไม่เห็นเขาคิดว่าคนไทยเปนบ้านพี่เมืองน้องหรอก    มีเเต่ฝั่งไทยคิดไปเอง คิดว่าตัวเองเปนพี่ใหญ่ในภูมิภาค เหอะๆๆ    บางครั้งความเจริญทางวัตถุก็ไม่ใช้ทุกอย่างหรอกคับ ผมมีปู่ครูเป็นคนไตขืนเดินทางข้ามฝั่งไทยพม่าตั้งเเต่เด็กจนเเก่ ท่านนับถือว่าคนเมืองเป็นพี่น้อง แต่ท่านว่า กับไทยใต้ก็งั้นๆ  "เบ้าเเป๋นลาย  ย้านใจเเล้"  ว่าอั้น
ชอบความคิดเห็นนี้


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2012, 17:33:03
 ;D เคลียร์ทีละเรื่องนะครับ
อ่านแล้ว ใจ๋ขึ้น อยากกู้ชาติ...
อันนี้อ่านครับ ผมไม่ทราบอารมณ์คนพิมพ์กระทู้นี้ แต่ถ้าถามผมที่อ่านมาแต่หัวกระทู้ คนพิมพ์ น่าจะอารมณ์ประมาณว่าครูเ่ล่าเรื่องสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนพม่าตีค่ายบางระจันแตก ความรู้สึกก็ประมาณแค้นแทนชาวบางบางระจัน อยากจะไปตีกองทัพพม่าซะงั้น ...แต่โลกความเป็นจริงมันทำได้ไหมครับ.....
อ่านต่อมาท่านก็จะทราบอีกว่ามีอีกคนที่คิดว่าการกระจายอำนาจวันนี้ที่เป็นไปได้ยากเพราะสยามยังอยากปกครองแบบรัฐจักรวรรดินิยม
อันนี้ก็อ่านครับ ความคิดเห็นผมนะครับ มันก็เจ็บๆคันๆพอๆกัน กับคำที่ท่านบอกว่า "ความแตกต่างนั่นแหละครับ คือตัวถ่วงของการกระจายอำนาจ"ผมว่ายิงกันคนละหมัดก็สมนํ้าสมเนื้อแล้วล่ะครับ ;D
อีกคนก็ออกมาเรื่องล้างสมองกลืนชาติ ลามไปจนถึงประเทศลาว
อันนี้ก็อ่านครับ แต่ผมเฉยๆนะ กลืนชาติความหมายนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ประเพณี วัฒนธรรม และจารีต มากกว่าเรื่องดินแดนนะครับ
......สรุปครับ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องอารมณ์ร่วม ของผู้แสดงความคิดเห็น เหมือนกับท่าน นั่งฟังคุณครูวิชา ส.ป.ช. เล่าถึง กรุงศรีอยุธยาโดนพม่าแตก เสียกรุงครั้งที่1 และ2  ศึกบางระจัน สมเด็จพระนเรศวรกู้ชาติ.......ท่านก็คงไม่ต้องมาอธิบายความให้มันกินใจกัน ใช่ไหมครับบบ... ;D ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2012, 19:58:14
คนเราก็ยอมรับฟังคนอื่นมาหลอมรวมเป็นเเนวคิดของตัวเองนะครับ   อย่าไปพาดพิงต่อล้อต่อเถียงกันเลยครับ   ใช้จุดร่วมสงวนจุดต่างเถอะครับ   แต่ถ้าคนที่เข้ามาอ่านกระทู้เเล้วรุ้สึกแปลกๆก็อ้างอิงความคิดเห็นของคุณ ep24 ครับ "ผมว่าคนล้านนาเขาไม่คิดกันขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าคิดจริง ป่านี้สถานการณ์คงจะคล้ายๆกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปแล้ว" :) :)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 24 มีนาคม 2012, 20:23:46
ขอบคุณครับคุณp1971 ที่ชอบความเห็นบ้าๆบ๊องๆ555555+


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 03:44:06


ผมคิดแตกต่างจากท่าน หรือคิดไปไกลอย่างที่ท่านว่าจริงๆครับ

ผมพอเข้าใจเรื่องการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นบ้าง อาจมีต้นแบบมาจากประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี
แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องที่ต้องอ้างความแตกต่างของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์   ถ้าคุณ ep24 เข้าใจโปรดช่วยสงเคราะห์ผมทีครับ

การกระจายอำนาจไม่ใช่เพียงแค่การที่พี่เบิ้มให้สิทธิคนของตนเองไปปกครอง
แต่การตัดสินใจทั้งหมดจะต้องอยู่ที่พี่เบิ้มเพียงอย่างเดียว


รบกวนท่านอ่านซ้ำอีกรอบ แล้วอธิบายถึงการกระจายอำนาจจากพี่เบิ้มที่ว่ามันคืออะไร คงไม่ใช่แบบที่ผมอธิบายไว้แน่ๆครับ


คุณพยายามล้างสมองคนอื่นให้เป็นพวกเดียวกับคุณ แต่คุณก่อดูถูก มองข้าม เเละยกตัวข่มเสมอนี้ไงคับ แตกต่างมากเเตกต่างเกิดจากตรงนี้    natta2533
ท่านจะอธิบายท่านnattaว่ายังไงดีครับ

ท่านเป็นคนภาคกลางเหมือนกับผม ผู้ว่าจนถึงนายกก็คงไม่ได้เป็นคนบ้านท่านเหมือนกัน
แต่เหมือนทุกคนจะเห็นตรงกันว่าเรามีความต่างกัน ท่านคิดว่าท่านแตกต่างกับพี่น้องล้านนาอย่างที่พี่น้องล้านนาคิดว่าท่านแตกต่างมั๊ยครับ

รบกวนท่านอธิบายความเห็นนี้ด้วยครับ

chate
มัธยม
ออฟไลน์
Re: อยากรู้ประวัติศาสร์ล้านนาในยุคประเทศราชของพม่า
« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 18:54:49 »

ต๋อนนี้จะกู้ชาติก่ยังบ่สาย   

chate
มัธยม
ออฟไลน์
Re: พระยาผาบ HERO หรือ กบฏ
« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 22 มกราคม 2012, 19:10:17 »

กู้ชาติ เหี้ยบ่ดีก๊ะ ใจ่ขึ้น.......


รบกวนท่านเยอะหน่อย ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ยังมีอีกเรื่องรบกวนให้ท่านช่วยตอบแทนทีว่า     
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ สยาม ไม่ทราบครับ




หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 07:09:03
ผมว่าประเด็นเดียว น่าจะเข้าใจนะครับ.....
ผมพอเข้าใจเรื่องการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นบ้าง อาจมีต้นแบบมาจากประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี
แต่ผมไม่เข้าใจเรื่องที่ต้องอ้างความแตกต่างของประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์   ถ้าคุณ ep24 เข้าใจโปรดช่วยสงเคราะห์ผมทีครับ

   แสดงว่าท่าน ไม่ได้อ่านที่ผมตอบครั้งแรก หรืออ่านไม่หมด หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจในจุดที่ผมเขียน.....เจ้าของกระทู้ต้องการสื่อในเรื่องการที่ต้องการอนุรักษ์ วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ของชาวล้านนา โดยใช้แง่มุมของประวัติศาสตร์ของล้านนา มาบอกเล่าปฐมบทเริ่มต้น จน ถึงปัจจุบัน แน่นอนอาจจะมีความอ่อนไหวในแง่ของเรื่องชาติพันธุ์ ซึ่งถ้าคนอ่านมีใจเป็นกลาง สนใจบริโภคเรื่องราวในแง่มุม ที่ไม่เคยมีในวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราเรียน ในสมัยประถม มัธยม คงจะมีประโยชน์มากๆเลย(เช่นผม)
 เอาแค่คำตอบนี้นะครับ ผมว่า ข้ออื่นๆที่ท่านถามมันอยู่นอกเหนือประเด็น ที่ผม คิดว่ามันออกนอกทะเลไปไกล เพราะผม "ไม่ได้คิดไกล ไปขนาดนั้น"แล้วอีกอย่างครับ กระดานนี้ กระดานเรื่องล้านนา ภาษากำเมือง ไม่ใช่กระดานการเมือง ผมขอสงวนความคิดเห็นเรื่องการเมืองครับ มันจะ go so big........มุมมองของผม ยังไงคนล้านนาแนวคิดปัจจุบัน ยังไม่ "แรง" ขนาดชายแดนใต้ของเรา หรือท่านคิดว่าคนล้านนามีความคิดต่อต้าน ประเทศไทย เหมือน สยาม ในอดีตครับ ;D อันนี้ อยากให้ท่านแสดงทัศนะคติของท่านสักนิดนะครับ คงจะไม่ว่ากัน :D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 07:22:13
อ้อ...ขอเถอะครับ เรื่องการเมือง การปกครอง การบริหารแผ่นดิน ในปัจจุบัน หยุดเถอะครับ ในกระทู้นี้ ทุกวันนี้ เรียนตำราเดียวกัน ยังทะเลาะกันเลย นับประสาอะไร กับแนวคิด มันไม่มีวันจบหรอกครับ เชื่อผมสิ ....จริงๆแล้ว มากระทู้นี้ ผมก็แค่อยากเสพเรื่องในอดีต อีกด้านหนึ่ง ที่ไม่เคยรู้ ถูกผิดยังไง คนอ่านตัดสินใจได้ครับ ส่วนเรื่องการเมือง การปกครอง ในปัจจุบัน ไม่อยากพูดครับ ผมเสียเพื่อนมาเยอะแล้วครับ การเมืองไม่ใช่เรื่อง1+1=2 ครับ เอาไว้เปิดกระดาน การเมืองค่อยว่ากันครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 16:37:26

การจะกระทุ้งโดยการว่ากล่าวให้คนอื่นเสียหาย ขาดซึ่งเหตุและผล
เด็กๆหรือผู้อื่นเข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดเอาได้

ผมก็ขอใช้สิทธิในการแสดงความเห็น    ก็เท่านั้นครับ

หลักการของผมมีแค่นี้ครับท่าน ep24

 ทัศนะคติของผมไม่ใช่อย่างที่ท่านว่าไว้หรอกครับ ถึงผมจะคิดไกล แต่ไม่ได้ไกลถึงตรงนั้น
อย่างที่บอกครับ ถ้าต้องการสื่อในเรื่องการที่ต้องการอนุรักษ์ วัฒนธรรม จารีต ประเพณี ของชาวล้านนา โดยใช้แง่มุมของประวัติศาสตร์ของล้านนา ก็ว่ากันไปเถอะครับ ผมยินดีหาความรู้ด้วยอีกคน แต่ถ้าเป็นเหตุให้มีการว่ากล่าวอันเป็นเท็จ ผมก็ขอใช้สิทธิออกมาแตกต่างครับ

ท่านเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามและบอกว่ามันออกทะเลทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่ามีคนกำลังเข้าใจอะไรผิดซึ่งมันเกี่ยวกับโคตรเหง้าของท่านและผม
ท่านปล่อยให้มันผ่านไปโดยการอ้างว่าที่นี่ไม่ใช่บอร์ดการเมือง

ท่านไม่คิดจะทำอะไรบ้างเหรอครับ นอกจากสั่งให้ผมหยุด


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 18:07:16
เฮ้อ...กะว่าน่าจะจบแล้วนะครับ.......... ท่านลองนิ่งๆ อ่านไล่กระทู้แต่แรก วางใจให้เป็นกลาง แล้วลองดูครับ ว่าต้นเหตุ ที่มันเริ่มที่จะมีปัญหาขัดแย้งกันโดยใช้เหตุ มันเริ่มจากตรงไหน ถ้าท่านบอกว่ามันเริ่มตั้งแต่เจ้าของกระทู้แล้ว อันนี้ผมก็จนใจ เรื่องมันก็บอกแล้วว่า มันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของสยาม กะ ล้านนา ถ้าท่านไม่เห็นด้วยจะตั้งกะกระทู้แบบนี้ คิดว่ามันเป็นบ่อนทำลายความแตกแยก ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง ท่านเจ้าของกระทู้ก็อธิบายวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าการนำเสนอมิได้ต้องการให้เกิดความแตกแยก อันนี้ผมก็รับทราบและตกลง ที่จะอ่านต่อไป
 หลังจากจบกระทู้แล้ว พูดตรงๆครับ กับการเข้ามาวิจารณ์กระทู้แต่ละท่าน ผมตื่นตาตื่นใจ ได้ความรู้ดีครับ เพราะว่ามันถกกันอยู่ในกระทู้ เกี่ยวกับเรื่อง สำเนียง ภาษา อักษร ของชาวล้านนา มันยิ่งทำให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับชาวล้านนา หลากหลายมากขึ้น ........
 แต่การตอบกระทู้หลังๆ ผมว่ามันนอกประเด็น เริ่มมีการนำ แนวคิดการเมืองปัจจุบันเริ่มเข้ามา มีแดกดันกัน เริ่มจากเรื่องการใช้คำกระทบกระทั่งกัน ไอ้คำว่า นิติเรี่ยราด อันนี้ใช้เลย ผมรู้แล้วล่ะ มันเริ่มแตกแยกล่ะ ไม่เข้าท่าแล้ว ในใจคิดเลย ว่าไม่อยากให้มีการโต้ตอบกัน แบ่งเป็นพวกนั้นฝักฝ่ายฝ่ายนั้น พวกเราฝักฝ่ายไฝ่นี้ ผมถึงเข้าใจไงครับ ในเมื่อมันเริ่มมีเชื้อไฟแล้ว เราก็ต้องรีบดับ มิใช้ให้มันขยายวงกว้างออกไป ไอ้เรื่องแนวคิดการเมืองนั้นแหละตัวดี มันเป็นเชื้อไฟอย่างดี แล้วท่านเห็นไหมครับ ว่าพอเริ่มเขี่ยเรื่องอำนาจขึ้นมา มันมีอะไรดีขึ้นไหมครับ ผมทราบและเข้าใจดีครับ ว่าท่านมีความเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครองดี มันไม่มีความจำเป็นหรอก ที่จะต้องนำความรู้ มาเป็นข้ออ้างหักล้างกัน(หรือชนะกัน แถมท่านตอบกลับแต่ละกระทู้แบบเจ็บๆอีก :-\)  ดีไม่ดีมันจะกลายเป็นว่า อีกฝ่ายหนึ่งไม่จงรักภักดี หรือไม่ศัทธาระบอบ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมว่าแบบนี้มันวงแตกครับ
    ผมถึงบอกท่านไงครับ ท่านเป็นคนรู้ เป็นคนเข้าใจ เรื่องการเมือง การปกครองดี การที่คนล้านนา เข้ามาอ่านกระทู้นี้ แล้วมีอารมณ์ร่วมพิมพ์อะไรไป....(เช่น อ่านแล้วใจ๋ขึ้น) ดูแล้วฮึกเหิม อันนี้ ผมไม่ใช่คนล้านนา ผมยังเข้าใจเลยครับ คงจะอารมณ์ประมาณ ได้อ่านเรื่องค่ายบางระจันโดนตีพม่าตีแตก(อันนี้ท่านอาจจะเฉยๆ แต่ผมเป็นคนสิงห์บุรีครับ เวลาฟังเรื่องแบบนี้ เลยเข้าใจคนล้านนาดี ;D) ผมว่าแค่นี้ ท่านน่าจะรู้อารมณ์คนเวลาเกิดความรู้สึกโดนกระทำในอดีตนะครับ (ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นด้วยกับหัวกระทู้ก็ตาม)
     
   สุดท้ายนี้ ผมคิดว่า ท่านน่าจะพอเข้าใจแล้วนะครับ ว่าทำไม ผมถึงเลือก ที่จะไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องบางเรื่องกับท่าน เพราะดูแล้วถ้ามันทำให้ ท่าน ผม และชาวล้านนา ที่เข้ามาอ่าน ตกลงไปทางที่มืดลง ผมว่าเราหยุดเถอะครับ เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าวันนี้ เราทุกคนเป็น ไทย ครับ มิใช่ อาณาจักรสยาม หรือ อาณาจักรล้านนา ในอดีต หวังว่าท่านจะเข้าใจในเจตนาของผม :)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 18:47:28
อ้อ...ยังมีอีกเรื่อง อยากจะถามทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ สบายๆ ไม่ซีเรียส ;D ตอนที่ผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพใหม่ๆ เวลาผมพูดกับเพื่อนๆกรุงเทพ มันมักจะเรียกผมว่า ไอ้เหน่อ เพราะสำเนียงพูดบ้านผม(แถวสิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณ ชัยนาท) มันบอกว่าพูดเหน่อ ไม่เหมือนคนกรุงเทพ....มันทำให้ผมคิดว่า สำเนียงการพูดบ้านผม(แถวสิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณ ชัยนาท) พูดเหน่อ แต่ผมคิดๆลึกๆอีกที ว่าคนกรุงเทพน่าจะพูดเหน่อมากกว่า เหตุเพราะว่า กรุงเทพ สร้างที่หลังจังหวัดที่ผมเกิดหรือจังหวัดที่ติดใกล้เคียงกัน หลายร้อยปี ภาษาพูด หรือสำเนียง ที่บ้านผม มันก็ต้องเกิดก่อน กทม. ถ้ายังงั้นคนกทม.ต่างหาก ที่พูดเหน่อ ไม่รู้ว่าทุกๆท่าน มีความคิดเห็นอย่างไรครับ(ไม่ต้องจริงจังนะครับ ขำขำครับ ;D)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 19:03:14
    มีเวลาว่างๆนั่งยาวๆ เดี๋ยวจะมาเล่าเรื่อง สำเนียงเหน่อ (ที่คนส่วนใหญ่เขาว่างั้น) แต่ละจังหวัด ที่เขาว่าพูดเหน่อ ที่พอพูดออกมา จะรู้ ว่ามาจากจังหวัดไหน อันนี้ต้องบอกก่อนครับว่า ไม่ใช้งานวิจัยหรือจริงจังมากเกินไป  ;D เพียงแค่ขำๆ เพราะมีเพื่อนๆที่เขาว่าพูดเหน่อ อยู่หลายๆจังหวัด หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบ เช่น แถวสมุทรสาคร หรือนครปฐม เขาว่าพูดเหน่อ ก็เหมือนๆกะสิงห์บุรี หรือชัยนาท นั้นแหละ แต่จริงๆแล้ว ถ้าคนฟังบ่อยๆ จะแยกออก(คล้ายๆกะคนภาคเหนือ อู้กำเมือง สำเนียงต่างกัน) ว่ามาจากที่ไหนครับ ;D ;D โอกาสหน้า จะมาเล่าให้ฟังครับ ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 21:07:17
ด้วยความเคารพกรุณาอย่าพาดพิงถึงผมนะครับ ช่วยกรุณาหยุดการกระทำของคุณ
ที่คุณบอกว่าการจะกระทุ้งโดยการว่ากล่าวให้คนอื่นเสียหาย ขาดซึ่งเหตุและผล
เด็กๆหรือผู้อื่นเข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดเอาได้ กับที่ว่าการกล่าวโดยเป็นเท็จของคุณมันคืออะไรเป็นเเบบไหนครับ หรือสิ่งที่มันเเตกต่างจากที่คุณรู้คุณเรียนมาคุณเหมารวมว่าผิดหรืออย่างไร  หากเป็นเเบบนั้นก็เเคบมากกับการเปิดใจยอมรับสิ่งรอบข้างของคุณ  ความเเตกเเยกเเละเเตกต่างมันไม่ได้เกิดที่ใครที่ไหนหรอกครับ  มันเกิดจากพฤติกรรมแบบคุณนั้นล่ะที่สร้างความเเตกเเยกขึ้นมาจากเรื่องเพียงเล็กน้อย  ตีความไปเองโดยไม่ดูจุดประสงค์ที่เเท้จริงของผู้อื่น    ผมค่อนข้างจะแปลกใจมากกับข้อความที่ถูกโพสขึ้นนี้ ทุกคนที่มาเเสดงความคิดเห็นมีวิจารณญาณมีสิทธิ์ที่จะเเสดงในสิ่งที่คิดที่รู้แม้จะต่างกับความรู้เดิมที่มีก็ควรเก็บไว้คิดวิเคราะห์ว่าจริงหรือไม่อย่างไร  ??? ???
             


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: natta2533 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 21:11:11
ผมว่าจังหวัดอื่นน่าจะเป็นสำเนียงดั่งเดิมนะครับ  สำเนียงกรุงเทพนั้นล่ะน่าจะเป็นสำเนียงเหน่อ  น่าสนใจนะครับเรื่องสำเนียงเเต่ละจังหวัดเนี้ย   นึกว่ามีเเต่ภาคเหนือซะอีกที่มีสำเนียงต่างกัน ภาคก็มีด้วยหรือครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: ep24 ที่ วันที่ 25 มีนาคม 2012, 21:41:54
ใจเย็นๆครับท่านnatta2533 ;D ผมคิดว่าท่านkhao e to ที่กล่าวว่า การจะกระทุ้งโดยการว่ากล่าวให้คนอื่นเสียหาย ขาดซึ่งเหตุและผล
เด็กๆหรือผู้อื่นเข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดเอาได้ กับที่ว่าการกล่าวโดยเป็นเท็จ ....คงมิได้หมายถึงสิ่งที่ท่านnatta2533 นำเสนอไป ผมคิดว่า ท่านkhao e to น่าจะไม่เห็นด้วยในเรื่อง เกี่ยวกับ การเมืองและอำนาจการปกครองมากกว่านะครับ ซึ่งอย่างที่บอกครับ สิ่งนี้แหละ ที่มันเป็นเชื้อไฟอย่างดี ทำให้ประเด็นมันแตกละถลําลึกลงทุกที่ อย่างที่ผมกล่าวมาขั้นต้นครับ เอาตำราการเมืองการปกครองเล่มเดียวกัน มาคุย ยังไม่จบเลยครับ แล้วยิ่งใส่ทัศนคติ ความเห็นส่วนตัวลงไปอีก แล้วมาคุยเรื่องประวัติศาสตร์ชาติพันธ์อีก แบบนี้ ผมว่ามันหมิ่นแหม่ มากๆครับ การเมือง ยิ่งร้อนๆอยู่ครับ บอกตามตรง ห่างๆเรื่องนี้ ผมว่าดีที่สุดครับ ;D ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: khao e to ที่ วันที่ 26 มีนาคม 2012, 05:45:16
 
ขอบคุณท่าน ep24 สำหรับคำแนะนำจากใจจริงครับ

จะรออ่านเรื่อง สำเนียงเหน่อ นะครับ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: doodeemeeshow ที่ วันที่ 06 เมษายน 2012, 20:35:08
ขอเข้าเรื่องกระทู้ก่อนนะครับ
การจะอ่านหนังสือหรือรับสารจาก อ.ธเนศวร์
บางครั้งเราจำเป็นต้องมีการกรองทัศนคติและแนวทางการอธิบายของ อ.ธเนศวร์ ด้วยครับ

ถ้ามีเวลา จะชวนอ่านบทความเรื่อง
"60 ปี ธเนศวร์ เจริญเมือง: ล้านนายูโทเปีย กับ เส้นขอบฟ้าของสำนักท้องถิ่นนิยม"
ของ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ครับ เขาวิเคราะห์ อ.ธเนศวร์ ได้อย่างแจ่มชัด

อย่างเช่นการพูดถึงแนวการเขียนประวัติศาสตร์ของ อ.ธเนศวร์ ว่า

" ... เราไม่อาจปฏิเสธสำนึกทางประวัติศาสตร์ของธเนศวร์ได้ว่าเป็นพลังอันสำคัญอย่างยิ่งที่เขาใช้ในงานเขียนของเขาทั้งงานเขียนที่เป็นประวัติศาสตร์โดยตรง และงานเขียนเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น งานเขียนของธเนศวร์นับว่ามีลักษณะประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์อยู่ในตัว โดยเฉพาะงานเขียนที่ทรงพลังและสรุปรวบยอดเป็นหนังสือประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ชื่อ คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) เพียงแต่น่าเสียดายว่า สำนึกท้องถิ่นของธเนศวร์เน้นไปที่การปักหลักรื้อถอนและสร้างความเป็น “คนเมืองที่ดี” ความเป็น “ล้านนายูโทเปีย” ที่มีศูนย์กลางและยอดปิระมิดอยู่ที่ชนชั้นสูงเป็นหลัก ..."

" ... หากอ่านเพียงผิวเผินก็อาจจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนท้องถิ่นได้ เพราะได้สร้างสำนึกร่วมกันของคนในพื้นที่ขณะที่ผลักความเป็นอื่นไปให้กับอาณาจักรที่เป็นศัตรูอย่างสยาม หรือพม่า แต่หากอ่านอย่างจริงจังแล้วจะพบว่าปัญหาใหญ่ของประวัติศาสตร์แบบนี้ทำให้เราถูกครอบงำด้วยความรู้สึกว่าสังคมลำดับชั้นมีที่สูงที่ต่ำขึ้นอย่างที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ประวัติศาสตร์แบบผู้พิชิตเช่นนี้ มักจะโฟกัสไปอยู่ที่ศูนย์กลางอำนาจ นั่นคือ เมืองหลวงอย่างเชียงใหม่ ดังนั้นจึงพบว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ท้องถิ่นในบริเวณที่เรามักเรียกกันว่า “ล้านนา” นี้ ก็คือ ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่แทบทั้งสิ้น และคือประวัติศาสตร์ของการยึดครองเมืองต่างๆให้มาอยู่ใต้อาณาจักร เมืองที่อยู่ใต้รัศมีการควบคุมระยะใกล้อย่างลำพูน ลำปาง จึงพบประวัติศาสตร์ที่บันทึกถึงน้อยมาก ขณะที่การเขียนถึงพะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ก็ยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ส่วนต่อขยายจากล้านนามากกว่า แพร่กับน่านจะมีบทบาทก็ต่อเมื่อเชียงใหม่มีอุบายทางการเมืองที่จะยกทัพเข้าไปยึดครองในเชิงพื้นที่และวัฒนธรรมแล้ว “ล้านนายูโทเปีย” จึงแทนความหมายของสังคมล้านนาในอุดมคติที่ธเนศวร์ได้สร้างขึ้น ... "

บทความตัวเต็ม ตามที่แนบมานี้ครับ
(ไฟล์มันใหญ่เกินกว่าจะแนบได้ จึงเอาฝากเว็บไว้ครับ)

http://www.upload-thai.com/download.php?id=00ad665191ed0c3d177ce84ec0e75043 (http://www.upload-thai.com/download.php?id=00ad665191ed0c3d177ce84ec0e75043)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ด้านมืดในอดีตของสยามกับล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: doodeemeeshow ที่ วันที่ 06 เมษายน 2012, 21:03:13
ขอนอกประเด็นกระทู้ แต่ไม่นอกใจความนะครับ

อ้างอิง:นี่มันรัฐชาติสมัยใหม่นะครับท่าน ไม่ใช่รัฐจักรวรรดินิยม (แต่สยามยังคงยึดถือหลักแบบนี้อยู่)

 ต้องขอขอบคุณที่สมัครสมาชิกเพื่อมาแสดงความเห็นกับผมเป็นกระทู้แรก รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ

จริงๆแล้วผมก็แค่ไม่อยากให้อ้างเรื่องความแตกต่างเพื่อทำการอะไรบางอย่างเท่านั้นเองครับ

ถ้าการกระจายอำนาจอย่างที่ผมเข้าใจก็คือการโอนอำนาจจาก การบริหารราชการส่วนกลางไปส่วนท้องถิ่น
จากกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ให้ไปอยู่กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล อบต.


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ สยาม ไม่ทราบครับ



" ... จริงๆแล้วผมก็แค่ไม่อยากให้อ้างเรื่องความแตกต่างเพื่อทำการอะไรบางอย่างเท่านั้นเองครับ ... "

ทำการอะไรหรือครับ ข้อนี้ช่วยชี้แจงหน่อยนะครับ เพราะว่าผมไม่ทราบเหมือนกันว่า ท่านหมายถึงเรื่องอะไร

" ... ถ้าการกระจายอำนาจอย่างที่ผมเข้าใจก็คือการโอนอำนาจจาก การบริหารราชการส่วนกลางไปส่วนท้องถิ่น
จากกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ให้ไปอยู่กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล อบต. ..."

ก่อนอื่นต้องถามคุณก่อนนะครับว่า "อำนาจ" และ "อำนาจการบริหารราชการ" ในความหมายของคุณนั้น มีความหมายว่าอย่างไร มีขอบเขตแค่ไหน ระดับการตัดสินใจมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้จะโอนอำนาจการบริหารจัดการจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น แต่การตัดสินใจสุดท้ายกลับต้องขึ้นอยู่ที่ส่วนกลาง อย่างนี้มันจะเรียกว่า "การกระจายอำนาจ" ด้วยหรือเปล่าครับ

" ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ สยาม ไม่ทราบครับ"

อ๋อ ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย ดินแดนแห่งนี้ส่วนหนึ่งเรียกตนเองว่า "สยาม"
ส่วน "สยาม" นั้นหมายถึงใคร และอีกบางส่วนที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่าสยามนั้นเป็นใคร
ผมคิดว่า ด้วยความสามารถของคุณแล้ว ก็คงไม่ยากที่จะหาข้อมูล

แต่หากคุณยังข้องใจกับคำว่า "สยาม" แล้ว
ลองไปหาเหตุผลของการเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็น "ประเทศไทย" ดูนะครับ
ว่า ตั้งอยู่บนพื้นฐานสิ่งใด